อันนี้เล่าเป็นอุทธาหรณ์นะครับ... สำหรับผู้รับเหมานะครับ...
เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เริ่มย้ายงานใหม่... ประมาณพฤศจิกายน ปีที่แล้ว..
พอย้ายงานปุ๊ป(1)... ได้อีกงาน(2)ที่ดำเนินการเอาไว้กว่า 6 เดือนพอดี... เลยเริ่มจัดคนงาน โดยอีกไซท์งาน(2)ได้ให้รุ่นน้องที่เรียนมาด้วยกันช่วยดูแล และยังมีคนงานยังไม่มาก... แต่ก็ทำงานจนรอดปีใหม่มาได้... พอมกราคม เลยเอาคนงานจากไซท์ที่ย้ายทีแรก(1) ไปช่วยเสริมอีกไซท์งาน(2) แต่พอไปทำไม่ยอมฟังโฟร์แมน(รุ่นน้องผม) บอกว่ามาทำที่นี่ แต่ฟังคำสั่งผมคนเดียว.. โฟร์แมนเลยสั่งให้หยุดงาน.. (เพราะผสมกับคนที่มีอยู่แล้วไม่ได้.. และกลัวจะเสียการปกครอง..) รอให้ผมมาก่อน แล้วค่อยคุยกัน...
ผมฟังเหตุผล.. ก็เข้าใจโฟร์แมน เลยให้ลูกน้องกลับไปทำงานที่ไซท์ที่เพิ่งย้ายมา(1) แต่ด้วยศักดิ์ศรี.. เพิ่งย้ายออกมา ไม่อยากกลับไปทำที่เดิม... ขอลาออกไปทำที่อื่น.. ผมก็ไม่รั้ง จะไปก็ไป... เลยสร้างความแค้นให้ลูกน้องชุดนี้...
จากนั้นก็ทำงานกันเรื่อยๆ.. จนทุกอย่างเริ่มลงตัว... และผมก็ไม่ได้คิดว่าจะมีเอ็ฟเฟ็คอะไร.... เพราะเนื่องจากงานยุ่ง... เลยพลาดไม่ได้แคร์ความรู้สึกลูกน้อง...
จนถึงวันที่ 5 มีนาคม... จ่ายค่าแรงคนงานเสร็จ... แต่ผมบังคับให้ลูกน้องที่ไซท์(1) ทำงาน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเบิกค่างวดงานที่คำนวณไว้... แต่อีกไซท์(2) ให้หยุด...
ผลที่ตามมา... กลายเป็นลูกน้องน้อยใจ(1) คงมีการคุยกับกลุ่มลูกน้องที่ย้ายไปไซท์งาน(2) และลาออกไป... ปลุกปั่นกันจนวันที่ 7 มีนาคม.. ผมเข้าไซท์งาน(1) ลูกน้องไปกันหมดไซท์งาน...
ตอนนี้เลยต้องวุ่นกว่าเดิม... เพราะต้องจัดทัพใหม่หมด... และยังต้องกลับไปเก็บงานเก่าๆที่ยังอยู่ระยะประกันอีก......
ที่เล่าให้ฟังก็เพราะว่า... อย่ามั่นใจตัวเองซะมากเกินไป... เราไม่สามารถบังคับจิตใจใครได้จริงๆ... ลูกน้องเลี้ยงดูกันมา 10 กว่าปียังทิ้งเราได้... ดังนั้นแล้วไม่มีอะไรเลยที่จะเป็นอย่างที่เราวางแผน....
สมน้ำหน้าตัวเอง... และก็ได้แต่หวังว่าลูกน้องที่ทิ้งเราไป.. คงต้องได้ดี... แต่อย่าหวังจะกลับมา... เพราะผมคงไม่รับเข้าทำงานอีกแล้ว... เล่นตัดแขนตัดขากันเลย...
คิดไม่ถึงเหมือนกัน...ว่าการจัดทัพไป... แต่กลายเป็นว่า.. ลูกน้องแต่ละคนอยากเป็นใหญ่กันหมด... จนทำให้งาน(องค์กร) สะดุดได้ขนาดนี้...
ตรงตัวสีแดงเลยครับ แสดงว่าคุณตั้วยังใจนิ่ง(ใจหิน)ยังไม่พอ ลูกน้องเลยคิดไปเองว่าตัวเองเก่ง สามารถยืนบนขาตัวเองได้... แต่ความจริงจะเหมือนความเชื่อได้หรือไม่นั่น ลูกน้องต้องพิสูจน์ตัวเองครับ...
หากใครไม่เคยปกครองคนก็นึกไม่ออกนะครับ คนมันเท่ากันหมดตามรัฐธรรมนูญน่ะใช่... ถ้าอยู่บนถนนหนทางกับประชาชนทั่วไป กับคนรู้จักทั่วไปน่ะเท่ากันแน่ แต่ถ้าเข้ามาทำงานเป็นลูกน้องของเราแล้วมันต้องไม่เท่ากัน การกินการอยู่ การนั่งการนอนต้องไม่เท่ากัน เท่ากันไม่ได้...
หากปล่อยให้เท่ากันแล้ววิธีคิดของลูกน้อง วิธีมองของลูกน้องจะเปลี่ยนไปหมด... ใครอยากเท่ากันต้องไม่ใช่ลูกน้อง หากปรับความคิดไม่ได้ก็ไม่ต้องเรียนวิชาจากเราครับ...
ลองดูกระทู้นี้ครับ...
http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=82592.0เรื่องนี้จิ๊บจ๊อยครับ เดี๋ยวเดียวก็ผ่านไปเหมือนสายลมแล้วครับ...
เสริมพี่สมชายนิดนึงครับ คุมลูกน้องทำงานกลางแจ้ง จังหวะโหมหนักๆทุกคนจะเหนื่อยเหมือนเพิ่งไปไถนามา10แปลง บ่อยครั้งที่แค่เราแสดงออกว่า"มองเห็น"จะช่วยกระตุ้นความภักดีได้มาก
เวลาทำดีเจ้านายรับรู้ เวลาอู้ก็ต้องให้มันรู้ว่า"กรูรู้"ด้วยครับ เจ้านายรู้แต่ไม่ถือสากับรู้แต่ไม่กล้าเอาเรื่องผลต่อเนื่องจะผิดกันลิบ
เวลาจะใช้คนงานไปช่วยงานของอีกร้านนึง ก็จะมีลิโพ/ตังค์ไปซื้อน้ำขวดใส่กระติกให้ทุกครั้ง แล้วเลิกกลับมาค่ำแค่ไหนมันจะยังได้เห็นผมแน่นอน
เคยมีคนขับ10ล้อโดนกระเบื้องหล่นใส่หัวแม่เท้า ผมลากมันมาล้างตีน+ใส่ยา พันแผลให้ ไปโรงพยาบาลแผลนั้นเย็บไป10กว่าเข็ม รุ่งเช้ามันเดินกระเผลกมาทำงาน ถามทำไมไม่พัก(วะ?)มันบอกยกของไม่ได้มันก็ยังขับรถให้ได้
คนขับรถพ่วงอีกคนโดนจับยาบ้า200เม็ด ลูกน้องที่ติดรถไป4คนฉี่ม่วงหมด .... ผมเอารถกับลูกน้องออกมาได้ แต่เจ้าคนขับผมฝากแม่ค้าส่งข้าว ฝากตำรวจส่งบุหรี่แล้วก็ปล่อยให้มันติดคุกไป ส่งคนไปบอกว่ากรูไม่เอามึงออกมาเด็ดๆ แต่เมียท้องแก่ของมึงกูจะส่งให้จนกว่ามึงจะหลุดออกมา.......ฝากลูกน้องเอาเงินเดือนไปให้เมียมันใช้เฉยๆแค่ไม่กี่เดือน มันออกมาได้ก็มาขอทำงานคืน
ไอ้ลูกน้อง4คนนั่น มีคนนึงพี่มันมาขอแบ่งลูกปืนผมไป มารู้อีกทีมันเอาไปปล้นพ่อค้ายา กระทืบเด็กส่งยาซะเละเลย อีก3คนยังอยู่ครบมาจนป่านนี้
เรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนี้ ทำให้คนงานเห็นเราเป็นนายจ้าง+พ่วงตำแหน่งจ่าฝูงเข้าไปด้วย มีผลในการใช้งานคนทำงานกลางแจ้งครับ