เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 28, 2024, 01:43:53 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: อวป. มีจำหน่ายที่ สนามยิงปืนราชนาวี/สนามยิงปืนบางบัวทอง/สนามยิงปืนศรภ./
/สนามยิงปืนทอ./
สิงห์ทองไฟร์อาร์ม
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 777 778 779 [780] 781 782 783 ... 811
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ไลฟ์ สไตล์ ของ " สมิง วังม่วง " และพี่น้องคอปืน จังหวัด น่าน  (อ่าน 890272 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11685 เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2015, 09:07:38 AM »

ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 6
รายการเพลง ?ไลท์มิวสิค? จากสถานีวิทยุของเวียดนามใต้ที่ออกอากาศจากค่ายทหารอเมริกันเพิ่งจบไปได้สักสองสามนาที ผมขี้เกียจฟังภาษาเวียดนามก็เลยเอื้อมมือไปปิดวอลลุ่มพร้อมกับเหลือบสายตาชำเลืองมองดูเวลาที่ข้อมือของสไปร๊ท มันร่วมเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว
ยิ่งตกดึกอากาศก็ยิ่งทวีความหนาวมากขึ้นเป็นทวีคูณ ผมดึงคอเสื้อแจ็คเก็ตฟิลด์รูดซิบขึ้นไปจนสุด เอนหลังลงพิงกับกระสอบทราย ทอดสายตามองผ่านช่องกระสอบไปยังบริเวณสนามบินที่ปราศจากแสงไฟ
อดที่จะนึกถึงบรรดาเพื่อนฝูงที่พลัดพรากจากกันในคราวปฏิบัติการรบท่วมเลือด เป็นประวัติการณ์ ณ สมรภูมิทุ่งไหหินมิได้
ใบหน้าของ พ.ต.คำหล้า สิงห์คำ ผบ.พันทหารรับจ้างผุดขึ้นมาในห้วงนึก มันเป็นเวลาเกือบสามเดือนที่มิตรสนิทของผมผู้นี้ สูญหายไปอย่างไม่มีร่องรอย ผมยกมือซ้ายขึ้นลูบเข็มขัดสนามที่ พ.ต.คำหล้า มอบใว้ให้ก่อนฐาน ?ภูเทิง? ถึงกาลพินาศ อดใจหายไม่ได้ ถึงแม้จะมีช่วงเวลาอันน้อยนิด ที่ผมมีโอกาสสังสรรค์กับผู้พันชาวแม้วคนนี้ แต่ทว่าเหตุการณ์ที่ผมกับเขาได้ตะลุยเลือดกันมา มันฝังแน่นอยู่ในหัวใจของผม มาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
ขอให้ไปดีเถิดเพื่อนรัก สิ่งเดียวที่ผมกระทำเพื่อเพื่อนก็คือ สละเงินเดือนหนึ่งเดือนมอบให้แก่ภรรยาสุดที่รักของเพื่อนไปเรียบร้อยแล้ว
ภาพซ้อนของ ร.ท. คำวงษ์ ศรีวรรณาปรากฏพร่าขึ้นมาในมโนภาพของผมอีกครั้ง ผมยังจำภาพอันโชกเลือดที่หมวดคำวงษ์หมดสติอยู่บนเปลสนาม ณ บริเวณสนามบินถ้ำตำลึง (ไซร้ทเจ็ดสิบสอง) ได้เป็นอย่างดี คำวงษ์ได้รับการช่วยเหลือจากทหารปืนใหญ่ ที่แตกมาจากทุ่งไหหินอย่างจวนเจียนเต็มที พอจส่งคำวงษ์ขึ้นชอปเปอร์ เครื่องยังไม่ทันพ้นสนามบิน กลุ่มทหารเวียดนามเหนือก็พรั่งพรูออกจากป่าทึบเข้าโจมตี ?ไซร้ทเจ็ดสิบสอง? ทันที
คำวงษ์ต้องกระเซอะกระเซิงหนีจากฐานภูเทิงมาพร้อมๆกับผมด้วยขาที่เน่าเฟะทั้งสองข้าง เขากระเสือกกระสนหลบหนี ท่ามกลางการตามล่าของทหารเวียดนามเหนือที่กระหายเลือดด้วยน้ำใจผิดมนุษย์ คำวงศ์สามารถหนีมาได้
คำวงษ์ต้องเสียขาทั้งสองข้างเพื่อสกัดพิษร้ายที่กำลังลุกลามไปทั่วร่างกาย อนิจจา ต่อจากนั้นไม่นาน คำวงษ์ฆ่าตัวตายด้วยปืนพกคู่มือ พร้อมกับทิ้งบันทึกเอาไว้ก่อนตายด้วยคำพูดที่กินใจว่า
?เพื่อนที่รักของคำวงษ์ทุกคน คำวงษ์ขอลาไปก่อน การตายครั้งนี้ใช่ว่าผมจะหาทางหลบหนีสงครามเมืองลาวไปแต่ลำพังก็หาไม่ ผมจะอยู่ไปทำไม ในเมื่อผมไม่มีขาทั้งสองข้างที่จะใช้เดินเข้าสังหารข้าศึก ผมจะอยู่ไปทำไมในเมื่อไม่มีประโยชน์สำหรับแผ่นดินลาว ผมจะอยู่ไปทำไมให้เสียชายชาตินักรบ ผมขอลาก่อน ทุกๆคน?
ชีวิตการต่อสู้ของ รท.คำวงษ์ ศรีวรรณา ได้ปิดฉากลงแล้วอย่างน่าสงสารที่สุด เพื่อนเอ๋ย เพื่อนพบกับความสุขในบั้นปลายของชีวิตแล้ว โปรดรอกันด้วย ไม่ช้าไม่นาน เราอาจจะได้พบกัน
ผมมาสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงแว้ดยาวก้องกังวานแหวกอากาศ จากเนินเขาบริเวณหลังที่ประทับของเจ้ามหาชีวิต มุ่งหน้าไปยังบริเวณสนามบิน มองเห็นประกายไฟที่พ่นออกมาเป็นทางยาวคล้ายๆกับผีพุ่งไต้
?บึ้ม? เสียงระเบิดดังกึกก้อง เรือนโรงที่ใช้เก็บเครื่องบินลาดตระเวณ ไฟลุกขึ้นทันที
?เฮ้ย พวกมันถล่มเครื่องบินของอั๊วด้วย RPG แล้วโว้ย?
สไปร๊ทตะโกนขึ้นมา พร้อมกับผุดลุกชะเง้อศรีษะออกไปนอกกระสอบทรายด้วยท่าทางที่เป็นห่วง ?ไอ้ปากหมา? เครื่องบินคู่ทึกข์คู่ยากของเขาด้วยหัวใจจริง
เนื่องจากเรือนโรงถูกไฟไหม้ ส่งแสงสว่างไปทั่วอาณาบริเวณ จึงทำให้ข้าศึกตรวจการณ์เห็นที่หมายอย่างชัดเจน
แว้ดที่สองก็คำรามติดตามมาในระยะใกล้กันอีก
คราวนี้ RPG กระทบผนังด้านนอกที่เป็นแผ่นสังกะสี ทะลุล่วงเข้าไปกระทบกับ ?ไอ้ปากหมา? ที่จอดซ่อนอยู่ข้างใน เสียงระเบิดและไฟที่ลุกโชนอยู่ทั่วบริเวณโรงเก็บ ?ไอ้ปากหมา? นอนตะแคงไฟลุกท่วมตัวอยู่ท่ามกลางโรงเก็บที่สลักหักพังนั่นเอง
?เสร็จกัน เพื่อนกู?
สไปร๊ทอุทานออกมา พร้อมกับหดศรีษะเข้ามานั่งนิ่งไม่ยอมพูดจาอะไรออกมาอีกเลย
ต่อจากนั้น เสียงปืนกล M.60 ปืน M.16 ปืน M.79 ก็รัวเป็นประทัดแตก มุ่งทิศทางการยิงไปยังจุดที่หน่วย ?แซปเปอร์? (กล้าตาย) ของข้าศึกลอบเข้ามาตั้งฐานยิง R.P.G. เข้าใส่สนามบิน
เหมือนกับไปยั่วยุให้พวกมันเกิดอารมณ์บ้าดีเดือดขึ้นไปอีก คราวนี้พวกมันเปลี่ยนทิศทาง ยิงถล่มเข้าไปในบริเวณตลาดล่องแจ้งและบ้านนายพลวังเปาเป็นว่าเล่นทีเดียว
เสียงปืนกลที่ใช้กระสุนส่องวิถีและR.P.G. วิ่งสวนทางกัน มองเห็นประกายไฟตัดกันอย่างสวยงาม ทหารรับจ้างบางคนที่ขวัญเสีย พอเห็นเพื่อนๆยิงปืนก็เอาบ้าง กราดM.16 ไปรอบทิศด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกต่อเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
แฟลร์จากปืน ค.81 ถูกยิงขึ้นไปสว่างโร่เหนือที่หมาย พอตรวจการ์พบข้าศึกกำลังวิ่งหนีก็เลยซัลโวกันขนานใหญ่ จนกระทั่งข้าศึกเงียบเสียงไปแล้ว ก็ยังไม่ยอมหยุดยิง บก.ล่องแจ้งต้องสั่งหยุดยิงไปทางวิทยุ เสียงปืนที่เซ้งแช่อยู่รอบทิศ จึงสงบเงียบลงเหมือนปลิดทิ้ง
ต่อจากนั้นเหตุการณ์กลับคืนสู่สภาพปกติ จนกระทั่งเช้า พวกเราจึงออกเคลียร์พื้นที่ ก็พบหลักฐานที่บ่งใว้ว่า ณ บริเวณแห่งนั้น คือพื้นที่-ที่ข้าศึกใช้เป็นที่ ?ตรวจการณ์หน้า? คอยปรับทางปืนให้ปืนใหญ่ของมันทำลายสนามบินนั่นเอง ชะรอยมันจะเห็น ?ไอ้ปากหมา? ยังอยู่ในสภาพเรียบร้อยก็เลยช่วยกันจัดการเสียเลยเป็นการตัดการสอดแนมทางอากาศไปโดยปริยาย
ผมโดนเรียกตัวเข้าไปพบกับ ?นอร์แมน? ที่เพิ่งเดินทางมาจากอุดรโดยเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์แบบพิเศษที่มีรูปร่างกระทัดรัดกว่าแบบ ?เบลล์? ถึงเท่าตัว
ผมแทบไม่เชื่อประสาทหูตัวเอง ว่าจะฟังภาษาอังกฤษจาก ?นอร์แมน? ผิดความหมายไปหรือเปล่า?
นอร์แมนสั่งให้ผมขึ้นไปประจำกองพัน 616 เพื่อทำงานร่วมกับ ?เม้าแทร็ป? ซึ่งเป็น ?แฟ็ก? ประจำของกองพันทหารรับจ้างดังกล่าว
คำสั่งย่อมเป็นคำสั่ง ผมพร้อมที่จะออกเดินทางภายในชั่วโมงนั้นเอง
ด้วยประสพการณ์ที่ผ่านมา ผมสต็อค ?เรชั่น? ของ อสร. ชนิดเป็นซองเอาไปหลายสิบซองทีเดียว ต่อจากนั้นก็ขอยืมกระติกน้ำเพื่อนๆ เพิ่มขึ้นอีกเป็น 2 ใบ และสิ่งสุดท้ายที่จะขาดเสียมิได้ก็คือ หลวงพ่อทวดของเก่าแก่ที่ผมได้รับจากมือของคุณลุง เมื่อตอนกลับไปพักผ่อนที่ชุมพร อาราธนาเสร็จสรรพยกขึ้นบรรจงสวมใส่ศีรษะ ขนลุกซู่ไปทั่วสรรพางค์กาย เป็นอะไรก็เป็นกันซิวะ ผมคิดอยู่ในใจ
ผมมาถึง ?ชาร์ลี-ชาร์ลี? อันเป็นเนินที่สูงที่สุดของภูหมอกเมื่อเวลา 12.30 น. ผมได้มีโอกาสพบกับ ?กองสิงห์? ซึ่งเป็น ผบ.พันอารมณ์ดีอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่เคยร่วมงานกันมาแล้วที่ บก.ล่องแจ้ง
?คุณบิ๊กแมนครับ ผมคิดว่าขบวนรถถังของมันจะต้องหลบซ่อนอยู่ภายในถ้ำ หรือมิฉะนั้น ป่านนี้ คงจะเคลื่อนที่มาตามเส้นทาง เพื่อเข้ามายังฐานปฏิบัติการของพวกเราแล้ว หรือคุณมีความคิดเห็นอย่างไร?
?กองสิงห์? หันมาถามผมในขณะที่นั่งตรวจตราบริเวณซำทองด้วยกล้องสนามขนาดเล็ก แบบสองตา
?จากข่าวที่ฝ่ายเราสามารถดักฟังได้มา ทหารราบส่วนใหญ่ถูกอำนาจ B.52 ทำลายลงเกือบ 40 % ที่เหลือรอดตายเพราะเคลื่อนย้ายกำลังเข้ามาที่ ?บ้านน้ำชา? และรถถังของฝ่ายมันหลังจากสอบถามเชลยศึกที่หนีรอดมาได้ ปรากฏว่าเหลือเพียง 3 คันเท่านั้น
?ถ้าพวกมันมาอยู่บริเวณ ?บ้านน้ำชา? B.52 ก็ไม่สามารถจะทำงานได้ใช่ไหมครับ??
กองสิงห์ย้อนถามผมมาอีก
?แน่นอนครับ ขนาด B.52 ทิ้งที่ซำทอง บนชาร์ลี-ชาร์ลี? ยังสะเทือนไปหมด ขืนทิ้งที่ ?บ้านน้ำชา? ทหารรของพวกเราเห็นทีแก้วหูจะแตกกันไปหมดแน่ๆเลยครับ?
?คุณบิ๊กแมนมาอยู่กับพวกผมก็ดีแล้วครับ ผมจะได้ให้เม้าแทร็ปไปอยู่กับกองร้อยที่สอง ซึ่งตั้งอยู่โดดเดี่ยวที่ ?แพ็ค? โฮเต็ล-โฮเต็ล
กองสิงห์เสนอแนะขึ้นมาอีก
?นอร์แมนจะส่งแฟ็กตนใหม่ขึ้นไปที่ ?แพ็คโฮเต็ล-โฮเต็ล? ในวันพรุ่งนี้ครับ สั่งมาให้บอกผู้พันว่า เฉพาะพื้นที่ ?ชาร์ลี-ชาร์ลี? ต้องมีแฟ็สองคน?
?นี่แสดงว่า พวกฝรั่งมันต้องรู้แหง๋ๆ เลยว่าพวกไอ้แกวมันจะเข้าโจมตีเราในเร็วๆนี้ อย่างแน่นอนใช่ไหมครับ?
?แต่ผมคิดว่าคงอีกนนานครับ พวกมันจะต้องเสริมกำลังเพิ่มเติมจากส่วนหลังอีก ผมคิดว่าทาง ?สกายไลน์? โน่นแหละครับ เห็นจะโดนจวกก่อนเรา?
ผมคาดคะเน ตอบไปตามความคิดของผมเอง
ผมขึ้นมาอยู่กับกองพัน 616 ได้ครบหนึ่งอาทิตย์พอดี ปรากฏว่า จะเป็นเพราะดวงของผมดีเหลือจะเดา ฐานปฏิบัติการของ 616 ไม่เคยโดน ?ลูกยาว? ของข้าศึกแม้แต่น้อย ทหารรับจ้างส่วนมากเป็นชาวเพชรบุรี และ ผบ.พันเองก็เป็นคนเพชรบุรี ฉะนั้นการปกครองสำหรับทหารรับจ้างกองพันนี้ จึงมีระเบียบวินัยดีกว่ากองพันอื่นๆเท่าที่ผมเคยเห็นมา คงจะเนื่องจากว่า บรรดาทหารรับจ้างเหล่านี้ ถูกเลือกเฟ้นเอาแต่เฉพาะลูกน้องเก่าๆ ในอดีตที่สมัยผู้พันเคยรับราชากรอยู่ ณ เมืองเพชรนั่นเอง
?อยู่ด้วยกันมานาน ย่อมรู้ใจกัน?
อันนี้แหละครับ ที่ทำให้ ?กองสิงห์? สามารถปกครองลูกน้องได้อย่างเด็ดขาดที่สุด
สนามบินล่องแจ้ง เปิดการจราจรทางอากาศได้แล้ว รันเวย์ถูกซ่อมอย่างรวดเร็ว คลังอุปกรณ์และกระสุนถูกย้ายไปเก็บไว้ที่สนามบินนาซู ซึ่งอยู่ห่างออกไปในระยะ 15 นาทีบิน
กองบัญชาการล่องแจ้ง แบ่งออกเป้นสองส่วน ส่วนหลังถอยไปตั้งมั่นอยู่ที่ นาซู เช่นกัน ปล่อยให้คนบวมๆ ที่มีความบ้า คอยเดินหลบ ?ลูกยาว? ที่ไม่รู้ว่าวันไดวันหนึ่ง พวกมันจะส่ง ?ของขวัญ? มาให้เราอีก
สนามบินล่องแจ้งที่เงียบเหงาก็เริ่มคึกคักเหมือนอย่างเดิม แต่เมื่อเวลาผมนั่งรถจิ๊ปผ่านสนามบินคราวไรก็อดเสียวขนหัวไม่ได้ ยิ่งมองเห็นซากสลักหักพังของโรงเรือน และบ้านช่องของประชาชนชาวแม้วแล้วอดที่จะหดหู่ใจไม่ได้ นี่แหละครับ ผลของสงคราม มีแต่คำว่า ทำลาย ทำลาย โดยมิหยุดหย่อน สร้างเสร็จก็ทำลาย กลายเป็นวงจรที่หมุนเวียนกันอยู่ชั่วนาตาปี
เมื่อสถานะการณ์ดีขึ้น ผมก็เลยมีโอกาสลงมากิน ?เฝ๋อ? ที่ตลาดล่องแจ้งอยู่เป็นประจำ
ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งสงสัยคำว่า ?เฝ๋อ? นะครับ มันก็ไอ้ก๋วยเตี๋ยวเราดีๆนี่เอง ที่แปลกออกไปหน่อยก็อีตรงที่ใช้เส้นแกงร้อนแทนเส้นก๋วยเตี๋ยวเท่านั้นเอง
เวลาจะกิน ?เฝ๋อ? ต้องคอยสังเกตุให้ดี ผมเคยเจอเนื้อหมาตั้งหลายครั้ง สะอิดสะเอียนจนบอกไม่ถูก อย่างว่านั่นแหละครับ คนอื่นๆเขายังนั่งกินกันหน้าตาเฉย ผมเลยหลับหูหลับตากระเดือกมันเข้าไปอย่างแกนๆ
ทหารรับจ้างเอาเงินไทยมาทิ้งตลาดล่องแจ้งวันหนึ่งๆไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นบาท อาหารการกินก็ถูก ?คุณแม้ว? ขูดเลือดอย่างสะเด็ดยาดไปเลย
เป๊บซี่ขวดเล็กขายตั้งแปดบาทถ้วนๆ แม่โขงจากบางยี่ขัน แบนเล็กที่ตลาดล่องแจ้งแบนละ 25 บาทขาดตัว แต่ขอโทษทีครับ พอขึ้นถึงบนแยวเพิ่มเป็น 30-40 บาทเลยก็มี คนขายไม่เคยง้อเสียด้วย ผู้ซื้อจะต้องอ้อนวอนจนแทบจะเตะกันตายด้วยความโมโห ถึงจะได้มากินกันพอเป็นกระสายยา
เรื่งอเหล้าแม่โขง เคยทำให้ทหารรับจ้างขึ้นศาลทหารไปตั้งหลายคน พอเหล้าเข้าปากก็เห็นช้างตัวเท่าหมูไปเสียแล้ว ยิงปืนเปรี้ยงปร้างขว้างระเบิดมือเล่นอย่างสนุกมือ ผู้บังคับบัญชาขอร้องกลับตะโกนด่าพ่อล่อแม่เสียอีก
พอตกตอนเช้า ถูกควบคุมไปล่องแจ้งขึ้นศาลทหารฐานขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาต่อหน้าอริราชศัตรู โดนเข้าไปเบาะๆ 1 ปี 6 เดือน เจ็บแสบไหมล่ะครับ กฏหมายสงครามเมืองลาว และวันที่ผมอยู่บนกองพัน 616 ก็ปรากฏเหตุการณ์แบบนี้ครั้งหนึ่ง ด้วยความเฉียบขาดของกองสิงห์ ทหารรับจ้างผู้นั้นก็ต้องติดตะรางตามคำสั่งศาบทหาร โดยมิได้รับความปราณีแต่อย่างใด
พวกข้าศึกมันสงบเงียบจนพวกเราตายใจ ข่าวคราวและการเคลื่อนไหวของพวกมันเงียบเหมือนจะยุติการโจมตีอะไรทำนองนั้น แม้แต่ข่าวกรองที่ดักฟังทางวิทยุของพวกมันก็ๆไม่มีข่าวที่พอจะทำให้เราพิจารณาอ่านแผนยุทธวิธีของพวกมันออกว่า พวกมันกำลังจะทำอะไร
?ลูกยาว? ที่เคยรบกวนสนามบินล่องแจ้งก็หายหน้าหายตาไปจนผิดสังเกตุ
ความเงียบเชียบเหล่านี้ ผมอดสังหรณ์ใจไม่ได้ มันช่างเหมือนกับครั้งที่ผมโดนโจมตีจนฐานละลายที่ภูเทิงเหลือเกิน คราวใดที่พวกมันไม่มีการเคลื่อนไหว คราวนั้นมักจะมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นทุกที ผมคาดการณืเอาไว้ว่า ไม่ช้าก็เร้ว พวกมันจะต้อง ทำอะไรซะกอย่างที่สร้างความเสียหายให้กับพวกเราอย่างแน่นอน
บทเรียนที่ผมเคยได้รับมา ข้าศึกจะอาศัยภูมิประเทศที่เป็นป่าทึบ หรืออาศัยความมืด เข้ามาเกาะฐานบังคับการของฝ่ายเราอย่างชนิดถึงบริเวณรั้วลวดหนามเลยทีเดียว
ตามปกติ ทหารจะออกลาดตระเวณเป็นวงกลมห่างจากฐานไม่เกิน 1 หรือ 2 ก.ม. แล้วก็กลับเข้าฐาน เท่าที่ผมสังเกตุหน่วยทหารรับจ้างบางหน่วย ออกลาดตระเวณดันพกถ้วยไฮโลและไพ่ป๊อกออกไปด้วยเสียนี่ พอลับตาผู้บังคับบัญชาก็นั่งโจ้ไพ่ไฮโลกันสบายใจเฉิบไปเลย
ข้าศึกมันเห็นเราอยู่ตลอดเวลา ที่มันยังไม่ทำอะไรเราก็เพราะมันกำลังดำเนินกลยุทธตามแบบฉบับของมันเท่านั้น ขอให้ถึงโอกาสและจังหวะของพวกมันเถิด มันจะเข้าขยี้พวกเราอย่างชนิดไม่เกรงกลัวกับความตายเลยทีเดียว
กองพัน 616 มี ผบ.พันที่ไม่เคยประมาท อีกทั้ง รอง ผบ.พันก็เป็นนักรบที่ผ่านมาแล้วทั้งเกาหลีและเวียดนาม ยี่ห้อ ?กองดี? จึงเป็นหลักประกันที่ทหารรับจ้างแทบทุกคนไว้วางใจแทบทุกกรณี
วันดีเดย์ของข้าศึกอาจะใกล้เข้ามาแล้ว กองพันทหารรับจ้างกองพันไหนจะเป็นกองพันที่ถูกชิมลางก่อน ก็จะได้รู้กันในเร็วๆนี้

"อย่ามาตัดสินใครโดยไม่ได้ ถามเขาสักคำ  หรือแค่ฟังคนอื่นเขามา"
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11686 เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2015, 01:11:11 PM »

อัดเดต  ปืน สวััสดิการตำรวจ ซิก320   20/7/58

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.)พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ได้มีหนังสือเลขที่ ตช0001(ผบ.)/956 ถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ขออนุญาตสั่ง และนำเข้าอาวุธปืนตามโครงการจัดหาอาวุธปืนพกสั้นเพื่อเป็นสวัสดิการแก่ข้าราชการตำรวจ ด้วยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดทำโครงการจัดหาอาวุธปืนพกสั้น เพื่อเป็นสวัสกิการแก่ขัาราชการตำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้าราชการตำรวจ มีกรรมสิทธิ์อาวุธปืนพกสั้นขนาด 9 มม. ยี่ห้อซิกซาวเออร์ รุ่น พี 320 จากประเทศอเมริกา ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่มีความทันสมัย และสามารถมาใช้ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ราชการในความรับผิดชอบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อเสริมหรือทดแทนอาวุธปืนพกสั้นของทางราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีจำนวนไม่เพียงพอแก่การใช้งาน และเป็นอาวุธปืนที่ไมีทันสมัย เพราะมีข้อจำกัดในเรื่องงบประมาณการจัดหา ซึ่งจากการสำรวจความต้องการ มีข้าราชการตำรวจประสงค์ขอซื้อจำนวน 152,469 ราย

ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการบรรลุตามวัตุประสงค์ของโครงการดังกล่าว ซึ่งจะเป็นประโยชน์และเสริมประสิทธิภาพในการป้องกันอาชญากรรมและรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมและประเทศโดยส่วนรวม สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขออนุเคราะห์ดังนี้ ขออนุญาตสั่งหรือนำเข้าโดยตรงจากษริษัทผู้ผลิต ประเทศอเมริกา โดยไม่ต้องให้ผู้รับอนุญาตทำการค้าอาวุธปืนเป็นผู้สั่งหรือนำเข้าแทน ซึ่งอวุธปืนพกสั้นขนาดและจำนวนดังกล่าว “หนังสือดังกล่าวระบุ”
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11687 เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2015, 10:14:38 PM »

พลิกโฉมปืนพกค่ายโซเวียต PL-14 “Lebedev” โครงโพลิเมอร์ 9 มม.สุดทันสมัยจากซุ้ม “อาก้า”

http://manager.co.th/IndoChina/ViewNews.aspx?NewsID=9580000071013


รุ่นนี้แหละเคยใช้  โตกาเรฟ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 20, 2015, 10:18:15 PM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11688 เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2015, 08:17:42 PM »

ตำนาน ทหารผี (สุดยอดทหารของเมืองไทย) ถ้าได้อ่านเเล้วคุณจะอึ้ง
ใน สงครามเวียตนาม ผบ.ทหารเวียตนามเหนือได้ส่งใบปลิวนี้เพื่อเป็นคำเตือนต่อทหารเวียตนามเหนือ เองและฝ่ายพันธมิตรคือเวียตกงและเวียตมิน “ถ้าหากปะทะกับกองกำลังไม่ปรากฏฝ่ายให้พวกทหารพึงระลึกไว้ว่า 1.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วหยุดยิงเป็นระยะๆ และมีปืนใหญ่ยิงสนับสนุนมานั่นคือทหารอเมริกัน 2.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วหมอบหรือคลานต่ำนั่นคือทหารเวียตนามใต้ 3.ถ้าปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวนั่นคือทหารลาว 4.ถ้า ปะทะกับศัตรูที่ยิงต่อสู้กับเราแล้วไม่มีปืนใหญ่หรือนกยักษ์(เครื่อง บิน)มาสนับสนุน ไม่รู้จักหยุดยิง ไม่รู้จักหมอบ ไม่รู้จักคลาน ไม่รู้จักถอย เอาแต่วิ่งเข้าใส่ บางรายยิงไม่ตาย บางรายยิงไม่เข้า จงระวังไว้นั่นคือ……..ทหารไทย ณ ฐานที่มั่นทหารเสือพรานของไทยแห่งหนึ่งที่เวียตนามใต้(จำชื่อฐานไม่ได้) ทหารเวียตนามเหนือพยายามตีฐานนี้หลายสิบครั้งแต่ก็ไม่แตก จึงส่งกองพันกล้าตายที่ 21 ให้มาตีซึ่งเป็นกองพันเดียวของทหารเวียตนามเหนือที่ไม่เคยพ่ายแพ้ต่อกอง กำลังใดๆทั้ง อเมริกันและเวีตนามใต้ และกองพันนี้ขึ้นชื่อที่สุดด้านความโหดร้ายและการทารุณเชลยโดยวิธีลูเรต (ใส่กระสุนหนึ่งนัดในลูกโม่แล้วผลัดกันยิง) จนเป็นที่กล่าวขานกันทั่ว เช้าวันหนึ่งอากาศแจ่มใส ทหารเวียตานามเหนือกองพันกล้าตายที่ 21 จำนวน 600 นาย ได้เข้าตีฐานที่มั่นทหารไทยโดยทหารไทยมิได้ตั้งตัว ทหารไทยมีกำลังเพียง 150 นาย เห็นได้ชัดว่าถูกรุมแบบ 5 ต่อ 1 ปะทะกันนานกว่า 1 ชั่วโมงทหารเวียตนามเหนือแตกพ่ายไป ผลจากการสู้รบฝ่ายข้าศึกตาย 453 ศพและบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถหนีได้ 16 นาย ฝ่ายเราตายเพียง 1 ศพและบาดเจ็บเล็กน้อย 5 นาย การปะทะครั้งนี้เป็นที่กล่าวขวัญไปทั่ว จน ผบ.ทหารเวียตนามใต้และทหารอเมริกันประกาศทางวิทยุสดุดีวีรกรรมของทหารไทย
ครั้งนี้ 1 อาทิตย์ต่อมาผู้บังคับกองพันกล้าตายที่ 21 ของเวียตนามยิงตัวตายในบังเกอร์เพื่อหนีความอับอาย ส่วนทางด้าน นายทหารเสือพรานไทยได้รับเหรียญกล้าหาญ 35 คน เราคนรุ่นหลังขอน้อมคารวะทหารกล้าไทยที่ปกปัก รักษาแผ่นดินไทยให้เราอยู่ทุกวันนี้เรื่องราวเหล่าแด่ท่านผู้ชนะเหล่าชนเสือ พรานไทยนักรบชุดดำ ทหารไทย ในยุคสงคราอินโดจีน ได้แสดงให้ทหารฝรั่งเห็นปาฏิหาริย์ ในหลายสมรภูมิ ตัวอย่างหนึ่ง ผมขอคัดบทความจาก … อ.วารุณี พิทักษ์สินากร หนังสือพิมพ์ เสรีชัย L.A. USA มาเล่าสู่กันฟัง นะครับ อยู่ยง..คงกระพัน โดย อ.วารุณี พิทักษ์สินากร เวทมนตร์..คาถา การปลุกเสก อยู่ยงคงกระพัน เครื่องลางของขลัง มีมานานพร้อมๆกับความเชื่อเก่าๆของผู้เฒ่าผู้แก่ สมัยนี้ยังมีอยู่มาก เรามาดูกันว่าเขาใช้วิธีใดที่ทำให้อำนาจพุทธคุณหรือเครื่องลางของขลังต่างๆ ทำงานได้ ใครที่ไม่เคยเชื่อเรื่องอย่างนี้ยอมรับได้แล้ว เพราะในอดีต จากเวทมนตร์คาถา เครื่องรางของขลังเคยกู้ชาติปกป้องบ้านเมืองมาแล้วจากสงครามอินโดจีนที่ กล่าวไปแล้ว ขอให้เปิดใจรับอย่างมงายเหมือนกบในกะลาครอบ การรู้ไว้บางทีอาจป้องกันตัวเองได้บ้าง พิธีปลุกเสกระดับเซียนจากสี่หลวงพ่อดัง ที่ทำให้ชนะศึกอินโดจีนนั้น เกิดอะไรขึ้นขณะทำพิธี…ฟังแล้วขนลุกไม่รู้ล้ม ทำให้เป็นที่กล่าวขานกันต่อมาอีกนาน ในสมัยสงครามเกาหลี ทหารไทยที่พกพระพิมพ์ของหลวงพ่อแฉ่งไม่ว่าปางใด พิมพ์เล็กหรือใหญ่ ต่างอยู่ยงคงกระพันรอดตายกันมาทุกคน รวมทั้งบรรดาอัศวินแหวนเพชร หรือพวกนายตำรวจในยุคนั้นต่างก็มีพระนางพญาของหลวงพ่อแฉ่งกันถ้วนทั่ว ยุคนั้นบรรดาอัศวินต่างมีชื่อเสียงมาก โจรผู้ร้าย ทั้งในเขตนครบาลหรือภูธรหัวหดเงียบกริบ กับถูกฆ่าตัดตอนเก็บกันระนาวจากบรรดาอัศวินแหวนเพชรทั้งหลาย เป็นยุคที่ตำรวจเฟื่องมากๆ พิธีปลุกเสกระดับชาติได้ทำกันที่วัดบวรนิเวศน์วิหาร โดยเริ่มพิธีตั้งแต่อาทิตย์เริ่มอัสดง จนถึงรุ่งอรุณของวันใหม่ เป็นพิธีที่ใหญ่โตมโหราฬยิ่งกว่าการปลุกเสกครั้งใดๆ ท่ามกลางเหล่าทหารหาญที่คอยป้องกันอยู่รอบนอก ไม่ให้ผู้ใดรบกวนสมาธิของเกจิอาจารย์ทั้งสี่ ภายในห้ามออกภายนอกห้ามเข้ากันทีเดียว ภายในตัววัดเมื่อพลบค่ำจึงมีแต่ความวิเวกวังเวงของบรรยากาศ ทำให้ทหารทุกคนทั้งรอบนอกรอบในวัดตื่นตัวกลัวกันตลอดคืน ก็ใครเล่าจะกล้าหลับตานอนได้ในบรรยากาศเช่นนั้น เหตุการณ์ปกติไปเรื่อยจนย่างเข้ารุ่งอรุณของวันใหม่ทุกคนที่อยู่ในพิธีต่าง สะดุ้งกันสุดตัวแล้วพยายามระงับความตื่นเต้น ประหลาดใจกับอะไรที่เกิดขึ้น กับเก็บสุ้มเสียงกันไว้อย่างมิดชิด มีรายการขนลุกขนพองเห่อชาขึ้นมาตามแขนขาไปจรดต้นคอกันถ้วนทั่วอย่างช่วยไม่ ได้ระงับไม่อยู่ ที่ท่ามกลางความเงียบสงัดปราศจากแม้เสียงแมลงกลางคืนที่เงียบมาตลอดคืนแล้ว จู่ๆเกิด มีเสียงกรี๊ดร้องอย่างโหยหวลทำลายความวังเวง มาจากทุกสารทิศที่..ไม่ใช่เสียงเดียวเพศเดียวแต่หลายเสียง มันดังก้องเข้าไปในจิตวิญญานของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ จากนั้นยังปรากฏร่างของวิญญาณ ที่มาทั้งในรูปผู้คน เงา มากมายนับไม่ได้เป็นร้อยเป็นพันบ้างเดินบ้างวิ่งบ้าง มีมาไม่ขาดสาย..ในบริเวณวัดพร้อมทั้งเสียงกรีดร้องนั้นยังดังอยู่อย่างต่อ เนื่อง กับยังปรากฏหมอกควันพวยพุ่งออกมารอบๆพระอุโบสถ ชวนให้พยานสายตาในที่นั้นหนาวเย็นวูบวาบไปถึงตับไตใส้พุงแม้จะเป็นเหล่าทหาร กล้าก็เถอะ เหตุการณ์ที่เกิดระหว่างการปลุกเสกนี้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาทุกคนที่อยู่ บริเวณนั้น ให้เป็นที่โจษขานกันมาหลายยุคหลายสมัย คงไม่มีครั้งใดจะแรงและทรงพลานุภาพเท่าจวบจนยุคปัจุจบัน ไร้เทียมทานจริงๆ การปลุกเสกใช้เวลา 12 ชั่วโมง โดยพระทั้งสี่รูปจะนั่งนิ่งอยู่ในท่าเดิมไม่ขยับเขยื้อนเป็นการรวมพลังจิต ให้มีอนุภาพที่แก่กล้าแล้วรวมเพ่งไปที่ผ้าประเจียดที่วางอยู่บนพานทอง เพื่อให้ได้ผลเต็มร้อย หลังเสร็จพิธีหลวงพ่อทั้งสี่ จึงมอบผ้าประเจียดให้กับพลตรี หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต เพื่อนำไปใช้ปกป้องทหารในสงครามต่อไป ก่อนนำออกแจกจ่าย ยังมีการทดลอง ความอยู่ยงคงกระพัน โดยการนำผ้าประเจียดไปลองยิงดู ซึ่งถ้าไม่ได้ผลหลวงพ่อทั้งสี่องค์ ท่านจะทำพิธีให้ใหม่ แต่ปรากฏว่างานแรกครั้งเดียวขลังทันใด..ใช้ได้ทันที เครื่องลางของขลังจากการปลุกเสก ทำให้ทหารไทยชนะสงครามอินโดจีนกับถูกตราหน้าว่าเป็นทหารผี…อันนี้พิสูจน์ กันชัดๆอีกอย่างของคลื่นพลังจิตที่รวมกันเข้าจากเกจิอาจารย์ทั้งสี่ การผสมธาตุซึ่งจะประกอบเป็นเครื่องลางของขลังนั้น ต้องผสมให้ถูกต้องจึงจะใช้เป็นสื่อเพื่อบรรจุพลังปราณ(พลังจิต)ของผู้ปลุก เสกได้เต็มที่ หากธาตุผสมผิดส่วนพลังปราณจะลดหย่อนลง พลังนี้ท่านเปรียบเหมือนพลังแม่เหล็กไฟฟ้าซึ่งมีอยู่แล้วในทุกตัวคน เราขอแนะนำให้ตรวจหาพลังนี้ได้เองจากการทำสมาธิ เมื่อเข้าถึงขั้นหนึ่งแล้วจะมีความรู้สึกว่ามีพลังบางอย่างวิ่งไปตามหน้าขา ไหล่แขน บางที่มาในรูปของความร้อนวิ่งไปทั่วร่าง ทางฮินดูเรียกว่า พลัง “คุณดาลินี” หรือพลังปราณนั่นเอง หลักการใช้คลื่นหรือพลังจิตนี้ ผู้ที่จะทำเครื่องลางของขลังได้ต้องฝึกจิตจนถึงองค์ญาณสมาบัติเสียก่อน จิตจึงจะมีพลังงานแล้วสามารถรวบรวมพลังนี้บรรจุลงในสิ่งใดได้ พลังที่บรรจุนี้จะต้องแบ่งสายปราณให้ถูกต้องด้วยการใช้วิชาลึกลับอันเป็นต้น
โดยเฉพาะเป็นแหล่งกำเหนิดให้เกิดพลังขึ้นได้อย่างหนึ่งเช่น ของขลังที่จะใช้เกี่ยวกับการป้องกันอันตรายใช้วิชา “เรยูกูระบัด”ประกอบกับวิชา “อิลละมู” หรือใช้วิชา “สังกะลัม” ประกอบกันสองอัน หรือจะใช้เพียงวิชาอิลละมู ประกอบเวทมนตร์ก็ได้ (ชื่อวิชาเหล่านี้เป็นของพวกโยคีสมัยเก่า) แต่ถ้าใครเรียนถึงวิชา เรยูกูระบัด หรือสังกะลัม เครื่องรางของขลังจะให้พลังงานสูง ในสมัยสงครามอินโดจีน ในช่วงที่กำลังร้อนระอุ ทหารไทยถูกประนามว่า เป็นทหารผี…เพราะเหตุใดเรามาดูกัน กับใครอยู่เบื้องหลัง บทต่อจากนี้ ที่เกี่ยวข้องกันอย่างช่วยไม่ได้ คืออยู่ยง…คงกระพัน ตอนนั้นทหารไทยมีหน้าที่ต้องบุกเข้ายึดเมืองศรีโสภณให้ได้ แต่ไม่ใช่ของง่ายเลยเพราะฝ่ายตรงข้าม คือทหารญวนกับทหารมอร็อคโคมีมากกว่า อุปกรณ์การฆ่าทันสมัยกว่าแน่นอนกำลังใจย่อมดีกว่า รวมถึงความจัดเจนในการเชือดการปาดคล่องตัวกว่าเรียกว่าเขี้ยวลากดินกันทุกคน เพราะเหตุนี้ ท.ทหารไทยจึงมองหาทางออก มองหาสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ คือความ..เหนียวแบบไร้เทียมทาน…หรืออยู่ยงคงกระพัน ดังนั้นวันบุกเข้าจู่โจมจึงเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น คือ เมื่อวันที่ทหารไทยบุกเข้าศรีโสภนนั้น ทหารญวนกับมอร็อคโคต่างสาดกระสุนมาดุจห่าฝน แต่หาได้ระคายเคืองผิวทหารไทยอย่างไรไม่ ไม่ว่าจะยิง จะแทงฟันเชือด ปาด เด็ด ดึง..ทหารไทยอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดเลือดตกออกมาสักหยด ทหารต่างชาติเหล่านั้นไม่เคยเชื่อหรือรับรู้ในเรื่องวิชาอาคมเวทมนตร์คาถา ตอนนั้นรู้อย่างเดียวว่า ทหารไทยฆ่าไม่ตาย กับที่เหลือตัวใครตัวมัน หมดกำลังใจที่จะต่อสู้ยึดพื้นที่เอาไว้ได้ เพราะถูกฆ่าอยู่ฝ่ายเดียว เห็นไพร่พลล้มตายเกลื่อน จึงพากันทิ้งเมืองเอาตัวรอด งานนี้ทหารญวนกับมอร็อคโคถูกจับได้อย่างมากมายพร้อมทั้งอาวุธปืนเป็นจำนวน มาก ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากอนุภาพ ของผ้าประเจียด ที่สี่หลวงพ่อทำการปลุกให้ไปแจกทหารที่ออกรบ ข่าวการชนะศึก ของทหารไทย ข่าวการยิงไม่เข้าแทงไม่เข้าไม่ระคายเคืองผิว กับการอยู่ยงคงกระพันของเหล่าทหารกล้า ทำให้สี่เซียนดังไปเจ๊ดย่านน้ำ หลวงพ่อทั้งสี่ได้แก่ หลวงพ่อ ชวน (โอภาสี) หลวงพ่อแฉ่ง แห่งวัดบางพังจ หลวงพ่อจาด และหลวงพ่อจง แห่งวัดหน้าต่างนอก credit: thaifighterclub, jokergameth ขอเชิดชูเหล่าทหารหาร ที่เสียสละเพื่อผืนแผ่นดินไทย ที่ทำให้เราได้มีที่อยู่จนถึงทุกวันนี้
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11689 เมื่อ: กรกฎาคม 22, 2015, 11:30:39 AM »

https://www.youtube.com/watch?v=o8OCYFBULao  (ภาพสงครามเวียตนาม)
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11690 เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2015, 09:30:29 AM »

"อย่ามาตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา"

  ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 7
ตามปกติแล้วยุทธวิธีในการทำสงครามต้องอาศัยกำลังพลจากทหารราบเป็นหลักสำคัญในการเข้ายึดครองภูมิประเทศ อันเป็นปราการที่จะป้องกันการเคลื่อนย้ายกำลังของข้าศึก ถึงแม้ว่าประเทศใดๆ ที่มีกองทัพอากาศที่เกรียงไกรสามารถส่งฝูงบินออกไปถล่มข้าศึกให้พังพินาศ แต่จะไม่เกิดประโยชน์อันใด ถ้าไม่มีกำลังทหารราบเข้าไปยึดรักษาพื้นที่แห่งนั้นเอาไว้
แม้กระทั่งอาวุธหนักต่างๆก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นปืนครก ปืนใหญ่ หรือปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลัง ถ้าขาดกำลังทหารราบคุ้มกันอย่างพอเพียงแล้ว จะต้องพบกับการถอนตัวไม่วาระใดก็วาระหนึ่ง
แต่อย่างไรก็ดี อำนาจการยิงสนับสนุนของอาวุธหนักเหล่านี้ ก็สามารถที่จะช่วยให้ภารกิจของทหารราบลุล่วงไปได้มากทีเดียว เข้าทำนอง น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า นั่นแหละครับ
ก่อนการเข้าโจมต ฐานปฏิบัติการของข้าศึก ปืนใหญ่จากฐานต่างๆของกองพันทหารรับจ้าง จะถูกร้องขอให้กระหน่ำยิงพิกัดที่ฝ่ายเรามั่นใจว่า จะมีข้าสึกซุกซ่อนอยู่ขนาดใหญ่ บางทีระดมยิงกันเป็นชั่วโมงๆ ก่อนจะถึงเวลาเข้าตีกันเลยทีเดียว แล้วในขณะที่ปืนใหญ่ของฝ่ายเรากำลังซัลโวข้าศึกอยู่นั้น กองพันทหารรับจ้างก็เคลื่อนที่เข้าไปหาข้าศึกอยู่ตลอดเวลา
ครั้นถึงกำหนดการนัดหมาย การระดมยิงของปืนใหญ่ก็จะหมดภาระกิจยิงเป็นปลิดทิ้ง คราวนี้แหละครับโอกาสที่ทหารราบจะแสดงฝีมือก็ได้มาถึง ฐานปฏิบัติการไหนของข้าศึกที่มี “บังเกอร์” ที่แน่นหนา หรือว่าฝีมือการยิงปืนใหญ่ของฝ่ายเราห่วยเกินไป ก็ต้องประสพกับการต้านทานจากข้าศึกอย่างชนิด “ผึ้งหวงรัง” บางทีเข้าตีมันถึงสามสี่ระลอกก็ยังยึดฐานปฏิบัติการของพวกมันไม่ได้ จนกระทั่งต้องถอนกำลังกลับจุดเดิมก็เคยมี
ข้อแตกต่างระหว่างข้าศึกกับฝ่ายเราในขณะเข้าตี ก็คือการสนับสนุนด้วยอาวุธหนัก แตกต่างกันอย่างเทียบอะไรไม่ได้
เมื่อข้าศึกจะเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการของฝ่ายเรา พวกมันจะลำเลียงอาวุธหนักทุกชนิดที่กองพันของมันมีอยู่เข้ามาตั้งสนับสนุนกำลังพลของมันอย่างใกล้ชิดทีเดียว บางครั้งมันก็กระหน่ำพวกเราเสียจนโงหัวไม่ขึ้น พอเงยหน้าขึ้นมาอีกที...พวกมันก็ถึงรั้วลวดหนามเสียแล้ว คราวนี้อะไรจะไปเหลือครับผม
ผิดกับฝ่ายเรา เวลาจะเคลื่อนย้ายเข้าตี หมวดอาวุธหนักที่ติดกองพันเอาไปอย่างมากก็มีเพียง ค.60 ที่ไม่มีฐานยิง เพียงกองร้อยละ 2 กระบอกเท่านั้น ลูกกระสุนก็มีไม่กี่นัด นอกนั้น “แพ็ค” รอชอปเปอรืหิ้วเอาไปส่งให้เมื่อเข้าตีฐานข้าศึกได้เรียบร้อยแล้ว
การยิงปืนใหญ่ของฝ่ายเราก็เหมือนกัน มักจะบังเกิดความผิดพลาดขึ้นบ่อยครั้ง และแต่ละครั้งก็สร้างความสูญเสียให้กับพวกเดียวกันอย่างเหลือคณานับ
ขอให้ท่านผู้อ่านและผู้ที่สนใจ ลองสอบถามทหารรับจ้างที่ท่านบังเอิญรู้จักกันเป็นการส่วนตัวดูบ้างสิครับ แทบทุกคนจะส่ายหน้าเมื่อพูดถึงฝีมือการยิงปืนใหญ่ฝ่ายเรา
ยิงแต่ละครั้ง ห่างเป้าหมายเกือบครึ่งกิโลเมตร แถมบางครั้งยิงลูกตกลงกลางกลุ่มพวกเดียวกันนี่สิครับ มันเจ็บปวดกระดองใจอย่างแสนสาหัสเลยทีเดียว
แต่สำหรับตัวของผม ผมขอออกความเห็นในฐานะที่ผมเคยร่วมงานกับทุกๆฝ่าย จนสามารถรู้ตื้นลึกหนาบางของสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี...
ปืนใหญ่ไม่ได้ห่วยหรอกครับ “ผตน.” หรือ “ผู้ตรวจการณ์หน้า” ที่อยู่กับกองพันทหารรับจ้างเหล่านั้นต่างหากล่ะครับ ที่เป็นผู้สั่งการยิง มันป็นสิ่งที่พิสูจน์กันไม่ได้ว่าตรวจการณ์หน้าคนนั้น อ่านลักษณะภูมิประเทศและเป้าหมายที่จะทำการยิงผิดไปจากลักษณะความเป็นจริงหรือไม่...
ทิวเขาที่สลับซับซ้อน บางแห่งก็มีหุบเขาที่ลึกจนกระทั่งมองเห็นต้นไม้ลิบๆอยู่เบื้องล่าง ต่อให้แน่ขนาดไหนก็ตาม ย่อมจะมีความผิดพลาดเป็นธรรมดา เมื่ออ่านพิกัดไม่ถูกต้อง และส่งพิกัดดังกล่าวร้องขอให้ปืนใหญ่สนับสนุน เรื่องทั้งเรื่อง มันก็ยิงไม่ถูกอยู่วันยังค่ำนั่นแหละครับ และบางครั้งเกิดจับพลัดจับผลูซวยขนาดหนัก ดินขับกระสุนปืนใหญ่เกิดไม่พอเพียง ซึ่งตามภาษาสงครามที่เขาเรียกว่ากระสุน “ช็อต” นั่นแหละครับ
แทนที่ลูกมันจะข้ามไปหาข้าศึก ดันหมดกำลัง หล่นตุ๊บลงกลางกลุ่มของฝ่ายเดียวกันเสียฉิบ และเหตุการณ์ดังกล่าวนี้ก็มีเป็นประจำเสียด้วยสิครับ และก็ไม่มีใครรับผิดชอบซะด้วย ไอ้ที่ตายก็ตายไป ไอ้ที่เหลือก็ห้ำหั่นกันต่อไปอีก จนกระทั่งตายจากกันไปข้างหนึ่งจึงจะหมดเวรหมดกรรม
เมื่อตรวจการณ์หน้าร้องขอมา ปืนใหญ่ก็ยิงสนับสนุน กว่าจะปรับวิถีกระสุนให้อยู่ “เหนือที่หมาย” ได้ พวกข้าศึกก็หลบอยู่ในรูที่พวกมันขุดชอนไปชอนมาอยู่ใต้ดินเบื้องล่างของฐานปฏิบัติการของพวกมันนั้นเอง ลูกกระสุนจะต้องผ่านซุงต้นใหญ่ๆ หรือบางทีก็ทะลุทะลวงโขดหินซึ่งเป็นปราการธรรมชาติอันแสนจะมั่นคงและแข็งแรง ดังนั้นเปอร์เซนต์ที่มันจะสูญเสียจึงมีน้อยมาก
เมื่อพวกมันพ้นจากอำนาจการยิงของปืนใหญ่ มันก็ซุ่มสงบเงียบคอยจังหวะที่จะขยี้พวกเราที่กำลังเคลื่อนที่เข้าหาพวกมัน
แล้วแค่ไอ้อาวุธประจำกายที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับพวกมัน “พวกแกว” มันไม่ยี่หระหลอกครับ ขนาด T-28 ทิ้งระเบิดใส่พวกมันควันยังไม่ทันจาง พวกมันวิ่งขึ้นจากบังเกอร์เต้นกระหย็องกระแหย็ง กันให้เพ่นพ่านไปหมดอย่างไม่มีความกริ่งเกรงอะไรทั้งสิ้น
ผมขอท้าพนันได้เลยว่า ถ้าพวกมันไม่ขาดแคลนกระสุนหรือเสบียงอาหารอย่างขนาดหนักจริงๆแล้ว “ยากส์ส์” ครับที่พวกมันจะยอมให้ฝ่ายเราขึ้นไปเดินพาเหรดบนฐานของมันได้
เท่าที่ผมเขียนความเป็นจริงเรื่องนี้ขึ้น บางท่านอาจจะตำหนิที่ผมเขียนเชียร์ทหารเวียตนามเหนือ ในด้านความสามารถในการสู้รบจนเก่งเกินมนุษย์มนาจนเกินไป
ผมเขียนตามความจริงครับ ลองคิดดูอย่างง่ายๆ กองพันทหารรับจ้างได้รับการสนับสนุนจาก ซี.ไอ.เอ. อย่างมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น B-52, F-105, T-28 ก็ยังเอาชนะทหารเวียดนามเหนือไม่ได้สักครา พอถึงฤดูแล้งทีไรพวกเราเป็นต้อง “หางจุกก้น” เผ่นมาตั้งรับอยู่ ณ บริเวณเนินสกายไลน์ทุกที
โน่นครับ รอให้ถึงฤดูฝนโน่นแหละ พวกเราจึงได้อาศัยสภาพสิ่งแวดล้อมที่เป็นอุปสรรคในการขนส่งลำเลียงกำลังพลและอาหารเข้าจู่โจมข้าศึก จนกระทั่งข้าศึกถอยไปตั้งรับฝ่ายเราอยู่ ณ บริเวณทุ่งไหหิน
ที่ผมเขียนว่า ทุ่งไหหิน ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งคิดว่าพวกมันจะถอยหนีเราไปจนสุดชายทุ่งนะครับ
ผิดถนัดเลย พวกมันหลอกล่อให้ฝ่ายเราติดตามมันไปเพียงแค่ชายทุ่งรอบนอกทุ่งไหหินเท่านั้นเอง พอกองพันทหารรัจ้างตั้งฐานบังคับการเสร็จไม่ถึง 48 ชั่วโมง มันก็เริ่มถล่มเราด้วยอาวุธหนักทุกชนิด ยังไม่ทัน 06.00 น. ดี ทหารราบพร้อมด้วยรถถังของพวกมันก็บุกขยี้ฝ่ายเราเสียแล้ว
บุกแล้วก็ถอย...ถอยแล้วก็บุกอีก
เฮ้อ สงครามลาวนี่เหมือนกับ “การค้าสงคราม” เลยนะครับ...ให้ตาย ผมยังเดาไม่ออกเลยครับว่าสภาพของสงครามในอนาคต มันจะลงเอยในรูปลักษณะเช่นไร
ฤดูแล้งนี้อีกเช่นเคย ฝ่ายเราก็ต้องเสียทีมัน ทุ่งไหหิน, บ้านนา, ไซร้ท72, มาจนสนามบินซำทอง อันเป็นประตูหน้าด่านที่จะเข้าเมืองล่องแจ้ง ก็ตกอยู่ในกำมือของทหารเวียดนามอย่างสิ้นเชิง
กองพันทหารรับจ้างที่ถอนตัวลงมาต่างก็กระจัดกระจายตั้งฐานบนจุดต่างๆของเนินสกายไลน์ที่ล้อมรอบเมืองล่องแจ้งเอาไว้อย่างเหนียวแน่น เส้นทางคมนาคมต่างๆที่พุ่งเข้าหาเมมืองล่องแจ้งถูกตรวจตรา และยึดรักษาด้วยกำลังพลที่พรั่งพร้อมไปด้วยอาวุธที่ตระเตรียมเอาไว้ต่อต้านกับขบวนรถถังของข้าศึกโดยเฉพาะ
ปืนใหญ่หลายกระบอก ที่ถูกทำลายเมื่อครั้งทุ่งไหหินและซำทองพังพินาศ เพิ่งจะได้รับการเบิกทดแทนจาก “สกาย” ซึ่งเป็นหน่วยกลางที่ทำหน้าที่ประสานงานระหว่าง ซี.ไอ.เอ. กับกองบัญชาการทหารรับจ้าง
หลังจากนั้นเจ้า “สกายเครน” หรือเฮลิคอปเตอร์ขนาดยักษ์ก็หิ้วปืนใหญ่ขนาด 155 ม.ม. ลอยละล่องแกว่งไปแกว่งมามุ่งไปตั้งฐานยิงบนเนินเขาด้านทิศตะวันตก ของ บก.ล่องแจ้งทันที
จากโควต้า 4 กระบอกที่ได้รับสดๆร้อนๆ ทำให้ฐานปืน “แคนเดิ้ล” และฐานปืน “เฮอร์คิวลิส” มีหน้าที่ป้องกันเมืองล่องแจ้ง และพร้อมที่จะสนับสนุนกองพันทหารรับจ้างในระยะการยิงไม่ต่ำกว่า 14 กิโลเมตรในทันทีทันใด เมื่อสร้างหอบังคับการยิงเสร็จ
ขวัญกำลังใจของทหารรับจ้างที่ตั้งฐานเป็นกันชนอยู่บนเนินสกายไลน์เริ่มดีขึ้น ต่างก็พากันคิดว่าอำนาจการยิงของปืนใหญ่ทั้ง 4 กระบอกคงจะสามารถต้านทานการโจมตีของข้าศึกได้อย่างแน่นอน
ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะพอดี ผมและกลุ่มนายทหารของกองพันทหารรับจ้างที่ 616 นั่งรับประทานอาหารกันอยู่บนโต๊ะเล็กๆ ที่มีร่มชูชีพสีฟ้าขนาดใหญ่ขึงกางบังแดดเอาไว้อย่างลวกๆ
อาหารการกินสมบูรณ์ คงจะเนื่องจากการจราจรทางอากาศของสนามบินล่องแจ้งเป็นปกติแล้วนั่นเอง กองพันของผมจึงมีทั้งเบียร์และเหล้าซดกันเป็นประจำ ยิ่งได้พ่อครัวฝีมือเอกอย่างหมอ “พรศักดิ์” จากเมืองเพชรเข้าไปด้วยอีกแล้ว ทำให้แป๊ะซะปลาช่อนตัวเท่าโคนขา เหลือแต่ก้างในเวลาอันรวดเร็ว
วิทยุ PRC.77 ที่มีข่าวการสื่อสารรับฟังกันได้ทุกกองพัน เงียบเสียงกันไปชั่วขณะ ชะรอยคงจะถึงเวลาอาหารกลางวัน ไอ้ข่าวคราวที่ไม่เร่งด่วนและสำคัญก็เลยถูก “ดึง” ไปโดยปริยาย
“ตอนเย็นก่อนเวลา 16.00 น. เล็กน้อย ผมอยากจะให้ฐานปืน “แคนเดิ้ล” ยิงเข้าไปบริเวณถ้ำหน้า “หมู่บ้านน้ำชา” สัก 6-7 ชุด เพราะเมื่อคืนทหารของเราตรวจการณ์เห็นแสงไฟส่องตอบโต้กันคล้ายๆกับจะเป็นอาณัติสัญญาณอะไรซักอย่าง ประเดี๋ยว “กองดี” ให้พนักงานวิทยุส่งข่าวร้องขอการยิงไปที่ “แคนเดิ้ล” ด้วยนะครับ”
กองสิงห์ หันไปพูดกับรอง ผบ.พัน พร้อมกับเลื่อนแก้วเบียร์ที่ล้นปรี่ออกมาให้ผมเป็นครั้งที่สาม
“ผมขอตัวครับ แค่สองแก้วผมก็ชักจะมึนๆแล้วประเดี๋ยวตอนดึกๆ “สตริงเกอร์” กับ “สปุ๊กกี้” จะมาทำงาน เกิดผมลิ้นไก่สั้นพูดกับนักบินไม่รู้เรื่อง เงินเดือนเดือนนี้เห็นทีจะต้องไปรับที่ฮานอยโน่นแหละครับ....ไอ้นอร์แมนมันจะต้องเฉ่งผมแน่ๆ ผมพอละครับ”
ผมตัดบทออกไปเพราะรู้สึกว่ากระเพราะของผมชักจะแสดงอาการไม่เข้าท่าเข้าทางขึ้นมาทุกที ก้เลยขอตัวกลับเข้าไปพักผ่อนอยู่ในบังเกอร์ ซึ่งได้รับความกรุณาจาก “กองดี” จัดหาทหารรับจ้างที่มีฝีมือดีมาสร้างให้อย่างแข็งแรง
คงจะเนื่องจากอาหารที่ผมสวาปามเข้าไปเต็มคราบนั่นเอง ทำให้หนังตาของผมหย่อนลงทุกที จนกระทั่งปิดสนิทเผลอหลับไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
มาตกใจตื่นอีกทีก็อีตอนถูกกระชากอย่างแรงที่ข้อเท้าพร้อมๆกับมีเสียงตะโกนติดตามเข้ามาอย่างละล่ำละลักของหมอพรศักดิ์ที่พรวดพราดเข้ามาในบังเกอร์
“...บิ๊กแมน เตรียมพร้อมครับ กองพัน 617 บนเนินสกายไลน์โดนลูกยาวกระหน่ำเดี๋ยวนี้เอง”
ผมโงศีรษะขึ้นมาอย่างอัตโนมัติ ประสาทหูได้ยินเสียงระเบิดเซ็งแซ่อย่บนเนินสกายไลน์อย่างถนัดชัดเจน
ผมโผล่พรวดออกมานอกบังเกอร์ โดยไม่ลืมที่จะคว้าเจ้า M-16 อาวุธคู่มือออกมาด้วยความเคยชิน
เสียงระเบิดของลูกกระสุนนานาชนิดที่กำลังถล่มฐานปฏิบัติการของกองพัน 617 ทวีความรุนแรงขึ้นมาทุกขณะ
“ข้าศึก 3 หมวด กำลังโจมตีกองร้อยที่ 2 ห่างจากบริเวณรั้วลวดหนามประมาน 500 เมตร ช่วยให้แคนเดิ้ลสนับสนุนด้วยครับ”
เสียงพนักงานวิทยุจากกองร้อยที่ 2 ของกองพัน 617 ส่งข่าวถึง บก.ล่องแจ้งดังลั่นออกมาจากลำโพงของวิทยุ PRC-77 ได้ยินถนัดหู
“ทหารทุกคนเตรียมพร้อม เข้าประจำร่องสนามเพลาะให้หมด กองจันทร์สั่งเตรียมปืน ค 4.2 พร้อมยิงทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง”
กองสิงห์ ผบ.กองพัน 616 ออกคำสั่งประจำแนวรบแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยท่าทางที่เด็ดขาด และเอาจริงเอาจัง พร้อมกับใช้กล้องสนามตรวจการณ์ลักษณะภูมิประเทศหน้าฐานปฏิบัติการอย่างเอาใจใส่ชั่วครู่
“พวกมันเล่นงานกองพัน 617 เข้าแล้ว ผมสังหรณ์ใจชอบกล กลัวมันจะเข้าโจมตีพร้อมกันทุกด้าน หรือคุณมีความคิดเห็นยังไง บิ๊กแมน”
กองสิงห์หันกลับมาถามผม ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ
“ผมอ่านแผนของมันไม่ออกหรอกครับ แต่ที่แน่ๆ ขณะนี้พวกมันเข้าโจมตี “ชาร์ลี-แทงโก้” แล้ว แต่ของเรายังเงียบอยู่ แต่ทหารของผู้พันก็พร้อมแล้วมิใช่หรือครับ”
ผมย้อนถามกลับไปอีก
“ครับ พร้อมแล้ว ถ้ามันให้โอกาสและเวลาผมพอที่จะรู้ล่วงหน้าเหมือนกับในขณะนี้ ก็พอได้ลุ้นกันสนุกละครับ”
กองสิงห์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆด้วยท่าทางที่ใจเย็นเอาการ
เสียงระเบิดบนยอดเนินสกายไลน์-ทู ยังดำเนินต่อไปอย่างมิได้หยุดยั้ง มันระเบิดเป็นช่วงๆ ติดต่อกันไม่ขาดระยะ ควันสีดำคละคลุ้งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นหย่อมๆ บางครั้งก็มีเสียงรัวถี่ๆ ของปืนอาร์ก้าสอดแทรกขึ้นมา เสียงอันเล็กแหลมของมันผิดแปลกไปจากเสียงปืนของฝ่ายเราจนสังเกตุได้ชัด
ปืนใหญ่ทั้ง 4 กระบอก ไม่สามารถจะสนับสนุนกองพัน 617 ได้เนื่องจากภูมิประเทศบังคับ และยิ่งไปกว่านั้น ข้าศึกสามารถรุกคืบหน้าเข้ามาเกาะฐานบังคับการกองพัน 617 อย่างหนาแน่นเสียแล้ว
ฉากการประทะกันระหว่างอาวุธหนักและอาวุธประจำกายของข้าศึกกับทหารรับจ้างกองพัน 617 ก้ได้เริ่มขึ้นท่ามกลางสายตาของทหารรับจ้างกองพันต่างๆที่พากันส่องกล้องสนามแรงสูง ดูด้วยความเป็นห่วงเป็นใยในชะตากรรมของเพื่อนร่วมสงคราม
มันเป็นเวลา 15.30 น. กองร้อย 2 ของกองพัน 617 ขออนุญาตถอนตัวไปยัง บก.ล่องแจ้งอย่างกระทันหัน และในขณะที่ บก.ล่องแจ้งกำลังตัดสินใจที่จะออกคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดอยู่นั้น ข้าศึก 2 กองร้อยก็จู่โจมขึ้นประชิดตัวฐานปฏิบัติการเลยทีเดียว
จากกล้องสนามแรงสูง ผมมองเห็นกลุ่มทหารรับจ้างวิ่งหนีออกจากฐานที่ตั้งมุ่งหน้ามายัง “ชาร์ลี-บราโว่” ซึ่งเป็นบริเวณที่กองร้อยที่ 3 ของกองพันผมตั้งฐานปฏิบัติการอยู่มองดูเป็นสาย
ผมเห็นประกายไฟวาบขึ้นมาจากฐานของกองพัน 617 ซึ่งขณะนี้ ทหารเวียดนามเหนือพรั่งพรูขึ้นมามองดูยั๊วเยี้ยไปหมด ต่อจากนั้นก็มีเสียงระเบิดติดตามขึ้นมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหวก้องไปทั่วทั้งบริเวณ
มันเป็นกระสุนปืน ปรส. ขนาด 75 ของข้าศึกที่ยิงเข้าใส่กลุ่มทหารรับจ้างนั่นเอง และจำเพาะเจาะจงเกิดตกลงมาระหว่างกลุ่มเสียด้วย มันจะมีอะไรเหลือครับ ขนาดรถถังโดนเข้ายังพลิกคว่ำเป็นทอดๆ แล้วนี่เป็นเนื้อหนังของมนุษย์ธรรมดาๆ ที่ไม่ได้กินเหล็กไหลมาจากไหน หลายสิบคนทีเดียวที่ผมเห็นล้มระเนระนาดสุมกันอยู่บนเนินสกายไลน์นั่นเอง
“ศรคีรีจากกองสิงห์ เปลี่ยน”
ผบ.พัน 616 เรียกกองร้อยที่ 3 ที่ตั้งฐานอยู่บริเวณใกล้เคียงกับกองพัน 617 พร้อมกับสั่งวางแผนการต่อไปอีกทางวิทยุสนามนั่นเอง
“ศรคีรีจากกองสิงห์ ให้คอยรับทหารจากจากกองพัน 617 ที่ถอนตัวมาหาพวกเราด้วย ให้เข้าแนวเสริมที่มั่น อย่าให้ผ่านขึ้นมาบน ชาร์ลี-ชาร์ลี เป็นอันขาดเพราะบริเวณทางเดินเต็มไปด้วยกับระเบิด ถ้าพวกเขาจะลงไป บก.ล่องแจ้งก็ปล่อยเขาไป”
“กองสิงห์จากศรคีรี รับทราบ รับปฏิบัติเปลี่ยน”
รอง ผบ.ร้อย อดีตนักรบจากเพชรบุรีซึ่งเคยผ่านการรบในป่าจากมาเลเซียมาแล้ว ตอบรับคำสั่งกับผู้บังคับบัญชาของเขาอย่างห้วนๆ อันเป็นแบบฉบับในการทำงานในระหว่างสงครามที่ไม่ต้องการคำพูดแบบยืดเยื้อโดยไม่จำเป็น
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11691 เมื่อ: กรกฎาคม 24, 2015, 09:56:23 AM »

http://www.nanproperty.com/14987890/%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%93%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%A2%E0%B9%8C-%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%B5-%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%95-%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B3%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%94
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11692 เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2015, 09:11:16 AM »

"อย่ามาตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา"

ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 8
เมื่อทหารเวียดนามเหนือขึ้นยึดฐานปฏิบัติการของกองร้อยที่ 2 ได้แล้วก็บุกตะลุยเข้าไปยัง บก.พัน ที่มีกองร้อยที่ 1 คุ้มกันอยู่อย่างรวดเร็ว หวังจะขยี้กองบัญชาการกองพัน 617 ให้ราบเป็นหน้ากลอง...
การสู้รบบนเนินสกายไลน์ได้ทวีความดุเดือดเหี้ยมเกรียมยิ่งขึ้นทุกขณะ กองร้อยที่ 2 ของกองพันทหารรับจ้างที่ 617 ต้องสูญเสียที่มั่นเป็นกองร้อยแรก ทหารรับจ้างที่รอดชีวิตแทนที่จะอยู่เสริมกำลังให้กับกองพัน 616 กลับแยกกลุ่มจากเพื่อนๆมุ่งหน้าไปยในหุบเขาบริเวณร่องน้ำที่ทอดตัวเองคดเคี้ยวลงไปยังหมู่บ้านชาวแม้ว ณ บริเวณเมืองล่องแจ้งที่มองเห็นลิบๆอยู่เบื้องล่าง โดยหวังจะเอาแต่ตัวรอดแต่เพียงลำพัง
ซวยอย่างมหาซวยเลยครับ ณ บริเวณพื้นที่ดังกล่าวทหารเวียดนามเหนือได้ตระเตรียมเอาใว้เป็น “คิลลิ่งโซน” (พื้นที่สังหาร” เอาใว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้พวกข้าศึกได้คาดการณ์เอาไว้ว่า ทหารรับจ้างส่วนใหญ่ จะต้องพากันถอยมายังบริเวณดังกล่าวนั้นอย่างแน่นอน
ด้วยกำลังพลเพียงหนึ่งหมวดที่พรั่งพร้อมไปด้วยอาวุธปืนเล็กกลได้ซ่อนพรางตัวเองอยู่ท่ามกลางความหนาทึบของภูมิประเทศเอาไว้อย่างเงียบเชียบรอเวลาที่จะขยี้ทหารรับจ้างที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาอย่างเลือดเย็น
มันเป็นความโชคดีของกองพัน 617 ที่ตัดสินใจพาทหารส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปตามเส้นทางคมนาคมบนเทือกเขาสกายไลน์แทนที่จะตัดตรงลงไปยัง บก.ล่องแจ้ง มิฉะนั้นแล้วยอดสูญเสียของกองพัน 617 จะต้องเพิ่มปริมานยิ่งกว่าเท่าที่เป็นจริงมากมายทีเดียว
ปืนใหญ่ทั้ง 4 กระบอกที่ตั้งฐานยิงอยู่ที่เมืองล่องแจ้ง เบนปากกระบอกสลุตกระสุนขึ้นไปบนฐานของกองร้อยที่ 2 ซึ่งขณะนี้ถูกข้าศึกบังคับให้ถอนตัวอย่างกระทันหัน เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นของปืนใหญ่ที่ยิงพร้อมๆกันทั้ง 4 กระบอก ช่วยให้บรรยากาศของเนินสกายไลน์เพิ่มความน่าสะพึงกลัวยิ่งขึ้นป็นทวีคูณ
การยิงดำเนินไปได้เพียงชั่วครู่ ก็จำเป็นต้องยุติการยิงโดยฉับพลัน เมื่อได้ทราบข่าวว่ายังมีทหารรับจ้างที่ได้รับบาดเจ็บ ตกค้างอยู่บนเนินฐานปฏิบัติการอีกหลายสิบคน
“ภูเวียง” ผบ.พัน 617 ออกคำสั่งป้องกันฐาน บก.พันอย่างชนิดสู้ตายคารัง ผบ.พันใจเด็ดพร้อมด้วย “ไทเกอร์” นายทหารคู่ใจที่เพิ่งสำเร็จมาจาก จปร. อย่างสดๆร้อนๆ นำทหารเข้าประจัญบานกับข้าศึกอย่างชนิดเลือดแลกเลือด
ด้วยกำลังพลที่มากกว่ากันจนเทียบกันไม่ติด เข้าทำนองน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ฐาน บก.พัน อันหนาแน่นที่คุ้มกันด้วยกำลังพลถึง 130 คน ฐาน บก.พันอันหนาแน่นที่คุ้มกันด้วยกำลังพลถึง 130 คน จากกองร้อยที่ 1 ของกองพัน 617 ก็ต้องประสพกับเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกับกองร้อยที่ 2 เข้าอีก
และคราวนี้ก็ไม่ต้องมีใครสั่งให้ถอนตัวหรอกครับ เมื่อ “ภูเวียง” ถูกกระสุนอาร์ก้าเข้าบริเวณเหนือคิ้วซ้ายล้มพับลงไปต่อหน้าต่อตา ขวัญและกำลังใจของทหารเหล่านั้นก็โบยบินไปเสียแล้ว พวกเขาพากันห้อตะบึงออกจากฐาน บก.พัน มุ่งหน้าไปยังกองพัน 616 อย่างชนิดตัวใตรตัวมัน
เมื่อลูกน้องพากันหลบหนีจนหมดสิ้น “ไทเกอร์” นายทหารคู่ใจของ ผบ.พัน ก็จำใจต้องวิ่งติดตามกลุ่มทหารเหล่านั้นออกไปอย่างชนิดขวัญเสีย
บังเอิญเหลือเกินที่พนักงานวิทยุของกองพัน 617 อาศัยความรวดเร็วคว้าวิทยุติดมือออกมาได้อย่างหวุดหวิดก็เลยสามารถติดต่อกันได้ขณะถอนตัว
“ช่วยยิงคุ้มกันให้พวกผมหน่อยครับ ขณะนี้พวกมันวิ่งไล่ผมมาติดๆเลยครับ...กรุณาช่วยด้วยครับ”
พนักงานวิทยุกองพัน 617 กระหืดกระหอบขอตวามช่วยเหลือด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก จนได้ยินเสียงหอบฟืดฟาดออกมาจากลำโพงวิทยุอย่างน่าเหน็ดเหนื่อยแทน
“ยิง ค.81 คุ้มกันให้ 617 เขาด้วย ระวังอย่าให้โดนพวกเดียวกันนะโว้ย”
กองสิงห์ สั่งลูกน้องหมวดอาวุธหนักที่ประจำอยู่ ณ กองร้อย 3 บริเวณ ชาร์ลี-บราโว-แพด ให้ยิงสนับสนุนตามคำร้องขอด่วน
“ผมยิงให้ไม่ได้หรอกครับผู้พัน ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร พวกที่หนีก็แต่งชุดเสือพราน...ไอ้พวกที่กำลังไล่ติดตามก็แต่งชุดเสือพราน”
หมวดอาวุธหนักโวยวายมาลั่นอย่างเคลือบแคลงใจ
“ยิงเลยครับ...ไอ้แกวทั้งนั้น มันเอาชุดพวกเราที่ตายมาใส่แทนและวิ่งไล่หวังจะสวมรอยเข้าไปในฐานของพวกคุณพร้อมๆกับผมนี่แหละ ผมเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากฐาน...นี่ผม ไทเกอร์ ฝอ.3 พูดครับ”
นายทหารคู่ใจของ “ภูเวียง” กระหืดกระหอบส่งข่าวร้องขอการยิงต่อไปอีกอย่างร้อนรน
“ยิงสลุตเลยไอ้น้อง อั๊วจำเสียง ฝอ.3 ของกองพัน 617 ได้ไม่ผิดแน่”
กองสิงห์ตัดสินใจออกคำสั่งยิงทันที
ท่ามกลางอากาศที่กำลังสลัวลงทุกขณะ บนเส้นทางที่ใช้เป็นเส้นทางคมนาคมบนเนินสกายไลน์ จะมองเห็นกลุ่มมนุษย์สองกลุ่มทิ้งระยะห่างกันไม่เกิน 400 เมตร ทุกคนมุ่งหน้าเข้ามายังฐานปฏิบัติการของกองร้อยที่ 3 ของกองพัน 616 มองดูดำมืดไปหมดทั้งถนน
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวที่ตกลงกึ่งกลางกลุ่มทหารเหล่านั้น จากแสงไฟที่สว่างแวบขึ้นมาทำให้ตรวจการณ์เห็นกลุ่มทหารที่กำลังวิ่งติดตามทหารรับจ้างฝ่ายเรา แตกขบวนถอยหลังเผ่นกลับไปยังฐานที่กองพัน 617 เพิ่งจะถอนตัวออกมาอย่างรวดเร็ว
“ชัดเลย ไอ้แกวทั้งนั้น ถล่มแม่มันเข้าไปไอ้น้อง ต้อนมันกลับเข้าไปในฐานเก่าให้หมด ประเดี๋ยวจะให้ “แคนเดิ้ล” กับ “เฮอคิวลิส” ช่วยกระหน่ำมันต่อไปอีก”
กองสิงห์ตะโกนออกคำสั่งเสียงลั่นวิทยุ พร้อมกับยกกล้องสองตาขึ้นปรับโฟกัสตรวจการณ์ต่อไปอย่างชนิดไม่ยอมให้คลาดสายตา
“ผู้พันครับ ผมกลัวปัญหาอีตอนพวก 617 เข้ามาในฐานของพวกเรา สถานะการณ์เช่นนี้ ไม่รู้ว่าใครเป็นใครหรอกครับ กรุณาแก้ปัญหาให้ผมด่วน”
รองผบ.ร้อย จากกองร้อยที่ 3 ส่งข่าวขึ้นมาหากองสิงห์อีกครั้ง
“ไอ้น้อง มีวิธีเดียวโว้ย ให้ทหารกองพัน 617 โยนอาวุธทุกชนิดเอาไว้ที่บริเวณรั้วลวดหนามก่อนเข้าฐานฝ่ายเรา เมื่อตรวจสอบโดยละเอียดว่าไม่มีพวกมันแปลกปลอมเข้ามา ค่อยให้ทหารออกไปขนอาวุธกลับเข้ามาในฐานต่อไป อย่าลืมติดต่อกับ ฝอ.3 และประสานงานกันตลอดเวลา กำชับให้ลูกน้องของเขาปฏิบัติงานตามแผนของเราอย่างเคร่งครัด ใครมีอาวุธเข้ามา ยิงทันที อั๊วรับผิดชอบเอง”
กองสิงห์แก้ปัญหาให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ด้วยมันสมองและปฏิภาณที่ยอดเยี่ยมจนผมอดที่จะชมเชยด้วยใจจริงไม่ได้
“โอเคครับ นี่ผม ฝอ. 3 พูด ได้ยินและรับทราบคำสั่งของผู้พันโดยตลอด รับทราบ รับปฏิบัติครับ”
“ไทเกอร์” ซึ่งเปิดวิทยุฟังอยู่ตลอดเวลาสอดขึ้นมาทันทีที่กองสิงห์พูดจบลง ทำให้ปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นลุล่วงไปอย่างหวุดหวิดที่สุด
ณ บริเวณสนามบินล่องแจ้ง เครื่องบิน “ปอรตเตอร์” ที่ได้รับการติดต่อให้มารับพวกหัวกระทิของซี.ไอ.เอ. กลับอุดร บินวนเวียนอยู่เป็นรอบที่สาม ไม่กล้าที่จะตัดสินใจลงรับพวกเจ้านายของมัน เนื่องจากปืนกลหนักที่ยิงสาดลงมาเป็นสายจากยอดเนินสกายไลน์นั้น
นักบินคงได้รับการอัดฉีดเข้าไปเป็นจำนวนมหาศาล ถึงได้ยอม “เสี่ยงตาย” ฝ่าห่ากระสุนที่โปรยปรายลงมาไม่ขาดระยะเช่นนั้น
เจ้าปอร์ตเตอร์ตัดสินใจ ลดเพดานบินถลาลงบนรันเวย์ทันที
มีเสียงกราวใหญ่ดังสนั่นหวั่นไหวพร้อมๆกับแสงสว่างของกระสุนส่องแส่งวิ่งเป็นสายพุ่งมาจากยอดเนินสกายไลน์...ทิศทางของกระสุนคือเครื่องบินบ้าเลือดลำนั้น
อา ข้าศึกใช้ปืนกลหนักระดมยิงปอร์ตเตอร์เข้าให้แล้ว
คราวนี้ต่อให้บ้าเลือดขนาดใหนก็เห็นจะทนต่อไปไม่ไหวอีกแล้วครับ นักบินเร่งเครื่องยนต์เต็มที่...เชิดหัวดิ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยคามเร็วที่เร่งสุดขีดแทบเครื่องยนต์จะหลุดออกเป็นชิ้นๆ
ไปแล้วครับ เจ้าปอร์ตเตอร์ที่เมินหนีต่อเงินโอเวอร์ไทมส์อย่างไม่ยอมแยแส มันบินหนีไปเสียแล้ว ปล่อยให้ “นอร์แมน” ถอดหมวกออกขว้างลงกับพื้นสนามแล้วใช้เท้ากระทืบด้วยความโมโหสุดขีด
ชะรอยพวกข้าศึกมันคงจะตรวจการณ์เห็นกลุ่มฝรั่งที่ยืนออกันแน่น ณ บริเวณ “เม็นแล้ม” มันก็เลยปล่อย ปรส. 75 ลงมา 3 นัดซ้อนๆ
คราวนี้การแข่งขันวิ่งเร็วที่ความเร็วอาจทำลายสถิติโอลิมปิคก็ได้บังเกิดขึ้น กลุ่มฝรั่งแตกฮือเผ่นกันอย่างลืมตาย วิ่งเกาะกันมุ่งหน้าเข้ามายังกองบัญชาการท่ามกลางเสียงเชียร์และเสียงหัวเราะเกรียวกราวของกลุ่มทหารรับจ้างที่ยืนดูอยู่ข้างแนวกระสอบทราย
“นอร์แมน” ใช้ช่วงขาที่ยาวเหยียดสปีดฝีเท้าพาตัวเองมาถึง บก.ล่องแจ้งก่อนเพื่อน
เท่าที่ผมทราบจากเพื่อนๆในวันนั้น อาการของนอร์แมนหนักกว่าเพื่อน พอมาถึง บก.ล่องแจ้งก็ชักพะงาบๆ ร้อนถึงคุณหมอ “ชลกร” ผู้สามารถ ต้องเข้ามาแก้ไข อาการของนอร์แมนจึงพ้น “โคม่า” ไปได้อย่างหวุดหวิด
เนินสกายไลน์ทู...ตั้งแต่ชาร์ลี-แทงโก้ ชาร์ลี-อัลฟ่า ไปจนถึง ชาร์ลี-ออสก้า ตกอยู่ในความยึดครองของทหารเวียดนามเหนือจนหมดสิ้นในพลบค่ำวันนั้นเอง
“ไทเกอร์” พาทหารเดนตายจากกองพัน 617 เข้ามาเสริมแนวที่มั่นของกองร้อยที่ 3 ของกองพันที่ผมประจำอยู่โดยเรียบร้อย
และจากการสำรวจยอดครั้งสุดท้ายเป็นที่น่าสังเกตุว่าทหารสูญหายไปเกือบ 80 คน ซึ่งการสูญหายครั้งนี้ ยังเป็นปัญหาที่จะจำหน่ายกำลังพลลงไปอย่างแน่นอนไม่ได้ว่า
“ยอดเหล่านี้เป็นยอดกำลังพลที่สูญเสียในการประทะกับเนินสกายไลน์อย่างแท้จริง”
ทางกองพันส่วนหลังจะต้องใช้เวลา 4 ถึง 5 วันที่จะคอยเช็คยอดทหารรับจ้างที่กระจัดกระจายหนีตายไปรอบๆทิศ
ทั้งๆที่เนินสกายไลน์ห่างจากเมืองล่องแจ้งเพียง 5 กิโลเมตร แต่ทหารรับจ้างบางคนก็ต้องใช้เวลาถึง 4 วันกว่าจะเล็ดลอดเข้าไปยัง บก.ส่วนหลังที่เมืองล่องแจ้งได้
จากการสอบถามทหารรับจ้างที่บาดเจ็บบางคนที่ซ่อนตัวเองอยู่ในบริเวณฐานปฏิบัติการ ทำให้ บก.ล่องแจ้งสามารถประเมินข่าวได้ว่า ทหารเวียดนามเหนือใช้กำลังพลถึง 2 กองพัน (800 คน) ขึ้นบุกขยี้เนินสกายไลน์จนพังพินาศ
เป็นที่น่าสังเกตุว่า หลังจากทหารเวียดนามเหนือยึดยอดเนินดังกล่าวได้แล้ว กำลังพลส่วนใหญ่ของมันจะถอนตัวกลับลงไปแล้วทิ้งหน่วยระวังป้องกันเอาไว้จำนวนเล็กน้อยเท่านั้น
มันเป็นปัญหาว่า กำลังส่วนใหญ่ของข้าศึกซุกซ่อนอยู่ที่ใหน
พวกมันลำเลียงและส่งกำลังบำรุงกันได้อย่างไร ทหารนับพันๆคน การขนส่งอาวุธหรืออาหารจะต้องมีกรรมวิธีที่ยุ่งยากลำบากนานาประการ
ทำไมฝ่ายเราถึงไม่เคยทราบข่าวคราวหรือตรวจการณ์พบขบวนลำเลียงของพวกข้าศึกเลย หรือว่าข้าศึกอาจจะมี “ชอปเปอร์” คอยบินส่งอาหารและอาวุธมาจากทุ่งไหหิน หรือคิดแบบบ้าๆ ว่า “แอร์-อมริกัน” คงจะเล่นตลกกับพวกผมเข้าแล้ว เผลอๆก็เลยถือโอกาสรับจ้างพวกเวียดนามเหนือขนอาวุธยุทโธปกรณ์แลกเงินค่าจ้างทั้งสองฝ่ายสบายแฮไปเลย
คืนนั้นทั้งคืนกองพันของผมไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเลย ทั้งผู้พันและลูกแถวถ่างตาคอยข้าศึกอยู่ตลอดเวลาด้วยความระแวดระวัง
เงียบ เงียบเสียจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง ยิ่งตกดึกยิ่งเกิดบรรยากาศที่น่าวังเวงขึ้นทุกที จนทำให้พวกทหารรับจ้างตามร่องสนามเพลาะเกิดอาการกริ่งเกรง กลัวพวก “แซปเปอร์” (หน่วยกล้าตาย) ของข้าศึกจะลอบคลานขึ้นมาจากหุบเบื้องล่าง ต้องขออนุญาตขว้างระเบิดหรือยิงปืน M-79 ออกไปนอกรั้วลวดหนาม อันเป็นการเคลียร์พื้นที่ไปในตัว
ตลอดทั้งคืนนั้น เหตุการณ์เลวร้ายก็ยังไม่เกิดขึ้น ทำให้พวกผมได้พักผ่อนร่างกายเอาตอนก่อนสว่างนั่นเอง ถึงแม้จะเป็นเวลาไม่ถึงชั่วโมง ก็สามารถขับไล่ความเมื่อยล้าให้หมดไปได้บ้างพอสมควร
ก่อนสองโมงเช้า กองร้อยที่ 2 ที่ป้องกันที่ประทับของเจ้ามหาชีวิตก็ได้รับคำสั่งจาก บก.ล่องแจ้ง ให้เคลื่อนย้ายไปป้องกัน “โรงเรียน ผบ.ร้อยทหารแม้ว” ที่ตั้งอยู่บริเวณตีนเขาสกายไลน์และอยู่ห่างจากฐานปฏิบัติการของข้าศึกเพียง 2 ก.ม.เท่านั้น
ด้วยกำลังพลเพียง 120 คน บก.ล่องแจ้งมอบภาระกิจที่หนักอึ้งให้กับกองร้อยที่ 2 อีกแล้ว มันเป็นปัญหาว่า ถ้าข้าศึกเกิด “แหยม” ลงมาจากยอดเนินพร้อมกับเข้ “าแหย่” ด้วยการลอบเข้าโจมตีฉาบฉวย กองร้อยที่ 2 ของกองพันเราจะสามารถ “ รับ” ได้หรือไม่”
ปัญหาอันนี้แหละครับ ที่กองสิงห์ปรับทุกข์กับผมด้วยความห่วงใยในชะตากรรมของลูกน้องที่ต้องมาตั้งฐานโดดเดี่ยวห่างจากกองพันไปคนละทิศละทาง
ในขณะที่การขนย้ายกำลังดำเนินอยู่นั้น ทาง บก.ล่องแจ้ง ก็ประชุมวางแผนยับยั้งข้าศึกที่ยึดเนินสกายไลน์เกือบตลอดทั้งเนิน ด้วยการเคลื่อยย้ายทหารราบไปตั้งรับเป็นแนวตลอดความยาวของรันเวย์สนามบินด้วยหวังเพียงจะยันการบุกของข้าศึกที่ทะลักลงมาจากเนินสกายไลน์แล้วข้ามสนามบินมุ่งเข้าโจมตีเมืองล่องแจ้งในวาระต่อไป
เพื่อหวังผลเด็ดขาด “ดาวขาว” (นายพลวังเปา) ได้ร้องขอ B-52 ถล่มเนินสกายไลน์อีกครั้งภายในเที่ยงคืนของวันนั้น
ด้วยความกลัวว่าความลับในการทิ้งระเบิดจะรั่วไหล บก.ล่องแจ้งมิได้แจ้งให้กองพันทหารรับจ้างทุกกองพันทราบอย่างเด็ดขาด
ผลจากการทิ้งระเบิดในคืนนี้ ทหารกองร้อยที่ 2 ของกองพันของผมกฌต้องสังเวยชีวิตไป 3 คนเนื่องจาก อำนาจสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงที่ทำให้ “บังเกอร์” ถล่มทลายลงมาพังทับทหารรับจ้าง ที่กำลังนอนหลับอยู่อย่างสุขารมณ์
กว่าจะขุดรื้อซากบังเกอร์เอาออกมาได้ สามในสี่ก็หมดลมหายใจไปเสียแล้ว ปล่อยให้ ส.อ.แฟง แสงทอง รอง ผบ.หมวดที่นอนเอาหัวออกนอกบังเกอร์รอดชีวิตไปอย่างหงุดหงิดแต่เพียงคนเดียว
ทั่วทั้งเนินสกายไลน์ไฟลุกท่วมไปหมด ความสว่างไสวของแสงไฟและอำนาจระเบิดที่รุนแรงของมัน ทำให้ทหารรับจ้างทุกกองพัน เกิดความระส่ำระสายจนแทบจะสั่งการไม่ได้ คว้าเป้สนามขึ้นใส่หลังทำท่าจะเผ่นหนีออกไปจากฐานท่าเดียว แต่พอรู้ว่า B-52 มาทำงานเท่านั้น ก็บังเกิดความดีใจดห่ร้องพร้อมๆกัน ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วเนินสกายไลน์
แน่นอนเหลือเกิน ถ้ากองพันทหารเวียดนามเหนือตั้งกองบัญชาการอยู่บนฐานดังกล่าวในคืน ก็เป็นอันเชื่อได้ว่า จะต้องประสพกับความสูญเสียอย่างชนิดละลายหมดทั้งกองพลเลยทีเดียว
ทหารเวียดนามเหนือมีสภาพเหมือนกับ “กองพันปิศาจ” เข้าทำนอง “รบมาก-ย่อมรู้มาก” พวกมันอาจจะรู้แกว ถอยลงไปจากยอดเนิน แล้วซุกซ่อนอยู่ตามถ้ำหินใหญ่บริเวณ “หมู่บ้านน้ำชา” ตามคำบอกเล่าของทหารรับจ้างที่บาดเจ็บกระเวอะกระเซิงหลบหนีมาถึง บก.ล่องแจ้ง ก็อาจจะเป็นได้ ถ้าเป็นความจริง...กำลังพลส่วนใหญ่ของเวียดนามเหนือ ก็จะต้องเหลือรอดอยู่มิใช่น้อย
อา! เมืองล่องแจ้งเห็นทีจะต้องพบกับศึกหนักอีกแล้วละกะมัง...

ตลาดปืนมือ 2  วันนี้ มี .357 ยาว 8 นิ้วด้วย http://2013.gun.in.th/index.php?board=6.0  (สมัครสมาชิก)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 25, 2015, 10:13:00 AM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11693 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2015, 10:06:08 AM »

"อย่ามาตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา"

ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 9
ควันไฟที่คละคลุ้งอยู่บนยอดเนินสกายไลน์ตั้งแต่ “ชาร์ลี-แทงโก้” ไปจนสุด “ชาร์ลี-ออสก้า” ที่เกิดจากอำนาจระเบิดของเครื่องบิน B-52 เมื่อตอนดึกของเมื่อคืน ยังปรากฏอยู่เป็นหย่อมๆไปทั่วอาณาบริเวณ
พอแสงอาทิตย์ส่องจ้าขับไล่สายหมอกบางๆที่ครอบคลุมยอดเนินจนมองเห็นแต่เพียงรางๆไปจนหมดสิ้น
ภาพภูเขาๆหัวโล้นก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่ ขณะนี้ยอดที่สูงที่สุดของเนินสกายไลน์ทู แหว่งหายไปจนมองเห็นด้วยสายตาเปล่าอย่างถนัดชัดเจน สีเขียวสดของแมกไม้ที่มองดูเขียวสดชั่วนาตาปีของเนินสกายไลน์เปลี่ยนเป็นสีแดงของเนื้อดินที่ถูกอำนาจขุดคุ้ยของแรงระเบิดพลิกขึ้นมาแทนที่
จากการตรวจการณ์ด้วยกล้องสนามแรงสูงปรากฏหลุมบ่อมหึมาคล้ายๆกับเตาขนมครกขนาดยักษ์ที่ถูกอำนาจลึกลับจับขึ้นไปวางพาดขวางบนแนวสกายไลน์และเป็นที่น่าสังเกตุว่า หลุมเหล่านั้นเกาะกลุ่มเหมือนวิถีกระสุนที่บรรดามือปืนฝีมือเยี่ยมทั้งหลายบรรจงเหนี่ยวไกปล่อยกระสุนเข้าสู่เป้าด้วยแนวกระสุนที่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนอย่างสวยงาม
ไม่มีหลุมระเบิดแตกกลุ่มออกมาจากเนินสกายไลน์ลงมาป้วนเปี้ยนอยู่แถวหมู่บ้านชาวแม้วที่มองเห็นลิบๆอยู่เบื้องล่างเลยแม้แต่หลุมเดียว อย่างดีก็เพียงหล่นจากยอดเนินหลุดออกมาระเบิดเป็นรอยแหว่งอยู่ ณ บริเวณร่องสันเขาที่เป็นร่องน้ำเพียงสองสามหลุมเท่านั้น
ผมเพิ่งเคยเห็นความแม่นยำในการทิ้งระเบิดจากเครื่องอิเล็กโทรนิคของเครื่องบิน B-52 ในครั้งนี้เอง ทุกครั้ง B-52 บินไม่เคยต่ำกว่าสองหมื่นฟิตด้วยอำนาจกลไกที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ระเบิดหล่นสู่เป้าหมายได้เกือบร้อยเปอร์เซนต์เต็ม
เสียงแหลมเล็กของเครื่องบิน “L-19” สองเครื่องที่เพิ่งบินมาจากสนามบินนาซู บินร่อนเล่นลมอยู่สูงลิบเหนือเนินสกายไลน์ทู เจ้าสไปร้ทเพื่อนรักของผมคงจะได้เครื่องบินประจำตัวใหม่แล้ว ผมเห็นว่าสไปร้ทกำลังบินตรวจการณ์ ก็เลยไม่กล้ากระเซ้าเย้าแหย่มันทางวิทยุเหมือนที่เคยทำ อย่างดีที่ผมกระทำก็คือ หมุนปุ่มวิทยุปรับความถี่ให้ตรงกับ “ไอ้ปากหมา” คอยรับฟังข่าวคราวที่สไปร้ทกำลังจะรายงานผลความเสียหายและการเคลื่อนไหวให้ “เบาน์เดอร์ คอนโทรล” (ศูนย์บังคับบัญชาพวกล่ามที่ขึ้นตรงต่อ ซี.ไอ.เอ.โดยเฉพาะ) ทราบ
สนามบินเมืองล่องแจ้งถูกปิดการจราจรทางอากาศ ไปโดยปริยายอุปกรณ์สงครามถูกลำเลียงเอามาเก็บไว้ ณ สนามบินนาซู เม็นแล้มที่เคยคึกคัก บัดนี้เงียบเชียบเหมือนป่าช้า อย่าว่าแต่คนเลยครับ แม้แต่สุนัขเลี้ยงของชาวแม้วก็ยังไม่กล้าที่จะเดินผ่าน คล้ายๆกับพวกสัตว์เหล่านี้มันมีสัญชาตญาณ ที่พอจะรู้ว่าอำนาจระเบิดเหล่านี้สามารถทำให้มันตายได้ ผมเคยเห็นมันวิ่งหางจุกตูดกัน เมื่อตอนลูกระเบิดถล่มล่องแจ้งแล้วอดเวทนามันไม่ได้ ทั้งคนทั้งสัตว์ต่างก็มีความกลัวต่อความตายเหมือนกันทั้งนั้น
ตลาดล่องแจ้งปิดตัวเอง ตั้งแต่เนินสกายไลน์ทูโดนโจมตี ประชาชนก็เริ่มอพยพออกจากหมู่บ้านอีกครั้งและครั้งนี้ถึงกับใช้รถยนต์ขนข้าวขนของออกไปเลยทีเดียว จะมีเหลืออยู่ก็เพียงผู้ถือโอกาสขายของกินเล็กๆน้อยๆ ด้วยราคาที่สูงลิบลิ่วเท่านั้นเอง
หน่วยระวังป้องกันสนามบินที่ขนานนามตัวเองว่า “สิงห์ทะเลทราย” ใช้รถจิ๊ปติดปืน ปรส.ขนาดเล็ก หน้ารถก็ติดตั้งปืนกลแบบ M-60 พร้อมด้วยทหารรับจ้างเดนตายที่แตกจากทุ่งไหหิน คุมกำลังออกกวาดล้างบริเวณเมืองล่องแจ้งด้วยหัวใจที่คลั่งแค้นและอาฆาตทหารเวียดนามเหนือจนเข้ากระดูกดำ
ทหารเวียดนามเหนืออย่าให้พวกสิงห์ทะเลทรายเหล่านี้เห็นเข้าเป็นอันขาดเลยนะครับ พวกเขาจะฆ่าอย่างไม่ปราณีเลยทีเดียว ฆ่าไม่ฆ่าเปล่ายังมีการทารุณศพด้วยกรรมวิธีพิสดาร ยกตัวอย่างเช่น แหวะอกทหารเวียดนามเหนือลากลำไส้ออกมาสับทิ้งแล้วตัดเครื่องเพศออกมางัดปากให้กว้างเต็มที่ ยัดเครื่องเพศของข้าศึกให้งับติดเอาไว้ที่บริเวณริมฝีปากนั่นเอง
ผมเคยถามว่า ทำไมทารุณศพพวกเขามากมายถึงขนาดนี้ ทหารรับจ้างเหล่านั้นกัดกรามแน่น หันมาตอบผมอย่างเครียดแค้นว่า
“แค่นี้ยังไม่สาแก่ใจพวกผมหรอกครับ เมื่อตอนผมแตกมาจาก “ภูห่วง” ขนาดเพื่อนผมยกมือยอมแพ้ มันยังยิงด้วยอาร์ก้าอย่างไม่ปราณีปราศัย คนเจ็บคนตายที่นอนระเกะระกะมันใช้ดาบปลายปืนทิ่มแทงอย่างโหดร้าย ผมหนีพวกมันมาเกือบเดือน คราวนี้เป็นทีของผมบ้าง ผมปฏิญาณเอาไว้แล้ว จะไม่ไว้ชีวิตของพวกมันแม้แต่คนเดียว”
ผมก็เลยต้องเดินหนี ไม่กล้าที่จะพุดคุยกับทหารรับจ้างหน่วยสิงห์ทะเลทรายอีกต่อไป เพราะผมสังเกตุเห็นแววตาของทหารดังกล่าว ชักจะแวววาวด้วยความบ้าเลือดขึ้นมาทุกที จับพลัดจับผลูเห็นหน้าผมเป็น “ไอ้แกว” ขึ้นมา ผมก็เสร็จเท่านั้น
ภูมิประเทศที่ใดที่กองพันทหารรับจ้างสงสัยว่าจะมี “ตรวจการณ์หน้า” ของข้าศึกซุกซ่อนอยู่ขอให้บอกมาเถอะครับ ต่อให้หนทางลำบากขนาดใหน ขอให้รถจิ๊ปบุกเข้าไปได้เท่านั้นแหละครับ ด้วยกำลังพลเพียง 5-6 คน หน่วยสิงห์ทะเลทรายจะบึ่งเข้าไปกวาดล้างในทันทีทันใดเลยทีเดียว
กองพัน 617 ถอยลงมาจากเนินสกายไลน์ได้รับคำสั่งให้ถอนออกจาก “ชาร์ลี-บราโว่” เมื่อรวบรวมกำลังพลที่ บก.ส่วนหลัง จนได้กำลังพลที่กระจัดกระจายลงมาเรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้าขึ้นไปตั้งรับข้าศึก ณ บริเวณแพค “โฮเต็ล-แทงโก้” ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ของ บก.ล่องแจ้งนั่นเอง
เนื่องจาก “ภูเวียง” ผบ.พันคนเก่าเสียชีวิต ทาง บก.ล่องแจ้งต้องวิทยุเรียก “ขุนศึก” คนใหม่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดแถวๆชายแดนอีสานของประเทศไทยและในอดีตเคยบังคับบัญชากองพันที่ 601 มาแล้ว
“คำคม” หรือ สุภาพบุรุษจาก “ดงอีนำ” ได้บินมาถึงล่องแจ้งในเช้าวันนั้นเอง พอตกเย็นก็เข้ารับหน้าที่บังคับบัญชากองพันทหารรับจ้างที่ 617 แทน ผบ.พันคนเก่าทันที
“เบาเดอร์ จาก สไปร้ท มีข่าวด่วน พบกองทหารเวียดนามเหนือประมาน 2 กองพัน กำลังออกจากถ้ำที่บ้าน “น้ำชา” มุ่งหน้าขึ้นมาบนเนินสกายไลน์ทูตามเส้นทางเข้าฐาน ชาร์ลี-แทงโก้ โปรดขอเครื่องบินมาทำงานด่วนครับ”
เพียงคำรายงานของสไปร๊ทไม่กี่คำ สร้างความตื่นตระหนกให้กับกองบัญชาการล่องแจ้งอย่างเหลือหลาย พนักงานติดต่อจาก “เบาน์เดอร์” ตาลีตาเหลือกส่งวิทยุเข้าฐานบินอุดร เพื่อขอเครื่องบินแบบ F-105 มาโจมตีทิ้งระเบิดกองพันทหารเวียดนามเหนือที่กำลังเคลื่อนที่ผ่านสกายไลน์มุ่งหน้าเข้ายึด กองบัญชาการล่องแจ้งต่อไป
สไปร้ทดึงเครื่องบินตรวจการณ์ขึ้นสูงลิบอยู่เหนือก้อนเมฆ ชะรอยสไปร้ทมันคงจะรู้พิษสงของ ปตอ.ที่คุ้มกันขบวนทหารราบของทหารเวียดนามเหนือได้เป็นอย่างดี มันจึงเลิกนิสัยบ้าดีเดือดที่มันเคยทำเป็นนิจศีล บินลัดเลาะเล่นลมในระยะที่ ปตอ. ไม่สามารถจะสอยมันลงมาคลุกฝุ่นได้
กองพันของผมอยู่ในสภาพพร้อมรบตั้งแต่เมื่อวาน จึงไม่มีปัญหาอะไรที่จะสร้างความหนักอกหนักใจมากนัก
อีกประการหนึ่ง ขบวนรถถังของข้าศึกที่เหลืออยู่เพียง 3 คัน ก็สงบเงียบจนพวกผมพากันคิดว่า รถถังของพวกมันคงชำรุด หรือไม่ก็ขาดน้ำมันจนไม่สามารถบุกตะลุยฐานของพวกผมได้ต่อไปอีกพวกมันคงจะรอจังหวะหรือว่ารอน้ำมันจากกองส่งกำลังบำรุง ซึ่งกำลังซุกซ่อนและแฝงกายลำเลียงมาจากทุ่งไหหินโดยทางเท้า(ถนนที่สร้างเอาไว้บนภูเขา B-52 ทำลายลงบางส่วน จนไม่สามารถที่จะใช้เป็นทางคมนาคมได้)
ต่อจากนั้น ไม่ถึง 30 นาที ขบวนทหารราบของทหารเวียดนามเหนือก็พรั่งพรูขึ้นมาเต็มเนินสกายไลน์ทู มองเห็นจากล้องสนามเขียวพรืดไปหมดทั้งเนิน
เหมือนกับพระเจ้าช่วย เจ้า F-105 สามเครื่องลดเพดานบินวูบลงมาจากก้อนเมฆดิ่งเข้าเล่นงานทหารเวียดนามเหนือบนยอดเนินสกายไลน์อย่างรวดเร็ว
จรวดลูกแรกถูกยิงจากใต้ปีก ถล่มเข้าไปในกลางกลุ่มทหารเวียดนามเหนือ ประกายไฟผสมกับควันสีดำอมเทาพุ่งขึ้นสู่ฟ้าพร้อมๆกับเสียงระเบิดที่สะเทือนเลื่อนลั่น
กลุ่มทหารเวียดนามเหนือแตกฮือเหมือนกับผึ้งแตกรัง พากันวิ่งหนีเจ้า F-105 ที่กำลังยิงจรวดเข้าใส่อย่างเมามันอยู่บื้องบน
ทหารกลุ่มหนึ่งซึ่งจากการตรวจการณ์ของสไปร้ทที่อยู่บน “ไอ้ปากหมา” รายงานให้ทราบว่า มีประมาน 200 คนลงไปซ่อนอยู่ในหลุมระเบิด B-52 สองสามหลุมที่บริเวณล่องน้ำด้านลาดลงเมืองล่องแจ้ง
คราวนี้เจ้า F-105 ทั้งสามเครื่องปราดเข้ารุมกินโต๊ะเป็นจุดเดียวกันเลยทีเดียว
จรวดทั้งหมดที่อยู่ใต้ปีกถูกสวิทช์พุ่งถล่มลงไปในบริเวณก้นหลุม B-52 ที่ทหารเวียดนามเหนือซุกซ่อนอยู่อย่างชนิดเทกระจาดกันเลยทีเดียว
“ทั้งสามหลุมเกลี้ยงหมดเลยครับ โน่น วิ่งไปทางชาร์ลี-ออสก้าร์อีก 100 กว่าคน ช่วยไล่ต้อนกลับมาที่ชาร์ลี-แทงโก้ด้วยครับ”
สไปร้ทรายงานการเคลื่อนไหวของข้าศึกให้ F-105 ทราบอีกครั้ง
จรวดที่เหลือชุดสุดท้ายกระหน่ำทหารเวียดนามเหนือล้มระเนระนาด ที่รอดจากอำนาจระเบิดก็เผ่นลงจากเนินหาที่กำบังตามมีตามเกิด
ฝูงบินจากอุดรแห่กันมาเล่นสงครามเลือดบนเนินสกายไลน์อีก 3 ฝูงตามคำร้องขอของ “เบาน์เดอร์ คอนโทรล” ที่หวังจะถอนรากถอนโคนทหารเวียดนามเหนือให้เกลี้ยงทั้งเนินสกายไลน์
เจ้าสามเครื่องจากฝูงแรก แตกกลุ่มกันลงมาจากท้องฟ้าไล่ทิ้งระเบิดขับไล่ทหารเวียดนามเหนือ ซึ่งขระนี้กำลังหนีตายจากยอดเนินไปคนละทิศละทาง บางกลุ่มก็มุ่งหน้าไปทาง “ชาร์ลี-จูเลียต” ที่กองร้อยทั้งสองของกองพัน 616 ตั้งฐานขวางทางอยู่
“อิสเรสจากกองสิงห์ ข้าศึกประมาน 25 คน จากการตรวจการณ์ของไอ้ปากหมา กำลังเคลื่อนที่ไปที่ ชาร์ลี-จูเลียต ให้ระวังตัวด้วย”
“รับทราบ รับปฏิบัติครับ ขณะนี้ผมจัด “ชุดต้อนรับ” เอาใว้รับมือโดยเฉพาะเอาไว้แล้ว ก็ไอ้พวกหน่วยกล้าตาย ชุดเดิมของเรานั่นแหละครับ”
รอง ผบ.ร้อย กองร้อยท่สองกล่าวตอบ ผบ.พันของเขาออกไปอย่างรวดเร็ว
“บอกชุดกล้าตายของเราด้วย พยายามป้องกันฐานอย่างเต็มที่ ถ้าข้าศึกถอนตัว อั๊วมีรางวัลให้ “อาบน้ำ” ที่อุดร 3 วันพอใจมั้ย”
กองสิงห์ “ฉีดยา” ลูกน้องต่อไปอีก
“โอเคครับ ผู้พัน ไอ้พวกนี้มันอยากไปอาบน้ำที่อุดรจนตัวสั่นไปหมดแล้ว แบบนี้พวกมันสู้ตายแน่ครับ”
อิสเรสสวนคำพูดขึ้นมาทันทีทันควัน
ไม่มีกองทหารเวียดนามเหนือเหลืออยู่บนเนินสกายไลน์ทูอีกเลย จากการตรวจการณ์ของสไปร้ทที่บินลงต่ำ เมื่อเห็นว่าเหตุการณ์บนยอดเนินเข้าสู่สภาพปกติแล้ว
“ข้าศึกล้มตายประมานไม่ต่ำกว่า 700 คน ไอ้เฉพาะที่นอนสุมกันอยู่ในหลุม B-52 ก็กว่าครึ่งเข้าไปแล้วครับ ประเดี๋ยวผมจะถ่ายรูปลงไปให้ บก.ล่องแจ้งดูด้วยตนเอง”
สไปร้ทตะโกนก้องวิทยุ พร้อมกับโฉบบินตรวจการณืต่อไปอีกอย่างละเอียดถี่ถ้วน เสียงไชโยดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหวในห้องประชุม บก.ล่องแจ้ง พวกฝรั่งของ “ซี.ไอ.เอ” จับไม้จับมือกันเองด้วยความยินดีปราโมทย์ที่สามารถยับยั้งทหารเวียดนามเหนือที่กำลังมุ่งหน้าข้ามเนินสกายไลน์ลงมายัง บก.ล่องแจ้งลงได้
คราวนี้อนาคตของล่องแจ้งที่ริบหรี่ ที่จวนจะดับแหล่มิดับแหล่ก็สว่างขึ้นชั่วคราว เพราะอำนาจการทิ้งระเบิดของฝูงบินจากอุดร ข้าศึกจะต้องใช้เวลาอีกนานเหลือเกินกว่าจะรวบรวมกำลังบุกเข้าเมืองล่องแจ้งอีกครั้ง
อากาศที่สว่างจ้าของเมืองล่องแจ้งเริ่มทำพิษอีกแล้ว อยู่ดีๆสายหมอกก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว เริ่มปกคลุมเนินสกายไลน์จนมืดครึ้มไปหมด จนกระทั่ง “ไอ้ปากหมา” ทำงานไม่ได้ ต้องบินกลับไปยังนาซูในทันทีทันใดนั้นเอง
ยิ่งพลบค่ำมากเท่าใด สภาพเลวร้ายของอากาศก็ยิ่งทวีความมืดมากขึ้นเท่านั้น หมอกจับตัวลงต่ำ จนกระทั่งถึงตีนเขาสกายไลน์ และเริ่มลามเลียแผ่กว้างออกไปครอบคลุมอาณาบริเวณเมืองล่องแจ้งจนทึบไปหมดทั้งเมือง
สภาพอากาศเป็นใจให้กับข่าศึกเหลือเกิน คราวนี้เป็นโอกาสทองของพวกมันแล้ว พวกข้าศึกที่รอดชีวิตจากอำนาจระเบิดที่ซุกซ่อนอยู่ตามที่ต่างๆก็ค่อยๆทยอยกันออกมารวบรวมกำลังอย่างไม่ต้องคอยระมัดระวังการตรวจการณ์จากฝ่ายเราอีกต่อไป
คืนนั้น เป็นคืนที่ทหารรับจ้างจากกองร้อยที่สองของผมเตรียมพร้อมอย่างหนักที่สุด ทั้งลูกแถวและผู้บังคับบัญชาออกมานอนหมอบอยู่ในคูสนามเพลาะ อาวุธหนักและอาวุธประจำกายติดมืออยู่ตลอดเวลา พร้อมที่จะยิงได้ทันท่วงที
ไม่เสียหลายที่เตรียมรับมือพวกมันหรอกครับ ยังไม่ทันถึงห้าทุ่มดี พวกมันที่แตกฝูงลงมาจากเนินก็ประทะกับส่วนหน้าสุดของกองร้อยที่สองเข้าให้แล้ว
เนื่องจากคำว่า “อุดร” ที่กองสิงห์ให้คำมั่นสัญญากับหน่วยกล้าตายเอาไว้ ทำให้ทหารรับจ้างชุดนั้นสู้อย่างชนิดถวายหัวเลยทีเดียว
ทหารเวียดนามเหนือ 4-5 คนถูกอำนาจระเบิดมือของทหารรับจ้างนอนสุมกัน ณ บริเวณแท้งค์น้ำของโรงเรียน ผบ.ร้อยทหารแม้วนั่นเอง ที่เหลือก็วิ่งกระเจิงไปทาง “วัด” ที่อยู่หัวสนามบิน ก็เลยตกเข้าไปอยู่ในทิศทางปืนของกองพัน 618 เข้าไปอีก
คราวนี้ไม่รู้ว่าใครเป็นใครหรอกครับ ล่อกันให้มั่วไปหมด จนกระทั่งเสียงปืนอาร์ก้าที่กราดโต้ตอบขาดเสียงไป
ด้วยอำนาจของแฟลร์จากฐานปืนใหญ่ “แคนเดิ้ล” ที่ยิงสว่างโร่เหนือฐานกองพัน 618 สามารถตรวจการณ์พบทหารเวียดนามเหนือนอนตายอยู่อย่างถนัดชัดเจน
ไม่มีใครกล้าเข้าไปตรวจค้นหรอกครับ รอจนกระทั่งรุ่งเช้า หน่วยกล้าตายจึงออกไปเคลียร์พื้นที่ เคลียร์ไม่เคลียร์เปล่า ยังอุตส่าห์ยึดข้าวของสมบัติส่วนตัวของทหารเวียดนามเหนือที่เสียชีวิตติดมือกลับเข้ามาอีกด้วย
จากเอกสารและเครื่องหมายยศของผู้ตาย ทำให้เราทราบว่า ทหารกองพันนี้เป็นกองพันที่ 146 ของเวียดนามเหนือ หัวหน้าที่ควบคุมมียศเป็นนายร้อยโทและจากรูปถ่ายในซองธนบัตรยืนยันให้ บก.ล่องแจ้งทราบว่าทหารเวียดนามกองพันนี้ ผ่านการอบรมมาจากจีนแดงทั้งสิ้น
รวมเบ็ดเสร็จ 10 ศพพอดีที่ทหารรับจ้างของกองพันผสมสังหารข้าศึกได้ ทำให้ขวัญและกำลังใจของทหารรับจ้างที่เคยเกรงกลัวทหารเวียดนามเหนือเหมือนกับหนูกลัวแมวดีขึ้นแยะทีเดียว
จากคำสั่งของ บก.ล่องแจ้ง ให้กองพัน 618 และกองร้อยที่สองของ 616 จัดชุด “ล่าสังหาร” ขึ้นกวาดล้างบริเวณตีนเขาสกายไลน์ทูภายในเช้าวันนั้นเอง
ไม่มีพวกข้าศึกหลงเหลืออยู่หรอกครับ พวกมันที่เหลือรอดชีวิตก็พากันล่าถอยไปจากเนินสกายไลน์จนหมดสิ้น จะมีก็แต่ซากศพของพวกมันระเกะระกะไปทั่วอาณาบริเวณเท่านั้น
เหตุการณ์อันน่าสะพึงกลัวได้ผ่านพ้นไปในที่สุด และนอกจากเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ก็ไม่มีอะไรมาแผ้วพานมาทำความยุ่งยากให้กับพวกผมอีกเลย จนกระทั่งสามวันผ่านพ้นไปทาง บก.ล่องแจ้งก็ถอนกองร้อยที่สองให้ขึ้นไปเสริมกำลังบนเนินสกายไลน์ ที่ บก.พัน 616 ตั้งฐานอยู่ ตามคำร้องขอของกองสิงห์ ผบ.พัน 616 ที่ต้องการจะใกล้ชิดกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
เนินสกายไลน์วัน เป็นภูเขาแฝดสามยอด กองสิงห์คงจะเห็นว่า กองร้อยที่ 3 ที่อยู่บริเวณ “ชาร์ลี-บราโว่” มีสภาพภูมิประเทศที่กว้างเกินอำนาจป้องกันของกองร้อยที่ 3 ที่ขึ้นมารวมอยู่บนเนินสกายไลน์วันทั้งหมด
ทาง บก.ล่องแจ้งคงจะเล็งเห็นว่า ที่ตั้งฐาน 616 มีความสำคัญต่อกอง บก.ล่องแจ้งเป็นอันมาก ถ้าข้าศึกยึดฐานดังกล่าวได้ จะต้องใช้อาวุธหนักถล่มสนามบินได้สบายทีเดียว ก็เลยอนุมัติพร้อมกับส่งกองพัน 604 ขึ้นไปวางกำลังตั้งแต่ชาร์ลี-เอคโค่ เป็นต้นไปจนกระทั่งถึงชาร์ลี-บราโว่เลยทีเดียว
“เอาละครับ คราวนี้กองพันของผมมีครบทั้งสามกองร้อยแล้ว ขอให้พวกมันปีนเขาขึ้นมาเถอะ คงได้ฟัดกันสนุกมือละทีนี้”
กองสิงห์พูดขึ้นมา ในขณะที่พวกเรานั่งล้อมวงกันกินอาหารเย็น วันที่กองร้อยที่สามกำลังเคลื่อนย้ายกำลังพลเดินลัดเลาะตามถนนบนไหล่เขาขึ้นมาบนเนินสกายไลน์วันมองเห็นระยิบระยับไปหมด ผมอดขำไม่ได้ที่เห็นทหารรับจ้างบางคนไล่ต้อนจับเอา “ลา” ของชาวบ้านแม้วที่ทิ้งเอาไว้มาบรรทุกสัมภาระอย่างสบายใจเฉิบไปเลย แล้เจ้าลาดังกล่าวก้ไม่ยอมจากกองพันของผมไปจนกระทั่งมันเสียชีวิตเพราะบังเอิญเดินไปเหยียบเอากับระเบิดที่วางดักข้าศึกเอาไว้


ตลาดอุปกรณ์และส่วนควบ ปืน วันนี้  http://2013.gun.in.th/index.php?board=21.0 (อย่าลืมสมัครสมาชิก)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 26, 2015, 10:22:54 AM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11694 เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2015, 10:23:48 AM »

ตลาดอุปกรณ์และส่วนควบ ปืน วันนี้ http://2013.gun.in.th/index.php?board=21.0 (อย่าลืมสมัครสมาชิก)
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11695 เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2015, 10:33:01 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา"

ล่องแจ้ง สมรภูมินรก ตอนที่ 10

กองพันทหารรับจ้างที่ 616 ได้ดัดแปลงภูมิประเทศและเสริมสร้างป้อมสนามขนานใหญ่ ต้นหญ้าที่อยู่ขึ้นหนาทึบบริเวณรั้วลวดหนามถุกกลุ่มทหารรับจ้างจุดไฟเผาเตียนโล่งไปหมด ทั้งนี้เพื่อป้องกันข้าศึกแอบเข้ามาขุดรูซุกซ่อน “เกาะ” ฐานปฏิบัติการของฝ่ายเรา ผบ.พันได้วางแผนตั้งรับข้าศึกด้วยการตั้งฐานปฏิบัติการเป็นสัดส่วนอยู่บนยอดเนินทั้งสาม โดยจัดให้กองร้อยที่ 3 ตั้งอยู่ที่หัวเนินแรกที่มีรูปร่างคล้ายกับหัวช้างพร้อมกับมีหน้าที่คุ้มกัน บก.พันและหมวดอาวุธหนัก ใช้ชื่อ “แพ็ด” ตามรหัสว่า “ชาร์ลี-ชาร์ลี”

ส่วนยอดกลางที่สูงที่สุดของเนินสกายไลน์วันที่อยู่ถัดออกไปประมาน 480 เมตร ให้เป็นหน้าที่ของกองร้อยที่ 2 ที่เพิ่งเคลื่อนย้ายมาจาก ชาร์ลี-จูเลียต เนื่องจากมีพื้นที่แคบ ไม่เหมาะที่จะให้ “ชอปเปอร์” ส่งกำลังบำรุงได้ จึงใช้ “แพ็ด” ร่วมกับ บก.พัน

สำหรับปีกซ้ายสุดที่เป็นเนินลาดลงไปยังบริเวณหมู่บ้าน 50 หลัง ซึ่งมองเห็นลิอบๆอยู่เบื้องล่างนั้น กองร้อยที่ 1 ถูกจัดให้รับหน้าที่สกัดกั้นข้าศึกที่อาจจะทะลักมาจากสนามบินซำทอง ใช้รหัส ชาร์ลี-กอล์ฟ เป็นชื่อชอปเปอร์แพด

จากการประสานงานกับกองพัน 604 ซึ่งตั้งฐานปฏิบัติการตั้งแต่ทางแยกขึ้นเนินสกายไลน์ทู ไปจนกระทั่งถึงชาร์ลี-บราโว่ และต้องหยุดชะงักสะดุดอยู่เพียงแค่นั้น เพราะบริเวณต่อจากนั้นไปเป็นยอดเนินที่สูงที่สุดของสกายไลน์ทู ซึ่งบัดนี้ ถึงแม้ว่า B-52 จะโจมตีทิ้งระเบิดจนข้าศึกล้มตายเกือบหมดทั้งกองพันก็ตาม ปรากฏว่าข้าศึกที่รอดจากอำนาจการระเบิดได้กลับเข้ามายึดฐานปฏิบัติการเอาไว้อีก บางครั้งจะมองเห็นสัญญาณไฟโต้ตอบกันในเวลากลางคืนอย่างถนัดชัดเจน

พอตกถึงเวลากลางวัน ฝูงบินทิ้งระเบิดจากวังเวียงไม่ว่าจะเป็น F-105 หรือเจ้า T-28 ก็แห่กันมาเทกระจาดเข้าใส่เป้าหมายเหล่านั้นเป็นพัลวัล

เหมือนกับกองทัพปิศาจจริงๆครับ มิไยที่พวกเราจะโหมทิ้งระเบิดขนาดไหนก็ตามที พอตกตอนกลางคืนก็ยังมีแสงไฟโต้ตอบกันตามปกติอีก ทำให้ บก.ล่องแจ้งไม่กล้าที่จะตัดสินใจส่งกำลังทหารขึ้นยึดพื้นที่เหล่านั้นกลับคืนมา ก็เลยต้องตั้งฐานปฏิบัติการกันชนอยู่ห่างกันเพียงหนึ่งกิโลเมตรเท่านั้นเอง

จากบริเวณทางแยกจะมีถนนสร้างตามไหล่เขา ตัดขึ้นมายังฐานของกองพันของผม และพื้นที่เหล่านี้ ถ้าจะเปรียบก็เสมือนหนึ่งเป็นส่วนหน้าสุดที่กองพันของผมจะต้องวางแผนป้องกันเป็นพิเศษจริงๆ

กองสิงห์ต้องตัดสินใจแบ่งกำลังพลจากกองร้อยที่สองอีกสองหมวด ลงไปสร้างฐานปฏิบัติการในบริเวณดังกล่าว พร้อมด้วยอาวุธหนักแบบ ค.60 สองกระบอกที่ตั้งทิศทางการยิงไปยังเส้นทาง “ซำทอง-ล่องแจ้ง” ซึ่งทอดตัวเองคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา และปลายสุดของมันตัดตรงเข้ามาสดุดอยู่ในบริเวณทางแยกเบื้องหน้าพอดิบพอดี

หลังจากทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยตามแผนยุทธวิธีแล้ว กองสิงห์ก็ร้องขอปืนใหญ่จากฐานแคนเดิ้ล ยิงถล่มภูมิประเทศบริเวณรอบๆฐานและที่ที่ซึ่งสงสัยว่าพวกข้าศึกจะซ่อนพรางอยู่ เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็ม

“คราวนี้พวกเราจะได้นอนตาหลับกันบ้างล่ะ บอกตรงๆครับ คุณบิ๊กแมน ไอ้ถ้ำใหญ่ที่มีน้ำตกถ้ำนั้น ผมคิดว่าจะต้องเป็นที่รวมพลของพวกมันอย่างแน่ๆ แต่มันเรื่องอะไรที่ผมจะส่งคนของผมออกไปกวาดล้างพวกมัน...ลักษณะภูมิประเทศที่เป็น “ซอง” แบบนั้น กว่าเด็กของผมจะบุกเข้าไปถึงปากถ้ำ ก็เห็นจะเหลือรอดชีวิตเพียง 2-3 คนเท่านั้น ผมคิดว่าต่อให้สามกองพันก็ยังทำอะไรพวกมันไม่ได้”

กองสิงห์เอ่ยขึ้นมาในขณะที่นั่งตรวจการณ์ บริเวณปากถ้ำน้ำตกด้วยกล้องสนามอยู่บนแนวกระสอบทรายที่วางซ้อนกันเป็นแนวยาวคดเคี้ยวไปตามร่องสนามเพลาะ

“ผมรายงานไปทางเบาน์เดอร์-คอนโทรล ตั้งหลายครั้ง เขาก็ยังไม่เห็นจัดการอะไรให้เราซักที ผมเคยถามด้วยตนเอง มันกลับตอกหน้าผมเสียหน้าชาว่า “ยูมีหน้าที่เป็นล่าม ก็ทำหน้าที่ของยูไปก็แล้วกัน ยุทธวิธีเป็นหน้าที่ของเบาน์เดอร์...เข้าใจ๋” ผมโมโหก็เลยตะคอกมันกลับไปว่า “ยูจะปล่อยให้ข้าศึกมันรวบรวมกำลังอยู่ในที่อับกระสุน โดยฝ่ายเรานั่งงอมืองอเท้า นั่งกระดิกขามองดูเฉยๆ ก็เอาซีวะ สบายดีเสียอีก ไอ้เรื่องที่จะให้กำลังพลของอั๊วลงไปกวาดล้างโดยไม่ทิ้งระเบิดให้พวกอั๊วก่อน เห็นจะยากว่ะ พรรคพวก”

กองสิงห์หัวเราะพร้อมกับกล่าวต่อไปอีก

“ผมไม่อยากบอกกับพวกมันหรอกครับ ไอ้นอร์แมนมันเอาแต่ได้ของมันฝ่ายเดียว มันสั่งให้พวกเราบุกขยี้ข้าศึกโดยไม่คำนึงถึงผลเสียเปรียบได้เปรียบของภูมิประเทศ ถ้าพวกเราโชคดียึดฐานของข้าศึกได้ แสดงว่าแผนยุทธวิธีของนอร์แมนได้ผล เจ้านายของมันก็จะต้องเพิ่มเงินเดือนให้มันเท่านั้น แล้วทางเราจะมีอะไรดีขึ้นมาบ้าง นอกจากยอดความสูญเสียจะเพิ่มเป็นเงาตามตัวเท่านั้น นี่ขนาดยังไม่ประทะกับข้าศึก ทหารของผมก็ตายไป 16 คนแล้ว ไอ้นอร์แมนมันพูดว่ายังไงอีกครับ”

“ไอ้นอร์แมนมันตอบเสียงอ่อนลงว่า ไอ้ถ้ำใหญ่ถ้ำนั้น มันเห็นแล้ว ต่อให้เอา B-52 ทิ้งปูพรม พวกข้าศึกก็นั่งกระดิกเท้าฟังเสียงระเบิดสบายไปเท่านั้นเอง มันเป็นภูเขาหินทั้งลูกที่กองพันทหารแม้วที่ 222 และ 226 เคยเข้าไปหลบซ่อนอยู่ได้ท้งสองกองพัน แล้วยังเหลือพื้นที่พอที่จะเก็บสัมภาระและอาวุธยุทโธปกรณ์ได้อีกพะเรอเกวียน ยูไม่ต้องตกใจหรอก ทางเบาน์เดอร์กำลังรอกำลังพลจากทหารลาวที่ฝึกการรบอยู่ที่สุวรรณเขต ซึ่งขณะนี้เตรียมตัวจะเคลื่อนย้ายมาถึงล่องแจ้งภายในวันสองวันนี้ ไอจะให้กองพันทหารลาวดังกล่าวเป็นส่วนหน้า โจมตีขุมกำลังของข้าศึกในบริเวณถ้ำใหญ่ แล้วกองพัน 604 และ กองพันยูเข้าเป็นส่วนหนุน ยูพอใจไหม?”

“ถ้าเป็นอย่างที่นอร์แมนมัน “ยาหอม” ก็ดีซิครับ ผมพอจะเดาแผนของนอร์แมนออกอย่างทะลุปรุโปร่ง กองพันทหารลาว 5 กองพันที่กำลังฝึกอยู่ที่สุวรรณเขตเป็นกองพันเด็กหนุ่มที่ไม่เคยผ่านการรบมาก่อนเลย แน่นอนเหลือเกิน เด็กหนุ่มพวกนี้จะต้องฮึกเหิมอยากจะจับอาวุธยิงกราดให้ชุ่มมืออยู่ทุกขณะ นอร์แมนจะต้องส่งทหารลาวดังกล่าวขึ้นบุกสกายไลน์ทู เพื่อยึดฐานปฏิบัติการของเรากลับคืนมาให้ได้ คอยดูสิครับ เลือดจะต้องท่วมเนินสกายไลน์อีกครั้ง กองพันทหารลาวจะต้องพบกับการสูญเสียอย่างชนิดครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว”

กองสิงห์กล่าวขึ้นมา พร้อมกับห้อยกล้องสนามเอาใว้ที่บริเวณหน้าอก ต่อจากนั้นก็ลุกขึ้นชวนผมเดินกลับเข้ามายังศูนย์วิทยุของ บก.พัน เพื่อรับฟังข่าวคราวการเคลื่อนไหวของกองพันทหารรับจ้างอื่นๆต่อไป

“ทหารของใครครับที่เดินอยู่บริเวณท้ายสนามบิน มีกำลังพลประมาน 150 คน พร้อมด้วยอาวุธประจำกาย ขอให้ทาง บก.ล่องแจ้งช่วยตรวจสอบให้ด้วยครับ”

พนักงานวิทยุของกองพัน 604 ซึ่งตั้งฐานอยู่บนเนินบริเวณท้ายสนามบินตรวจการณ์พบกลุ่มทหารจึงรีบรายงานให้ทาง บก.ล่องแจ้งทราบโดยด่วน

ทาง บก.ล่องแจ้งยังมิได้สอบถามไปยังทาง ทชล. (ทหารชาติลาว) บรรดาทารรับจ้าง บก.พันส่วนหลังของกองพันต่างๆที่ทราบข่าวจากวิทยุที่ดักฟังการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ก็บังเกิดความอลเวงและตื่นตระหนก มิหนำซ้ำยังมีมนุษย์ตาแหกที่วิ่งหนีมาจากบริเวณตลาดล่องแจ้งพร้อมกับตะโกนเสียงหลงว่า

“ทหารแกวลงมาที่สนามบินแล้วโว้ย พวกมันกำลังบุกมาที่ บก.ล่องแจ้ง ตัวใครตัวมันโว้ย”

คราวนี้ก็ถึงวาระตัวใครตัวมันอีกครั้ง กลุ่มทหารรับจ้าง ไม่ว่าเจ้านายและลูกแถว ต่างก็คว้าเป้สนามขึ้นสะพายหลัง เผ่นตาลีตาเหลือกห้อแน่บไปยังบริเวณหลังที่ประทับกันเป็นพัลวัล

ยิ่งมีเสียงปืนกลรัวเป็นประทัดแตก ดังติดต่อกันเป็นระยะเข้าอีกแล้วด้วย ก็ยิ่งทำให้สถานะการณ์ดังกล่าวทวีความตึงเครียดขึ้นทุกขณะ

ทหารปืนใหญ่ที่แตกมาจากทุ่งไหหินกลุ่มหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่ยิง ค. 4.2 ณ บก.ส่วนหลัง แทนที่จะบรรจุลูกกระสุนเตรียมต่อสู้ กลับใช้ C4 อัดแน่นลงไปในลำกล้อง ล่ามสายชนวนระเบิดปืนจนกระทั่งปากกระบอกขาดกระจุยเหมือนโดนขวานจาม ต่อจากนั้นก็ติดตามกลุ่มทหารรับจ้างกองพันต่างๆ ซึ่งขณะนี้เกาะขบวนเดินลัดเลาะไปตามถนนบนไหล่เขา มุ่งหน้าไปยังเส้นทางที่ตัดตรงไปยังเมืองนาซูที่อยู่ห่างออกไปเกือบสี่สิบกิโลเมตร

หลังจากสอบถามกันเป็นโกลาหลอยู่ชั่วครู่ ทชล.ก็ตอบกลับมาว่า ทหารดังกล่าวเป็นกลุ่มทหารจากกองพันสุวรรณเขตที่ได้รับคำสั่งจาก พอ. โซราย่าให้กวาดล้างบริเวณท้ายสนามบิน และเนื่องจากเป็นเวลากระทันหัน จึงมิได้แจ้งให้ทาง บก.ล่องแจ้งทราบ...

กว่าจะรู้เรื่องกัน ก็เล่นเอาอลเวงไปทั้งล่องแจ้ง นอกจากนั้นก็ยังมี บก.ส่วนหลังของกองพันต่างๆเอาของส่วนตัวของทหารรับจ้างที่ฝากใส่ถุงทะเลเอาไว้ นำมารวมกันแล้วราดด้วยน้ำมันเบนซินเผาจนเกลี้ยงไปหมด เรื่องทั้งเรื่องมันก็ต้องหาทางจำหน่าย เพื่อเบิกทดแทนให้แก่ทหารเหล่านั้นอีกครั้ง

ผมโดนเรียกตัวลงมาช่วยราชการชั่วคราวอยู่ที่ “เบาน์เดอร์-คอนโทรล” ปล่อยให้ “เม้าส์แทร็ป” เฝ้าโยงอยู่กับกองสิงห์แต่เพียงลำพังบนฐาน “ชาร์ลี-ชาร์ลี”

ในที่สุดกำหนดการเคลื่อนย้ายของกองพันทหารลาวทั้ง 5 กองพันจากสุวรรณเขตมายังล่องแจ้งก็ได้มาถึง

ซี.ไอ.เอ. ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดให้เครื่องบินลำเลียงขนาดยักษ์ “C-123” (ไอ้หมู) เสี่ยงลงสนามบินล่องแจ้ง เพราะไม่มีวิธีการอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว บก.ล่องแจ้งต้องการใช้เวลาในการขนส่งให้เร็วที่สุด เท่าที่จะเร็วได้เพราะหมายกำหนดการในการเข้าตีเนินสกายไลน์-ทู ของกองพันทหารเหล่านี้ พร้อมที่จะปฏิบัติบัติการภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากการขนส่งได้เสร็จสิ้นลง

สนามบินล่องแจ้งถูกเคลียร์อย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง

พอถึงเวลา 9.00 น. “ไอ้หมู” ตัวแรกก็กางฐานล้อลดเพดานบินลงสู่รันเวย์ พอแตะพื้นเท่านั้นเอง...

เสียง “ตุ้ง…วี้ด...กรั้ม” ก็ดังขึ้นอย่างสนั่นหวั่นไหว พร้อมกับมีควันไฟสีขาวกระเด็นแวบขึ้นมา ณ บริเวณขอบรันเวย์ด้านนอก

อา...ข้าศึกใช้ ปรส.75 ยิงเครื่องบินลำเลียงเข้าให้แล้ว

“ไอ้หมู” เบรคอากาศ แล้วแท็กซี่เครื่องหลบเข้าไปในช่องเขาบริเวณสนามบิน ซึ่งเป็นบริเวณเดียวที่มีภูมิประเทศ “อับกระสุน” พร้อมกับเปิดประตูด้านท้ายออกอย่างรวดเร็ว
กลุ่มทหารลาวทะลักกันลงมาเหมือนกับสายน้ำ ต่างคนต่างแต่งกันลงจากเครื่องบิน แล้ววิ่งไปหลบ “ลูกยาว” ของข้าศึกที่จ้องจะเล่นงานเครื่องบินลำเลียงอยู่ทุกขณะ

บก.ล่องแจ้งสั่งการให้ฐานปืนใหญ่ “แคนเดิ้ล” ยิงถล่มขึ้นไป ณ บริเวณที่ตั้งปืนของข้าศึกบนยอดเนิน “ชาร์ลี-แทงโก้” ในทันทีทันใด

ในขณะที่ปืนใหญ่กำลังสลุตกระสุนอยู่นั้น “ไอ้หมู” ได้โอกาสก็เร่งเครื่องยนต์เต็มที่พาเครื่อง “ไดร๊ฟ” ขึ้นสู่ท้องฟ้าเลี้ยวขวามุ่งหน้าไปยังสุวรรณเขตเพื่อขนย้ายกองพันทหารลาวต่อไป

“บอกเบาน์เดอร์ด้วยครับ เวลาผมยิงปืนใหญ่อย่าเพิ่งปล่อย “ไอ้หมู” เกิดโดนกระสุนของฝ่ายเราตก ใครจะรับผิดชอบครับ”

“ซีโร่” ศูนย์บังคับการยิงปืนใหญ่ต่อว่า “เบาน์เดอร์” ทางโทรศัพท์สนาม

“ผมบอกนักบินแล้วครับ นักบินเขาขอเสี่ยงเอง โดยจะใช้เวลาวิ่งบนรันเวย์ให้นานที่สุด กะว่าพอถึงหัวสนามบินก็จะไดร๊ฟเครื่องขึ้นไปเลย นักบินเขากะแล้วครับ ว่าระยะนั้นปลอดภัยจากวิถีกระสุนของปืนใหญ่ฝ่ายเราแน่ๆ”

“โอเคครับ ถ้าเขาจะเสี่ยงพวกเขาก็รับผิดชอบตัวของเขาเองก็แล้วกัน ผมมีหน้าที่ยิงคุ้มกัน อันตรายนอกเหนือจากนี้ ผมไม่ขอรับรู้ด้วย ถ้าจะเล่นพิเรนกันแบบนี้ก็ได้ ผมจะยิงแบบ “โซนสวิป” ให้อร่อยเหาะไปเลย”

พนักงานวิทยุจาก “ซีโร่” ส่งข่าวมาอีกครั้ง

คงจะเนื่องจากอำนาจการยิงที่รุนแรงของปืนใหญ่ฝ่ายเรา ทำให้ข้าศึกต้องลาก ปรส.75 ของมันลงไปหลบอยู่ในบังเกอร์ใต้ดิน และยิ่งไปกว่านั้น T-28 สามเครื่องที่บินตรงมาจากนาซู ก็ได้มาบินวนเวียนจ้องจะเล่นงาน จนข้าศึกต้องมุดหัวหลบซ่อนอยู่ภายในบังเกอร์ไม่กล้าโผล่ขึ้นมาเล่นงานฝ่ายเราอีก จนกระทั่งการขนย้ายทหารลาวทั้ง 5 กองพันได้เสร็จสิ้นลงภายในเย็นนั้น

ซี.ไอ.เอ. ได้กำหนดให้กองพันทหารลาวผู้กระหายเลือดทั้ง 4 กองพัน “เข้าตี” เนินสกายไลน์-ทู ในวันรุ่งขึ้น โดยมอบหมายให้กองพันแรก เข้าตี ทางด้าน ชาร์ลี-บราโว่ และอีกสองกองพันอ้อมขึ้นไปทางด้านทิศใต้บริเวณ ชาร์ลี-จูเลียต ให้เริ่มเข้าตีพร้อมๆกันในเวลา 07.00 น.

ส่วนอีกกองพันที่เหลือ พ.อ. โซราย่า มือขวาของท่านนายพลวังเปา ได้สั่งให้เคลื่อนย้ายไปตั้งฐานปฏิบัติการในบริเวณ “หมู่บ้านลาวรวมเผ่า” เพื่อป้องกันข้าศึกเล็ดลอดมายังเมืองล่องแจ้งจากด้านท้ายสนามบิน

ตามภารกิจที่ได้วางแผนกันเอาไว้ กองพันทหารลาวดังกล่าวจะเป็นผู้เข้าตี และเมื่อยึดที่หมายต่างๆได้ ก็จะให้กองพันทหารรับจ้างกองพันที่ 618 เป็นผู้ยึดรักษาแทน ต่อจากนั้นกองพันทหารลาวเหล่านี้จะมุ่งหน้าข้ามเนินสกายไลน์ไปยังสนามบิน “ป่าดง” เพื่ออ้อมเข้ายึดทุ่งไหหินในโอกาสถัดไป

กองพัน 618 ได้รับคำสั่งให้เคลื่อนย้ายติดตามกองพันทหารลาวในคืนนั้นเช่นกัน

พอถึงเวลา 05.30 น. ปืนใหญ่ทั้ง 4 กระบอกจากฐานแคนเดิ้ลและเฮอคิวลีสก็กระหน่ำเนินสกายไลน์-ทู โดยพร้อมเพรียงกันเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง

พอไดเวลากำหนดนัดหมาย “เข้าตี” กองพันทหารลาวและกองพันทหารรับจ้างที่ทำหน้าที่ส่วนหนุนก็พาเหรดขึ้นเนินสกายไลน์-ทูด้วยความระมัดระวัง

ตามปกติเนินสกายไลน์เคยถูกสายหมอกครอบคลุมอยู่แทบทุกวัน สำหรับเช้าวันนี้คล้ายๆกับจะเป็นนิมิตรที่ดีของกองพันทหารรับจ้างก้เหลือจะเดา ปรากฏว่าเนินเขาสกายไลน์สว่างโล่ง ทัศนวิสัยแจ่มชัด สามารถมองเห็นที่หมายด้วยสายตาเปล่า

พ.อ.โซราย่า มือขวาของท่านนายพลวังเปาแต่งชุดสนามพาทหารเข้าโจมตีด้วยตัวท่านเอง เสียงสั่งการของ พ.อ.โซราย่าดังลั่นทางวิทยุสนาม

พอกลุ่มหน้าสุดของทหารลาวเข้าใกล้ฐาน “ชาร์ลี-แทงโก้” ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อได้รับการทักทายด้วยปืนกลเบาของข้าศึกที่สาดเข้าใส่เป็นห่าฝน

“อย่าหยุดอยู่กับที่ เคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ พวกทหารแกวมันมีไม่กี่คนหรอกไอ้น้องแก้ว ขยี้มันให้เละอยู่ที่ฐานอย่าให้มันหนีรอดไปได้ แผ่นดินลาวต้องเป็นของคนลาวเท่านั้น รุกเข้าไป ไอ้หนู”

เสียงให้กำลังใจของ พ.อ.โซราย่าดังลั่นผ่านลำโพงวิทยุ “HT-2” จนได้ยินกันทั่วภายในห้องยุทธการล่องแจ้ง ซึ่งขณะนี้บรรยากาศกำลังเคร่งเครียดต่อสถานะการณ์ที่กำลังบังเกิดขึ้น บนสกายไลน์-ทู ในปัจจุบัน

ท่านนายพลวังเปาเอื้อมมืออกไปหยิบวิทยุมากดสวิทช์ กรอกคำสั่งไปยังสหายร่วมใจของท่านทันที

“โซราย่า นี่ผมวังเปาพูด บอกลูกๆของเราด้วยว่า ถ้าใครจับเชลยศึกได้ ให้ค่าหัวคนละ 4,000 บาท จับตายศพละ 300 บาท ให้ตัดหูข้าศึกรวบรวมลงมารับรางวัลที่ บก. ข้างล่าง อย่าเล่นตลกตัดหูข้าศึกที่โดนลูกระเบิด B-52 ตายนะโว้ย หูเน่าๆ อั๊วไม่จ่ายเงิน อั๊วต้องการหูสดๆ”

ท่านนายพลวังเปาพุดไปหัวเราะไปด้วยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

“ได้ยินเสียงท่านนายพลแล้วใช่ไหม ฆ่าพวกมันอย่าให้เหลือหลอ มันไม่เท่าไหร่หรอก ไอ้พวกแกว วันนี้พวกเราจะต้องหยุดพักกินข้าวกลางวันบน “ชาร์ลี-ออสก้า” ให้ได้”
พ.อ.โซราย่าให้กำลังใจลุกน้องต่อไป คงจะเป็นด้วยการ “อัดฉีด” จะให้รางวัลของท่านนายพลวังเปานั่นเอง ทำให้หน่วยกล้าตายของกองพันทหารลาว 3-4 คน เสี่ยงชีวิตเข้าตะลุยรังปืนกลของข้าศึกอย่างชนิดใครดีใครอยู่ เปิดฉากดวลระเบิดมือกันในระยะประชิด “M-26” กับ “สากกระเบือ” ของทหารเวียดนามเหนือขึ้นพร้อมๆกัน ทั้งทหารลาวและทหารเวียดนามเหนือแหลกเหลวไม่มีชิ้นดีสุมกันอยู่ ณ บริเวณรังปืนกลนั่นเอง

เสียงปืนกลของข้าศึกเงียบเสียงลงไปแล้ว กลุ่มทหารลาวบุกตะลุยผ่านขึ้นไปอย่างไม่รีรอ มุ่งหน้าขึ้นไปยังฐาน “ชาร์ลี-แทงโก้” ซึ่งมองเห็นลิบๆอยู่เบื้องหน้า

พอกลุ่มทหารลาวดังกล่าวเคลื่อนที่เข้าไปได้ระยะ เจ้าปืน ปรส. ที่ตั้งจังก้าอยู่บนเนิน “ชาร์ลี-แทงโก้” ก็คำรามพ่นกระสุนเข้าไปทักทายทันที เล่นเอากลุ่มทหารลาวต้องซุกตัวลงหมอบนิ่งกับพื้นดิน พร้อมกับส่งวิทยุขอความช่วยเหลือเสียงหลงมายังส่วนหนุนที่ตั้ง บก.อยู่เบื้องล่าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 27, 2015, 10:36:26 AM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11696 เมื่อ: กรกฎาคม 27, 2015, 10:44:28 AM »

อัพเดตปืนสวัสดิการณ์ ทุก หน่วยงาน  http://2013.gun.in.th/index.php?board=2.0  (สมัครสมาชิก)
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11697 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2015, 09:40:10 AM »

อัพเดต ตลาดปืนมือ 2 วันนี้ (ตลาดแตก ครับ ปืนออกมาเยอะ) (http://2013.gun.in.th/index.php?board=6.0 (อย่าลืมสมัครสมาชิกด้วยครับ)
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11698 เมื่อ: กรกฎาคม 28, 2015, 09:52:01 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา"

นักเขียนผู้ล่วงลับ "สยุมภู ทศพล" มีชื่อจริงว่า ประจิม วงศ์สุวรรณ

เกิดเมื่อพ.ศ.2480 เป็นคนจังหวัดนครราชสีมา บิดามารดามีอาชีพค้าขาย สยุมภูเป็นบุตรคนที่ 2 จากพี่น้อง 4 คน จบชั้นมัธยมปีที่6 จากโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย

ตามประวัติเป็นนักกรีฑาทีมชาติไทย เคยได้เหรียญทองคนแรกในกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 4 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ประเภทวิ่ง 400 เมตร และยังเคยไปร่วมมหกรรมกีฬาโลก แข่งโอลิมปิกที่กรุงโรม

ถามว่าเป็นมายังไงถึงมาแต่งนิยายสงครามก็คงเพราะ "สยุมภู ทศพล" สมัครเป็นทหารหลังจากเรียนจบใหม่ๆ และยังเคยเป็นทหารรับจ้างไปรบในลาว 1 ปี ถูกคอมมิวนิตส์จับเป็นเชลยศึกที่เดียนเบียนฟูอยู่ 2 ปี ก่อนถูกปล่อยตัวเป็นรุ่นแรกในสมัยรัฐบาลยุคหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ซึ่งจากประสบการณ์ที่เคยใช้ชีวิตในสนามรบ คงเป็นแรงบันดาลใจให้สยุมภูหันจับงานเขียนนิยายจนมีชื่อเสียงโด่งดัง

"สยุมภู ทศพล" เริ่มเขียนนวนิยายเป็นตอนๆ ครั้งแรกในนิตรสาร"จักรวาล รายสัปดาห์" เป็นนักเขียนรุ่นน้อง "พนมเทียน" ใช้นามปากกา "สยุมภู ทศพล" ครั้งแรกในนิยายเรื่องเฉือนคมเพชฌฆาต และยังเคยใช้นามปากกา "ทอง เทพบุตร"

ผลงานมีมากมาย อาทิ ดับรามสูร กองพันปิศาจ ชุมทางนรก เส้นทางนรก วันชโลมเลือด สงครามฝิ่นที่ภูหินตั้ง ไม่มีคำตอบจากทุ่งไหหิน ถล่มเนินสกายไลน์-วัน ค่ายนรกเดียนเบียนฟู

สยุมภู เขียนเรื่องแรกขณะอยู่ในสมรภูมิลาว ส่งมาที่จักรวาลรายสัปดาห์ เรื่อง " ละเลงเลือดที่ภูเทิง" รู้สึกว่าจะ 2 ตอนจบ แกบอกส่งมาก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ลงพิมพ์หรือเปล่า เพื่อนๆ ในสนามรบแหย่ว่า ป่านนี้ ลงตะกร้าไปแล้ว แต่ไม่นานนักก็ได้คิวลงพิมพ์ ปรากฏว่าผู้อ่านติดกันงอม หนังสือขายดีขึ้น จักรวาลย์ก ็จ่ายค่าเรื่องให้และขอให้สยุมภู เขียนส่งมาอีก สยุมภูเขียนเหตุการณ์รบในสมรภูมิแบบสถานที่จริง ชื่อทห ารจริง สถานการณ์จริง โรงพิมพ์ถูกสันติบาลเข้ามาพบ ขอให้ปกปิดบ้าง เพราะตอนนั้นสงครามลาวเป็นสงครามลั บต่อภายนอก..

ถล่มเนินสกายไลน์-วัน
วันชโลมเลือด
ทหารรับจ้างเดนตาย
เส้นทางนรก
เลือดท่วมปฐพีที่แม่น้ำงึม
วันมหาประลัย
คอมมานโดรับจ้าง
ด่านนรก
สงครามฝิ่นที่ภูหินตั้ง
นักรบรับจ้าง
หลั่งเลือดทาแผ่นดิน
เผชิญหน้ามัจจุราช
เกิดมาเพื่อฆ่า
สนามรบสนามเลือด
ชุมทางกล้าตาย
วีรบุรุษเสือพราน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 28, 2015, 10:15:05 AM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11699 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2015, 12:53:00 PM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือแค่ฟังคนอื่นเขามา"

กองพันมรณะ ตอนที่ 11
ด้วยการสนับสนุนของกองพันทหารรับจ้างที่ 618 ซึ่งตั้งปืน ค. แบบ 81 สองกระบอก ยิงเปิดทางข้ามศรีษะกลุ่มทหารลาว มุ่งทิศทางการยิงขึ้นไปบริเวณฐาน ชาร์ลี-แทงโก้ ด้วยการยิงชนิดโยกซ้ายโยกขวา บางครั้งก็ซัลโวถล่มอยู่ ณ จุดเดิมๆด้วยลูกสังหารติดๆกัน 6-7 ชุด ทำให้ ปรส.75 ทั้งสองกระบอกที่ตั้งจังก้าอยู่ ณ ที่ฐานยิง ชาร์ลี-แทงโก้ หมดพิษสงไปในทันทีทันใด
ทั้งพลบรรจุและพลยิงของข้าศึกหมดโอกาสที่จะออกจากหลุม ขึ้นมาปรับทิศทางการยิงของปืนได้ ด้วยอำนาจปืน ค. กดหัวข้าศึกจนกระทั่งต้องซุกตัวนิ่งอยู่กับพื้นสนามเพลาะ เปิดโอกาสให้หน่วยกล้าตายของลาวคืบคลานใกล้ที่หมายเข้าไปทุกที
ในที่สุด ค.81 ก็ถูกร้องขอให้ยุติการยิงชั่วคราว และในเวลาเดียวกัน กลุ่มทหารลาวก็คืบคลานเข้าถึงบริเวณที่ตั้งปืนของข้าศึกพอดี
ฉากการประจัญบานด้วยอาวุธสั้นก็ได้เปิดฉากขึ้นในทันทีทันใด
ทหารเวียดนามเหนือที่เหลืออยู่เพียง 2 หมวดเผ่นขึ้นจากร่องคูเหลด แต่ไม่ใช่หนีนะครับ พวกมันกระโจนเข้าห้ำหั่นกับกลุ่มทหารลาวย่างชนิดประชิดตัวเลยทีเดียว
เสียงปืนอาร์ก้ารัวถี่ยิบ บางครั้งก็มีเสียงระเบิดตูมใหญ่ของลูกระเบิดดังแทรกซ้อนขึ้นมาอีก กลุ่มทหารลาวที่แฝงกายเข้ามาเป็นชุดแรก ถูกความบ้าดีเดือดของทหารเวียดนามเหนือไล่สังหารตายยับอยู่ ณ บริเวณฐานปฏิบัติการนั่นเอง ส่วนที่เหลือรอดอยู่ 2-3 คนก็หันหลังกลับเผ่นลงจากยอดเนินอย่างขวัญเสีย
“ช่วยยิง M.60 คุ้มกันให้ด้วย ประเดี๋ยวจะส่งหน่วย “อินทรีดำ” ขึ้นบุกรังพวกมันอีกครั้ง”
พ.อ.โซราย่าตะโกนด้วยความโมโหที่มองเห็นลูกน้องตายยับต่อหน้าต่อตาเช่นนั้น
ปืน M.60 สองกระบอกรัวเป็นจังหวะติดต่อกัน พลยิงส่ายปากกระบอกสาดกระสุนเข้าใส่รังปืนข้าศึกเป็นห่าฝน และในขณะเดียวกันนั้น กลุ่มทหารลาวที่มีเครื่องแบบพิสดาลกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาจากแมกไม้ที่ปกคลุมเป็นหย่อมๆ ณ บริเวณสองข้างทางที่ใช้เป็นเส้นทางขึ้นโจมตีฐานปฏิบัติการของข้าศึก
ด้วยชุดสีดำสนิทไปทั้งร่าง ศรีษะถูกคาดเอาใว้ด้วยผ้าประเจียดสีแดง ปล่อยชายพู่ห้อยเอาไว้เบื้องหลัง บริเวณหน้าอกซ้ายเหนือราวนมมีเครื่องหมาย “นกอินทรี” ของกองรบพิเศษเมืองหลวงพระบางติดเอาใว้อย่างโก้หรู ทุกคนมีปืนกล M.16 เป็นอาวุธประจำกาย วิ่งซิกแซ็กเข้าหาข้าศึกด้วยยุทธวิธีที่ผ่านการฝึกจากศูนย์สงครามพิเศษมาอย่างช่ำชอง
สนุกแน่ครับ บ้าดีเดือดกับบ้าระห่ำได้เจอะกันแล้ว “หน่วยอินทรีดำ” เป็นหน่วยที่มีชื่อเสียงที่สุดของกองพันทหารแห่งประเทศลาว แทบทุกคนผ่านคอร์ส “แรงเย่อร์” และ “รีค่อน” อันแสนทรมานจากสัตหีบมาแล้วอย่างโชกโชน
การต่อสู้ด้วยมือเปล่าหรือเล่ห์เหลี่ยมทุกชนิดในการสังหารศัตรู ถูกบรรจุอยู่ในหัวสมองของหน่วยอินทรีดำมาช้านานและครั้งนี้ได้มีโอกาสเล่นกับของจริง ก็เลยทำให้หน่วยอินทรีดำชุดนี้มีความกระเหี้ยนกระหือมากขึ้น
เมื่อมองเห็นหน่วยกล้าตายวิ่งตะลุยขึ้นไปอย่างบ้าเลือดเช่นนั้น ทำให้กลุ่มทหารลาวที่รีรออยู่เบื้องหลังบังเกิดความอุ่นใจพากันเคลื่อนที่ติดตามขึ้นไปทันที
คราวนี้ไม่ต้องรอให้ทหารเวียดนามเหนือขึ้นมาจากร่องคูเหล็ดหรอกครับ หน่วยอินทรีดำกระโจนลง “ล่า” พวกข้าศึกถึงก้นหลุมเลยทีเดียว
ด้วยชั้นเชิงและความสามารถที่เทียบกันไม่ได้ ทหารเวียดนามเหนือถูกสังหารเกลี้ยงภายในเวลาอันรวดเร็ว ต่อจากนั้น หน่วยอินทรีดำก็ผละออกจากร่องสนามเพลาะบุกตะลุยเข้ายึดฐานปฏิบัติการ ชาร์ลี-แทงโก้ ซึ่งอยู่ห่างออกไปเพียง 50 เมตร
“สิงหะ (บก.ล่องแจ้ง) จากโซราย่า พวกเรายึดชาร์ลี-แทงโก้ ได้แล้วเมื่อเวลา 10.30 ขณะนี้กำลังเคลียร์รอบๆบริเวณอยู่ ถ้าทำ “ชอปเปอร์-แพ็ด” (ที่ให้เฮลิคอปเตอร์ลงพื้น) เสร็จเมื่อไหร่ กรุณาส่งน้ำยาดับกลิ่นขึ้นมาให้ด้วย เหม็นเหลือเกิน ศพพวกมันเน่าเละเทะไปหมด”
พ.อ.โซราย่า ส่งข่าวการปฏิบัติการให้ บก.สิงหะ (บก.ล่องแจ้ง) ทราบทางวิทยุสนาม
“ดีมาก โซราย่า ทางปีกขวาของเราก็ยึด ชาร์ลี-ออสก้า ได้แล้วเช่นกัน เหลืออยู่ตรงยอดครึ่งกลางแห่งเดียวเท่านั้น ผมคิดว่า ทหารของเราคงทำสำเร็จก่อน 2 โมงเย็นใช่ไหมครับ”
ท่านนายพลวังเปาย้อนถามมือขวาขึ้นไปอีกครั้ง
“ผมคิดว่าคงไม่เกิน 3 โมงแน่นอนครับ ขณะนี้ชุดอินทรีดำของเราล่วงหน้าขึ้นไป “เกาะ” ฐานข้าศึกเรียบร้อยแล้ว พร้อมเมื่อไหร่ผมจะให้ส่วนหนุนเคลื่อนตีเข้าตีฐาน “ชาร์ลี-อัลฟ่า” ทันที”
“ทหารของพวกมันมีกำลังพลประมานเท่าไหร่” วังเปาย้อนถาม
“มีไม่เกิน 20 คนครับ แต่ละคนก็อยู่ในสภาพที่อดอยากเพราะขาดแคลนอาหาร และเป็นที่น่าเสียดายไม่มีข้าศึกรอดชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว พวกมันชิงฆ่าตัวตายหมดครับ”
“ไม่เป็นไร ขอให้ทหารของเรายึดฐานกลับคืนมาได้ ผมก็ดีใจแล้วครับ เมื่อทำชอปเปอร์แพ็ดเสร็จ ผมจะขึ้นไปเยี่ยมทหารถึงบนฐานเลยทีเดียว”
“ท่านนายพล อย่าเพิ่งขึ้นมาตอนนี้เลยครับ มันอุจาดตาเหลือเกิน รอให้ทหารของเราจัดแจงเผาศพเหล่านี้ให้เรียบร้อยก่อนเถอะครับ”
“โอเค เพื่อนรัก เย็นนี่ถ้าเรียบร้อยแล้วคุณลงมาพักผ่อน แล้วพบกันตอนเย็นนะ ผมสั่งอุ้งตีนหมีเอาใว้ให้คุณเป็นพิเศษ”
“ขอบคุณท่านนายพลมากครับ” พ.อ.โซราย่ากล่าวตอบท่านนายพลวังเปาด้วยความดีใจที่จะได้ลิ้มรส “อุ้งตีนหมี” อันเป็นยาเสริมพลังเพศชั้นเยี่ยมจากตำหรับเก่าแก่ของชนเผ่าแม้ว
นับว่าเป็นการเข้าใจผิดอันใหญ่หลวงของ บก.ล่องแจ้งที่คาดการณ์เอาไว้ว่า จะต้องมีกำลังพลของข้าศึกยึดครองเนินสกายไลน์ทูเอาใว้อย่างมากมายเลยทีเดียว
ผิดคาดครับ มีข้าศึกอยู่เพียง 20 กว่าคนเท่านั้นเองที่ถูกมอบให้รับหน้าที่ “ลวง” พวกเราอยู่บนยอดเนิน อุปกรณ์ในการ “ลวง” ที่ฝ่ายค้นพบก็คือ โคมไฟขนาดใหญ่ พร้อมด้วยแบตเตอรี่ขนาดกระทัดรัดที่ใช้ส่งสัญญาณไฟ “โต้ตอบ” หลอกพวกเราอยู่เสมอๆในเวลากลางคืนนั่นเอง
ด้วยพลประจำโคมไฟเพียง 2 คน ทหารเวียดนามเหนือก็สามารถสร้างสถานการณ์ให้ฝ่ายเราประเมินกำลังของพวกมันผิดพลาดไปหมด พลประจำโคมสัญญาณเหล่านี้ มีหน้าที่เพียงเปิดโคมไฟหลอกล่อพวกเราเท่านั้น
แม้กระทั่งอาวุธหนัก ปรส.75 ทั้ง 2 กระบอกก็เป็นปืนของทหารรับจ้างที่ถอนตัวแล้วพากันทิ้งปืนเอาไว้นั่นเอง
ฐาน “ชาร์ลี-ออสก้า” มีข้าศึกอยู่เพียง 4 คนที่ผอมโซด้วยความอดอยาก ขนมโก๋ชิ้นสุดท้ายของข้าศึกถูกทหารลาวยึดเอามาแบ่งกันกินอย่างสนุกสนาน
ส่วนบนยอดเนินที่สูงที่สุดบนฐาน “ชาร์ลี-อัลฟ่า” พลประจำโคมไฟสองคนสุดท้ายปล่อยทีเด็ด สวมหัวใจสิงห์ด้วยการบรรจุดินระเบิดเต็มแผงหน้าอก แล้ววิ่ง “ชาร์จ” กลุ่มอินทรีดำแหลกลาญไป 6-7 คน ท่ามกลางความเป็นเดือดเป็นแนของทหารหน่วยนั้น
ชัยชนะอย่างเด็ดขาดตกเป็นของกองพันทหารลาวภายในเย็นวันนั้นเอง
ก่อนเวลา 15.00 น. เล็กน้อย ทุกสิ่งทุกอย่างบนเนินสกายไลน์ทู ก็เรียบร้อยพร้อมที่จะให้ชอปเปอร์บินขึ้นส่งกำลังบำรุงได้ตามปกติ
หน่วย เอ.ดี.เอส. ที่ปฏิบัติงานอยู่ ณ บริเวณลานจอด เริ่มออกเคลียร์รันเวย์ด้วยเครื่องตรวจวัตถุระเบิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ด้วยการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ การจราจรทางอากาศของสนามบินล่องแจ้งที่ปิดตายมาเกือบอาทิตย์ก็เริ่มเปิดการจราจรภายในเย็นวันนั้นเอง
กองพัน 618 ถูกฝูงชอปเปอร์หิ้วอาวุธยุทโธปกรณ์ขึ้นไปวางแนวแทนกองพันทหารลาวทั้ง 4 กองพันในวันต่อมา
หลังจากนั้น กองพันทหารลาวก็เริ่มเคลื่อนย้ายลงจากเนินสกายไลน์ทู มุ่งหน้าบุกป่าทึบไปยังสนามบิน “ป่าดง” เพื่อเข้าที่รวมพล รอแผนการที่จะบุกตะลุยเข้าทุ่งไหหินต่อไป
มันเป็นการสูญเสียที่น้อยเป็นประวัติการณ์ในการบุกเข้าโจมตีข้าศึก อย่างไรก็ดี นายพลวังเปาเสียอกเสียใจในการสูญเสียชีวิตของหน่วยอินทรีดำทั้ง 7 คนเป็นอย่างมาก ท่านเคยปรารภกับผมอยู่เสมอว่า หน่วยอินทรีดำหน่วยนี้ เป็นหน่วยที่ท่านภูมิใจอย่างที่สุด แล้วท่านก็เลยกระซิบบอกกับผมอย่างเปิดอกว่า แท้ที่จริงทหารชุดนี้ก็คือ หน่วยกล้าตายพิเศษที่ท่านจ้างมาจากศูนย์สงครามพิเศษประเทศไทยนั่นเอง
ทุกคนเป็นทหารรับจ้างชาวไทยล้วนๆ ที่เข้ามาเผชิญโชคในแผ่นดินลาวด้วยค่าจ้างเดือนละ 8,000 บาทต่อคน มีกำลังพลทั้งหมด 67 คนพอดี
ไอ้ความสงสัยที่ผมมีต่อทหารหน่วยนี้ เมื่อคราวพบครั้งแรกที่สนามบินล่องแจ้ง เมื่อตอนที่เคลื่อนย้ายมาจากสุวรรณเขตก็ประจวบเหมาะกันพอดี
ก็ใครจะไม่สงสัยเล่าครับ ผิวพรรณบางคนดำคล้ำเหมือนไทยอิสลามก็มี แถมบางคนก็เดาะพูดภาษาปักษ์ใต้กันหนุงหนิงไปหมด คราวแรกผมนึกว่าผมหูแว่วไปเสียอีก พอหันหน้าไปมองดู ทหารกลุ่มนั้นก็ทำเป็นนิ่งเฉยคล้ายๆกับกลัวคนอื่นจะสังเกตเห็นอะไรทำนองนั้น ลักษณะดังกล่าวตบตาผมไม่ได้หรอกครับ ลักษณะท่าทางของทหารหน่วยอินทรีดำมันผิดแปลกไปจากลักษณะของชาวแม้วหรือชาวลาวโดยทั่วไปอย่างสังเกตุเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการเดินเหิน ลักษณะจากศูนย์สงครามพิเศษที่ได้รับการฝึกจนเป็นกมลสันดาน มักจะแสดงออกมาด้วยความเคยชิน โดยที่ไม่รู้สึกตัวเองเลยแม้แต่น้อย มิน่าเล่ายุทธวิธีการรบที่เต็มไปด้วยแบบแผนอันรัดกุม จึงสามารถบดขยี้ข้าศึกที่ผ่านการรบมาชั่วนาตาปีลงได้อย่างสะดวกโยธิน
ค่าใช้จ่ายในการเข้าตี “เนินสกายไลน์” ประเมินอย่างคร่าวๆ เริ่มคิดตั้งแต่ ราคาของกระสุนปืนใหญ่แต่ละนัดที่ยิงถล่มทั้ง 4 กระบอกเป็นเวลาชั่วโมงครึ่ง คิดเป็นจำนวน 1,500 นัด “ลูกสังหาร” ตามราคาที่ประเมินเอาไว้ในคลังสนามตกลูกละ 900 บาท โดยเฉพาะค่าลูกกระสุนปืนใหญ่ก็ตกเข้าไปตั้ง 1,350,000 บาทเข้าไปแล้ว ไหนจะค่าลูกกระสุน M.16,M.60,M.79,M.72 ค.81 และค่าอะไรต่ออะไรปลีกย่อยที่ทหารต้องสูญไปอีก เช่นค่าทำขวัญทหารผู้เสียชีวิตที่ซี.ไอ.เอ. ต้องจ่ายให้ศพละ 100,000 บาท เข้าไปอีก
เราจะเห็นได้ว่า ซี.ไอ.เอ. ทุ่มทุนในสงครามลาวด้วยค่าใช้จ่ายวันหนึ่งๆอย่างมหาศาลเลยทีเดียว
อเมริกันจะได้อะไรในประเทศลาว?
จนด้วยเกล้าครับผม ไอ้ผมมันก็ชนชั้นกระจอกๆตามธรรมดานี่เอง แล้วจะมีหัวคิดปราดเปรื่องทางด้านการเมืองทันชาวบ้านเขาได้อย่างไร แต่ถ้าท่านถามผมมาอีกว่า ที่พวกเราดันสะเออะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาด้วย มันจะมีดีอะไรเกิดขึ้นบ้าง
สำหรับข้อนี้ ผมขอตอบเสียเลย เพราะไหนๆเหตุการณ์มันก็ผ่านเลยเถิดมาจนกระทั่งทหารรับจ้างสลายตัวออกมาจากประเทศลาวจนหมดสิ้นแล้ว
ข้อแรกเรามีโอกาสออกไปยันข้าศึกที่จะทะลักข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาก่อความยุ่งยากขึ้นภายในเขตของประเทศไทยเข้าทำนองกั้นรั้วนอกบ้านนั่นแหละครับ
ข้อสอง เงินสิครับใครจะไม่ชอบบ้าง ไม่รู้ว่ากี่ร้อยล้านกี่พันล้านที่ ซี.ไอ.เอ. ประเคนให้กับผู้บริหารงานกองบัญชาการเสือพราน
อยู่กับเงินซะอย่าง ไอ้ที่ไม่รั่วไหลเห็นจะยากส์ นิสัยคนไทยไอ้เรื่องจะไม่มีคอรัปชั่น หายากครับ ขนาดประมูลสร้างส้วมแท้ๆ พี่ไทยก็ยังเบียดบังผลประโยชน์กันเป็นว่าเล่น
สงครามลาวสร้างฐานะความเป็นอยู่ให้กับ “คนบางคน” อย่างล้นเหลือ และในทำนองเดียวกันสงครามลาวก็สร้างความหายนะให้กับชีวิตอาสาสมัครชาวไทย ล้มหายตายลงจากไปมิใช่น้อย
□□□□□□□□□□□□□□□□□□□□
เมื่อเหตุการณ์ทางด้านสกายไลน์ทูเข้าสู่สภาพปกติ ผมก็ถูกส่งตัวขึ้นไปบนฐานชาร์ลี-ชาร์ลี เพื่อประสานงานกับกองพันทหารรับจ้างที่ 616 อีกครั้ง
เพื่อให้กองพันทหารรับจ้างทั้งหลาย มีอำนาจการคุ้มครองจากปืนใหญ่โดยทั่วถึงกัน ทาง บก.ล่องแจ้งก็วางแผนให้ย้ายฐานปืนใหญ่จากเฮอคิวลิสขึ้นไปตั้งรวมอยู่กับ บก.พัน 616 เพื่อให้มีอำนาจการยิงครอบคลุมไปถึงสนามบินซำทองได้อย่างสบาย
และแล้วในวันรุ่งขึ้น ส่วนล่วงหน้าของฐานปืนเฮอร์คิวลีส ซึ่งประกอบด้วยกำลังทหารปืนใหญ่ 40 คน ก็ได้มาถึงฐานปฏิบัติการกองพันผม
หน้าที่ของทหารปืนใหญ่เหล่านี้ก็คือ จัดการสร้างฐานปืนให้เรียบร้อยก่อนที่เจ้า “สกายเครน” จะหิ้วเอาตัวปืนมาในภายหลัง
ทหารต่างกองพันเจอะกันเข้า ก็ไม่มีอะไรดีไปกว่าการพนันหรอกครับ “ไฮโล” คือการพนันที่ขึ้นหน้าขึ้นตาที่สุดในสมรภูมิลาว บริเวณหลังศูนย์วิทยุ บก.พัน ที่ผมใช้เป็นที่พักอาศัย กลายเป็นที่ชุมนุมของ “นักนิยมกระดูกเต้นรำ” กันให้คลั่กไปหมด ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องหรือเจ้านาย ต่างก็เชือดเฉือนกันอย่างหน้าดำหน้าแดง ลืมสถานการณ์ที่กริ่งเกรงไปชั่วขณะ
ข่าวคราวและวี่แววของข้าศึกที่ตั้งฐานอยู่ ณ สนามบินซำทองเงียบเชียบ จนทำให้กองพันทหารรับจ้างของผมคิดว่ากำลังส่วนใหญ่ของพวกมันคงจะถูกอำนาจระเบิดจาก B-52 ถล่มสูญเสียไปจนหมดสิ้นแล้ว
ไอ้ความเงียบนี่แหละครับที่สร้างความประมาทให้กับกลุ่มทหารรับจ้างชั้น ผบ.หมวดบางคนอย่างช่วยเหลืออะไรไม่ได้
จากการลาดตระเวณที่เคยทำเป็นประจำ ก็อาศัยความประมาทหลีกเลี่ยงอยู่เสมอ บางครั้ง บก.ล่องแจ้งออกคำสั่งให้ค้นหาร่องรอยข้าศึก ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากฐานปฏิบัติการค่อนข้างจะไกลพอสมควร พ่อเจ้าประคุณเหล่านี้ก็ทำทีออก ลว.เหมือนกัน แต่พอเดินลับตาจากฐานปฏิบัติการก็หลบแว่บเข้าไปซุกซ่อนตามป่าทึบ
บางกลุ่มก็งัดไฮโล หรือไพ่ป๊อกออกมาจั่วกันสบายอารมณ์ไปเลย ปล่อยให้พลวิทยุส่งข่าว “แหกตา” ไปทาง บก.พัน ด้วยข่าวที่แนบเนียน จน ผบ.พัน ไม่มีทางจับผิดได้
ข้อนี้แหละครับ เป็นจุดเสื่อมที่กองพันทหารรับจ้างต้องประสพกับการเข้า “เกาะ” ฐานปฏิบัติการจากพวกข้าศึกอยู่เสมอๆ ข้าศึก “เกาะ” ฐานของฝ่ายเราเมื่อไหรา พึงสำเหนียกเถิดว่าหายนะกำลังเข้ามาเคาะประตูบ้านของท่านแล้ว อีกไม่นานเกินรอ ฐานปฏิบัติการของท่านอาจจะโดนหน่วยแซปเปอร์ (กล้าตาย) ของทหารเวียดนามเหนือ แหกลวดหนามขึ้นมาเชือดคอทหารรับจ้างที่ทำหน้าที่เป็นยามรักษาการเอาดื้อๆ อย่างชนิดที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว
ภาระกิจอันซ้ำๆซากๆของพวกทหารรับจ้างยาม “ปลอดศึก” ก็คือการลาดตระเวณที่น่าเบื่อหน่าย และจำเจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั่นเอง
...................
“พบข้าศึก 7-8 คน บนเนินทันเดอร์กำลังลากปืน ค. ซึ่งคาดว่าจะเป็นแบบ 82 ขึ้นมาจากทางด้านที่ลาดลงไปสนามบินซำทองครับ”
พลวิทยุจากหน่วยตรวจการณ์หน้า ซึ่งซุ่มอยู่บนเนินเล้กๆบริเวณ “เนินอานม้า” รายงานข่าวเข้า บก.พันด้วยน้ำเสียงร้อนรนจนฟังไม่ได้ศัพ์...
บันทึกการเข้า

หน้า: 1 ... 777 778 779 [780] 781 782 783 ... 811
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.314 วินาที กับ 23 คำสั่ง