เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 30, 2024, 01:34:05 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 3 4 5 [6] 7 8 9 ... 11
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ขอเสียงแฟน F1 หน่อยครับ  (อ่าน 19218 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
dignitua-รักในหลวง
เราจะสู้เพื่อในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1414
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8341


จะมีพรุ่งนี้ ได้อีกกี่วัน...


« ตอบ #75 เมื่อ: มีนาคม 31, 2010, 10:45:54 PM »

เมื่อไหร่ที่มีการเปลี่ยนกฏให้ใช้ระบบอัดอากาศเข้ามาใช้ในรถแข่งได้... วันนั้นแหล่ะครับ.. ถึงจะเรียกว่า F-1 ของแท้...
บันทึกการเข้า

อรชุน-รักในหลวง
หมู่โลหิต O
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1599
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10265


ขาย-อัพเกรด คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง


« ตอบ #76 เมื่อ: เมษายน 01, 2010, 01:40:04 AM »

เมื่อไหร่ที่มีการเปลี่ยนกฏให้ใช้ระบบอัดอากาศเข้ามาใช้ในรถแข่งได้... วันนั้นแหล่ะครับ.. ถึงจะเรียกว่า F-1 ของแท้...

เคยมีมาแล้วครับแล้วก็โดนยกเลิกไปแล้ว

เครื่องยนต์เทอร์โบเคยใช้ในช่วงปี 1966–1986 ครับ
คือกฎการแข่งขันสามารถให้ทีมแข่งเลือกได้ว่าจะใช้เครื่องยนต์สูดอากาศเอง ขนาด 3000cc.
หรือว่าจะใช้เครื่องยนต์เทอร์โบ ขนาด1500cc. ในรถที่ใช้แข่งขัน

ตัวอย่าง
เครื่องยนต์ที่ BMW ใช้ในปี1986 เป็นเครื่อง4สูบเรียง turbo ความจุแค่1500 cc.
แต่อัดบูสต์ไปร่วม 5.5 bar เครื่อง1500cc. บล๊อคนี้เลยเบ่งม้าออกมาร่วม 1,300 bhp (970 kW)

ที่มาครับ
http://en.wikipedia.org/wiki/Formula_One_engines#1966.E2.80.931986

บันทึกการเข้า
CT_Pro4
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 537
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4869



« ตอบ #77 เมื่อ: เมษายน 01, 2010, 08:11:09 AM »

...สำหรับแฟนๆ F1 วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้จะป็น Race ที่ Sepang มาเลเซีย วันศุกร์นี้จะเริ่ม Practice 1-2 แล้วตามด้วย Pracetice 3 รวมถึง Qualify ในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ครับ... 

 Grin Grin Grin

ท่าน CT Pro4ช่วยอธิบายเรื่องกฏใหม่ของFIAเกี่ยวกับการเติมนํามันหน่อยสิครับ.....

วิจารณ์หน่อยก็จะดีมาก....



...มิบังอาจครับพี่ Daimyo ความรู้ผมน้อยนิด ตามความเข้าใจของผม ผมคิดว่าทาง FIA ต้องการที่จะลดความได้เปรียบเสียเปรียบใน Pit Stop ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื่องจากค่ายที่มีอันดับ Constructor ดีกว่าจะมีตำแหน่งของ Pit ที่ดีกว่าซึ่งก็มักจะหนีไม่พ้นทีมใหญ่ๆ ความได้เปรียบของตำแหน่ง Pit จะมีผลเป็นอย่างมากกับผลแพ้ชนะ ดังนั้นทาง FIA จึงเปลี่ยนกฎในเรื่องของการเติมน้ำมัน ซึ่งจะไม่ให้มีการเติมน้ำมันในระหว่างการแข่งขัน ดังนั้นจึงนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างของรถขนานใหญ่ เนื่องจากรถแข่งแต่ละคันจะต้องใช้ถังน้ำมันที่ใหญ่ขึ้นจากเดิมที่มีความจุประมาณ 80 ลิตร ให้เป็นเกือบ 250 ลิตร...

...จากข้อกำหนดเรื่องการห้ามเติมน้ำมันและขนาดของถังน้ำมันที่ใหญ่ขึ้นนั้น ทำให้โครงสร้างของรถจำเป็นต้องมี Wheelbase ที่ยาวขึ้น ความกว้างของรถด้านท้ายมีขนาดใหญ่ขึ้น รวมถึงการจัดการเรื่องของการกระจายน้ำหนักที่เปลี่ยนไป ยิ่งไปกว่านั้นการกำหนดกลยุทธ์ของแต่ละทีมก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เพราะการเข้า Pit จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อต้องเปลี่ยนยางหรือเข้ามาแก้ไขปัญหาทางเทคนิคเท่านั้นเช่น แก้ไขเรื่อง Aerodynamic ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ เป็นต้น การวางกลยุทธ์ของทีมจะไม่ขึ้นอยู่กับ Pit Stop Strategy อีกต่อไป น้ำหนักของรถ ณ จุดสตาร์ทก็แทบจะไม่มีความแตกต่างกัน เรื่องรถเบา รถหนัก รวมถึงจำนวนการเข้า Pit ก็จะถูกตัดออกจากการวางแผนของทีมในปี 2010  ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จึงทำให้การวางแผนของแต่ละทีมมุ่งเน้นไปที่ความสามารถของตัวนักแข่งกับประสิทธิภาพของรถเป็นหลัก นักแข่งจะต้องเข้าใจถึง track และตัวรถเป็นอย่างดี แต่ถ้าพูดตามตรงผมก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม FIA ถึงออกกฎนี้ออกมา ผมว่าอรรถรสของการดู F1 ส่วนหนึ่งก็มาจากการดู Pit Stop Strategy ของแต่ละทีมครับ...

 Grin Grin Grin
ผมขอแย้งครับ..กติกานี้ทำให้รถสูตร1มีความมันส์เพิ่มขึ้นมาอีกแยะเลย แทนที่จะต้องไปเสียเวลาเพิ่มในพิทเพื่อกลับออกมาลุ้นอันดับ กลับมีเวลาได้วัดกันในสนามแบบยาวๆ สนามล่าสุดนี้จะเห็นว่ารถมีการแซงกันบ่อยมากๆ หนูแฮมหรือลุงชูก็มีเวลาไต่จากอันดับท้ายๆที่ไม่มีแต้มจนสามารถขึ้นมาอยู่ในลำดับที่มีคะแนนสะสมได้ ผมว่าผู้จัดเดินมาถูกทางแล้วครับ ปีที่แล้วคนนำก็นคนตามก็ตามแทบไม่มีการแซงดุแล้วง่วงมากๆ




...ด้วยความเคารพ ผมคงจะมองต่างมุมในเรื่องนี้บางเรื่องครับ สำหรับผม Pit Strategy เป็นการวัดความสามารถของบุคคลากรในทีมแข่งทั้งทีม เป็นการทำงานที่ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ละเอียดอ่อนมากๆ แต่ในทางกลับกันถ้าพูดกันถึงกฎในปี 2009 ผมไม่เห็นด้วยในเรื่องตำแหน่งของ Pit ตาม Constructor Championship Point ของฤดูกาลก่อนหน้า ตำแหน่ง Pit ควรจะถูกกำหนดจากผลการแข่งขันของ race ก่อนหน้ามากกว่า ...  Grin

...สิ่งที่เกิดขึ้นกับวงการ F1 ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานั้น ผมว่าเป็นเรื่องที่ทาง FIA คงจะต้องมองให้ดีๆ เพราะการเข้าร่วมแข่งในแต่ฤดูกาลของแต่ละค่ายใช้เงินมหาศาล ขนาดค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่หลายๆ ค่ายยังต้องถอนตัวจาก F1 เพราะพิษเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลกระทบจาก Hamburger Crisis ผมไม่อยากเห็นวงการ F1 ต้องกลายเป็นเหมือนการแข่ง Indy Car ถ้าเป็นเช่นนั้นเสน่ห์ของ F1 ก็จะหายไป การลดต้นทุนในบางเรื่อง ทำให้การพัฒนาของ F1 ไม่เติบโตอย่างรวดเร็วเหมือนสมัยก่อน ทีมที่เข้าร่วมจริงๆ บางทีมก็เป็นเพียงไม้ประดับ ยิ่งไปกว่านั้นผมยิ่งไม่อยากเห็นการพัฒนา Chassis กับการพัฒนาเครื่องยนต์จะถูกกำหนดโดยค่ายใหญ่ๆ เท่านั้น... 



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 01, 2010, 11:49:36 AM โดย CT_Pro4 » บันทึกการเข้า

Every problem contains the seeds of its own solution.- Stanley Arnold
U.S.J.
Jr. Member
**

คะแนน 4
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 47



« ตอบ #78 เมื่อ: เมษายน 01, 2010, 12:30:18 PM »

ผมขอแย้งครับ..กติกานี้ทำให้รถสูตร1มีความมันส์เพิ่มขึ้นมาอีกแยะเลย แทนที่จะต้องไปเสียเวลาเพิ่มในพิทเพื่อกลับออกมาลุ้นอันดับ กลับมีเวลาได้วัดกันในสนามแบบยาวๆ สนามล่าสุดนี้จะเห็นว่ารถมีการแซงกันบ่อยมากๆ หนูแฮมหรือลุงชูก็มีเวลาไต่จากอันดับท้ายๆที่ไม่มีแต้มจนสามารถขึ้นมาอยู่ในลำดับที่มีคะแนนสะสมได้ ผมว่าผู้จัดเดินมาถูกทางแล้วครับ ปีที่แล้วคนนำก็นคนตามก็ตามแทบไม่มีการแซงดุแล้วง่วงมากๆ

...ด้วยความเคารพ ผมคงจะมองต่างมุมในเรื่องนี้บางเรื่องครับ สำหรับผม Pit Strategy เป็นการวัดความสามารถของบุคคลากรในทีมแข่งทั้งทีม เป็นการทำงานที่ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ละเอียดอ่อนมากๆ แต่ในทางกลับกันถ้าพูดกันถึงกฎในปี 2009 ผมไม่เห็นด้วยในเรื่องตำแหน่งของ Pit ตาม Constructor Championship Point ของฤดูกาลก่อนหน้า ตำแหน่ง Pit ควรจะถูกกำหนดจากผลการแข่งขันของ race ก่อนหน้ามากกว่า ... 

...สิ่งที่เกิดขึ้นกับวงการ F1 ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานั้น ผมว่าเป็นเรื่องที่ทาง FIA คงจะต้องมองให้ดีๆ เพราะการเข้าร่วมแข่งในแต่ฤดูกาลของแต่ละค่ายใช้เงินมหาศาล ขนาดค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่หลายๆ ค่ายยังต้องถอนตัวจาก F1 เพราะพิษเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลกระทบจาก Hamburger Crisis ผมไม่อยากเห็นวงการ F1 ต้องกลายเป็นเหมือนการแข่ง Indy Car ถ้าเป็นเช่นนั้นเสน่ห์ของ F1 ก็จะหายไป การลดต้นทุนในบางเรื่อง ทำให้การพัฒนาของ F1 ไม่เติบโตอย่างรวดเร็วเหมือนสมัยก่อน ทีมที่เข้าร่วมจริงๆ บางทีมก็เป็นเพียงไม้ประดับ ยิ่งไปกว่านั้นผมยิ่งไม่อยากเห็นการพัฒนา Chassis กับการพัฒนาเครื่องยนต์จะถูกกำหนดโดยค่ายใหญ่ๆ เท่านั้น...


....มองต่างมุม ผมชอบความคิดเห็นของพี่ๆทั้ง2ท่านครับ....เยี่ยม
บันทึกการเข้า
your-ประชาธิปไตย
Sr. Member
****

คะแนน 925
ออฟไลน์

กระทู้: 509


« ตอบ #79 เมื่อ: เมษายน 01, 2010, 12:55:23 PM »

ผมขอแย้งครับ..กติกานี้ทำให้รถสูตร1มีความมันส์เพิ่มขึ้นมาอีกแยะเลย แทนที่จะต้องไปเสียเวลาเพิ่มในพิทเพื่อกลับออกมาลุ้นอันดับ กลับมีเวลาได้วัดกันในสนามแบบยาวๆ สนามล่าสุดนี้จะเห็นว่ารถมีการแซงกันบ่อยมากๆ หนูแฮมหรือลุงชูก็มีเวลาไต่จากอันดับท้ายๆที่ไม่มีแต้มจนสามารถขึ้นมาอยู่ในลำดับที่มีคะแนนสะสมได้ ผมว่าผู้จัดเดินมาถูกทางแล้วครับ ปีที่แล้วคนนำก็นคนตามก็ตามแทบไม่มีการแซงดุแล้วง่วงมากๆ

...ด้วยความเคารพ ผมคงจะมองต่างมุมในเรื่องนี้บางเรื่องครับ สำหรับผม Pit Strategy เป็นการวัดความสามารถของบุคคลากรในทีมแข่งทั้งทีม เป็นการทำงานที่ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ละเอียดอ่อนมากๆ แต่ในทางกลับกันถ้าพูดกันถึงกฎในปี 2009 ผมไม่เห็นด้วยในเรื่องตำแหน่งของ Pit ตาม Constructor Championship Point ของฤดูกาลก่อนหน้า ตำแหน่ง Pit ควรจะถูกกำหนดจากผลการแข่งขันของ race ก่อนหน้ามากกว่า ... 

...สิ่งที่เกิดขึ้นกับวงการ F1 ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานั้น ผมว่าเป็นเรื่องที่ทาง FIA คงจะต้องมองให้ดีๆ เพราะการเข้าร่วมแข่งในแต่ฤดูกาลของแต่ละค่ายใช้เงินมหาศาล ขนาดค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่หลายๆ ค่ายยังต้องถอนตัวจาก F1 เพราะพิษเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลกระทบจาก Hamburger Crisis ผมไม่อยากเห็นวงการ F1 ต้องกลายเป็นเหมือนการแข่ง Indy Car ถ้าเป็นเช่นนั้นเสน่ห์ของ F1 ก็จะหายไป การลดต้นทุนในบางเรื่อง ทำให้การพัฒนาของ F1 ไม่เติบโตอย่างรวดเร็วเหมือนสมัยก่อน ทีมที่เข้าร่วมจริงๆ บางทีมก็เป็นเพียงไม้ประดับ ยิ่งไปกว่านั้นผมยิ่งไม่อยากเห็นการพัฒนา Chassis กับการพัฒนาเครื่องยนต์จะถูกกำหนดโดยค่ายใหญ่ๆ เท่านั้น...


....มองต่างมุม ผมชอบความคิดเห็นของพี่ๆทั้ง2ท่านครับ....เยี่ยม
ผมขอแย้งครับ..กติกานี้ทำให้รถสูตร1มีความมันส์เพิ่มขึ้นมาอีกแยะเลย แทนที่จะต้องไปเสียเวลาเพิ่มในพิทเพื่อกลับออกมาลุ้นอันดับ กลับมีเวลาได้วัดกันในสนามแบบยาวๆ สนามล่าสุดนี้จะเห็นว่ารถมีการแซงกันบ่อยมากๆ หนูแฮมหรือลุงชูก็มีเวลาไต่จากอันดับท้ายๆที่ไม่มีแต้มจนสามารถขึ้นมาอยู่ในลำดับที่มีคะแนนสะสมได้ ผมว่าผู้จัดเดินมาถูกทางแล้วครับ ปีที่แล้วคนนำก็นคนตามก็ตามแทบไม่มีการแซงดุแล้วง่วงมากๆ

...ด้วยความเคารพ ผมคงจะมองต่างมุมในเรื่องนี้บางเรื่องครับ สำหรับผม Pit Strategy เป็นการวัดความสามารถของบุคคลากรในทีมแข่งทั้งทีม เป็นการทำงานที่ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ละเอียดอ่อนมากๆ แต่ในทางกลับกันถ้าพูดกันถึงกฎในปี 2009 ผมไม่เห็นด้วยในเรื่องตำแหน่งของ Pit ตาม Constructor Championship Point ของฤดูกาลก่อนหน้า ตำแหน่ง Pit ควรจะถูกกำหนดจากผลการแข่งขันของ race ก่อนหน้ามากกว่า ... 

...สิ่งที่เกิดขึ้นกับวงการ F1 ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานั้น ผมว่าเป็นเรื่องที่ทาง FIA คงจะต้องมองให้ดีๆ เพราะการเข้าร่วมแข่งในแต่ฤดูกาลของแต่ละค่ายใช้เงินมหาศาล ขนาดค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่หลายๆ ค่ายยังต้องถอนตัวจาก F1 เพราะพิษเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลกระทบจาก Hamburger Crisis ผมไม่อยากเห็นวงการ F1 ต้องกลายเป็นเหมือนการแข่ง Indy Car ถ้าเป็นเช่นนั้นเสน่ห์ของ F1 ก็จะหายไป การลดต้นทุนในบางเรื่อง ทำให้การพัฒนาของ F1 ไม่เติบโตอย่างรวดเร็วเหมือนสมัยก่อน ทีมที่เข้าร่วมจริงๆ บางทีมก็เป็นเพียงไม้ประดับ ยิ่งไปกว่านั้นผมยิ่งไม่อยากเห็นการพัฒนา Chassis กับการพัฒนาเครื่องยนต์จะถูกกำหนดโดยค่ายใหญ่ๆ เท่านั้น...


....มองต่างมุม ผมชอบความคิดเห็นของพี่ๆทั้ง2ท่านครับ....เยี่ยม
ผมก็ไม่ได้สนับสนุนเรื่องการจำกัดงบประมาณนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ FIA(สมาพันธ์มาเฟียควบคุมรถแข่งนาๆชาติ)พยายามจะกำหนดให้ใช้เครื่องยนต์จากผู้ผลิตรายเดียวแบบปีก่อนถือเป็นนโยบายที่ห่วยมากจนเกือบเป็นเรื่องเป็นราวมาแล้ว มอเตอร์สปอร์ตยังไงก็ต้องเป็นมอเตอร์สปอร์ตต้องมีการแข่งขันคิดค้น ค้นคว้า วิจัย เพื่อความได้เปรียบในการแข่งขัน สำหรับความรู้หรือเทคโนโลยีหลายๆอย่างสามารถนำมาต่อยอดหรือพัฒนามาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาวงการอุตสาหกรรมรถยนต์หรือเรื่องอื่นๆได้ เช่นระบบวีเทคที่เป็นของต้องห้ามของรถสูตร1 แต่กลลายเป็นของดีในรถบ้านไปเป็นต้น อย่างไรก็ตามในเมื่อมุ่งไปที่ความสนุกสนานของเกมส์การแข่งขันก็ต้องมีการจำกัดความได้เปรียบบางประการเพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำเกินไป ในประเด็นนี้ทำให้ทีมทุนน้อยมีโอกาสขึ้นมาบ้างยกตัวอย่างบอร์นจีพีในปีที่แล้ว ส่วนในเรื่องของการงดเติมน้ำมันในพิทปีนี้เหตุผลก็เพื่อความปลอดภัยเป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องของความได้เปรียบเสียเปรียบอยย่างเดียว ถ้าใครติดตามดูอย่าต่อเนื่องจะเห็นได้ว่ามีหลายครั้งที่ยังเติมน้ำมันไม่เสร็จรถแข่งก็รีบออกตัวเพื่อไปลุ้นอันดับ ทำให้คนเติมน้ำมันถูกลากติดไปด้วย หรือหัวเติมหลุดติดไปกับรถเลยก็มี นักขับต้องแกไขโดยการสะบัดพวงมาลัยให้หัวเติมหลุดลงในพิทเลน ทำให้ทีมเซอร์วิทต้องวิ่งตามมาเก็บ อันตรายต่อรถแข่งที่ตามมาข้างหลังและทีมเซอร์วิสที่เสี่ยงต่อการถูกชน
บันทึกการเข้า

"ข้าพเจ้าต่อสู้เพื่อคุณธรรมที่อยู่ในใจของข้าพเจ้า ใครที่ขัดขวางคุณธรรมนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด เราจะถือว่าเป็นศัตรู"
ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ...
OO BUCK
Sr. Member
****

คะแนน 146
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 772



« ตอบ #80 เมื่อ: เมษายน 01, 2010, 05:55:22 PM »

อ่านจากที่ท่าน CT Pro4ช่วยอธิบายเรื่องกฏใหม่ของFIAเกี่ยวกับการเติมน้ำมันแล้ว นึกถึงความปลอดภัยของนักแข่งครับ  ความเร็วระดับนั้นและแบกถังน้ำมันไวไฟไปด้วยเกือบ 250 ลิตร  หากเกิดอุบัติเหตุจนเกิดไฟใหม้กับน้ำมันจำนวนมากขนาดนี้ จะรับมือกันทันหรือเปล่าหนอ
บันทึกการเข้า

your-ประชาธิปไตย
Sr. Member
****

คะแนน 925
ออฟไลน์

กระทู้: 509


« ตอบ #81 เมื่อ: เมษายน 01, 2010, 07:25:19 PM »

อ่านจากที่ท่าน CT Pro4ช่วยอธิบายเรื่องกฏใหม่ของFIAเกี่ยวกับการเติมน้ำมันแล้ว นึกถึงความปลอดภัยของนักแข่งครับ  ความเร็วระดับนั้นและแบกถังน้ำมันไวไฟไปด้วยเกือบ 250 ลิตร  หากเกิดอุบัติเหตุจนเกิดไฟใหม้กับน้ำมันจำนวนมากขนาดนี้ จะรับมือกันทันหรือเปล่าหนอ
ขออนุญาตออกความเห็นอ้างตามที่คุณ OO BUCK แสดงมาครับ...ถ้าเกิดอุบัติเหตุจนไฟไหม้จริงก็อาจเกิดอันตรายต่อนักแข่งหรือผู้ชมข้างสนามอย่างที่ว่า เพราะปริมาณน้ำมันมากโขอยู่ แต่ถังน้ำมันขของรถสูตร1เป็นถังที่ออกแบบมาเป็นพิเศษโอกาสเกิดเพลิงไหม้จึงน้อยมมาก ในยุดนี้จะเห็นว่าไม่ว่าจะชนกันรุรแรงเพียงใดก็ยังไม่เกิดเหตุเพลิงไหม้รุนแรงสักที ประกอบกับการแข่งขันระดับนนี้ใช้เซฟตี้ในสนามเยอะมากๆ ก็คงบรเทาผลร้ายลงไปได้อีกเยอะ แต่ถ้าไปดึงหัวเติมน้ำมันหรือสายเติมในพิทเลนจนขาดงานนี้ไม่ใช่แค่นนักแข่งคนเดียว อาจโดนย่างสดยกทีมหรืออาจแถมอีกหลายทีมที่อยู่ใกล้ๆกันเพิ่มเข้าไปอีกด้วย ผมจึงเห็นด้วยกับกฏห้ามเติมน้ำมันนี้เป็นอย่างมาก
บันทึกการเข้า

"ข้าพเจ้าต่อสู้เพื่อคุณธรรมที่อยู่ในใจของข้าพเจ้า ใครที่ขัดขวางคุณธรรมนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด เราจะถือว่าเป็นศัตรู"
ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ...
CT_Pro4
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 537
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4869



« ตอบ #82 เมื่อ: เมษายน 01, 2010, 08:46:10 PM »

ผมขอแย้งครับ..กติกานี้ทำให้รถสูตร1มีความมันส์เพิ่มขึ้นมาอีกแยะเลย แทนที่จะต้องไปเสียเวลาเพิ่มในพิทเพื่อกลับออกมาลุ้นอันดับ กลับมีเวลาได้วัดกันในสนามแบบยาวๆ สนามล่าสุดนี้จะเห็นว่ารถมีการแซงกันบ่อยมากๆ หนูแฮมหรือลุงชูก็มีเวลาไต่จากอันดับท้ายๆที่ไม่มีแต้มจนสามารถขึ้นมาอยู่ในลำดับที่มีคะแนนสะสมได้ ผมว่าผู้จัดเดินมาถูกทางแล้วครับ ปีที่แล้วคนนำก็นคนตามก็ตามแทบไม่มีการแซงดุแล้วง่วงมากๆ

...ด้วยความเคารพ ผมคงจะมองต่างมุมในเรื่องนี้บางเรื่องครับ สำหรับผม Pit Strategy เป็นการวัดความสามารถของบุคคลากรในทีมแข่งทั้งทีม เป็นการทำงานที่ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ละเอียดอ่อนมากๆ แต่ในทางกลับกันถ้าพูดกันถึงกฎในปี 2009 ผมไม่เห็นด้วยในเรื่องตำแหน่งของ Pit ตาม Constructor Championship Point ของฤดูกาลก่อนหน้า ตำแหน่ง Pit ควรจะถูกกำหนดจากผลการแข่งขันของ race ก่อนหน้ามากกว่า ... 

...สิ่งที่เกิดขึ้นกับวงการ F1 ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานั้น ผมว่าเป็นเรื่องที่ทาง FIA คงจะต้องมองให้ดีๆ เพราะการเข้าร่วมแข่งในแต่ฤดูกาลของแต่ละค่ายใช้เงินมหาศาล ขนาดค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่หลายๆ ค่ายยังต้องถอนตัวจาก F1 เพราะพิษเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลกระทบจาก Hamburger Crisis ผมไม่อยากเห็นวงการ F1 ต้องกลายเป็นเหมือนการแข่ง Indy Car ถ้าเป็นเช่นนั้นเสน่ห์ของ F1 ก็จะหายไป การลดต้นทุนในบางเรื่อง ทำให้การพัฒนาของ F1 ไม่เติบโตอย่างรวดเร็วเหมือนสมัยก่อน ทีมที่เข้าร่วมจริงๆ บางทีมก็เป็นเพียงไม้ประดับ ยิ่งไปกว่านั้นผมยิ่งไม่อยากเห็นการพัฒนา Chassis กับการพัฒนาเครื่องยนต์จะถูกกำหนดโดยค่ายใหญ่ๆ เท่านั้น...


....มองต่างมุม ผมชอบความคิดเห็นของพี่ๆทั้ง2ท่านครับ....เยี่ยม
ผมขอแย้งครับ..กติกานี้ทำให้รถสูตร1มีความมันส์เพิ่มขึ้นมาอีกแยะเลย แทนที่จะต้องไปเสียเวลาเพิ่มในพิทเพื่อกลับออกมาลุ้นอันดับ กลับมีเวลาได้วัดกันในสนามแบบยาวๆ สนามล่าสุดนี้จะเห็นว่ารถมีการแซงกันบ่อยมากๆ หนูแฮมหรือลุงชูก็มีเวลาไต่จากอันดับท้ายๆที่ไม่มีแต้มจนสามารถขึ้นมาอยู่ในลำดับที่มีคะแนนสะสมได้ ผมว่าผู้จัดเดินมาถูกทางแล้วครับ ปีที่แล้วคนนำก็นคนตามก็ตามแทบไม่มีการแซงดุแล้วง่วงมากๆ

...ด้วยความเคารพ ผมคงจะมองต่างมุมในเรื่องนี้บางเรื่องครับ สำหรับผม Pit Strategy เป็นการวัดความสามารถของบุคคลากรในทีมแข่งทั้งทีม เป็นการทำงานที่ใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ที่ละเอียดอ่อนมากๆ แต่ในทางกลับกันถ้าพูดกันถึงกฎในปี 2009 ผมไม่เห็นด้วยในเรื่องตำแหน่งของ Pit ตาม Constructor Championship Point ของฤดูกาลก่อนหน้า ตำแหน่ง Pit ควรจะถูกกำหนดจากผลการแข่งขันของ race ก่อนหน้ามากกว่า ... 

...สิ่งที่เกิดขึ้นกับวงการ F1 ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานั้น ผมว่าเป็นเรื่องที่ทาง FIA คงจะต้องมองให้ดีๆ เพราะการเข้าร่วมแข่งในแต่ฤดูกาลของแต่ละค่ายใช้เงินมหาศาล ขนาดค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่หลายๆ ค่ายยังต้องถอนตัวจาก F1 เพราะพิษเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผลกระทบจาก Hamburger Crisis ผมไม่อยากเห็นวงการ F1 ต้องกลายเป็นเหมือนการแข่ง Indy Car ถ้าเป็นเช่นนั้นเสน่ห์ของ F1 ก็จะหายไป การลดต้นทุนในบางเรื่อง ทำให้การพัฒนาของ F1 ไม่เติบโตอย่างรวดเร็วเหมือนสมัยก่อน ทีมที่เข้าร่วมจริงๆ บางทีมก็เป็นเพียงไม้ประดับ ยิ่งไปกว่านั้นผมยิ่งไม่อยากเห็นการพัฒนา Chassis กับการพัฒนาเครื่องยนต์จะถูกกำหนดโดยค่ายใหญ่ๆ เท่านั้น...


....มองต่างมุม ผมชอบความคิดเห็นของพี่ๆทั้ง2ท่านครับ....เยี่ยม
ผมก็ไม่ได้สนับสนุนเรื่องการจำกัดงบประมาณนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ FIA(สมาพันธ์มาเฟียควบคุมรถแข่งนาๆชาติ)พยายามจะกำหนดให้ใช้เครื่องยนต์จากผู้ผลิตรายเดียวแบบปีก่อนถือเป็นนโยบายที่ห่วยมากจนเกือบเป็นเรื่องเป็นราวมาแล้ว มอเตอร์สปอร์ตยังไงก็ต้องเป็นมอเตอร์สปอร์ตต้องมีการแข่งขันคิดค้น ค้นคว้า วิจัย เพื่อความได้เปรียบในการแข่งขัน สำหรับความรู้หรือเทคโนโลยีหลายๆอย่างสามารถนำมาต่อยอดหรือพัฒนามาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาวงการอุตสาหกรรมรถยนต์หรือเรื่องอื่นๆได้ เช่นระบบวีเทคที่เป็นของต้องห้ามของรถสูตร1 แต่กลลายเป็นของดีในรถบ้านไปเป็นต้น อย่างไรก็ตามในเมื่อมุ่งไปที่ความสนุกสนานของเกมส์การแข่งขันก็ต้องมีการจำกัดความได้เปรียบบางประการเพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำเกินไป ในประเด็นนี้ทำให้ทีมทุนน้อยมีโอกาสขึ้นมาบ้างยกตัวอย่างบอร์นจีพีในปีที่แล้ว ส่วนในเรื่องของการงดเติมน้ำมันในพิทปีนี้เหตุผลก็เพื่อความปลอดภัยเป็นหลัก ไม่ใช่เรื่องของความได้เปรียบเสียเปรียบอยย่างเดียว ถ้าใครติดตามดูอย่าต่อเนื่องจะเห็นได้ว่ามีหลายครั้งที่ยังเติมน้ำมันไม่เสร็จรถแข่งก็รีบออกตัวเพื่อไปลุ้นอันดับ ทำให้คนเติมน้ำมันถูกลากติดไปด้วย หรือหัวเติมหลุดติดไปกับรถเลยก็มี นักขับต้องแกไขโดยการสะบัดพวงมาลัยให้หัวเติมหลุดลงในพิทเลน ทำให้ทีมเซอร์วิทต้องวิ่งตามมาเก็บ อันตรายต่อรถแข่งที่ตามมาข้างหลังและทีมเซอร์วิสที่เสี่ยงต่อการถูกชน



...ขอบคุณครับ เป็นเรื่องที่น่าคิดมากๆ เลยครับ ผมเห็นด้วยในประเด็นเรื่องความปลอดภัยจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกแบบและพัฒนารถ F1 นอกเหนือจากเป็นการแข่งขันที่ถูกจัดว่าเป็นการกีฬาประเภทหนึ่งแล้ว F1 ยังมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากในการพัฒนาของอุตสาหกรรมรถยนต์ในปัจจุบัน ...

...เท่าที่ผมเคยสัมผัส หรือพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ทีมที่บริษัทผมมีส่วนร่วมอยู่ การจัดการใน Pit มีเทคโนโลยีที่มองไม่เห็นอีกหลายประการที่มีส่วนในการพัฒนาเทคโนโลยีของรถเช่นกัน เช่น การเติมน้ำมันที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ การประเมินอุณหภูมิน้ำมัน ความชื้นสัมพัทธ์  ปริมาณในการเติม รวมถึงน้ำหนักและ balance ของรถหลังจากการเติมน้ำมัน ฯลฯ ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้จะถูกวิเคราะห์อย่างละเอียดเพื่อใช้ในการพัฒนาระบบในหลายๆ เรื่องของตัวรถ เป็นต้น ที่พี่ your ให้ความเห็นเรื่องประเด็นของอุบัติเหตุใน pit ผมก็เห็นด้วยกับพี่ your เช่นกัน ทาง FIA ก็คงตั้งใจจะลดการเกิดอุบัติเหตุในส่วนนี้ให้มากที่สุดด้วย... 

...เมื่อสองสามวันก่อน เจ้านายเก่าของผมมาที่ประเทศไทย นายผมท่านนี้ท่านจะคุ้นเคยกับเจ้าหน้าทีมของบริษัทผมเป็นอย่างมาก เพราะท่านต้องรับผิดชอบกิจกรรมที่เราทำกับ race ในภูมิภาคนี้ถึงสองครั้งในแต่ละปี ผมได้มีโอกาสสนทนาเรื่องของกฎของ F1 ที่เปลี่ยนไปในปี 2010 และคุยกันเรื่องนี้เหมือนกันครับ ท่านก็ให้ความเห็นความเห็นว่าเสียดายที่จะไม่ได้เห็นการวางแผนในส่วนของ Pit Strategy เช่นกัน แต่ก็เป็นผมความเห็นของผมกับนายผมเท่านั้นครับ...  Grin Grin Grin

บันทึกการเข้า

Every problem contains the seeds of its own solution.- Stanley Arnold
U.S.J.
Jr. Member
**

คะแนน 4
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 47



« ตอบ #83 เมื่อ: เมษายน 02, 2010, 10:07:35 AM »

Grin จะไม่มีแบบนี้ให้ดูกันอีก






บันทึกการเข้า
U.S.J.
Jr. Member
**

คะแนน 4
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 47



« ตอบ #84 เมื่อ: เมษายน 02, 2010, 10:08:32 AM »


บัตตันผงาดแชมป์ออสซี่กรังด์ปรีซ์
การแข่งขันรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลกสนามที่ 2 ของฤดูกาล 2010 รายการ "ออสเตรเลี่ยน กรังด์ปรีซ์" ที่เมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ความยาวต่อรอบ 5.303 กิโลเมตร ดวลกัน 58 รอบ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เจนสัน บัตตัน นักขับแดนผู้ดีและแชมป์เก่าจากทีมแม็คลาเรน ซิ่งรถพุ่งทะยานเข้าเส้นชัยเป็นคันแรก ด้วยเวลา 1 ชั่วโมง 33 นาที 36.531 วินาที คว้าแชมป์รายการนี้ไปครองเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน, อันดับ 2 โรเบิร์ต คูบิก้า นักขับชาวโปลจากเรโนลต์ เวลาตามหลัง 12.034 วินาที, อันดับ 3 เฟลิเป้ มาสซ่า นักขับชาวบราซิเลี่ยนจากเฟอร์รารี่ ตามหลัง 14.488 วินาที

ด้าน "ชูมี" มิชาเอล ชูมัคเกอร์ อดีตแชมป์โลก 7 สมัยชาวเยอรมันจากเมอร์เซเดส จีพี เข้าเส้นชัยในอันดับ 10 ขณะที่ เซบาสเตียน เวทเทล ขาซิ่งดาวรุ่งเมืองเบียร์จากทีมเร้ดบูลล์ ที่ออกสตาร์ตในตำแหน่งโพลโพซิชั่น มีปัญหาที่เบรกต้องออกจากการแข่งขันในรอบ 26

สำหรับศึกรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลกฤดูกาล 2010 สนาม 3 รายการ "มาเลเซียน กรังด์ปรีซ์" จะชิงชัยกันในสัปดาห์หน้า ที่ เซปัง เซอร์กิต ในวันที่ 4 เม.ย.

สรุปผลการแข่งขันออสเตรเลี่ยน กรังด์ปรีซ์
1 เจนสัน บัตตัน (แม็คลาเรน) 1:33:36.531
2 โรเบิร์ต คูบิก้า (เรโนลต์) + 12.034
3 เฟลิเป้ มาสซ่า (เฟอร์รารี่) + 14.488
4 เฟร์นานโด อลองโซ่ (เฟอร์รารี่) + 16.304
5 นิโก้ รอสเบิร์ก (เมอร์เซเดส จีพี) + 16.683
6 ลูอิส แฮมิลตัน (แม็คลาเรน) + 29.898
7 วิตานโตนิโอ ลิอุซซี่ (ฟอร์ซอินเดีย) + 59.847
8 รูเบนส์ บาร์ริเคลโล่ (วิลเลี่ยมส์) + 1:00.536
9 มาร์ค เว็บเบอร์ (เร้ดบูลล์) + 1:07.319
10 มิชาเอล ชูมัคเกอร์ (เมอร์เซเดส จีพี) + 1:09.391
11 ไฮเม่ อัลกูอาร์ชัวรี่ (โตโร่รอสโซ่) + 1:11.301
12 เปโดร เดอ ลาโรซ่า (เซาเบอร์) + 1:14.084
13 ฮิคกิ โควาไลเน่น (โลตัส) + 2 lap(s)
14 การุน จันโธก (ฮิสปาเนีย) + 5 lap(s)
ไม่จบการแข่งขัน
15 ทิโม่ กล็อค (เวอร์จิ้น)
16 เซบาสเตียน เวทเทล (เร้ดบูลล์)
17 ลูคัส ดิ กราสซี่ (เวอร์จิ้น)
18 อาเดรียน ซูทีล (ฟอร์ซอินเดีย)
19 วิตาลี่ เปตรอฟ (เรโนลต์)
20 บรูโน่ เซนน่า (ฮิสปาเนีย)
21 เซบาสเตียน บูเอมี่ (โตโร่รอสโซ่)
22 นิโก้ ฮูลเคนเบิร์ก (วิลเลี่ยมส์)
23 คามุย โคบายาชิ (เซาเบอร์)
24 ยาร์โน่ ทรูลลี่ (โลตัส)

คะแนนประเภทนักขับ
1 เฟร์นานโด อลองโซ่ (สเปน, เฟอร์รารี่) 37 คะแนน
2 เฟลิเป้ มาสซ่า (บราซิล, เฟอร์รารี่) 33 คะแนน
3 เจนสัน บัตตัน (อังกฤษ, แม็คลาเรน) 31 คะแนน
4 ลูอิส แฮมิลตัน (อังกฤษ, แม็คลาเรน) 23 คะแนน
5 นิโก้ รอสเบิร์ก (เยอรมัน, เมอร์เซเดส จีพี) 20 คะแนน
6 โรเบิร์ต คูบิก้า (โปแลนด์, เรโนลต์) 18 คะแนน
7 เซบาสเตียน เวทเทล (เยอรมัน, เร้ดบูลล์) 12 คะแนน
8 มิชาเอล ชูมัคเกอร์ (เยอรมัน, เมอร์เซเดส จีพี) 9 คะแนน
9 วิตานโตนิโอ ลิอุซซี่ (อิตาลี, ฟอร์ซอินเดีย) 8 คะแนน
10 มาร์ค เว็บเบอร์ (ออสเตรเลีย, เร้ดบูลล์) 6 คะแนน
11 รูเบนส์ บาร์ริเคลโล่ (บราซิล, วิลเลี่ยมส์) 5 คะแนน

คะแนนประเภททีม
1 เฟอร์รารี่ 70 คะแนน
2 แม็คลาเรน-เมอร์เซเดส 54 คะแนน
3 เมอร์เซเดส จีพี 29 คะแนน
4 เรโนลด์ 18 คะแนน
5 เรด บูลล์-เรโนลต์ 18 คะแนน
6 ฟอร์ซอินเดีย-เมอร์เซเดส 8 คะแนน
7 วิลเลี่ยมส์ 5 คะแนน

cradit : http://formula1.sanook.com/news/news_content01847.php
บันทึกการเข้า
U.S.J.
Jr. Member
**

คะแนน 4
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 47



« ตอบ #85 เมื่อ: เมษายน 02, 2010, 10:09:24 AM »

สนามที่จะใช้จัดการแข่งขันในวันที่ 4 เมษายน ครับ
บันทึกการเข้า
CT_Pro4
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 537
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4869



« ตอบ #86 เมื่อ: เมษายน 02, 2010, 11:38:39 AM »

สนามที่จะใช้จัดการแข่งขันในวันที่ 4 เมษายน ครับ




...ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ  +1...  เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม


...นักแข่งทุกคนจะเดินทางมาสนามด้วย Heli แต่เมื่อไหร่ที่ขับไม่จบการแข่งขัน นักแข่งก็จะขึ้นเครื่องกลับที่พักทันที บริเวณหลัง paddock Club (สังเกตจากแผนผังหมายเลข 7) จะเป็นออฟฟิศของแต่ละทีม ถ้าลงไปเดินแถวนั้นจะมีโอกาสเจอนักแข่งหลายๆ ที่ออกจากการแข่งขันหรือ Team Boss ของแต่ละทีม จะมีผู้ติดตามและคนดังๆ หลายๆ คนที่เดินอยู่แถวนั้น ผู้ที่ติดตามนักแข่ง F1 จะเป็นคนที่คลั่งไคล้นักแข่งเหล่านี้จริงๆ เป็นประสบการณ์อีกแบบนึงเลยครับ... Grin Grin Grin
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 02, 2010, 11:46:43 AM โดย CT_Pro4 » บันทึกการเข้า

Every problem contains the seeds of its own solution.- Stanley Arnold
Daimyo
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 924
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9042



« ตอบ #87 เมื่อ: เมษายน 02, 2010, 12:30:43 PM »

สนามที่จะใช้จัดการแข่งขันในวันที่ 4 เมษายน ครับ




...ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ  +1...  เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม


...นักแข่งทุกคนจะเดินทางมาสนามด้วย Heli แต่เมื่อไหร่ที่ขับไม่จบการแข่งขัน นักแข่งก็จะขึ้นเครื่องกลับที่พักทันที บริเวณหลัง paddock Club (สังเกตจากแผนผังหมายเลข 7) จะเป็นออฟฟิศของแต่ละทีม ถ้าลงไปเดินแถวนั้นจะมีโอกาสเจอนักแข่งหลายๆ ที่ออกจากการแข่งขันหรือ Team Boss ของแต่ละทีม จะมีผู้ติดตามและคนดังๆ หลายๆ คนที่เดินอยู่แถวนั้น ผู้ที่ติดตามนักแข่ง F1 จะเป็นคนที่คลั่งไคล้นักแข่งเหล่านี้จริงๆ เป็นประสบการณ์อีกแบบนึงเลยครับ... Grin Grin Grin

อิจฉาคนที่ไปpit walk ได้จัง......อิๆ
บันทึกการเข้า

ดังสายลมที่พัดผ่านลานป่า..พาใบไม้พลัดถิ่น..ดั่งสายน้ำที่ไหลรินพัดพา..นำดวงใจฉันมาใกล้เธอ..
"ความหวังดีที่เธอให้สังคม ฉันชื่นชมเธอเสมอ"
CT_Pro4
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 537
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4869



« ตอบ #88 เมื่อ: เมษายน 02, 2010, 12:54:32 PM »


อิจฉาคนที่ไปpit walk ได้จัง......อิๆ



...อย่าอิจฉาเลยครับพี่ แค่นายพ่วงไปด้วยให้ช่วยดูแลแขกเท่านั้นเองครับ แต่ถ้าเป็นสนามที่สิงคโปร์ ออฟฟิศบริษัทผมสามารถมองเห็น track ได้เลย และเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทุกปีที่นักแข่งรวมถึงนักแข่งทดสอบจะขึ้นมาพูดคุยกับพนักงานครับ แต่ก็เสียดายที่ผมย้ายกลับมาแล้วเลยไม่มีโอกาสขอลายเซ็นต์...  Grin Grin Grin
บันทึกการเข้า

Every problem contains the seeds of its own solution.- Stanley Arnold
CT_Pro4
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 537
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4869



« ตอบ #89 เมื่อ: เมษายน 02, 2010, 01:01:42 PM »

...ผล Practice 1 ที่ Sepang ครับ...

1. ลูอิส แฮมิลตัน    1:34.921
2. นิโก้ รอสเบิร์ก    1:35.106
3. เจนสัน บัตตัน    1:35.207
4. มิชาเอล ชูมัคเกอร์    1:35.225

บันทึกการเข้า

Every problem contains the seeds of its own solution.- Stanley Arnold
หน้า: 1 ... 3 4 5 [6] 7 8 9 ... 11
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.099 วินาที กับ 22 คำสั่ง