ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงแน่ๆ ถ้าไม่ได้ไปอยู่ที่เกิดเหตุนะครับ
เท่าที่อ่านข่าวมาตามความรู้สึกผม ฝ่ายหญิงที่ขับกระบะเป็นผู้ผิดครับ หนึ่งคือผิดกฎจราจร สองคือผิดทำร้ายร่างกาย
ฝ่ายรถเบนซ์ผิดพกพาอาวุธ (แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นก็เป็นข้อยกเว้น) และถูกมองว่าแล้งน้ำใจหรือเปล่าที่ไม่ขยับรถให้
ที่จริงมีอีกหลายเรื่อง แต่อธิบายแล้วจะยาวครับ นายสมชายขมวดปมตามที่คุณ Quick ตั้งประเด็นมาก่อน...
ฝ่ายขับกะบะผิด โทษผิดกฏจราจรเป็นโทษปรับ, โทษทำร้ายร่างกายก็ลหุโทษครับ... ฝ่ายรถเบ็นซ์ผิดพกพาอาวุธ นี่เป็นอาญาฯ หากศาลไม่รอฯ อาจถึงขั้นติดคุกครับ...
แต่มีประเด็นที่หลายท่านมองไม่เห็น เพราะไปมัวเพ่งความสนใจกับเรื่องอารมณ์ที่โดนบีบแตรใส่อย่างไร้มรรยาท(ตามข่าวว่าเป็นที่น่ารำคาญฯ) กับเรื่องผิดกฏจราจรจอดคล่อมทางรถไฟ... อาจมีแถมเรื่องปาดหน้ารถเบ็นซ์(อันนี้เกิดหลังจากโดนบล็อกให้รถไฟชน)...
ประเด็นคือ หากสามารถพิสูจน์ในศาลได้ว่า ฝ่ายรถเบ็นซ์อยู่ในวิสัยที่จะเลื่อนรถยนต์ไปข้างหน้าเพื่อช่วยให้รถกะบะที่อยู่ข้างหลังไม่ถูกรถไฟชน, โดยเล็งเห็นผลว่าโดนรถไฟชนอาจเสียชีวิตหรืออย่างน้อยก็รถกะบะเสียหาย แต่ก็ยังตัดสินใจไม่เลื่อนรถเปิดทางให้... โดยอาจมีสาเหตุจูงใจคือโกรธที่รถกะบะผิดกฏจราจร อย่างนี้เป็นเรื่องเจตนาฆ่านะครับ, และหากรถไฟหยุดทันก็จะกลายเป็นพยายามฆ่า...
ซึ่งนายสมชายก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรกับหลายท่านมองเห็นเรื่องอารมณ์โกรธแค้นที่ถูกบีบแตรใส่อย่างไร้มรรยาท หรือเรื่องผิดกฏจราจรของรถกะบะเป็นเรื่องใหญ่กว่าเรื่องเจตนาฆ่าไปได้ครับ...
ขอนุญาตครับ

ผมถึงได้บอกว่าไม่มีใครได้อยู่ในเหตุการณ์นะครับ หากเราใช้ประโยคที่เดาเหตุการณ์ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่จบนะครับ ผมถึงได้สรุปตามเนื้อข่าวครับ
หากอาศัยการคาดเดาผมก็คาดเดาได้ดังนี้ครับ
ถ้าหากเป็นกรณีที่รถข้างหน้าติดจนไม่สามารถขยับได้แล้ว แต่รถกระบะก็ยังคงเสี่ยงภัยที่จะจอดคาอยู่บนรางเองโดยที่รถข้างหน้าไม่สามารถขยับได้แล้ว
เป็นเจตนาของรถกระบะเองครับที่เล็งเห็นอยู่แล้วว่าจะต้องจอดบนทางรถไฟและถนนข้างหน้าเต็มไปด้วยรถจนไม่สามารถขยับได้
รถข้างหน้าทั้งหมดก็ไม่ได้ละเว้นในการที่จะขยับรถ หากแต่ว่าเป็นการกระทำโดยเล็งเห็นผลของฝ่ายรถกระบะเองต่างหาก
เพราะรถข้างหน้ามิได้กระทำการใดๆ อันเป็นเจตนามุ่งหมายให้รถกระบะต้องได้รับอันตรายอันเล็งเห็นได้ว่าจะถึงแก่ชีวิต
หากแต่เป็นฝ่ายรถกระบะเองที่เข้าเสี่ยงภัยนั้นด้วยตนเอง จึงไม่สามารถจะเอาผิดรถที่จอดนิ่งเฉยอยู่ข้างหน้าได้
เพราะการกระทำอันจะเป็นความผิดของกฎหมายได้นั้นจะต้องประกอบด้วยการกระทำการ หรือละเว้นกระทำการ โดยมีเจตนาภายในจิตใจอันมุ่งให้การกระทำนั้นบรรลุผล
การนิ่งเฉยของฝ่ายรถเก๋งข้างหน้ามิได้เป็นการกระทำการ และยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ารถเก๋งทราบอยู่แล้วว่ารถกระบะจะขับเข้ามาจ่อท้ายรถตนเองและคร่อมเลนรถไฟอันเป็นการเสี่ยงอันตราย แน่นอนว่าไม่ได้มีเจตนาภายในอันชั่วร้ายที่จะก่อให้เกิดอันตรายจนถึงแก่ชีวิตกับรถกระบะ
ดังนั้นการที่รถกระบะขับคร่อมเลนรถไฟเป็นเจตนาของรถกระบะที่กระทำโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และสมัครใจเข้าเสี่ยงภัยทั้งๆ ที่ตนสามารถเล็งเห็นได้อยู่แล้ว
ถ้าอธิบายลักษณะนี้จะเป็นพยายามฆ่าไปได้อย่างไรนะครับพี่

ผมเข้าใจว่าเป็นการถกประเด็นกันทั้งหมด แต่หากว่ากันตามเนื้อข่าวแล้ว ผมว่าเหตุผลที่ท่านสมชายโต้แย้งท่านสมาชิกต่างๆ เพื่อแก้ต่างให้ฝ่ายรถกระบะ รับฟังได้ยากนะครับ