เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 27, 2024, 11:49:14 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: อวป. มีจำหน่ายที่ สนามยิงปืนราชนาวี/สนามยิงปืนบางบัวทอง/สนามยิงปืนศรภ./
/สนามยิงปืนทอ./
สิงห์ทองไฟร์อาร์ม
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 780 781 782 [783] 784 785 786 ... 811
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ไลฟ์ สไตล์ ของ " สมิง วังม่วง " และพี่น้องคอปืน จังหวัด น่าน  (อ่าน 890176 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11730 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2015, 09:53:29 AM »

นักเขียนผู้ล่วงลับ "สยุมภู ทศพล" มีชื่อจริงว่า ประจิม วงศ์สุวรรณ

เกิดเมื่อพ.ศ.2480 เป็นคนจังหวัดนครราชสีมา บิดามารดามีอาชีพค้าขาย สยุมภูเป็นบุตรคนที่ 2 จากพี่น้อง 4 คน จบชั้นมัธยมปีที่6 จากโรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย

ตามประวัติเป็นนักกรีฑาทีมชาติไทย เคยได้เหรียญทองคนแรกในกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 4 ที่ประเทศอินโดนีเซีย ประเภทวิ่ง 400 เมตร และยังเคยไปร่วมมหกรรมกีฬาโลก แข่งโอลิมปิกที่กรุงโรม

ถามว่าเป็นมายังไงถึงมาแต่งนิยายสงครามก็คงเพราะ "สยุมภู ทศพล" สมัครเป็นทหารหลังจากเรียนจบใหม่ๆ และยังเคยเป็นทหารรับจ้างไปรบในลาว 1 ปี ถูกคอมมิวนิตส์จับเป็นเชลยศึกที่เดียนเบียนฟูอยู่ 2 ปี ก่อนถูกปล่อยตัวเป็นรุ่นแรกในสมัยรัฐบาลยุคหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ ซึ่งจากประสบการณ์ที่เคยใช้ชีวิตในสนามรบ คงเป็นแรงบันดาลใจให้สยุมภูหันจับงานเขียนนิยายจนมีชื่อเสียงโด่งดัง

"สยุมภู ทศพล" เริ่มเขียนนวนิยายเป็นตอนๆ ครั้งแรกในนิตรสาร"จักรวาล รายสัปดาห์" เป็นนักเขียนรุ่นน้อง "พนมเทียน" ใช้นามปากกา "สยุมภู ทศพล" ครั้งแรกในนิยายเรื่องเฉือนคมเพชฌฆาต และยังเคยใช้นามปากกา "ทอง เทพบุตร"

ผลงานมีมากมาย อาทิ ดับรามสูร กองพันปิศาจ ชุมทางนรก เส้นทางนรก วันชโลมเลือด สงครามฝิ่นที่ภูหินตั้ง ไม่มีคำตอบจากทุ่งไหหิน ถล่มเนินสกายไลน์-วัน ค่ายนรกเดียนเบียนฟู

สยุมภู เขียนเรื่องแรกขณะอยู่ในสมรภูมิลาว ส่งมาที่จักรวาลรายสัปดาห์ เรื่อง " ละเลงเลือดที่ภูเทิง" รู้สึกว่าจะ 2 ตอนจบ แกบอกส่งมาก็ยังไม่รู้ว่าจะได้ลงพิมพ์หรือเปล่า เพื่อนๆ ในสนามรบแหย่ว่า ป่านนี้ ลงตะกร้าไปแล้ว แต่ไม่นานนักก็ได้คิวลงพิมพ์ ปรากฏว่าผู้อ่านติดกันงอม หนังสือขายดีขึ้น จักรวาลย์ก ็จ่ายค่าเรื่องให้และขอให้สยุมภู เขียนส่งมาอีก สยุมภูเขียนเหตุการณ์รบในสมรภูมิแบบสถานที่จริง ชื่อทห ารจริง สถานการณ์จริง โรงพิมพ์ถูกสันติบาลเข้ามาพบ ขอให้ปกปิดบ้าง เพราะตอนนั้นสงครามลาวเป็นสงครามลั บต่อภายนอก..

ถล่มเนินสกายไลน์-วัน
วันชโลมเลือด
ทหารรับจ้างเดนตาย
เส้นทางนรก
เลือดท่วมปฐพีที่แม่น้ำงึม
วันมหาประลัย
คอมมานโดรับจ้าง
ด่านนรก
สงครามฝิ่นที่ภูหินตั้ง
นักรบรับจ้าง
หลั่งเลือดทาแผ่นดิน
เผชิญหน้ามัจจุราช
เกิดมาเพื่อฆ่า
สนามรบสนามเลือด
ชุมทางกล้าตาย
วีรบุรุษเสือพราน
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11731 เมื่อ: สิงหาคม 14, 2015, 09:58:38 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา" 


 เลือดท่วมปฐพีที่แม่น้ำงึม ตอนที่ 8
มันเป็นคำสั่งจากนอร์แมนที่สั่งผ่านกองสิงห์ ผบ.พัน กองพัน 616 มาถึงผมโดยเฉพาะ
มันเป็นแผนปฏิบัติการยุทธที่มีความลับสุดยอดจนกระทั่งส่งข่าวทางวิทยุไม่ได้
“นอร์แมน” รีดข่าวได้จากเชลยศึกทหารเวียดนามเหนือ ความลับต่างๆที่พวกมันกำลังดำเนินการปฏิบัติตามแผนของหน่วยเหนือถูกสารภาพออกมาจนหมดสิ้นด้วยอำนาจของยาฉีดชนิดพิเศษ
ทหารเวียดนามเหนือ 15 คน กำลังวางแผนเข้าวินาศกรรมสนามบินนาซู
และขณะนี้ตำแหน่งที่อยู่ของทหารเวียดนามเหนือชุดดังกล่าวก็กำลังซุกซ่อนอยู่ภายในป่าทึบห่างจากแม่น้ำงึมออกไปประมาน 4 กิโลเท่านั้น
นอร์แมนมอบหน้าที่ให้ผมและทหารรับจ้างที่มาเสริมกำลังทั้งหมดเคลื่อนที่ข้ามแม่น้ำงึมมุ่งหน้าขึ้นไปสนามบินนาซูในเวลา 14.30 เพื่อปฏิบัติตามแผน “ซีโร่”
ท้ายสุดของเอกสาร นอร์แมนสั่งให้ผมไปสำรวจแม่น้ำงึมตรงพิกัดที่ 647345 ว่า “สะพานลับ” ของซีไอเอ ยังอยู่ในสภาพใช้งานได้หรือไม่ ถ้าใช้งานได้ให้ข้ามแม่น้ำงึมด้วยสะพานดังกล่าวนี้ ต่อจากนั้นให้ทำลายสะพานด้วยระเบิดเวลาชนิดถ่วงชนวน 5 ชั่วโมง ระเบิดเวลาชนิดพิเศษอยู่ที่ ผบ.หมวด 5 เมื่อเข้าใจแผนการปฏิบัติการโดยตลอดแล้วให้ทำลายเอกสารดังกล่าวนี้ทันที...แถมท้ายด้วยการสั่งจ่าย “โอเวอร์ไทม์” ให้กับผมเป็นพิเศษเป็นพิเศษ 1500 ดอลล่าร์
แผนการของนอร์แมนเสมือนหนึ่งจะเตรียมทิ้งเมืองล่องแจ้งอยู่ในที คำสั่งให้ทำลายสะพานลับเหมือนกับจะป้องกันการติดตามของทหารเวียดนามเหนือในขณะทิ้งเมือง
จากแผนปฏิบัติการยุทธดังกล่าว นอร์แมนมีความประสงค์จะใช้ผมนำกำลังเคลียร์เส้นทางก่อนจะถึงสนามบินนาซูนั่นเอง
ไม่มีคำสั่งเรื่องแม้วอพยพแต่อย่างใด เรื่องทั้งเรื่องมันก็ต้องเป็นภาระที่ผมจะต้องนำชาวแม้วเหล่านี้เดินทางไปสนามบินนาซูอีกเช่นเคย
สำหรับชาวแม้วไม่ได้เป็นภาระมากมายนัก ทุกคนเป็นนักเดินทางที่ทรหดอย่างหาตัวจับได้ยาก เส้นทางวกวนบนยอดเขาทหารรับจ้างบางคนเดินไม่ไหว ต้องนั่งพักเป็นระยะๆ ด้วยท่าทางที่อ่อนเปลี้ย แต่สำหรับชาวแม้วไม่ว่าเด็ก สตรี หรือคนชราพากันสะพายกระชุเดินตัวปลิว ด้วยอากัปกริยาเหมือนกับไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อยใดๆทั้งสิ้น
ผมกับ สรศักดิ์และ สอ.แพง แสงทอง (ขระนี้เสียชีวิตแล้วเนื่องจากการต่อสู้รบครั้งสำคัญในสมรภูมิทุ่งไหหิน) ออกสำรวจแม่น้ำงึมตามคำสั่งของนอร์แมนทันที
จากพิกัดที่ 647345 ถ้าผมอ่านพิกัดในแผนที่ไม่ผิดพลาด ขณะนี้ผมยืนอยู่ชายฝั่งในจุดดังกล่าวพอดิบพอดี
ไม่มีสะพานปรากฏให้เห็นแม้แต่นิดเดียวทั่วทั้งแม่น้ำงึมที่กว้างเกือบ 50 เมตร ว่างเปล่ามองดูเวิ้งว้าง
“สะพานลับส้นตีนอะไรของมันวะ ไอ้ห่า ซี.ไอ.เอ. หลอกให้กูว่ายน้ำข้ามเสียก็ไม่รู้ ฉิบหายหนาวๆแบบนี้ ขืนลงน้ำตะคิวแดกกูแน่ๆ”
สรศักดิ์ พุทรา ผบ.หมวดจอมสุราเลือดทหารม้าบ่นพึมพำพร้อมกับยืนกิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ในมือด้วยท่าทางฉุนเฉียว
กิ่งไม้กระทบกับวัตถุเนื้อแข็งชนิดหนึ่งในแม่น้ำเสียงดังพิกล
ผมนึกเอะใจขึ้นมาเลยก้าวเท้าลงไปเหยียบดูที่ชายตลิ่ง
อา! สะพานลับของซี.ไอ.เอ. อยู่นี่เอง จากใต้ผิวน้ำลงไปประมาน 1 ฟุต สะพานไม้เนื้อแข็งถูกสร้างเอาใว้อย่างมิดชิด เมื่อผมและ ผบ.หมวด 5 ลองเดินสำรวจดูก็สามารถเคลื่อนที่ข้ามไปฝั่งตรงข้ามได้อย่างสบาย
ผมนึกศรัทธาความสามารถของ ซี.ไอ.เอ. ขึ้นมาเป็นครั้งแรก ให้ตายซีครับ ถ้าไม่รู้ล่วงหน้า ผมจะไม่มีวันทราบอย่างเด็ดขาดว่าสะพานลับแห่งนี้อยู่ ณ จุดไหนของแม่น้ำงึมกันแน่ นอกจากจะเป็นการฟลุ๊คหรือว่าบังเอิญจริงๆเท่านั้น
สะพานกว้างประมาน 4 เมตร ยาวเป็นเส้นตรงแน๋ว เพื่อป้องกันอุบัติเหตุผมได้ทำเครื่องหมายระหว่างชายฝั่งทั้งสองข้างเอาไว้อย่างเรียบร้อย ด้วยการปักเสาไม้เอาใว้ในตำแหน่งกึ่งกลางของสะพาน
ทหารรับจ้างและชาวแม้วที่ได้รับคำสั่งจากผมให้ข้ามลำน้ำมีท่าทางสงสัยเอามากๆ ชาวแม้วนี่เป็นศัตรูอย่างร้ายกาจกับน้ำ ถึงกับปฏิเสธ เอาอย่างดื้อๆ ถึงแม้ผมจะยืนยันว่ามีสะพาน พวกเขาเหล่านี้ก็ทำท่าทางไม่เชื่อจนสังเกตุได้ชัด
ฮืท่อ อย่าว่าแต่พวกแม้วเลยครับ ทหารรับจ้างบางคนก็เถอะน่า เริ่มมองผมด้วยสายตาพิกลเข้าให้แล้ว
ขบวนทหารรับจ้างและแม้วอพยพยืนนิ่งอยู่ ณ บริเวณจุดพิกัดที่ 647345 แทบทุกคนยื่นหน้าออกมามองดูผมสลอนเหมือนกับว่า ผมเป็นสัตว์ประหลาด
สรศักด์ พุทรา หัวเราะก๊ากออกมาแล้วตรงเข้ามากระซิบกับผมเบาๆ
“เฉยๆ บีกแมน ผมจะเล่นละครให้พวกแม้วมันดูเอง ไอ้พวกห่านี่ เชื่อถือสิ่งศักสิทธิ์และอภินิหารอย่างฝังจิตฝังใจ คุณคอยระเบิดสะพานกับหมู่แฟงก็แล้วกัน ผมจะนำพวกนี้ไปเอง
จ่าสรศักดิ์คงจะฟัด “แม่โขง” เข้าไปอย่างได้ที่ ผมเห็นเขาออกมายืนอยู่หน้าแถว แหงนขึ้นไปมองดูพระอาทิตย์ กางแขนทั้งสองข้างแล้วเหยียดขึ้นเหนือศรีษะพร้อมกับร้องตะโกนขึ้นเป็นภาษาแม้วอย่างช้าๆ ด้วยท่วงทำนองและ “มาด” ที่เหมือนกับหมอผีในภาพยนต์บางเรื่อง
ข้าคือหมอผีจากขุมนรก ข้าคือหมอผีที่มีวาจาสิทธิ์ วีรกรรมของทหารรับจ้างและอาสาสมัครชาวแม้ว ที่ได้กระทำการลงไปแล้ว ได้ดลบันดาลให้บังเกิดสะพานอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้น พวกเจ้าจงตามข้ามา จงตามข้ามา ตามมาติดๆ อย่าเหลียวหลังเป็นอันขาด แล้วพวกเจ้าจะปลอดภัย”
จ่าสรศักดิ์ เดินท่อมๆลงไปในแม่น้ำ ร่างของเขาเดินบนผิวน้ำเหมือนกับปาฏิหารย์ ท่ามกลางความตื่นตลึงของผู้ไม่รู้เหตุการณ์อันแท้จริง
“ลงมาซีโว้ย หมอผีหนาวส้นตีนจะตายห่าอยู่แล้ว ข้ามมาเร็วๆ เข้าไอ้หอก สะพานศักดิ์สิทธิ์ห่าเหวอะไรก็ข้ามมาเถอะ”
ทหารรับจ้างบางคน ซึ่งรู้ความลับหัวเราะออกมาครืนใหญ่อย่างพออกพอใจในความกะล่อนของ ผบ.หมวดอารมณ์ดีคนนั้น
การข้ามสะพานใต้น้ำได้ดำเนินไปอย่างทุลักทุเลพอสมควร ตะไคร่น้ำจับพื้นสะพานหนาเตอะทำให้สะพานลื่น แต่ละก้าวแต่ละตอนต้องคอยพยุงกันอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีชาวแม้วลื่นตกน้ำกันเป็นทิวแถว เสียงหัวเราะดังประสานกันด้วยความขบขันไม่ขาดระยะ
ผมเดินถือระเบิดเวลาอยู่ท้ายขบวน สายตาทั้งคู่สอดส่ายหาตำแหน่งที่จะวางระเบิดด้วยความพินิจพิจารณา
ความคิดในใจที่พุ่งขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนก็คือ มีความเสียดายต่อสะพานใต้น้ำนี้อย่างสุดซึ้ง
ซี.ไอ.เอ. จะต้องลงทุนมหาศาลในการสร้างสะพานลับแห่งนี้ หลายต่อหลายครั้งที่ผมเกือบจะเปลี่ยนความคิดเลิกทำลายสะพานลับแห่งนี้เสีย โดยอ้างว่าระเบิดไม่ทำงาน
ผมอาจจะไม่รู้ถึงแผนการณ์ที่ยอกย้อนของนอร์แมน “เสนาธิการ” เจ้าเล่ห์ แห่ง ซี.ไอ.เอ. ที่วางเอาไว้ดีนักเขาอาจจะคิดบวกลบผลได้ผลเสียกับแผนการของเขาเอาไว้เรียบร้อยแล้วก็อาจจะเป็นได้
ผมตัดสินใจทำตามคำสั่งของหน่วยเหนืออย่างเคร่งครัด เลือกกึ่งกลางของสะพานเป็นจุดวางระเบิดทันที
ด้วยระบบลูกยางสูญญากาศ ตัวระเบิดซึ่งอยู่ในกล่อง “ไฟเบอร์” กันน้ำถูกลมดูดติดกับพื้นสะพานด้านข้างอย่างแนบเนียน
กรรมวิธีก็ไม่มีอะไรมากนัก จากสมุดคู่มือการใช้ ผมเพียงแต่กดปุ่มให้นาฬิกาของระเบิดมันทำงานเท่านั้น
เสียงติ๊กๆ ของนาฬิกาดังขึ้นมาเบาๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอกัน เสียงของมันดังก้องอยู่ในโสตรประสาทของผมอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ขณะเดินท่อมๆอยู่บนผิวสะพานในขณะข้ามแม่น้ำงึม เสียงของมันก็คล้ายๆกับจะติดตามจังหวะการเดินของผมอยู่เมอ
อีก 5 ชั่วโมง ระเบิดเวลาจะทำงาน อา...สะพานใต้น้ำของ ซี.ไอ.เอ. ที่ผมประเมินราคาไม่ถูกจะถึงกาลพินาศด้วยน้ำมือของผมเชียวหรือนี่...
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11732 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2015, 09:02:21 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา"

ชุมทางคนกล้าตาย
คำนำ
จากสยุมภู ทศพล ถึงท่านผู้อ่านที่เคารพ
ผมมีความจำเป็นต้องขออภัยผู้ที่มีชื่อเกี่ยวข้องอยู่ในหนังสือเล่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นกองสิงห์ รท. ปิ่นพันธ์ (วิเศษ) หรือทหารรับจ้างบางคนซึ่งเคยออกปฏิบัติการร่วมกับผมในแผนการรบที่นองเลือดครั้งนั้น
มันเป็นความจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ที่ผมต้องทำเช่นนั้น ผมไม่มีทางดัดแปลงแก้ไขชื่อบุคคลสถานที่ - ที่เกิดเหตุให้ผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงได้...เรื่องทุกชุดของผมเป็นเรื่องจริง! ฉะนั้น ผมจะต้องยึด เอกลักษณ์ อันนี้ไว้เป็นบรรทัดฐานในการเขียนเรื่องของผมต่อไป..
นี่คือเหตุผลของคนเขียนหนังสือที่มีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายเปื่อยที่ไม่รู้วันตายของตัวเอง
สยุมภู ทศพล

ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 1/11
เสียงติ๊กๆของนาฬิกาดังขึ้นมาเบาๆสม่ำเสมอกัน...เสียงของมันดังก้องอยู่ในโสตประสาทของผมอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ในขณะเดินท่อมๆอยู่บนผิวสะพานในขณะข้ามแม่น้ำงึม เสียงของมันคล้ายๆกับจะติดตามจังหวะการเดินของผมอยู่เสมอ
อีก 5 ชั่วโมงระเบิดเวลาจะทำงาน อา...สะพานใต้น้ำของ ซี.ไอ.เอ. ที่ผมประเมินราคาไม่ถูกจะถึงกาลพินาศด้วยน้ำมือของผมเชียวหรือนี่
กำลังพล 24 คนจากหมวดที่ 5 กองร้อย 2 ของกองพัน 616 ที่มาเสริมกำลังใหม่ พรั่งพร้อมด้วยอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครัน
“M-72” หรือจรวดแมกนีโตรวมทั้งสิ้น 96 กระบอก
ปืนกลเบา “M-60” 1 กระบอกพร้อมด้วยกระสุน 10 หีบ
นอกจากนั้นก็มีวิทยุสนาม และ “PRC-77” ครบถ้วนตามอัตรากำลังพลระดับกองร้อยทหารราบทุกประการ
หลังจากเสียเวลาในการข้ามสะพานใต้น้ำเกือบ 45 นาที พวกผมก็เริ่มเคลื่อนขบวนออกเดินทางในลักษณะแถวตอนเรียงสอง
ทหารรับจ้าง 6 คน ซึ่งทำหน้าที่ชุดลาดตระเวนเคลื่อนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้วพร้อมด้วยวิทุที่เพิ่งจะได้รับการเบิกทดแทนมาอย่างสดๆร้อนๆ
สองข้างทางของส้นทางหรือบริเวณพื้นที่-ที่ต้องสงสัยถูกตรวจค้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน
สองชั่วโมงให้หลัง ทหารชุดลาดตระเวนก็ค้นพบร่งรอยของข้าศึกในบริเวณหุบร่องน้ำใกล้ๆกับเส้นทางดังกล่าวนั่นเอง
ชุดลาดตระเวณส่งรหัสวิทยุให้ผมขึ้นไปสมทบ...
ผมกับจ่าสรศักดิ์ และทหารคุ้มกันอีก 3 คน เร่งฝีเท้าขึ้นไปสมทบชุดลาดตระเวณใน 20 นาทีต่อมา
ทหารรับจ้างและแม้วอพยพหยุดพักประจำชั่วโมงบนเส้นทางดังกล่าวนั่นเอง
อาหารเย็นจากห่อเรชั่นถูกประกอบขึ้นมาด้วยความเอร็ดอร่อยเป็นมื้อแรก แกงส้ม...แกงจืดเห็ดหูหนูสำเร็จรูปถูกปรุงขึ้นมาใหม่ด้วยฝีมือของพ่อครัวจำเป็น กองไฟหลายสิบกองถูกจุดขึ้นมา เพื่อหุงหาอาหาร ควันไฟลอยคละคลุ้งมองเห็นในระยะเป็นสิบๆกิโลเมตร
ในบริเวณหุบร่องน้ำที่อยู่ต่ำจากขอบถนนลงไปในป่าค่อนข้างทึบเบื้องล่าง รอยเท้าของมนุษย์ปรากฏอยู่บนพื้นทรายมองเห็นเป็นทางยาว ทหารรับจ้างชุดลาดตระเวณคุกเข่าลงพินิจพิจารณาอยู่ชั่วครู่ก็หันมากระซิบกับผมพร้อมกับสอดสายตามองไปรอบๆบริเวณป่าทึบอย่างระมัดระวัง
“รอยเท้าของไอ้แกว...จำนวนกำลังพลไม่น้อยกว่าสี่คนขึ้นไป ลักษณะของรอยเท้ามุ่งทิศทางไปทางเดียวกับพวกเรา รอยเท้าค่อนข้างใหม่ ผมคิดว่าคงจะเป็นชุดลาดตระเวนของพวกมัน ซึ่งคงจะล่วงหน้าไปแล้วไม่ต่ำกว่า 5-6 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย”
ผมขยับไปคุกเข่าแล้วก้มลงไปพิจารณารอยเท้าที่มองเห็นชัดเจน จนผิดสังเกตนั้นด้วยความเคลือบแคลงใจ
มันชัดเจนเหมือนกับพวกมันมีเจตนาที่จะสร้างรอยเท้าให้พวกเราตรวจการณ์พบยังไงยังงั้น..
จากประสพการณ์ที่ผมเคยห้ำหั่นกับพวกมันมาอย่างชนิดท่วมเลือด ทำให้ผมไม่กล้าพอที่จะวินิจฉัยรอยเท้าของพวกมันได้อย่างง่ายๆ พอผมสังเกตุดูชั่วอึดใจก็พบสิ่งผิดปกติบนรอยเท้าของมันเข้าอย่างบังเอิญ
รอยเท้าทุกรอย ปรากฏว่า ตรงบริเวณส้นเท้าปรากฏรอยบุ๋มลึก อันเนื่องจากถูกน้ำหนักตัวกดลงไปมากกว่าส่วนอื่น
ส่วนบริเวณปลายนิ้วเท้า รอยจางหายไป จนสังเกตเห็นความแตกต่างได้ชัด
มันเป็นลักษณะที่ผิดแปลกไปจากลักษณะการเดินตามปกติอย่างสิ้นเชิง
ซึ่งตามปกติแล้ว คนเราเวลาเดินไปข้างหน้า น้ำหนักตัวจะต้องกดลงที่บริเวณปลายเท้า ร่องรอยที่ทิ้งเอาไว้ จะต้องมองเห็นรอยลึกหรือรอยบุ๋มบริเวณปลายนิ้วเท้าอย่างชัดเจน
ซึ่งตามปกติแล้วคนเรา เวลาเดินไปข้างหน้า น้ำหนักตัวจะต้องกดลงที่บริเวณปลายเท้า ร่องรอยที่ทิ้งเอาไว้จะต้องมองเห็นรอยลึกหรือรอยบุ๋มบริเวณปลายเท้าอย่างถนัดชัดเจน
แต่จากร่องรอยดังกล่าว ผมสรุปในทฤษฎีของผมได้ในทันที
“ไอ้แกว” เล่นลูกไม้ต้มชุดลาดตระเวณของผมด้วยการ “เดินถอยหลัง” เข้าให้แล้ว พวกมันเจตนาที่จะสร้างรอยเท้าเอาไว้ เพียงเพื่อจะอำพรางทิศทางการเคลื่อนที่ของพวกมันอยู่ในที...
ทุกคนในชุดลาดตระเวณลงความเห็นว่าทหารเวียดนามเหนือเคลื่อนที่ไปยังทิศทางเดียวกับพวกเรา
ผมคนเดียว ยืนยันว่า ขณะนี้ทหารเวียดนามเหนือย้อนตลบหลังเข้ามาเกาะขบวนของพวกเราเสียแล้ว ขณะนี้ ถ้าผมเดาไม่ผิด ขบวนทหารรับจ้างและแม้วอพยพตกอยู่ในสายตาของพวกมันอย่างสิ้นเชิง...
เวลาและโอกาสเท่านั้นที่พวกมันคอยจ้องที่จะถล่มพวกเรา เป็นการแก้แค้นอยู่ทุกขณะ
ทหารทุกคนเริ่มคล้อยตามเหตุผลของผม และแล้วแผยการ “ลวง” ทหารเวียดนามเหนือจากสมองชุ่ยๆของผมก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ผมกำชับชุดลาดตระเวณให้รักษาความลับในการที่พบสิ่งผิดปกติของทหารเวียดนามเหนืออย่างเคร่งครัด
ต่อจากนั้นผมออกคำสั่งให้ชาวแม้วทั้งหมดเคลื่อนที่ออกไปยังถนนหักมุมข้อศอกเบื้องหน้า ซึ่งอยู่ห่างออกไปจากจุดที่ผมกำลังพักรับประทานอาหารเย็นประมานหนึ่งกิโลเมตร และกำชับให้ชาวแม้วพักแรมคืน ณ บริเวณดังกล่าว
ก่อนตะวันตกดิน ผมสั่งให้ทหารรับจ้างทุกคนสร้างเต้นท์สนามด้วยผ้ากันฝน “ปันโจ” เรียงรายกันเป็นพรืดอยู่บนถนน
กองไฟถูกจุดขึ้นมาหยั่งกับมีการเฉลิมฉลอง เสียงทหารรับจ้างคุยกันเอ็ดตระโรได้ยินไปไกลเกือบ 500 เมตร
ตะวันลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว บรรยากาศรอบด้านมัวซัวอย่างรวดเร็ว จั๊กจั่น แมลงกลางคืนขยับปีกกรีดสำเนียงกังวานไปทั่วพงไพร
ไฟที่ทหารรับจ้างเจตนาจุดเอาไว้สว่างโพลนอยูท่ามกลางความมืด
จากลักษณะดังกล่าว ถ้าเป็นผมเป็นชุดลาดตระเวณของทหารเวียตนามเหนือ ผมจะต้องเข้าใจว่าขบวนเดินทางชุดนี้จะต้อวพักแรมคืนอยู่ ณ บริเวณดังกล่าวอย่างแน่นอน
19.00 น. ท่ามกลางความมืดสลัวของบรรยากาศรอบด้าน ทหารรับจ้างคืบคลานลงข้างทางอย่างเงียบเชียบ แล้วค่อยๆเคลื่อนที่ขึ้นไปวางแนวอยู่บนสันเนิน ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปจากที่พักแรมเกือบ 50 เมตร
หนึ่งชั่วโมงเต็มๆที่พวกผมปีนเขาขึ้นไปด้วยความระมัดระวัง แต่ละก้าวแต่ละคืบเต็มไปด้วยความลำบากแทบเลือดตากระเด็น
จากระยะทางบนแผนที่เหลืออีกประมาน 5 ก.ม. ก็จะถึงสนามบินนาซู
ระยะขนาดนี้ถ้าพวกผมออกเดินทางรวดเดียวในตอนกลางคืนด้วยอัตราการเดินทางตามปกติ ไม่กี่ชั่วโมงผมก็เข้าถึงชานเมืองนาซูได้อย่างสบาย
การเดินทางเข้าสู่นาซูในเวลากลางคืน อันตรายอันดับแรกก็คือการเข้าใจผิดระหว่างยามรักษาการณ์กับทหารของผม อันดับต่อไปก็ทหารเวียดนามเหนือ ซึ่งเกาะหลังทหารของพวกผมมาติดๆอาจจะสวมรอยปะปนเล็ดรอดเข้าไปในสนามบินก็ได้
ผมไม่แน่ใจตัวเองพุ่งขึ้นมาในห้วงคิด... ความเชื่อมั่นในทฤษฎีเริ่มบังเกิดความลังเลใจ
อา...ทฤษฎีของผมจะถูกต้องไหมหนอ หรือว่าเหตุผลของทหารรับจ้างชุดลาดตระเวณ เป็นฝ่ายถูกต้องที่แท้จริง
ขณะนี้ทหารเวียดนามเหนือชุดนั้นคงจะเดินอกตั้งเคลื่อนที่เข้าไปซุกซ่อนอยู่ในเมืองนาซูเรียบร้อยแล้วละกระมัง?
บางทีความเชื่อมั่นตัวเองเกินไปของผู้บังคับบัญชาก็อาจจะพาทหารไปพบกับความวิบัติอันใหญ่หลวง ซึ่งคาดไม่ถึงก็อาจจะเป็นได้
ผมกัดฟันสลัดความคิดที่ฟุ้งซ่านออกไปจากสมอง ยกนาฬิกาพรายน้ำขึ้นมาดู 23.30 น. พอดิบพอดี...
แสงไฟจากที่พักแรมของผมสิ้นแสงไปตั้งเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ทหารรับจ้างที่อยู่ใกล้ๆกับผมฟุบหน้าลงกับพื้นทำเสียงอึกอักอยู่ชั่วครู่ก็จามออกมาเต็มแรง
ในเวลาเดียวกันนั่นเองก็ปรากฏแสงสว่างแวบขึ้นมาสองจุดซ้อนๆ ทางเบื้องหน้าของผมเหนือจุดพักแรมขึ้นไปประมาน 50 เมตร แสงสว่างเหมือนกับผีพุ่งไต้วิ่งออกจากพื้นที่ดังกล่าวตรงลงมายังจุดพักแรมของผมด้วยความเร็วจนดูแทบไม่ทัน
“แว้ด...บึ้ม”
“แว้ด...บึ้ม”
จรวดอาร์พีจี 2 นัดซ้อนๆ ถล่มลงไปในจุดพักแรมของผมเกือบจะพร้อมๆกัน
เสียงระเบิดอันรุนแรง กลบเสียงจามของทหารรับจ้างไปโดยสิ้นเชิง
จากแสงไฟที่เกิดขึ้นจากอำนาจระเบิดทำให้เต๊นท์สนามที่ตั้งเรียงรายเป็นแถวๆอยู่นั้นหลุดลอยขึ้นจากพื้นถนนเหมือนกับโดนพายุหมุน มันกระเด็นคว้างอยู่ชั่วครู่ก้ปลิวแวบลงไปข้างๆทาง
“บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม”
คราวนี้ไม่ใช่อำนาจระเบิดจากฝีมือข้าศึกของข้าศึกหรอกครับ เสียงระเบิดที่กระหึ่มขึ้นมาในขณะที่เต๊นท์สนามถอนรากถอนโคลนหลุดปลิวออกไปนั้นมันได้ดึงเอาลูกระเบิด “M-26” ที่พวกผมถอดสลักนิรภัยออกเรียบร้อยแล้ว หลุดปลิวตามออกไปด้วย
ด้วยกรรมวิธีอย่างง่ายๆ ที่ทำให้แผน “ลวง” ของผมสมบทสมผลยิ่งขึ้น... ผมสั่งให้ทหารรับจ้างถอดสลักนิรภัยลูกระเบิดออกแล้วหาวัตถุหนักพอสมควรทับลูกระเบิดเอาไว้
แรงระเบิดของจรวด “อาร์พีจี” ผลักดันวัตถุที่วางทับ “M-26” หลุดออกไป ลูกระเบิดจึงทำงาน เสียงระเบิดแทรกซ้อนขึ้นมาย่อมทำให้ทหารเวียดนามเหนือคาดว่าการยิงของเขาคงจะได้ผล วัตถุระเบิดทุกชนิดของพวกเรา คงจะโดนทำลายลงหมดสิ้นแล้ว
“ปึงๆๆๆๆๆๆ...ปึงๆๆๆๆๆๆ...ปึงๆๆๆๆๆ”
ปืนกลหนักชนิดหนึ่ง ยิงระรัวเป็นจังหวะจะโคนด้วยช่วงการยิงครั้งละ 5 นัดครางระงมอยู่เหนือแนวขึ้นไปข้างบน
กระสุนส่องแสงสีเขียวเข้มพรุ่งปร๊าดผ่านศรีษะผมลงไปเบื้องล่างเป็นสาย
อา ทหารเวียดนามเหนือแอบเข้ามาตั้งรังปืนกลหนักอยู่บนศรีษะของพวกเรานี่เอง
ความมืดและการระมัดระวังในขณะเคลื่อนที่ ทำให้พวกผม “ปลอด” จากสายตาของพวกมันไปอย่างหวุดหวิดเต็มที
จากสภาพของเหตุการณ์ที่ผมมองเห็น ถ้าพวกผมไม่ล่วงรู้แผนการของพวกมันมาก่อน เชื่อขนมแกวกินก่อนก็ได้ว่าในคืนนี้พวกผมจะต้องแหลกรานไม่มีชิ้นดีเลยทีเดียว
ทหารเวียดนามเหนือตั้งอาวุธหนักเป็นสามจุดในลักษณะแบบสามเหลี่ยมด้านเท่า ที่เห็นมุมแหลมเข้าหาแนวของผม ส่วนอีกสองจุดอยู่เยื้องออกไปยังฟากถนนเบื้องหน้า
ด้วยลักษณะการยิงประสานกันลงมาจากเบื้องสูงเช่นนี้...แล้วมันจะมีอะไรเหลือ เสียงจรวดอาร์พีจี...ปืนกลหนัก...ลูกระเบิด เอ็ม-26 ปืนอาร์ก้า แผดเสียงครางระงมประสานกันขึ้นมาจนฟังไม่ได้ศัพท์ เต๊นท์สนามกระจุยกระจายราบเป็นหน้ากลอง
ความลำพองใจที่พวกมันยิงถล่มจุดพักแรมของพวกเราแหลกราน ทำให้พวกมันลืมสิ่งหนึ่งไปอย่างถนัดใจ
พวกมันลืมคิดไปว่า ทำไมจึงไม่มีเสียงปืนยิงต่อสู้มาจากเต๊นท์สนามแม้แต่นัดเดียว...
สิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่มองข้ามกันแบบนี้ มักจะทำให้หน่วยทหารที่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม “พัง” กันมานักต่อนักแล้ว
30 นาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้า 30 นาทีที่ทหารเวียดนามเหนือระดมยิงเต๊นท์สนามของพวกผมอย่างชนิดต่อเนื่องกันโดยมิได้หยุดพัก
อาร์พีจีชุดสุดท้าย ไม่น้อยกว่า 10 ลูก กระหน่ำจุดพักแรมของพวกผมเป็นการสั่งลา
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11733 เมื่อ: สิงหาคม 15, 2015, 11:01:49 AM »

อัพเดต ตลาดปืน มือ 2 วันนี้ http://2013.gun.in.th/index.php?board=6.0  (สมัครสมาชิกด้วย)
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11734 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2015, 09:16:34 AM »

อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา

ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 2/11
กระสุนปืนทุกชนิดสงบเงียบลงเป็นปลิดทิ้ง แสงไฟฉายกระพริบเป็นจังหวะรหัสมอสล์พุ่งออกจากจุดยิงที่อยู่คนละฟากถนน
ผมกลั้นลมหายใจด้วยความตื่นเต้น ขณะนี้ทหารเวียดนามเหนือกำลังเคลื่อนที่เข้ามาตรวจค้นเต๊นท์สนามของพวกเราแล้ว
และปัญหาที่ใหญ่หลวงก็คือ รังปืนกลหนักที่ตั้งฐานยิงอยู่บนเนินเขาเหนือศรีษะของพวกเรานี่เอง
ส.ต. อาษา จิตตเที่ยงธรรมกับมือพิฆาตอีก 4 คน คลานเข้ามารับอาษาเก็บรังปืนหนักกระบอกนั้น หลังจากวางแผนกันชั่วครู่ มือพิฆาตทั้ง 5 คนก็คืบคลานขึ้นไปบนเนินอย่างเงียบเชียบ
มีเสียงโลหะกระทบกันเบาๆ ในบริเวณขอบถนนเบื้องล่าง เมื่อผมเพ่งสายตามองดูก็เห็นเงาตะคุ่มๆ ของทหารเวียดนามเหนือ คลานยั้วเยี้ยอยู่เต็มไปหมด แน่ยิ่งกว่าแน่ พวกมันจะต้องทิ้งหน่วยอาวุธหนัก ซึ่งทำหน้าที่คุ้มกันเอาไว้ ณ จุดเดิมอย่างแน่นอน
ผมบังเกิดอาการพะว้าพะวังขึ้นมาในปัจจุบันทันด่วน ขระนี้เวลานี้เป็นโอกาสของผมที่จะยิงถล่มลงไปยังจุดพักแรมเบื้องล่าง
และในขณะเดียวกัน ทหารชุดพิฆาตของผมทั้ง 5 คน ซึ่งปีนขึ้นไปเก็บรังปืนกลหนักก็กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ข้างบน
ถ้าลูกน้องผมพลาด งานทุกสิ่งทุกอย่างก็พังทะลายลงไม่มีชิ้นดี เจ้าปืนกลหนักกระบอกนั้นจะต้องหันทิศทางยิงลงมาจวกพวกผมแหลกรานเป็นธุลีไปเท่านั้นเอง
ไม่มีคราใดที่ผมจะวุ่นวายใจเท่ากับครั้งนี้ อา ทหารรับจ้างเดนตายอย่างผมจะพบกับจุดจบเอาอย่างง่ายๆบนเส้นทางนรกแห่งนี้เชียวหรือนี่...
ไม่มีวิธีใดๆที่ผมจะเลือกปฏิบัติอีกแล้วหรือ ร่างของทหารเวียดนามเหนือที่ชุลมุนวุ่นวายอยู่ภายในเต๊นท์สนามเบื้องล่างทำให้ผมตัดสินใจสั่งยิง “เอ็ม-72” ทันที
ตามแผนการที่วางเอาไว้อย่างรัดกุม ผมจะใช้ “เอ็ม-72” 10 กระบอกยิงทำลายที่ตั้งอาวุธหนักของข้าศึกที่อยู่บนเนินเหนือของถนนตามที่หมายที่ “ล็อค” เอาไว้แล้วในขณะที่สังเกตุเห็นแสงไฟตั้งแต่ข้าศึกเริ่มระดมยิง
“เอ็ม.72” ชุดที่ 2 อีก 15 กระบอกยิงถล่มจุดพักแรมในลักษณะการยิงด้วยระยะ 5 เมตรต่อหนึ่งนัด
“เอ็ม.60” ทั้ง 3 กระบอกประสานการยิงคลุมพื้นที่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นจุดพักแรมหรือว่าที่ตั้งอาวุธหนักของข้าศึก ให้ทั้งหมดอยู่ในดุลยพินิจของพลยิงซึ่งเจนสงครามพอสมควร
สำหรับปืนกลหนักกระบอกนั้น ผมไม่มีโอกาสที่จะวางแผนเอาไว้เสียแล้ว
เหมือนกับโชคมันจะอุ้มสม มนุษย์เดนตายหยั่งผมให้มีชีวิตยืนยาว เพื่อผจญกับสงครามลาวที่เส็งเคร็งอีกต่อไป
ผมมองเห็นประกายไฟสีส้มสว่างแว๊บอยู่เหนือศรีษะ เสียงระเบิดที่ผมจำได้อย่างฝังจิตฝังใจดังแหวกความเงียบขึ้นมาก้องขุนเขา
ใช่ครับ มันเป็นเสียงระเบิดผิวเกลี้ยงชนิด “เอ็ม-26” อันทรงอานุภาพที่พวกผมใช้กันในปัจจุบันนั่นเอง
ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีเสียงปืน เอ็ม.16 ระรัวเป็นเสียงข้าวตอกแตกครางระงมอยู่ไม่น้อยกว่า 2 แม็กกาซีนขึ้นไป
“ที่หมาย ตามแผน...ยิง”
ผมแหกปากตะโกนลั่น
บัดดลนั้นเอง ดนตรีสงครามก็กระหึ่มขึ้นมาเหมือนกับได้นัดกันเอาไว้ ห่ากระสุน “เอ็ม.16” พรั่งพรูออกจากลำกล้องด้วยระบบออโต
“เอ็ม.60” ส่ายลำกล้องไล่เดี๊ยะตั้งแต่บริเวณหัวเต๊นท์สนามยันท้ายสลับกันไปมาทั้งสามกระบอก
“เอ็ม.72” ถล่มโครมลงไปลูกแล้วลูกเล่าในช่วงระยะการยิงที่แม่แต่หนูก้ไม่เหลือหลอ
เป้าหมายอาวุธหนักของข้าศึกโดนถล่มอย่างไม่ทันรู้ตัว เอ็ม.72 ถูกระดมยิงออกไปอย่างจักรผันลูกแล้วลูกเล่าที่สลับยิงถล่มขึ้นไปโดยไม่ปล่อยโอกาสให้ข้าศึกตั้งหลักแม้แต่วินาทีเดียว
“ปึง ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
เสียงปืนกลหนักคำรามขึ้นมาอย่างหูดับตับไหม้ ชั่วอึดใจมันก็เงียบเป็นปลิดทิ้ง พร้อมๆกับมีเสียงตะโกนแหวกเสียงระเบิดเข้ามาได้ยินแว่วๆ
“บิ๊กแมน ปืนกลหนัก ห้องลูกเลื่อนแตก ผมขออนุญาตลงไปข้างล่างครับ”
“โอเค...น้องชาย...ลงมาโลด”
ผมตะโกนตอบขึ้นไปพร้อมกับตะแคงปืน เอ็ม.16 ให้แม้กกาซีนขนานกับพื้น ขยับมือซ้ายที่กำครอบท่อแก๊สให้หลวม เหนี่ยวไกด้วยระบบอัตโนมัติเต็มตัว
จากลักษณะการยิงที่พิเรนพิเรนแบบนี้ทำให้เกิดแรงเหวี่ยงขึ้นมาในขณะลูกกระสุนออกจากปากลำกล้อง
แรงเหวี่ยงทำให้ปืนส่ายออกไปเป็นมุมกว้างโดยไม่ต้องออกแรงบังคับ
ให้ตายเถอะครับ การยิงอัตโนมัติเต็มตัวแบบนี้ เอร็ดอร่อยที่สุดในชีวิต มองเห็นแม้กระทั่งปลอกกระสุนที่กระเด็นฉิวขึ้นมาเป็นแถวๆอย่างถนัดหูถนัดตา
ขออย่างเดียวอย่าไปยิงในขณะที่กำลังเกิดการประทะกับข้าศึกในระยะเกินร้อยเมตรเป็นอันขาด ระยะขนาดนั้นเราจะต้องจวกกับมันด้วยระบบกึ่งอัตโนมัติ อันเป็นระยะที่เอ็ม.16 ทำงานอย่างนิ่มนวลที่สุด...โดยที่ปืนไม่ส่ายจนวิถีกระสุนพลาดจากเป้าหมายเป็นวาๆ
เท่าที่ผมยิงพิเนรๆแบบนี้ก้ไม่ใช่อะไรหรอกครับ สภาพของเหตุการณ์ที่ผมกำลังเป็นต่อข้าศึกอยู่ในขณะนี้ทำให้ผมเกิดอาการลำพองใจและ “มัน” ขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน
ท่านผู้อ่านน่าจะเห็นใจผมบ้างนะครับ..หลายต่อหลายครั้งที่ผมโดนไอ้แกวไล่จวกไล่ขยี้ จนต้องวิ่งหนีอย่างชนิดขี้หดตดหาย เมื่อมีโอกาส “ล่า” พวกมันบ้าง ก็ขอเป็นพระเอกหนังไทยสักเรื่องเถอะครับ
ไม่มีเสียงปืยยิงโต้ตอบจากทหารเวียดนามเหนือแม้แต่นัดเดียว
ฮี่ธ่อ... พวกมันจะโงหัวขึ้นมายิงสู้กับพวกผมได้ยังไงกัน ทั้งจรวดเอย, ปืนกลเอย, เอ็ม.16เอย ยิงถล่มเข้าใส่เป็นพายุบุแคม แทบจะไม่มีเวลาหยุดหายใจแบบนี้ ขืนพวกมันสะเออะหน้าขึ้นมาจากที่กำบังก็ “สวัสดียมบาล” กันเท่านั้น
บอกกับใคร-ใครก็คงหัวเราะ ผมยิง เอ็ม.16 หมดไป 40 แม็กพอดิบพอดี
กระสุน 720 นัดหายวับไปในชั่วพริบตา ผมเขียนมาถึงตรงนี้ บางทีท่านผู้อ่าน และท่านผู้ที่สนใจในอาวุธปืน คงจะเอะใจ ร้องขึ้นมาว่า เอ๊ะ ก็กระสุนหมดไปตั้ง 40 แม็ก จำนวนกระสุนมันจะต้องมี 800 นัดถ้วนๆไม่ใช่?
ครับ...ถูกต้องครับ ตามหลักทฤษฎี “เอ็ม.16 มีแม็กกาซีนบรรจุกระสุนได้ 2 ชนิดคือ 20 นัด และ 30 นัด
อย่างที่ผมใช้ในสมรภูมิลาวส่วนมากใช้แบบ 20 นัดครับ และตามความเป็นจริง ไม่มีทหารรับจ้างคนไหน อุตริบรรจุลูกกระสุนครบตามจำนวน 20 นัดหรอกครับ
ขัดข้อง แหนบส่งกระสุนไม่มีแรงป้อนลุกเข้ารังเพลิง เกิดอุบัติเหตุดังกล่าวบ่อยครั้งในการยิงต่อสู้ข้าศึกในระยะประชิดตัว
เรื่องทั้งเรื่องทหารรับจ้างก็เลยบรรจุกระสุนลงไปในแม็กกาซีนเพียง 18 นัดเท่านั้นเอง
เรื่องอาวุธปืน ถ้าผู้เขียนสารคดีหรือว่านวนิยายคนใดไม่สันทัดหรือว่าคลุกคลีกับปืนมาก่อนแล้ว ก็มักจะเขียนผิดความจริงออกมาให้ท่านผู้อ่านที่รู้จริงทักท้วงอยู่เสมอ
แม้แต่เพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งที่เคยเขียนลงในหนังสือรายสัปดาห์ฉบับหนึ่งเป็นประจำก็ยังปล่อยไก่ออกมาตัวเบ้อเร่อ พี่แกดันเขียนว่า ปืน เอ็ม.16 บรรจุกระสุนเต็มแม็กกาซีนได้เพียง 15 นัดเสียนี่ เล่นเอาโดนเพื่อนๆทหารอำกันไปตั้งหลายวัน
และก้ในหนังสือฉบับเดียวกันนั้น ในนวนิยายเกี่ยวกับ สงครามในลาวเรื่องหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนว่าจะชื่อ “วีระบุรุษสีเขียว” นี่แหละครับ ผู้แต่งเรื่องนี้อาจจะเคยเข้าไปปฏิบัติการในลาว แต่ผมเชื่อแน่ว่า พี่แกไม่เคยออกรบกับกองพันทหารรับจ้างแหง๋ๆ เพราะเพื่อนๆทหารของผมอ่านนวนิยายเรื่องนี้แล้วก็พากันถกเถียงกันอยู่เสมอๆว่าผิดจากความเป็นจริง
ผู้แต่งวาดภาพพจน์ทหารรับจ้างในลาวผิดความจริงชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
กองพันทหารรับจ้างมีรถถัง เอ็ม.24 ใช้วะด้วย แถมเวลาจะเคลื่อนที่ก็มีธงโบกสะบัดยังกับกองทัพกฐินผ้าป่ายังไงยังงั้น
ตามปกติปืนครก 4.2 หนักขนาดไหน ทหารราบทุกคนย่อมรู้ แต่ในนวนิยายดังกล่าวใช้พลยิงสองคนอุ้มปืนครกไปวางอย่างสะดวกโยธิน แถมคนหนึ่งยังขยับให้ฐานปืนเข้าที่ซะอีก ยังไงครับ...มันเป็นไปได้หรือเปล่า…
สนุกครับ พล็อตเรื่องสนุกมาก ผมก็ยังติดใจอ่านเป็นประจำ แต่ข้อเท็จจริงนี่ซิ ประเดี๋ยวใครๆเขาไม่รู้ก็จะพากันทึกทักเอากันว่า ขนาดกองพันทหารรับจ้างมีรถถังใช้ตั้ง 2-3 คันก็ยังถูกพวกไอ้แกวไล่จวกเสียกระเจิง
ตัวของผมเองก็เถอะน่า ยังปล่อยไก่เข้าอย่างจังเบอร์ ก็ในเรื่องสงครามฝิ่นที่ภูหินตั้ง ที่ลงในจักรวาลรายสัปดาห์นี่แหละครับ ผมสะเออะไปเขียนเกี่ยวกับความเร็วของเครื่องบินที่ผิดจากความจริงจนโดนท่านผู้อ่านจวกมา จนเขียนหนังสือไม่ออกไปตั้งหลายสัปดาห์มาแล้ว
เรื่องทั้งหมดที่ผมยกตัวอย่างขึ้นมา ใครๆจะหาว่าผมเป็นคนค่อนข้างจะปากหมา ผมก็ยอมรับ...และตามเหตุผลดังกล่าวแล้ว มันก็เป็นความจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้ ไม่ใช่หรือครับ...
ความผิดพลาดย่อมบังเกิดขึ้นได้ทุกขณะ สิ่งใดที่ผมเขียนเลยเถิดหรือว่าผิดไปจากความเป็นจริง กรุณาทักท้วงสิ่งนั้นจะเป็นบทเรียนและเครื่องเตือนสติของผมต่อไป หวังว่าแฟนๆหนังสือที่ติดตามผลงานของผมคงจะเข้าใจนะครับ
ยิง...ยิง... จนนิ้วชี้ที่อยู่ในโก่งไกรแข็งทื่อเหมือนกับจะเป็นะคิว
1 ชั่วโมง 45 นาที ที่พวกผมระดมยิงพวกมันอย่างบ้าคลั่ง
03.05 น. กระสุนทุกชนิดเงียบเสียงลงเป็นปลิดทิ้ง
ผมออกคำสั่งทางวิทยุ HT-2 ให้กระแทกแฟลร์กระทุ้งขึ้ไปอย่างชนิดต่อเนื่องกัน
“พรึบ”
แฟลร์กระทุ้งลอยฟ่องอยู่บนเส้นทางมรณะแห่งนั้น อำนาจของดวงไฟขนาด 5000 แรงเทียน ที่กลังลอยลงอย่างช้าๆ สาดออกไปออกไปรอบบริเวณ ความสว่างไสวของมันทำให้บริเวณดังกล่าวสว่างจ้าคล้ายๆกับมีงานเฉลิมฉลอง
“พรึบ”
แฟลร์กระทุ้งดวงที่สองถูกกระแทกขึ้นไปลอยฟ่องอีกในช่วงระยะที่แฟลร์ดวงแรกกำลังจะตกลงมากระทบพื้นพอดิบพอดี
จากลักษณะดังกล่าว ทำให้พื้นที่สังหารสว่างไสวต่อเนื่องกันอยู่ตลอดเวลา
เต็นท์สนามหายไปจากที่เดิมเกือบหมดสิ้น ซากศพของทหารเวียดนามเหนือนอนระเกะระกะอยู่เต็มไปหมด
ผมไม่สามารถที่จะเช็คจำนวนของทหารเวียดนามเหนือที่ตายได้ถูกต้อง เนื่องจากซากศพขาดออกเป็นท่อนๆเกลื่อนพื้นถนน
เพื่อความรอบคอบ และเพื่อความปลอดภัยผม ออกคำสั่งให้ทุกคนสงบเงียบอยู่บนแนวพร้อมกับกระทุ้งแฟลร์ขึ้นไปทุกๆ 10 นาที
05.50 น. แฟลร์กระทุ้ง 100 อันก็เรียบวุธไม่เหลือหลอ และพร้อมๆกันนั้น รัศมีอันเรืองรองของดวงสุริยะก็ค่อยๆพ้นเหลี่ยมเขาขึ้นมาอย่างอ้อยอิ่ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 16, 2015, 09:21:36 AM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11735 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2015, 09:25:00 AM »

ตลาด อุปกรณ์ ส่วน ควบอาวุธปืน วันนี้ http://2013.gun.in.th/index.php?board=21.0  (อย่าลิมสมัครสมาชิกด้วย)
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11736 เมื่อ: สิงหาคม 17, 2015, 12:47:50 PM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา"

ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 3/11
อากาศแจ่มใส ทัศนวิสัยโล่งไปหมดทั้งขุนเขา สภาพอันแหลกรานเบื้องล่างปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน และพร้อมๆกันนั้นประสาทหูของผมก็ได้ยินเสียงหึ่งๆของชอร์ปเปอร์บินอยู่สูงลิบเหนือยอดเนินมรณะแห่งนั้น
วิทยุพีอาร์ซี.77 ที่นอร์แมนมอบให้ผมไม่มีความหมายเลยในสภาพของภูมิประเทศเช่นนี้
จุดพักแรมของผมอยู่ในหุบซึ่งมียอดเขา “ภูหินซับ” และยอด “ภูงาม” ขนาบเอาไว้ทั้งสองข้าง จากลักษณะดังกล่าว ทำให้ผมติดต่อวิทยุกับสถานีใดๆไม่ได้เลย
ผมขาดการติดต่อกับหน่วยเหนือเกือบ 15 ชั่วโมงเต็ม โชคเท่านั้นที่ทำให้พวกผมมีชีวิตรอดอยู่ได้จนกระทั่งได้เห็นแสงสุริยะอีกครั้ง ของเช้าวันรุ่งขึ้น
ผมใช้ “แอร์ ทู กราวน์ด” ติดต่อชอร์ปเปอร์ขอส่งข่าวผ่านไปให้นอร์แมนด้วยรหัสสั้นๆ อย่างง่ายว่า “อีเมอร์เจนซี่” (ฉุกเฉิน) พร้อมทั้งแจ้งพิกัดที่ตั้งของผมไปพร้อมเสร็จ
ชอร์ปเปอร์เครื่องนั้นเป็นชอร์ปเปอร์เที่ยวแรกจากอุดร และบังเอิญนอร์แมนก็โดยสารมากับเครื่องดังกล่าวนั้นเสียด้วย
“บิ๊กแมนจากนอร์แมน มันบัดซบอะไรที่ต้องหยุดพักแรมกัน ณ บริเวณ พิกัดดังกล่าว อีก 5-6 กิโลก็จะถึงสนามบินนาซูอยู่แล้ว พัง...พังชิบหายหมด แผนงานของผม”
นอร์แมนวิทยุลงมาด่าผมด้วยสำเนียงที่แสดงออกถึงความฉุนเฉียวขนาดหนัก
ความโมโหพรุ่งพรวดขึ้นมาเหมือนกับทำนบแตก ผมตะดกนกรอกวิทยุตอบนอร์แมนขึ้นไปด้วยน้ำเสียงพอๆกัน
“ลองบินมาดูให้ต่ำๆหน่อยซีโว้ย ไอ้หัวล้าน...ไอ้ห่า สักแต่ว่าสั่งงาน แล้วไม่เคยติดตามหรือสนับสนุนลูกน้องเลยว่ามันจะตายโหงตายห่าแบบไหน แผนงานของลื้อมันจะวิเศษวิโสขนาดไหน อั้วไม่สน ลื้อลองบินลงมาต่ำๆ แล้วจะเห็นเพื่อนของลื้อนอนตายโหงตายห่าเป็นผีเฝ้าถนนอยู่นี่ บินลงมาซีโว้ย ไอ้นรกจกเปรต”
เป็นครั้งแรกที่ผมด่าฝรั่งออกไปด้วยความลืมตัว และแถมเป็นฝรั่งที่เป็น ผู้บังคับบัญชาโดยตรงของผมเสียด้วย
ความลืมตัวอาจจะทำให้อาชีพทหารรับจ้างของผมสะดุดลงในวันนี้เสียแล้วละกระมัง
ชอร์ปเปอร์ปรากฏตัวออกมาจากกลุ่มเมฆ มันร่อนเป็นวงกว้าง ต่ำลง...ต่ำลงทุกที ทำอากัปกริยาเสมือนหนึ่งจะค้นหาที่อยูของพวกผมตามพิกัดที่ส่งขึ้นไป
“บิ๊กแมนจากนอร์แมน นี่มันเกิดอะไรขึ้น พวกที่นอนตายอยู่เป็นใคร...แล้วเต๊นท์สนามนั่นของใคร ขณะนี้พวกคุณอยู่ที่ใหน โชว์สโม๊คด้วย”
ผมดึงสลักขว้างควันสัญญาณสีเหลืองลงกับพื้นเต็มแรง ควันสโม๊คสีเหลืองพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าเป็นสาย ผมกดสวิทช์ตอบวิทยุนอร์แมนขึ้นไปอีกครั้ง
“นอร์แมน...ฟัง พวกที่ตายเป็นทหารเวียดนามเหนือทั้งสิ้น เป็นพวกเดียวกับพวกที่จะก่อวินาศกรรมสนามบินนาซู ตามข่าวกรองของคุณนั่นแหละ ไอ้วิทยุ PRC-77 เฮงซวยของคุณทำให้ผมขาดการติดต่อและสนับสนุนจากหน่วยเหนือเกือบ 15 ชั่วโมงเต็ม ผมจะลงไปเคลียร์พื้นที่ ต่อจากนนั้น ผมจะพาทหารทั้งหมดเดินทางไปนาซู ผมจะไม่กลับล่องแจ้งอีกแล้ว พอกันที...ไอ้สงครามฉิบหาย ไอ้สงครามเฮงซวย”
ผมสบถออกไปพร้อมกับหันมาพยักเพยิดให้ทหารรับจ้างเคลื่อนที่ลงไปข้างล่าง
“บิ๊กแมน...บิ๊กแมน... บิ๊กแมนผมอนุมัติให้พักผ่อน 3 วัน พร้อมด้วยโอเวอร์ไทมส์ 1500 ดอลล่าห์ ได้ยินไหม บิ๊กแมน นี่ นอร์แมนพูด ตอนเที่ยงพบกันที่สนามบินนาซู”
ผมไม่ตอบนอร์แมนหรอกครับ คำว่า “โอเวอร์ไทมส์” กับกำหนดการ “พักผ่อน” ทำให้ความโมโหของผมปลิวหายไปในชั่วพริบตา
ผมจะบอกความลับให้ก็ได้ อีตอนที่ผมด่าไอ้นอร์แมน แล้วเล่นตัวจะขอลาออก ผมคิดยังไงรู้ไหมครับ
โธ่...ผมกลัวไอ้นอร์แมนจะไล่ผมออกจริงๆ ใจจะขาด ขืนออกแล้วผมจะทำมาหากินอะไรเล่าครับ อาชีพรับจ้างฆ่าคนก็เห็นจะมีอยู่ที่เพชรบุรีอยู่เมืองเดียวเท่านั้น...เกือบตกงานเสียแล้วสิเรา
ชอร์ปเปอร์ของนอร์แมนบินกลับไปล่องแจ้งแล้ว ผมและทหารรับจ้างปีนลงไปเคลียร์พื้นที่บริเวณจุดพักแรมด้วยความระมัดระวัง
ลูกระเบิดที่ผมถอดสลักนิรภัยแล้ววาง “อ่อยเหยื่อ” เอาไว้ในเต๊นท์สนามเป็นปัญหาสำคัญที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
เต๊นท์สนามเกือบ 50 หลัง (ทหารนอนเต๊นท์ละ 2 คน) เหลือปรากฏอยู่บนถนนเพียง 5-6 หลังเท่านั้น
เมื่อผมใช้ “M-72” เคลียร์ลงไปอีกครั้ง “M-26” ที่หลงเหลืออยู่อีก 2-3 ลูก ก็ระเบิดตูมตามขึ้นมาสนั่นหวั่นไหว เล่นเอาทหารรับจ้างที่กำลังจะเข้าไปยังพื้นที่ดังกล่าวทำหน้าตาเหรอหราเหมือนกับโดนผีหลอกกลางวัน
ทหารเวียดนามเหนือเสียชีวิตในจุดพักแรม 10 คน
ฐานยิงอาวุธหนักทั้งสองฐานที่อยู่คนละฟากถนนไม่สามารถที่จะทราบจำนวนที่แน่นอนได้เนื่องจาก “M-72” ถล่มพื้นดินกลบร่างอันแหลกเหลวของพวกมันเอาไว้จนหมดสิ้น
ส่วนรังปืนกลที่ตั้งฐานยิงอยู่เหนือแนวยิงของพวกเราตายเรียบทั้ง 3 คน ด้วยอำนาจระเบิดมือและกระสุน M-16 จากน้ำมือของทหารรับจ้างที่จู่โจมเข้าประชิดรังปืนด้วยความกล้าเกินมนุษย์
ปืนกลหนัก “ปลอด” จากสะเก็ดระเบิดอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างไรก็ดี พอใช้ชิงไปได้ชั่วครู่ ห้องลูกเลื่อนของมัน ก็ระเบิดพังออกไปอย่างชนิดไม่มีทางแก้ไข นอกจากช่างอาวุธที่มีเครื่องมือซ่อมครบครันเท่านั้น
ทหารรับจ้างพิเนรบางคนตัดหูของทหารเวียดนามเหนือ ร้อยเป็นพวงด้วยสายเคลย์โมว์แล้วคล้องกับปลายกระบอกปืน เอ็ม.16 ด้วยอาการยิ้มหัวเหมือนกับว่าเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วนั้นเป็นการแสดงฉากหนึ่งเท่านั้นเอง
กระสุนเอ็ม.16 หมดไปเกือบค่อนจำนวน ส่วนกระสุนเอ็ม.60 ยังเหลืออยู่เพียงสองสายเท่านั้น ลูกระเบิดมือเรียบวุธ เพราะใช้ดักที่เต๊นท์สนามเกือบร้อยลูก
เอ็ม.72 เหลืออยู่ 20 กระบอก แฟลร์กระทุ้งหมดพอดีในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้นนั่นเอง
ผมเสียเวลาอยู่ ณ จุดพักแรมประมาน 2 ชั่วโมง เมื่อสำรวจยอดเสียหายก็ปรากฏว่าทหารรับจ้างของผมบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย 2 คน เนื่องจากถูกสะเก็ดระเบิดของตัวเองในขณะจู่โจมเข้าทำลายรังปืนกลหนักเหนือแนว
ทหารเวียดนามเหนือจะเหลือรอดชีวิตอยู่หรือไม่ ผมไม่สน พอถึงเวลา 08.30 น. ขบวนทหารรับจ้างเดนตายของพวกผมก้เคลื่อนที่ขึ้นไปบนยอด “ภูงาม” ซึ่งมองเห็นลิบๆอยู่เบื้องหน้า
เส้นทางเริ่มชันและวกวนขึ้นทุกขณะ พอขบวนของผมถึงมุมหักข้อศอก ครอบครัวของแม้วอพยพก็ออกมายืนออกันแน่นด้วยดวงหน้าที่แสดงออกถึงความวิตกกังวล
มันเป็นภาพที่ตราตรึงหัวใจของผมไปจนชั่วชีวิต สาวแม้วผวาเข้าหาทหารรับจ้างที่เคยเป็นคู่ขากันมาก่อนด้วยความลิงโลดน้ำตาที่ไหลพรากออกมาเป็นสาย ผมดูไม่ออกว่า เธอเหล่านั้นดีใจหรือเสียใจกันแน่
ความสนิทสนมกันในระหว่างเดินทางและเหตุการณ์ที่เลวร้ายทำให้บังเกิดความสนิทสนมและความเห็นอกเห็นใจกันขึ้นมาอย่างแนบแน่น
ครั้งแรกสาวแม้วเหล่านี้ ขายทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเงิน
แต่ขณะนี้มองหน้าด้วยสายตาเพียงแวบเดียว ผมก็สามารถบอกกับตัวเองว่า สาวแม้วเหล่านี้บังเกิดความรักอย่างชนิดฝังอกฝังใจกับทหารเดนตายเหล่านี้ขึ้นมาเสียแล้ว
สาวแม้วคนหนึ่งวิ่งควบฝ่ากลุ่มทหารรับจ้างตรงเข้ามายังทิศทางที่ผมกำลังเดินอยู่ มองเห็นผ้าสีชมพูที่คาดประดับทับอยู่บนชุดสีน้ำเงินของเธอปลิวไสว เสียงกำไลเงินกระทบกันดังกรุ๊งกริ๊ง ไม่ขาดระยะ
เธอเบรคพรืดอยู่ตรงหน้าผมชั่วอึดใจ แล้วผวาเข้ากอดคอผมเอาดื้อๆ
ผมจำเธอไม่ผิดหรอกครับ เธอเป็นคนเดียวกับสาวแม้วที่คนรักถูกทหารเวียดนามฆ่าตาย ที่ผมเอารองเท้าไปวางที่หลุมศพนั่นเอง
“อ้าย อ้ายปลอดภัย นีนาดีใจหลายหลาย วันนี้อ้ายพักบ้านนีนาที่นาซูนะอ้ายนะ”
ภาษาลาวที่ระรื่นหูอู้อี้อยู่ใกล้ๆซอกคอของผม ส.ต.อาษาซึ่งเดินอยู่ใกล้ๆ อมยิ้มแถมยกนิ้วชี้ขึ้นแตะที่บริเวณลูกกระเดือก แล้วตะหวัดไปด้านข้างอันเป็นโค้ดลับให้ผม “เชือด” สาวแม้วคนนี้อยู่ในที
ฮีท่อ... เกือบเดือนเต็มๆที่ไม่ได้เจอะเจอไอ้ของพรรค์ยังงี้ เลือดลมของผมมชักจะแล่นปรู๊ดปร๊าดเสียแล้วไหม๊ล่ะ
“นีนา” ปล่อยมือจากคอผมแล้วขยับตัวมาด้านข้าง ใช้มือโอบสะเอวของผมเดินชวนคุยไม่ขาดปาก
“แฟนของนีนาบ่ใช่คนแม้ว เป็นคนลาวเกิดที่นาซู เราเพิ่งหมั้นกันได้หนึ่งเดือน ก็ต้องมาพลัดพรากจากกัน นีนาสงสารทองเพชรเหลือเกิน”
กลิ่นสาบสาวอบอวลอยู่ข้างๆ นีนาเป็นสาวแม้วที่สวยผุดผาดกว่าคนอื่นๆ ลักษณะการแต่งตัวของเธอก็ดูสะอาดสะอ้าน ผิดแปลกไปจากชาวแม้วคนอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด
ดวงหน้ารูปไข่ ถูกตบแต่งด้วยเครื่องสำอางบางๆจนดูกลมกลืนกับธรรมชาติ ผมที่ยาวสลวยถูกถูกรวบเป็นพุ่มด้วยผ้าเช็ดหน้าผืนขนาดใหญ่
ว้า... ผมบรรยายเป็นน้ำท่วมทุ่งมาตั้งนานสองนาน รวบรัดเอาสั้นๆเลยว่า แม่นีนาของผม สวยจับจิตจับใจก็แล้วกันนะครับ แฮ่...แฮ่...แฮ่
พอขบวนของพวกผม ขึ้นมาบนยอด “ภูงาม” วิทยุ PRC-77 ก็สามารถติดต่อกับ บก.ล่องแจ้งได้อย่างถนัดชัดเจน
กองสิงห์กับนอร์แมน ผลัดกันซักถามผมถึงเหตุการณ์ณ์ต่างๆที่บังเกิดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น
แล้วจะให้ผมฝอยด้วยตัวของผมเองได้อย่างไรกันครับ ทางออกของผมก็คือยัดเยียดให้ “จ่าสรศักดิ์ พุทรา” เป็นผู้บรรยายเหตุการณ์ต่างๆเหล่านั้นให้ตัว ผบ.พันของเขาฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ส่วนผมก็ฉากแวบออกไปเดินกระจู๋กระจี๋กับ “นีนา” สบายอารมณ์ไปเท่านั้น
“ภูงาม” เป็นยอดเขาที่สูงเกือบ 6000 ฟิตจากระดับน้ำทะเล (ประมาน 1800 เมตร) อากาศเย็นยะเยือก พืชพรรณเมืองหนาวจำพวก “สน” และ “หญ้ามอส” ที่อ่อนนุ่มเหมือนกับพื้นสักหลาดราบเรียบขนานกับพื้นถนนมองดูสวยงามเหมือนกับภาพวาดของจิตกรเอกแห่งยุค
ทหารรับจ้างและแม้วอพยพหยุดพักผ่อนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะลงจากยอดภูงามเข้าไปยังเมืองนาซู ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาน 2 กิโลเมตร
นีนาพาผมเดินไปตามถนนจนกระทั่งถึงด้านหลังสุดของยอดเขา ภาพของเมืองนาซูก็ปรากฏลิบอยู่ในแอ่งกระทะเบื้องล่าง
ทัศนะวิสัยแจ่มใสเป็นพิเศษ ผมสามารถมองเห็นแม้กระทั่งจุดเล็กๆ ของคนที่เดินสับสนวุ่นวายอยู่ภายในสนามบิน
เครื่องบินชนิดต่างๆจอดระเกะระกะเต็มไปหมด แม้กระทั่งบนท้องฟ้าก็ปรากฏเครื่องบิน บินวนเวียนรอจังหวะลงอยู่ 2-3 ลำ
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11737 เมื่อ: สิงหาคม 17, 2015, 12:49:47 PM »

ตลาดปืนสวัสดิการณ์วันนี้ http://2013.gun.in.th/index.php?board=2.0  (อย่าลืมสมัครสมาชิก)
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11738 เมื่อ: สิงหาคม 18, 2015, 10:07:54 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา"

ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 4/11
สนามบินล่องแจ้งปิดตายเนื่องจากอำนาจ “ลูกยาว” ของข้าศึก สนามบินนาซูก็เลยคับคั่งจอแจเป็นพิเศษยิ่งกว่าทุกครั้ง
เสบียงอาหาร,อาวุธยุทโธปกรณ์ทุกชนิดที่ส่งไปล่องแจ้ง ต้องเปลี่ยนทิศทางมาลงที่สนามบินนาซูอย่างกระทันหัน ต่อจากนั้นก็ใช้ชอปเปอร์ทะยอยขนถ่ายไปลงที่ล่องแจ้งในโอกาสต่อไป
เมืองนาซูเป็นเมืองที่มีความเจริญเหนือกว่าเมืองล่องแจ้งอย่างเห็นได้ชัด ถนนหลายสายที่ตัดกันผ่านเมือง ปรากฏภาพรถยนต์นานาชนิดวิ่งขวักไขว่ลานตา
“บ้านของนีนาอยู่ท้ายสนามบิน พ่อของทองเพชรสร้างให้เมื่อตอนหมั้นกันใหม่ๆ คืนนี้อ้ายพักกับนีนานะ”
นีนาเกาะไหล่ผมพร้อมกับจีบปากจีบคอชี้ให้ผมมองดูตำแหน่งที่ตั้งบ้านของเธอ ด้วยท่าทางน่ารัก
ผมไม่ได้มองตามมือของเธอหรอกครับ สายตาของผม มองดูขบวนรถบรรทุกขนาดใหญ่ 5 คันที่กำลังห้อตะบึงฝุ่นคลุ้ง ออกจากเมืองนาซู มุ่งหน้าขึ้นมาตามเส้นทางที่ลัดเลาะ ขึ้นมาบนยอดภูงามด้วยความสนใจ
“บิ๊กแมน บิ๊กแมน นอร์แมนขอพูดวิทยุด้วยครับ”
เสียงจ่าสรศักดิ์ตะโกนแว่วๆ อยู่ทางเบื้องหลัง เมื่อผมหันหลังกลับไปดูก็มองเห็น ผบ.หมวดเลือดทหารม้า กับทหารรับจ้างคนหนึ่งเดินสะพายวิทยุ “PRC 77” เดินตรงเข้ามาหาผมด้วยอาการเร่งรีบ
“ผมนั่งแอบดูตั้งนาน ว้า... คุณบิ๊กแมนนี่จุดไฟไม่ค่อยจะติดเอาเลยนะครับ เป็นผมละก้เสร็จไปตั้งแต่เมื่อเช้านี้แล้วครับ”
จ่าสรศักดิ์กระซิบกระซาบกับผมพร้อมกับส่งปากพูดหูฟังของ PRC-77 มาให้ผมแล้วเปิดฉาก “อำ” ผมต่อไปอีก
“สวยขาดใจเลยครับ บิ๊กแมน หุ่นแบบนี้จะโดนกระรอกแม้วเจาะหรือยังก้ไม่รู้ ยังไงๆอย่าให้เสียชื่อชายไทยนะครับ แฮ่ๆ แล้วก็อย่าลืมคิดถึงจ่าแก่ๆหยั่งผมมั่งก็แล้วกัน”
ผมอมยิ้ม ยกปากพูดหูฟังเรียกหานอร์แมนออกไปทันที
“นอร์แมนจากบิ๊กแมน เปลี่ยน”
“โอเค ผมได้ยินเสียงของคุณแล้ว ขณะนี้ผมอยู่ที่นาซู มีข่าวด่วนถึงคุณหนึ่งฉบับ พร้อมแล้วบอกด้วย”
ด้วยนหัสของ FAG (แฟ็ก) นอร์แมนส่งข่าวลับสุดยอดให้ผมทราบถึงการเดินทางของขบวนรถบรรทุก 5 คันที่บรรทุกทหารลาว พร้อมด้วยอาวุธหนักขึ้นมาตั้งฐานปฏิบัติการบนยอด “ภูงาม” ท้ายสุดของข่าว นอร์แมนสั่งให้ทหารรับจ้างขึ้นรถบรรทุกทั้ง 5 คันกลับลงไปยังสนามบินนาซูด่วน
ในข่าวสารฉบับนั้นไม่ได้กล่าวถึงพวกแม้วอพยพแต่อย่างใด
ผมฉุนไอ้นอร์แมนขึ้นมาทันที ความสำคัญของพวกแม้วอพยพเหล่านี้ อาจจะไม่มีคุณค่าสำหรับนอร์แมนก็จริง แต่สำหรับผมและทหารรับจ้างทุกคน แม้วเหล่านี้ คือเพื่อนตายที่หาได้ยากที่สุดในยุคสงครามลาวที่บัดซบเช่นนี้
แล้วมันเรื่องอะไรที่ผมจะปล่อยให้ พวกแม้วเหล่านี้เดินทางเข้าไปเมืองนาซูโดยลำพัง
รถบรรทุกทั้ง 5 คัน เดินทางขึ้นมาบนยอดภูงามในอีก 20 นาทีต่อมา
ด้วยการประสานงานกันมาเรียบร้อยแล้ว นายทหารลาวหน้าตาอ่อนเหมือนกับเด็กที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนทหารกระโดดลงจากรภ เดินตรงเข้ามาสัมผัสมือกับผม แล้วเอ่ยแนะนำตัวขึ้นมาเป็นภาษาไทยอย่างชัดถ้อยคำจนผมเอะใจ
“ผม ร.ต. ธงชัย นุธภักดี แห่งกองร้อยอิสระที่ 290 ได้รับคำสั่งให้นำทหาร 60 คน พร้อมด้วยอาวุธหนักขึ้นมาตั้งฐานปฏิบัติการบนยอดภูงาม คนไหนชื่อ “บิ๊กแมน” ครับ”
“ผมเองครับ”
ผมแนะนำตัวออกไป
ผู้หมวดธงชัยถอดหมวกปีกกว้างออกจากศีรษะ ยกมือไหว้ผมแล้วกระซิบออกมาเบาๆ
“พี่ ...ผมเป็นคนไทย สอบตกจากนักเรียนนายสิบที่ปราณบุรี ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยหนีข้ามมาอยู่ลาว มีอะไรช่วยแนะนำผมด้วยครับ”
มันเป็นการฝากเนื้อฝากตัวที่น่ารักที่สุดของทหารรุ่นน้องชาวไทยที่จับพลัดจับผลูหลุดเข้ามาเผชิญโชคที่ไร้กติกาของเมืองลาว
ผมลากข้อมือหมวดธงชัยไปแนะนำภูมิประเทศที่จะตั้งฐานปฏิบัติการ ตามความสังเกตุของผม ปฏิภาณและไหวพริบของอดีตนักเรียนนายสิบผู้นี้อยูในเกณท์ใช้ได้ทีเดียว
กองร้อยทหารลาวเข้าประจำแนวเรียบร้อยแล้ว ผมต้อนชาวแม้วทั้งหมดขึ้นรถบรรทุกท่ามกลางความแปลกใจของพลขับชาวไทยที่ขยับปากจะถามผมตั้งหลายครั้งหลายครา
“น้องชาย พวกแม้วเหล่านี้ไม่ใช่แม้วธรรมดา พวกเขาเป็นแม้วหน่วยกล้าตายที่หันหลังชนกับพวกเรามาอย่างโชกโชน เว้ากันซื่อๆ ถ้าไม่มีแม้วกลุ่มนี้ พวกผมจะไม่มีโอกาสเดินทางมาถึงที่นี่อย่างเด็ดขาด ผมรู้ว่าคุณกำลังจะพูดอะไรออกมา ไม่จำเป็น ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในระหว่างเดินทางผมรับผิดชอบเอง”
ผมตัดบทออกไปดื้อๆ ทำให้พลขับหมดความกังขาแถมยังออกแรงด้วยการช่วยชาวแม้วยกของขึ้นรถด้วยอาการสนิทใจซะอีกด้วย
รถบรรทุกทั้ง 5 คัน เกาะขบวนกันลงจากยอดภูงามมุ่งหน้าเข้าเมืองนาซู ทิ้งเหตุการณ์ละเลงเลือดเอาไว้เบื้องหลังอย่างไม่ใยดี
เส้นทางลงจากยอดภูงาม ค่อนข้างจะสูงชัน ขอบถนนที่หมิ่นเหม่ถูกแรงเหวี่ยงของล้อรถในขระหักเลี้ยวเศษดินร่วงเกรียวกราว ลงไปในหุบเบื้องล่างท่ามกลางความอกสั่นขวัญแขวนของทหารรับจ้างบางคนที่นั่งหน้าซีดเป็นไก่ต้มอยู่บนกระบะท้าย
ไม่ถึง 20 นาที รถบรรทุกทั้ง 5 คันก้เลี้ยวขวับเข้าไปจอดอยู่หน้ากองรักษาการณ์ของสนามบินนาซู
นอร์แมน กองสิงห์ ยืนยิ้มเผล่อยู่ก่อนแล้ว ทหารรับจ้างร้องเรียกชื่อผู้พันของเขาดังลั่น ทุกคนพรูลงมาจากรถวิ่งเข้าไปรุมล้อมกระทำความเคารพกองสิงห์ด้วยความจงรักภักดีอย่างจริงใจ
กองสิงห์ชะเง้อคอมองผมอยู่ ท่ามกลางกลุ่มทหารรรับจ้าง เมื่อสายตาของเราเจอะกัน กองสิงห์ก็พยักเพยิดให้ผม ทำอากัปกริยาเหมือนหนึ่งจะต้องการพูดกับผมอยู่ในที...
“นีนาไปรอพี่อยู่ที่ตลาดท้ายสนามบินโน่นก่อน เสร็จธุระพี่จะไปหา”
นีนาปล่อยมือจากแขนเสื้อของผม แล้วกลับดึงแขนผมเข้าไปกอดอีกครั้ง พร้อมด้วยออดอ้อนขึ้นมาเหมือนเด็กๆ
“อย่าโกหกนีนานะคะอ้าย นีนาจะรอ...นีนาจะทำอาหารลาวให้อ้ายกิน นีนาไปก่อนนคะ”
ร่างของนีนาสะพายกระชุเดินข้ามรันเวย์สนามบินไปแล้ว กองสิงห์ผละจากลูกน้องเดินตรงเข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว
“ไปหิ้วมาจากไหน บิ๊กแมน หน้าตาสวยดีนี่ครับ เมื่อเช้านึกยังไงถึงด่ากราดไอ้นอร์แมนเข้าไปหยั่งงั้น มันมาฟ้องกับผมว่า F.A.G. ประจำกองพัน 616 ปากจัดหยั่งกับกรรไกรโรงพยาบาล เป็นยังไงบ้างครับ ทหารของเราสูญเสียมากมั้ย”
“ใครจะไปทนไหวผู้พัน ยังไม่ทันจะรู้เรื่องรู้ราว ก็เสือกแหกปากตะโกนด่าผมเสียลั่นวิทยุไปหมด หน๊อย พอผมยั๊วะเข้าจริงๆก็เสือกดันให้ลาพักผ่อนเสียนี่ โน่นครับ เดินลิ่วมาโน่นแล้ว สงสัยจะมีงานให้ผมทำอีกละกระมัง”
นอร์แมนเดินยิ้มเข้ามาหา เขายื่นซองน้ำตาลหนาปึกมาให้ผมพร้อมเอ่ยขึ้นมาห้วนๆ
“งานอยู่ในซอง ผมมีธุระต้องบินไปวังเวียง โชคดี...บิ๊กแมน”
ผมขยับปากจะเอ่ยทวงถามคำสัญญาของเขาก็ไม่ทันเสียแล้ว นอร์แมนหันหลังกลับเดินดุ่มๆมุ่งหน้าไปยังชอปเปอร์ที่จอดอุ่นเครื่องอยู่ ณ บริเวณลานจอดด้วยท่าทางรีบร้อนเอาการ
ผมยัดซองเอกสารลงกระเป๋าหลัง กองสิงห์ยกมือตบหลังผมป๊าบใหญ่
“บิ๊กแมนไปล่อเบียร์กระป๋องกันดีกว่า อ้อ บก.ล่องแจ้ง อภัยโทษให้ลูกน้องของผมหมดแล้ว แถมให้พักผ่อนที่นาซูอีกหนึ่งคืน ผมเห็นจะอยู่ไม่ได้หรอกครับ เป็นห่วงลูกน้องที่อยู่ทางโน้น รองผู้พันก็ยังไม่กลับจากลาพัก ยังไงๆ คืนนี้ก็ช่วยปรามลูกน้องของผมด้วย”
กองสิงห์เรียก ผบ.หมวด 5 กับรองเข้าไปสั่งการอยู่ชั่วครู่ก็เดินทางกลับล่องแจ้ง
ทหารรับจ้างกลุ่มหนึ่งประมาน 10 คนเดินเตร่ๆอยู่ข้างๆผม พวกเขาทำอากัปกริยาเสมือนหนึ่งอยากจะปรึกษาอะไรบางอย่างกับผมอยู่ในที
“มีอะไรน้องชาย”
ผมพูดเปิดทางออกไป ทหารรับจ้างกลุ่มนั้นเดินเข้ามารายล้อมผม คนหนึ่งซึ่งคงจะรับหน้าที่เป็นหัวหน้า เอ่ยกับผมขึ้นมาด้วยทีท่าที่ไม่ค่อยสบายใจนัก
“คุณบิ๊กแมนครับ ก่อนอื่นพวกผมขออกตัวเสียก่อนว่า พวกผมไม่ใช่พวกขี้ขลาด พฤติการณ์ต่างๆที่พวกผมปฏิบัติ คุณบิ๊กแมนคงจะเห็นด้วยตาของคุณเองแล้ว”
เขาหยุดพูดไปเฉยๆเหมือนกับบังเกิดอาการกริ่งเกรงอะไรขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน
“มีอะไรพูดมาเลยน้องชาย เกือบสองอาทิตย์ที่ผมคลุกคลีร่วมเป็นร่วมตายกับพวกคุณมา พวกคุณก็ย่อมรู้ว่าผมเป็นคนเช่นไร มีอะไรที่ผมพอจะช่วยเหลือ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ผมพร้อมเสมอ”
ทหารรับจ้างคนนั้นก้มหน้าเหมือนอย่างจะชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก้เงยหน้าขึ้น หลุดคำพูดที่ผมคาดไม่ถึงออกมาเบาๆ
“พวกผมทั้งหมดจะหนีเข้าเวียงจันทร์เดี๋ยวนี้ คุณบิ๊กแมนต้องเข้าใจนะครับ พวกผมเซ็งและเบื่อหน่ายต่อสงครามห่าเหวนี้จนทนไม่ไหวแล้ว ชีวิตของพวกผมต้องมีภาระ พ่อ แม่ พี่น้อง ลูกเมียที่อยู่เบื้องหลังคงจะไม่รู้ว่า ชีวิตของพวกผมเสี่ยงตายขนาดไหน เงินเดือนทุกบาททุกสตางค์ ผมส่งให้ทางบ้านหมดแล้ว เหลือฝากอยู่ที่ บก.333 ไม่ถึงพันบาท คุณบิ๊กแมนเป็นคนแรกที่ผมมาปรึกษา แม้แต่ผู้พันของผม – ผมยังไม่กล้าที่จะแบกหน้าเข้าไปพบกับท่าน ผมกลัวโดนเตะครับ สำหรับการเดินทางไปเวียงจันทร์ ผมเช่ารถสองแถวเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แม้วอพยพคนหนึ่งสงสารพวกเรา เขารับภาระติดสินบนทหารลาวที่รักษาการณ์อยู่ตามจุดต่างๆให้เอง พวกผมอาจจะหนีไปโดยไม่บอกให้คุณบิ๊กแมนเลยก็ได้ ความรักและความเคารพทำให้พวกผมต้องหันมาปรึกษาคุณเป็นคนแรก”
ผมอึ้งไปชั่วครู่ เหตุผลของทหารรับจ้างก็เป็นเหตุผลที่ควรแก่การเห็นอกเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง
ทุกคนได้รับอภัยโทษ โทษหนีทัพต่อหน้าอริราชศัตรูหมดสิ้นลงไป เพราะการปฏิบัติการรบที่ดุเดือดเลือดพล่านบนเส้นทางมรณะ ทหารรับจ้างทุกคนจะต้องเดินทางกลับไปล่องแจ้ง เดินทางกลับไปรวบรวมกำลังเข้าบดขยี้กองทหารเวียดนามเหนืออีกครั้ง
ความเบื่อหน่าย ความเซ็งต่อสภาพอันโหดร้ายทารุณของสงครามทำให้ทหารรับจ้างเหล่านี้ คิดหลบหนีเข้าชายแดนไทยในทันทีทันใดที่โอกาสเปิดทางให้เขา
“แล้วพวกคุณจะข้ามจากเวียงจันท์ได้ยังไงกัน บัตรประจำตัวของคุณก้ไม่มี ผมว่า ท่าทางมันจะยุ่งนา ดีไม่ดีคุณอาจโดนหน่วยตรวจคนเข้าเมืองจับด้วยข้อหาเข้าเมืองโดยไม่มีพาสปอร์ตละก็เรื่องมันจะหนักยิ่งกว่าเท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้นะคุณ”
“ขอให้ถึงเวียงจันทร์เถอะน่า ไอ้เรื่องข้ามแม่น้ำโขงตอนกลางคืนผมถนัดนัก ก็บ้านผมอยู่ที่หนองคายนี่ครับ คุณบิ๊กแมน ผมเคยข้ามไปข้ามมา วันหนึ่งๆตั้งหลายเที่ยว... มีเงินซะอย่าง พวกมันไม่หือหรอกครับ”
ตกลงผมก็เลยต้องตกบันไดพลอยโจนรู้เห็นเป็นใจไปกับทหารรับจ้างกลุ่มนั้นด้วย
ทุกคนร่ำลาผมอย่างอาลัยอาวรณ์ บางคนถึงกับน้ำตาซึมออกมาด้วยความตื้นตันใจ ก่อนจากกัน พวกเขาเหล่านั้น กระซิบกระซาบให้ผม ช่วยจำหน่ายยอดให้พวกเขา “สาบสูญ” ในการสู้รบอีกด้วย
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11739 เมื่อ: สิงหาคม 18, 2015, 10:10:47 AM »

ทุกอย่างเกี่ยวกับปืนลูกซอง http://2013.gun.in.th/index.php?board=3.0 (สมัครสมาชิก)
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11740 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2015, 09:36:16 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา" สมิง วังม่วง
  
ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 5/11 ผลงานเขียน ของ สยมภู ทศพล
รถสองแถวขนาดกลาง พากลุ่มทหารรับจ้างเดนตายแล่นลับโค้งถนนไปแล้ว ผมยืนมองดูฝุ่นที่คลุ้งขึ้นมาเต็มถนน ด้วยอาการเหม่อลอย ในใจภาวนาให้เหล่าทหารเหล่านั้นเดินทางกลับประเทศไทยด้วยความปลอดภัย กลับไปเป็นหลักของครอบครัวซึ่งยากจนข้นแค้นแทบเลือดตากระเด็น
เมื่อหันมาสำรวจดูตัวผมเอง น่าสมเพชนัก ชั่วชีวิตที่ผ่านมาก็ยังไม่มีอะไรเป้นชิ้นเป็นอันพอที่จะแสดงให้เห็นว่าตั้งหลักได้ เงินเดือน-เดือนหนึ่งๆของอาชีพรับจ้างฆ่าคนก็ถูกจับจ่ายไปกับอบายมุขร้อยแปด
เอ้อ... ทั้งๆที่รู้ว่ามันเช่า ก็อดที่จะเกลือกกลั้วกับมันไม่ได้ ดังนั้น คนบาปหนาเยี่ยงผมก็เลยต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสมรภูมินรกแห่งนี้อยู่ตลอดไป ตลอดไปจนกว่าชีวิตจะสิ้น
ทหารรับจ้างทั้ง 10 คน ที่กำลังหลบหนีไปเวียงจันทร์ อาจจะกลายเป็นเศรษฐีไปในชั่วพริบตา
บก.333 มีข้อสัญญาเอาไว้ว่า ถ้าทหารรับจ้างคนใด “สาบสูญ” หรือเสียชีวิตจากการรบในสงครามลาว ทาง บก.333 จะต้องจ่ายเงินให้แก่ครอบครัวของทหารรับจ้างผู้นั้น รายละหนึ่งแสนบาททันที โดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น
ด้วยกลเม็ดและชั้นเชิง ทหารรับจ้างผู้สาบสูญแต่ในนามก็เลยกลายเป็นเศรษฐีไปโดยปริยาย
และผมก็จะจำหน่ายยอดสาบสูญให้กับทหารรับจ้าง
ฮี่ธ่อ... ช่วยให้เพื่อนฝูงกลายเป็นเศรษฐีทั้งที มัวแต่มานั่งตะขิดตะขวงใจ มันก็ผิดลักษณะคนมักน้อยหยั่งผมหมดนะซีครับ
ชีวิตเป็นของไม่แน่ บางทีวีวิตเสร็งเคร็งของผมอาจจะโซซัดโซเซไปพบกับพวกเขาเหล่านั้นอีกครั้ง และครั้งนี้เราก็จะได้พิสูจน์ถึงน้ำใจซึ่งกันและกัน
แต่ความจริงแล้ว ที่ช่วยเหลือครั้งนี้ ไช่ว่าผมจะคิดเอาบุญคุณแก่พวกเขาเหล่านั้นก้หาไม่... ที่อยู่-บ้านช่องของทหารรับจ้างดังกล่าวผมก้ไม่เคยรู้จักมักคุ้น ความสุขทางใจของคนบาปหนาอย่างผมหรอกครับ ที่ทำให้ต้องหลวมตัวตกบันไดพลอยโจนไปกับพวกเขาด้วย
“อ้าย... อาหารเสร็จแล้ว ยืนเหม่อมองอะไรอยู่คะ”
เสียงหวานระรื่นหูของนีนา ดังกังวานอยู่ใกล้ๆ ผมสะบัดศรีษะ ความรู้สึกที่กระเจิดกระเจิงกลับเข้าที่ นึกถึงสัญญาที่ให้ใว้ว่าจะไปทานอาหารกับนีนาขึ้นมาทันที
ผมหันขวับกลับมามองดูนีนา
พระเจ้าช่วย ผู้หญิงแม้วที่ยืนยิ้มแก้มบุ๋มอยู่เบื้องหน้าของผมอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่นีนาคนเก่าเสียแล้ว
กางเกงบลูยีนส์สีน้ำเงินฟิตเปรี๊ยะ ที่ฟิตเสียจนตะเข็บตรงบริเวณสะโพกแทบจะปริออกมาเนื่องจากอำนาจของเนื้อหนันที่อวบอูมนั้น
เสื้อยืดสีน้ำเงินเข้มแบบสปอร์ต มีตราดอกกุหลาบขาวติดหราอยู่ที่หน้าอก ยามเธอหายใจสะท้อน เจ้าดอกกุหลาบช่อนั้นเต้นระริกเป็นจังหวะอย่างมีชีวิตชีวา
ขณะนี้ นีนาเป็นหญิงสาวที่แต่งกายทันสมัยเปรี้ยบ ชุดเครื่องแต่งกายพื้นเมืองที่รุงรังของชาวแม้ว ถูกลอกคราบออกไปจนไม่เหลือไม่เหลือหลอ
นีนาดึงแขนของผมเข้าไปกอด สัมผัสแรกที่รู้สึกก็คือ เนื้อหนันสองก้อนเบียดกระชับนุ่มนิ่มอยู่กับบริเวณข้อศอกด้านซ้าย
ไม่ได้ใส่อะไรจริงๆนั่นแหละครับ สายตาและข้อศอกของผมฟ้องตัวเองว่า...นอกจากเสื้อยืดสปอร์ตตัวนั้นแล้ว นีนาไม่ได้สวมใส่อะไรเลยจริงๆ
ขนเจ้ากรรมดันลุกซู่ขึ้นมาเฉยๆ ผมหันหน้าหันหลังสำรวจดูบริเวณรอบๆตัว เมื่อไม่มีใครสนใจ ผมก็แอบขโมย “ปลูกหอมบนไร่แก้ม” นีนาเสียฟอดใหญ่ๆ
ผมกับนีนาเดินกอดเอวกันมุ่งหน้าเข้าไปในตลาดเมืองนาซู ท่ามกลางสายตาที่จ้องมองอย่างฉงนสนเท่ห์ของพนักงานสนามบินที่ต่างก็คงจะพากันสงสัยว่า ผมไปคว้าเอาสาว “แม้วโมเดิ้ล” มาจากไหนกัน...
บ้านของนีนาปลูกอยู่ท้ายสนามบิน ลักษณะของบ้านค่อนข้างจะมีฐานะพอสมควร นีนาเล่าเรื่องราวของเธอให้ผมฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
นีนากับทองเพชร เพิ่งจะหมั้นหมายกันไม่ถึงเดือน ทั้งสองคนรวบรวมทุนเข้าหุ้นกันค้าขายเครื่องดื่มที่สนามบินล่องแจ้ง ทองเพชรจะเป็นคนเดินทางไปซื้อเครื่องดื่มจำพวก เป๊บซี่ และเบียร์กระป๋องจากเวียงจันทร์โดยทางเครื่องบิน(ฟรี)
ต่อจากนั้น นีนาก็จะติดตามคู่หมั้นของเธอไปช่วยกันขายของที่สนามบินล่องแจ้งในตอนเช้าตรู่ของวันต่อมา
วันหนึ่งๆมีกำไรเกือบ 600 บาท ความหวังที่ตั้งเอาไว้คือ จะรวบรวมกำไรทั้งหมดเอาไว้ทำทุนในวันแต่งงาน
การค้าเจริญขึ้นเป็นลำดับ เธอก็เลยชวนทองเพชรและพี่น้องไปปลูกร้านขายของอยู่ที่ตลาดล่องแจ้งเสียเลย
ร้านเปิดได้เพียง 3 วันก็โดนกระสุนปืนใหญ่จากทหารเวียดนามพังทลายไม่มีชิ้นดี
การระดมยิงของทหารเวียดนามเหนือทำให้ชาวแม้วทุกคนเริ่มอพยพออกจากเมืองล่องแจ้ง เธอกับทองเพชรก็เลยทิ้งร้านค้าอพยพกลับนาซูด้วยการเดินเท้า
ทองเพชรเสียชีวิตจากการต่อสู้กับทหารเวียดนามเหนืออย่างสมศักดิ์ศรี นีนาก็เลยกลายเป็นม่ายคู่หมั้นมาจนกระทั่งบัดนี้
ประเพณีของชาวแม้วนี่ก็แปลกเหลือหลายนะครับ..ลูกสาวพาไอ้หนุ่มขึ้นบ้าน แทนที่พ่อแม่จะออกมาพูดคุยด้วย กลับยกกระชุขึ้นสะพายหลังชวนกันเดินหายออกไปจากบ้านซะนี่
อาหารเย็นผ่านไปอย่างเอร็ดอร่อย “ลาบงูเห่า” ทำให้เลือดลมของผมร้อนฉ่าขึ้นมาอย่างช่วยเหลือไม่ได้ หลังจากอาหารเย็นไม่นาน ฝนหลงฤดูของเมืองหนาวก้กระหน่ำลงมาอย่างชนิดไม่ลืมหูลืมตา
ผมกับนีนาผลัดเสื้อผ้าลงไปช่วยกันรองน้ำฝนอย่างสนุกสนาน สามชั่วโมงเต็มๆ ฝนก็ยังไม่ยอมหยุด จนกระทั่งรัตติกาลได้คืบคลานเข้ามาอีกครั้ง
ผมกับนีนานั่งคุยกันอยู่ในห้องนอน ตะเกียงรั้วดวงเล็กริบหรี่อยู่ข้างๆ น้ำมันก๊าสที่เหลืออยู่น้อยเต็มที ทำให้ไฟหรี่ลงทุกขณะ
“เปรี้ยง...ครืน”
อสุนีบาต ครางกระหึ่มอยู่เบื้องนอก ต้นไม้ใหญ่ข้างๆบ้าน ล้มครืนลงมาได้ยินถนัดหู... สายลมกรรโชกเข้ามาในหน้าต่างบานเดียวที่เพยิบพยาบอยู่นั้น
ตะเกียงดับวูบ นีนาผวาเข้ามากอดผม มือทั้งสองข้างของเธอกระหวัดคล้องคอผมเอาไว้แน่น ผมก้มหน้าลงไปพอดี ก็เลยเจอะกับริมฝีปากรูปกระจับคู่นั้นพอดิบพอ...
ลมหายใจของเธอร้อนผะผ่าวเหมือนกับลมหน้าแล้ง ผมเก็บเกี่ยวความละลานใจบนร่างเธอด้วยความย่ามใจ ในขณะที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงผิดปกติดังขึ้นมา ณ บริเวณบันไดหน้าห้องของเธอ
“ใคร”
นีนาถามออกไปเป็นภาษาแม้ว ด้วยน้ำเสียงที่ผมจำเกือบไม่ได้
“แม่เอง...นีนา”
เสียงแหบๆของแม่ของนีนาดังลอดประตูเข้ามาได้ยินถนัดหู...ผมสะดุ้งเฮือก มือทั้งสองข้างควานหากางเกงเป็นพัลวัน
นีนา เอื้อมมือมาคว้ามือผมเอาไว้แน่น ปากก็ร้องดุแม่ของเธออกไปด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“ไหน แม่ว่า...คืนนี้แม่จะไม่กลับ นีนามีแขก...แม่ไปนอนกับกิมลองก็แล้วกัน”
มีเสียงบ่นพึมพำอยู่หน้าห้องชั่วครู่ ผมก็ได้ยินเสียงย่ำเท้าลงบันไดไป
ให้ตายเถอะครับ ถ้าเป็นเมืองไทย ป่านนี้ผมโดนเฉาะกบาลแยกแล้ว ประเพณีแม้วนี่ก็แปลกเหลือหลาย ลูกสาวจะมีผัวทั้งทีต้องเสือกไสแม่ให้เปลี่ยนที่นอนซะด้วย
นีนาเหมือนกับม้าเจนศึก ทุกสิ่งทุกอย่างเธอเป็นฝ่ายบริการให้ผมทั้งสิ้น สามยกของมวยไทยผ่านไปอย่างสบายๆ
พอขึ้นยกที่ 4 นักมวยสมัครเล่นอย่างผมก็ขาปัดขาเป๋ หายใจหอบเหมือนกับหมาบ้าแดด หูอื้อ ตาลาย เพดานมุ้งสีขาวที่อยู่ในความมืด หมุนเคว้งเหมือนกับกังหัน ความรู้สึกวูบลงไปเหมือนกับ “หนังขาด”
ก่อนที่ความรู้สึกจะโบยบินออกจากร่าง ผมได้ยินเสียงนีนาพึมพำภาษาบ้านเกิดของเธอไม่ได้ศัพท์
ผมสลบไสลไม่ได้สติ จนกระทั่งถึงรุ่งเช้า ลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นแสงอาทิตย์สาดเป็นลำดับเข้ามาทางช่องหน้าต่าง ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ
ชุดเครื่องแบบที่เหม็นสาบของผมหายไปจากขอตะปูข้างฝา ซองสีน้ำตาลปึกใหญ่ที่นอร์แมนให้ผมไว้ วางอยู่ใกล้ๆหมอน
เสียงอ้อแอ้ของ “จ่าสรศักดิ์ พุทรา” แหกปากร้องตะโกนเพลงสัปโดกสัปดน เลียนแบบทำนองเพลงแหล่ ของ “พร ภิรมย์” ดังลั่นอยู่ข้างๆบ้าน
“คนธรรพ์พลันยั้งหยุดคิด คิดทำบุตรตอนฟ้าสาง อิงแอบแนบน้องนาง ก่อนสว่างจึงล้างหน้าไก่......คนธรรพ์พลันขึ้นห้อง ไปเจอะนวลน้อง ชะเป็นหนองใน”
“เฮ้ย ใครมี “เดดตร้า-ไซคลีน” บ้างโว้ย กูเจอะหนองในเข้าให้แล้ว โธ่เอ๋ย ม้าเนื้อหยั่งกู หนองแดกซะแล้วหรือนี่”
พูดพลาง จ่าสรศักดิ์ ก็ร้องเพลงยอดฮิตของธานินทร์ ขึ้นมาอีกครั้ง
“โธ่เราเป็นหนองอีกแล้วหรือนี่ ยังงี้ทุกทีเมื่อริปี้ผู้หญิง”
มีเสียงหัวเราะประสานกันขึ้นมาเกรียวกราว ผมค่อยๆโงศรีษะที่หนักอึ้งขึ้นมาจากหมอน ลุกขึ้นเดินกระย่องกระแย่งไปที่หน้าต่าง ก็มองเห็น จ่าสรศักดิ์ พุทรา ยืนง่อกแง่กปลดกระดุมกางเกงงัด “เครื่องเยี่ยว” ออกมาสำรวจอยู่ไปมา ปากก็ร้องเพลงไม่ขาดระยะ ท่ามกลางกลุ่มทหารรับจ้าง 3-4 คนที่มีอาการสลึมสลือพอๆกัน
จ่าสรศักดิ์ เงยหน้าขึ้นมาพบผมเข้าพอดี... เขาหัวเราะก๊าก กล่าวทักทายผมด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ เหมือนกับคนลิ้นไก่สั้น
“สวีดัด...สวัสดี รู้สึกว่าโลกมันจะกลมจริงๆซะแล้ว พบกันอยู่เรื่อย นิ๊งไหม๊ครับ ของฟรี... พวกผมแย่หน่อยโดนขูดไปคนละ 150 บาท แถมยังมีรายการแถมหนองในให้กับผมซะอีก เอ๊ะ ทำไมหน้าบีกแมนถึงซีดเป็นไก่ต้มหยั่งงั้นเล่าครับ...อ๋อ...ผมรู้แล้ว”
พูดจบ จ่าสรศักดิ์ ก้เดินโงนเงนไปที่โอ่งน้ำ ซึ่งขณะนั้น นีนากำลังนั่งซักชุดเครื่องแบบของผมอยู่พอดี
“อีหนู เธอทำอะไร นายภาษาของเธอถึงเหี่ยวออกยังงั้น เร็วๆเอาเงินนี่ไปซื้อโอวัลติน ไข่ลวก 5 ฟองมาให้นายภาษากินซะ แล้วถ้าร้านหมอเปิดละก็ ซื้อยาแก้หนองในมาให้ข้อย 3 เม็ดด้วยเด้อ”
จ่าสรศักดิ์หยิบธนบัตร 100 กีบออกมาจากกระเป๋ายื่นส่งให้นีนาด้วยท่าทางง่อกแง่ก ง่อกแง่ก... คงจะเป็นด้วยความเมาจัด จ่าสรศักดิ์ก้เลยเซถลาหัวทิ่มโครมลงไปในโอ่งขนาดใหญ่ ซึ่งบรรจุน้ำอยู่เต็มปรี่ ท่ามกลางเสียงหัวเราะครืนใหญ่ของผู้ที่มองเห็นเหตุการณ์รอบๆด้าน
ผมผลุบหน้าคลานลงไปนอนดูเพดานห้อง มือข้างหนึ่งสัมผัสซองเอกสาร ก็เลยหยิบขึ้นมาเปิดดูด้วยอาการเนือยๆ
ธนบัตรดอลล่าร์ชนิดใบละ 20 ดอลล่าร์ แลบออกมาจากแผ่นกระดาษสีขาว ผมดึงมันออกมาทั้งปึก ด้วยความสนเท่ห์
เงิน 1500 ดอลล่าร์ วางท้าทายสายตาอยู่ข้างๆ...กระดาษคำสั่งให้พักผ่อน 3 วัน ถูกกระแสลมพัดปลิวว่อนออกไปทางช่องหน้าต่าง
อา...นอร์แมนปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้กับผมเรียบร้อยแล้ว
หนึ่งคืนผ่านไปอย่างกระอักเลือด นีนาเหมือนกับแม่ม้าที่ถูกโด๊ปยา เธอปรนเปรอผมด้วยอาหารและโสมเกาหลีชั้นดี แถมตบท้ายด้วยเบียร์ดำคอหมาป่าที่ลือชื่อไม่ขาดระยะ
โธ่ ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ ผมจะไปไหนรอด ทั้งเนื้อทั้งตัวผมเหลือแต่ผ้าห่มที่นีนาคลุมให้เท่านั้นเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 19, 2015, 07:31:50 PM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11741 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2015, 10:23:08 AM »

อัพเดตราคาปืนใหม่ กระสุน เดือน สิงหา-กันยา 2558 http://2013.gun.in.th/index.php?topic=57739.0 (อย่าลืมสมัครสมาชิก)
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11742 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2015, 10:42:12 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นมา"  สมิง วังม่วง


ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 6/11 ผลงานเขียนของ สยมภู ทศพล
นีนาลอกคราบเอาเสื้อผ้าของผมไปซักจนหมดเกลี้ยง
พอซักเครื่องแบบเสร็จ นีนาก็เข้ามาคลุกกับผม... ทำพิธีขอลูกไปจนกระทั่งตะวันตกดิน
เช้า,สาย,บ่าย,จนกระทั่งถึงเย็น ผมกับนีนาผลัดกันอาบน้ำ ไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก่อนตะวันจะตกดินเล็กน้อย... ม้าแก่อย่างผมก็หมอบสิ้นฤทธิ์ นอนหายใจรวยรินอยู่บนที่นอน
เพีย. 1 คืนกับ 1 วัน สถานะการณ์ของผมก็ยังยอบแยบถึงขนาดนี้ ถ้ายังขืนทู่ซี้อยู่ต่อไปเห็นทีจะหัวใจวายแน่ๆ
นีนาออกไปจ่ายตลาด ผมโซเซลุกขึ้นแต่งตัว หยิบธนบัตรใบละ 20 ดอลล่าร์ 3 ใบ วางเอาใว้ใต้หมอน แล้วเดินโผเผมาที่สนามบินนาซูจับชอปเปอร์เที่ยวสุดท้ายบินหนีไปอุดรทันที...
ลาก่อน นีนา... แม่สาวแม้วแรงสูงที่มีฤทธิ์เดชหยั่งกับผีดูดเลือด ชาตินี้ทั้งชาติเห็นทีจะเข็ดไปจนตาย
 

ผมถึงอุดรหนึ่งทุ่มยี่สิบพอดิบพอดี พอลงจากชอปเปอร์ก็เจอะกับ “นอร์แมน” เจ้านายของผมซึ่งเพิ่งจะบินมาจากวังเวียงเข้าพอดี...
“เป็นยังไง...บิ๊กแมน ท่าทางของคุณยังกับผ่านการ แฮ๊งโอเวอร์ มาอย่างหนัก ถ้าว่างผมขอเชิญคุณเป็นแขกในงาน “เมอร์เซนนารี่-บอลล์” พบกันที่ แอร์-เบสส์-คลับ คืนนี้ตอน 3 ทุ่ม กู้ดลักค์”
นอร์แมนผละจากผมขึ้นรถออกไปนอกบริเวณ สนามบินโดยไม่รอฟังคำตอบรับหรือปฏิเสธใดๆทั้งสิ้น
ผมนั่งรถโฟล์คตู้ทึบของแอร์อเมริกาเข้าตลาดเมืองอุดร ยืนเตร่มองดูเสื้อผ้าสำเร็จรูปอยู่พักหนึ่งก็เลือกชุด “ซาฟารี” สีน้ำตาลไหม้ เพื่อใช้สำหรับ งาน “เมอร์เซนนารี่-บอลล์” (ทหารรับจ้าง-บอลล์) ซะ 1 ชุด ด้วยสนนราคาเกือบ 400 บาท
ต่อจากนั้นก็เข้าร้านตัดผม โกนหนวดโกนเคราซะเอี่ยมอ่อง พอยี่สิบนาฬิกา ผมก็มาเอ้อระเหยอยู่ในอ่างน้ำร้อนของห้องเบอร์ 110 บนชั้นบนสุดของ “ศิริโฮเตล” ด้วยความสบายอกสบายใจเป็นครั้งแรกในการพักผ่อนที่กระอักเลือดครั้งนี้

 
21.00 น. ผมพาตัวเองหลุดเข้าไปเป็นส่วนประกอบของ “แอร์-เบสส์-คลับ” ซึ่งขณะนี้กำลังกระหึ่มไปด้วยเสียงดนตรี จากกบรรเลงของวง “วี.ไอ.พี” อันมีชื่อเสียงของเมืองอุดร
“วี.ไอ.พี.” เป็นวงดนตรีเด็กหนุ่มชาวไทยที่มีชื่อเสียงเป็นที่กล่าวขวัญของทหารอเมริกันและชาวต่างประเทศทั่วๆไป
ด้วยลีลาการเล่นที่ถึงอกถึงใจ และถูกต้องตามแบบฉบับดั้งเดิมอย่างไม่มีผิดเพี้ยนทำให้ “วี.ไอ.พี.” ยืนยงอยู่ใน “แอร์เบสส์คลับ” (air base club) เป็นเวลาถึง 2 ปีเต็ม
ผมเดินเฉียดห้องดนตรีมุ่งหน้าเข้าไปยังห้องเล็กๆห้องหนึ่ง ซึ่งมีตู้รูปร่างเหมือนกับตู้ที่ตั้งอยู่ตามปั๊มน้ำมันเรียงรายกันเป็นแถวๆมองดูลานตา
แต่ละตู้ก็มีเจ้าหน้าที่ของ ซี.ไอ.เอ. ซึ่งแฝงอยู่ในคราบของพนักงาน “แอร์-อเมริกัน” ยืนโยกก้านเหล็กซึ่งโผล่ออกมาข้างๆตู้ดังกล่าวเสียงดังกรุ๊ง กริ๊ง...โครมคราม ฟังไม่ได้ศัพท์
ใช่ครับ มันคือ “สล็อต-แมชชีน” หรือ “ไอ้โจ-แขนเดียว” ที่สูบเลือดได้อย่างสะเด็ดสะเด่านัก
ลักษณะการเล่นก็ง่ายและล่อใจเหลือประมาน เพียงแต่ผู้เล่นแลกเหรียญดอลล่าร์ชนิด 50 เซ็นต์ หรือ 1 ดอลล่าร์ แล้วใส่เข้าไปในช่องที่อยู่หน้าตู้
พอเหรียญผ่านช่องเล็กๆลงไป ก็จะมีเสียงกรุ๊ง..กริ๊งๆ ดวงไฟที่อยู่ในตู้วูบวาบ ผู้เล่นถ่วงจังหวะอยู่ชั่วครู่ แล้วดึงก้านเหล็กที่ยื่นออกมาเต็มแรง
ถ้าดวงดี หรือจังหวะดึงบังเอิญไปเข้าล็อคของตู้เข้า ก็จะปรากฏเสียง “กริ๊ง” ดังกังวาลลั่น... เจ้าดอลล่าร์ที่ยัดทะนานอยู่ในตู้ก็จะไหลทะลักตกลงมาบนพื้นเป็นสาย
ลักษณะดังกล่าวเรียกว่า “แจ็คพ็อท” และเหตุการณ์ดังกล่าวนี้จะมีน้อยครั้งเหลือเกิน บางคนใส่เหรียญลงไปเป็นจำนวนร้อยๆเหรียญแล้วโยกจนหน้าดำหน้าแดง จนดอลล่าร์ปลิวหายไปในชั่วพริบตา นึกโมโหขึ้นมา ก็ผละไปหยอดเหรียญตู้อื่นๆดูบ้าง
คนดวงดีที่ไหนก็ไม่รู้ ปราดเข้าไปหยอดเหรียญโยกสล็อต “แจ็คพ็อท” ร่วงกราว ท่ามกลางความเป็นเดือดเป็นแค้นของเจ้าของตู้ที่เพิ่งจะผละออกไปอย่างสดๆร้อนๆ
“แจ็คพ็อท” ถ้าใช้กับ “สล้อต-แมชชีน” แปลว่า “โชคดี” แต่ในมุมที่ตรงกันข้าม ถ้านำไปใช้กับสมรภูมิลาวในขณะที่ “ลูกยาว” ของข้าศึกกำลังยิงถล่มอยู่ละก็ ความหมายของมันจะผิดกันอย่างหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียวครับ
ทหารรับจ้างหลบ “ลูกยาว” ของข้าศึก บังเอิญ “แจ็คพ็อท” โครมตกลงไปในหลุมมันก็สบายไปแปดอย่างเท่านั้นเอง
เห็นไหม๊ละครับ...คำๆเดียวกันแท้ๆ ถ้าเกิดไปใช้ในสภาพกาลที่ต่างกัน ความหมายของมันจะผิดกันลิบลับแบบนี้แหละครับ
ทั้งๆ ที่รู้ว่า “สล็อตแมชชีน” มันจะกินทุน 80 % ของทุกเหรียญที่หยอดลงไป นักเล่นทั้งหลายก็อดที่จะท้าทายมันไม่ได้... และผมก็เป็นคนหนึ่งที่รวมอยู่ในคนจำพวกนี้
และผลของการท้าทาย 50 เหรียญปลิวหายไปกับสายลมในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
ผมเดินตัวร้อนออกมาจาก “ไอ้โจแขนเดียว” มุ่งหน้าไปยังเคาเตอร์ ซึ่งกำลังแออัดยัดเยียดไปด้วยคอทองแดงทั้งหลาย ที่กำลังซดของฟรีให้มั่วไปกันหมด
คนผสมเหล้าเป็นอเมริกันนิโกร ตัวยังกับตึก...เขามองหน้าผมแล้วเปิดยิ้มที่มุมปาก พร้อมกับสำรากออกมาห้วนๆ
“ล่ออะไร ... พรคพวก”
“อาร์พีจี...เซเว่น”
ผมสั่งเหล้ามันออกไปด้วยอาการยียวน ไอ้มืดหัวเราะก๊าก พร้อมกับเอื้อมมือหยิบเหล้า “วอสก้า” เหล้าจีน, เป๊ปซี่ที่วางอยู่บนชั้นเหนือเคาเตอร์ลงมาวางบนโต๊ะแล้วจัดแจงผสมกันอย่างคล่องแคตล่วว่องไว
“คนที่สั่งเหล้าบ้าๆบอๆ หยั่งลื้อมีอยู่คนหนึ่ง เป็นหัวหน้าอั๊วเอง... ไอ้ห่า ดื่มเข้าไปได้ยังไง เหล้าวอสก้าผสมเหล้าจีน เมาตายห่า...เอ้า ล่อซะ มิสเตอร์ฟิลิปปินส์”
หุ่นของผมมันคงจะคล้ายๆฟิลิปปินโน ไอ้มืดมันก็เลยสำรากยวนยีกับผมเข้าให้ก่อน... ผมกระดก “อาร์พีจี-เซเว่น” เหล้าตำรับจีนแดงเทพรวดเข้าไปในกระเพราะ ดีกรีอันร้อนแรงของมันทำให้ลำไส้ของผมร้อนวูบวาบ หูตาสว่างไสวขึ้นมาทันที...
“อั๊วไม่ใช่ฟิลิปปินส์ ... อั๊วเป็นคนไทย... หัวหน้าของลื้อที่เพิ่งจะแดก “อาร์พีจี-เซเว่น” ไปหยกๆอยู่ใหนวะ อั๊วต้องการพบ... ถ้าหัวหน้าลื้อ หัวแดงเหมือนกับลูกมะอึกละก็ไม่ผิดตัวแน่”
“ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า... แม่นแล้ว มิสเตอร์นอร์แมน หัวหน้าของผมยืนอยู่โน่นครับ... น่าน...น่าน หิ้วอีตัว เดินมาหาคุณแล้วครับ”
คำพูดที่ค่อนข้างจะยียวน เปลี่ยนแปลงไปในฉับพลัน ไอ้มืดเริ่มเสียงเรียบกับผม เมื่อรู้ว่าผมคือเพื่อนคนหนึ่งของเจ้านายโดยตรงของมัน
“ฮาย... บิ๊กแมน... ยูไปเอ้อระเหยอยู่ที่ไหนตั้งครึ่งค่อนชั่วโมง นึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว”
นอร์แมนเดาะชุด “ซาฟารี” สีเดียวกับผมเหมือนกับนัดเอาไว้ เนคไทด์สีขาวชนิดใบพาย ทำให้เจ้านายของผมหนุ่มและเท่ห์ขึ้นเป็นกอง
ที่ร้ายเหลือก็คือ หญิงสาวชาวต่างชาติทั้งสองที่ขนาบข้างมาด้วยนั้นหุ่นเซ็กซี่เหลือหลาย
“บิ๊กแมน... นี่ มิสลอล่า เลขานุการส่วนตัวของผม และนี่ มิสโมนา สุไลมาน นางพยาบาลแสนสวยแห่งโรงพยาบาลแอร์เบสส์ ที่จะเป็นพาร์ทเน่อร์ให้กับคุณ ในงานที่น่าสนุกสนานของพวกเราคืนนี้”
ผมยื่นมือออกไปสัมผัสด้วยอาการเผลอไผล มิสโมน่า สุไลมาน เป็นสาวลูกครึ่ง สเปน-ฟิลิปปินโนส์ ที่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ
ชุดราตรีเปิดไหล่... เปิดหลังตลอด แถมร่องอกเว้าลงมาเกือบถึงสะดือ เล่นเอาเลือดเนื้อความเป็นหนุ่มของผมแล่นปรู๊ดปร๊าดขึ้นมาอีกแล้ว ความสลึมสลือจากฤทธิ์เดชของแม่สาวนีนาปลิวหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“ซัมแวร์ มายเลิฟ” จากการบรรเลงของ V.I.P. ครางขึ้นอย่างอ้อยสร้อย สุไลมานฉุดข้อมือผมเข้าไปในฟลอร์ขนาดยักษ์ ซึ่งขณะนี้แน่นขนัดไปด้วยนักลีลาศของแอร์-อเมริกัน
สุไลมานซบหน้าลงกับซอกคอของผมจนกระทั่งความรู้สึกของผมสัมผัสกับลมหายใจที่ร้อนผะผ่าวของเธอได้อย่างถนัดถนี่
บา... ไอ้ลมหายใจชนิดเดียวกันนี้มิใช่หรือที่ทำให้ผมแทบกระอักเป็นเลือดมาแล้ว
สุไลมานเบียดร่างกายของเธอกระชับกับผมแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน มือทั้งสองข้างของเธอแทนที่จะมาอยู่ในตำแหน่งของการลีลาศ เธอกลับโอบสอดเข้ามารัดแน่นอยู่บริเวณหลังของผมอย่างจงใจ
ผมก็เลยกอดเธอเข้าบ้าง เป็นการถอนทุนคืน...
เออ... ชีวิตทหารรับจ้างอย่างผมมักจะหนีเรื่อง “อย่างว่า” ไม่พ้นซักทีสิน่า...
“ซัมแวร์ มายเลิฟ” จบลงไปแล้ว คู่ลีลาศหลายสิบคู่ก็ยังไม่ยอมลงจากฟลอร์ นักดนตรีก็เลยต้องบรรเลงเพลงเก่าซ้ำขึ้นมาอีก ท่ามกลางเสียงฮือฮาและเสียงปรบมือเกรียวกราว
“บิ๊กแมน ออกไปที่ระเบียงดีกว่าค่ะ ข้างในคนแน่นเหลือเกิน”
สุไลมานกระซิบกระซาบกับผม แถมใช้ลิ้นไต่เดี๊ยะไชชอนเข้าไปในหูของผมอย่างชำนิชำนาญ
สยิว... ขนลุกซู่ขึ้นมาทั้งตัว ผมย่ามใจขึ้นมาเลยฉกริมฝีปากจูบลงไปบนปากรูปกระจับที่บางเจี้ยบคู่นั้น
ริมฝีปากเจอะกันพอดี สุไลมานปล่อยมือจากแผ่นหลัง แล้วกระหวัดขึ้นไปคล้องคอผมแน่น ต่อจากนั้น ฉากการแลกน้ำลายก็บังเกิดขึ้นอย่างหูดับตับไหม้
กว่าจะหลุดออกมานอกระเบียง สุไลมานก็ทำเอาผมแทบเข่าอ่อน ลวดลายการจูบของสาวลูกครึ่ง ยิ่งยง สะเด็ดยาดยิ่งกว่าสาวแม้วมากมายนัก
ผมกับสุไลมานยืนเบียดกันที่ริมระเบียงด้านหลังของ “แอร์เบสส์คลับ” แสงไฟจากรันเวย์สนามบินที่สะท้อนเข้ามา ทำให้ใบหน้าของสุไลมานผุดผาดและเซ็กซี่เหลือประมาณ
ความสับสนของสนามบิน แอร์อเมริกันยังคงคับคั่งไม่ผิดอะไรกับในตอนกลางวัน เครื่องบินขับไล่ตระกูล “F” ทั้งหลายแหล่ บินขึ้นลงไม่ขาดระยะ ถ้าผมเดาไม่ผิด จุดหมายปลายทางของมันก็คือ สมรภูมิเวียดนามใต้ ที่กำลังบังเกิดการสู้รบกันอย่างชนิดเลือดท่วมแผ่นดินนั่นเอง
“สงคราม... สงครามที่รบราฆ่าฟันกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นอร์แมนเล่าให้ สุไลมานฟังว่าคุณเป็นพชฌฆาติที่น่ากลัวที่สุดในสมรภูมิลาว... คุณไม่กลัวบาปหรือคะ... คุณคงจะฆ่าคนมามาก... เห็นหน้าตาและลักษณะท่าทางของคุณแล้ว... สุไลมานไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ”
สุไลมานกระซิบถามผม พร้อมกับใช้มือแกะกระดุมเสื้อชุดซาฟารีของผมเล่นอยู่ไปมา ปากก็จำนรรจาไม่ขาดระยะ
“ซื่อ และเรียบร้อยจนผิดลักษณะของทหารรับจ้างทั่วๆไปที่สุไลมานเคยพบเห็นเป็นประจำในโรงพยาบาล... เรียบร้อย จนสุไลมานคิดว่านอร์แมนหลอกสุไลมานเสียแล้ว”
ผมแอบหัวเราะอยู่ในใจ ฮี่ธ่อ... หน้าตาอย่างกับ “แจ็ค พาแลนซ์” แบบผมนี่ยังมีคนชมว่า ซื่อ และ เรียบร้อย อีกหรือครับนี่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 20, 2015, 10:44:09 AM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11743 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2015, 11:06:15 AM »

อัพเดต ปืนสวัสดิการณ์ สน.อส http://2013.gun.in.th/index.php?topic=44851.0  (สมัครสมาชิก)
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11744 เมื่อ: สิงหาคม 21, 2015, 10:42:33 AM »

 "อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา คนเราก็เหมือนสะพานมีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำสุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง

ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 7/11 ผลงานเขียนของ สยมภู ทศพล
“เรื่องบาปเป็นเรื่องของความเชื่อถือ ศาสนาเป็นเครื่องคอยยึดเหนี่ยวมิให้มนุษย์ทำบาปด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ศาสนาทุกศาสนาไม่ว่าจะเป็นพุทธ, คริสต์, มุสลิม หรือว่า ศาสนาหนึ่งศาสนาใดในโลก จุดยืนและเป้าหมายก็คือสั่งสอนให้ทุกคนกระทำแต่ความดี งดเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทหารรับจ้างแต่ละสัญชาติแต่ละศาสนาที่เข้ามารบอยู่ในสมรภูมิลาว ไม่ว่าจะเป็นคนเชื้อชาติเดียวกับคุณ หรือว่าเป็นทหารเวียดนามเหนือก็ตามที ถ้ามัวแต่กลัวบาป ชีวิตตัวเองก็เห็นทีจะไปไม่รอด ผมฆ่าและทุกๆคนก็ฆ่า... ฆ่าเพื่อความสงบสุขของสังคมมนุษย์ การปฏิบัติแบบนี้ ถ้าคิดว่าเป็นบาป ผมก็เห็นจะยอมละครับ... คุณสุไลมาน”
“คุณบิ๊กแมนนับถือศาสนาอะไรคะ เท่าที่สุไลมานรู้ คุณบิ๊กแมนเป็นคนไทย แต่ลักษณะรูปร่างของคุณคล้ายๆอิสลาม สุไลมานก็เลยไม่แน่ใจ”
“พ่อผมเป็นอิสลาม แม่เป็นพุทธ ความยิ่งใหญ่ทั้วสองศาสนาหล่อหลอมออกมาเป็นคนที่ทำบาปมากที่สุดในโลก เลือดแม่และเลือดพุทธคงจะรุนแรงพอสมควร ผมก็เลยถือพุทธ ถ้าผมเดาไม่ผิด คุณคงถือคริสต์ ใช่ใหมครับ”
ผมย้อนถามเธอออกไป พร้อมกับกระหวัดมิอโอบแผ่นหลังที่เปลือยเปล่า ดึงร่างอันอวบอูมของสุไลมานเข้ามาแนบอก
สุไลมานห่อตัวซุกกับหน้าออกของผม ปากก็บ่นพึมพำอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ สรรพสำเนียงแว่วๆ ที่ผมจับใจความได้ เธอต้องการให้ผมพาเธออกไปจาก “แอร์เบสคลับ” โดยเร็วที่สุด
ไอ้เรื่องจะพาเธอนั่งรถกินลมเห็นทีจะยาก ฉลามร้ายอย่างผมก็เลยใช้ลูกตื้อดึงเธอขึ้น... “ศิริ-โฮเต็ล”
ผู้หญิง...ผู้ชาย อยู่ในห้องเพียงสองต่อสอง เห็นทีจะไม่ต้องอธิบายอะไรต่ออะไรให้ท่านผู้อ่านทราบก็ได้ใช่ไหมครับ?
โมน่า สุไลมาน ลูกครึ่งฟิลิปปินโน ทำให้ผมอยากจะไปเมืองมนิลาติดหมัดขึ้นมาซะแล้วซีครับ...
ค่อนคืนกับอีกหนึ่งวันเต็มๆที่ผมกับเธอขลุกกันอยู่แต่ภายในห้องพัก ความอ่อนหวานของสุไลมานทำให้ผมบังเกิดความสุขยิ่งกว่าทุกครั้ง
สุไลมานเป็นมุสลิม เธอเล่าถึงประเพณีที่แปลกประหลาดและพิลึกกึกกือของเธอให้ผมฟังด้วยท่าทีที่น่ารัก เธอเล่าให้ผมฟังว่า ผู้ชายในประเทศของเธอสามารถมีภรรยาตามกฏหมายได้ถึง 4 คน นอกจากนั้น พอถึงวันศุกร์ของสัปดาห์ ทุกคนถือว่าวันศุกร์ดังกล่าวเป็นวัน “ปฏิสนธิ” เป็นวันพระเจ้าสร้างโลก ประชาชนหยุดงานหยุดการ อาบน้ำ ประแป้งปิดประตูลงกลอน “สร้างพลเมือง” กันยกใหญ่ ผู้ใดละเลยต่อประเพณีดังกล่าว พระเจ้าจะลงโทษอย่างหนัก อาจจะกลายเป็นหมันไปจนชั่วชีวิต
ผมไม่เคยมีความรู้ในเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่จะเชื่อหรือไม่ก็ตามที พอรุ่งขึ้นก็เป็นวันศุกร์ซะด้วย ผมกับสุไลมานก็เลยปิดประตูห้องพักสร้างพลเมือง ตามคำบงการของพระเจ้าซะอานไปเลย
สุไลมาน ผิดแปลกกับนีนาตรงอ่อนหวานน่ารัก... รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ไม่บุกตะลุยผมเหมือนหยั่งกับอีตอนเข้าตีฐานปฏิบัติการของทหารรับจ้างหรอกครับ
เธอถ้อยทีถ้อยอาศัยจนกระทั่งผมเลยเถิด “สร้างพลเมือง” กับเธอไปอีกจนกระทั่งถึงเช้าวันเสาร์...เล่นเอาฟ้าเหลือง...แผ่นดินหมุนคว้างเหมือนกับเมื่อครั้งถูกแด็กคูร่านีนาจู่โจมเข้าดูดเลือดเลยทีเดียว
 
เมื่อครบกำหนดลาพัก ผมก็โซเซกลับล่องแจ้งในสภาพเหมือนคนใกล้ตาย เพื่อนฝูงพอที่จะรู้แบคกราวน์ของผมก็พากันกระเซ้าเย้า แหย่กันเกรียวกราว
และในเวลาเดียวกันนั้นเอง หมายกำหนดการเข้าตีเนิน “ชาร์ลี-ชาร์ลี” ก็ได้ถูก บก.ล่องแจ้งวางแผนขึ้นมาอย่างเร่งด่วน
BC. 617 และ BC. 603 ได้รับหน้าที่ในการเข้าตีครั้งนี้
BC. 617 เพิ่งจะสูญเสีย “ภูเวียง” ผบ.พันไปอย่างสดๆร้อนๆ ด้วยฝีมือพลซุ่มยิงเวียดนามเหนือ บนเนินสกายไลน์-ทู
บก.สิงหะก็เลยวิทยุด่วนเข้า บก.333 ที่อุดรขอตัว “สุภาพบุรุษแห่งดงอีนำ” ที่มีชื่อเสียงแถบเทือกเขาภูพาน เข้ามาเป็น ผบ.พัน 617 โดยด่วนที่สุด
“พ.ท. จรวย นิ่มดิษฐ์” (ยศในปี 15 ขระนี้ ตำแหน่งของท่านก็คือ พ.อ. จรวย นิ่มดิษฐ เสนาธิการกองทัพภาคที่ 2 จังหวัดนครราชสีมา) บินตรงจากกรุงเทพในสองวันต่อมา เพียงก้าวแรกที่ท่านเหยียบเมืองล่องแจ้ง ท่านก็วางแผนเข้าตีเนินสกายไลน์-วัน ทันที
ไม่ว่าจะเป็นเสนาธิการของเมืองล่องแจ้งหรือแม้กระทั่ง “นอร์แมน” เสนาธิการของ ซี.ไอ.เอ. ก็เลยต้องชิดซ้ายไปตามระเบียบ
พ.อ. จรวย หรือชื่อตามรหัสว่า “คำคม” เป็นผู้วางแผนและนำทหารรับจ้างเข้าตีแต่ผู้เดียว
ชื่อเสียงและความสามารถของ “คำคม” เป็นที่กล่าวขวัญกันอย่างอื้ออึงในสมรภูมิลาว แม้กระทั่งทหารเวียดนามเหนือเองก็ยังกริ่งเกรงกิตติศัพท์ ของยอดนักรบใจถึงผู้นี้
ตามเหตุการณ์ที่เป็นจริง “คำคม” และ ผมไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อนเลย... และแม้กระทั่งในปัจุบันนี้ คำคมก็ยังไม่รู้ว่าชื่อจริงของผมชื่ออะไรกันแน่ ฉะนั้น พฤติการณ์ที่ผมนำมาเปิดเผยอยู่ในขณะนี้ มิได้เป็นการเชียร์ “คำคม” แต่อย่างใด มันเป็นความจริงที่เหนือความจริงที่ผมประสพมาด้วยตนเองอย่างแท้จริง
และค่ำวันนั้น ผมก็ได้มีโอกาสรู้จักกับคำคมเป็นครั้งแรกในห้องประชุมของ บก.ล่องแจ้ง
แผนที่เนินชาร์ลี-ชาร์ลี่ ขนาดใหญ่ตรึงทับอยู่บนกระดานดำหน้าห้องประชุมคำคมกับนอร์แมนกำลังงัดข้อกันอย่างถึงพริกถึงขิงในแผนการชิ้นหนึ่ง
“คุณจะต้องนำทหารรับจ้างเคลื่อนที่ขึ้นไปบนเส้นทาง... ซำทอง-ล่องแจ้ง พร้อมๆกับ BC. 603 ซึ่งจะรับหน้าที่ขึ้นตี เนินชาร์ลี่-ชาร์ลี่ พอคุณเคลื่อนที่ถึง “ชาร์ลี-เอ็คโค่ แพด” คุณก็นำทหารลงหุบข้างทางแล้วแยกซ้ายมือ อ้อมขึ้นเนิน ชาร์ลี-กอล์ฟ ต่อจากนั้น รอจังหวะขึ้นบดขยี้พร้อมๆกัน”
ล่าม ถ่ายทอดคำพูดของนอร์แมนชนิดคำต่อคำให้คณะนายทหารทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมฟัง...
“คำคม” ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกมาที่แผนที่หน้าห้องประชุม ภาษาอังกฤษที่ชัดเปรี๊ยะจน “ล่าม” อาย พรั่งพรูออกมาจากปากของเขาด้วยท่าทางฉุนเฉียว
“ผมเป็น ผบ.พัน ที่จะต้องรับผิดชอบทหารซึ่งอยู่ใต้บังคับบัญชาถึง 400 คน ดังนั้นผมจะต้องกระทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จะให้กองพันของผมสูยเสียให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้... แผนการณ์ของนอร์แมนที่จะให้ทหารของผมเคลื่อนที่ไปบนถนนแล้วลงหุบเนิน เป็นแผนการฆ่าตัวตายชัดๆ ทหารเวียดนามเหนือจะต้องตรวจการณ์พบภายในครึ่งชั่วโมงที่พวกเราเริ่มเดินทางออกจากบ้าน “ลาวรวมเผ่า” แล้วอะไรจะเกิดขึ้น... เส้นทาง “วำทอง... ลอ่งแจ้ง” เป็นเส้นทางที่ไม่ได้เคลียร์มาก่อน และก็ยังไม่มีทหารรับจ้างกองพันไหนรับอาสาเคลียร์เสียด้วย นอร์แมนคิดถึงแต่ความสะดวกที่จะให้ทหารเคลื่อนที่ขึ้นไปปฏิบัติงานตามแผนของตัวเองให้ลุล่วงไปเท่านั้น... ส่วนผลที่ตามมา... นอร์แมนไม่เคยคิดว่ามันจะได้รับความสำเร็จหรือสูญเสียขนาดไหน ตามแผนของผมที่วางเอาไว้ ผมจะพาทหารเคลื่อนที่ไปทางสวนผักข้างบ้านนายพลวังเปา แล้วเดินทะลุป่าทึบผ่านฐานแทงโก้-วิคเตอร์ อ้อมขึ้นไปทางหมู่บ้าน 50 หลัง ซึ่งอยู่ตีนเขา...สกายไลน์-วัน พอดิบพอดี ...ถึงแม้จะใช้ระยะเวลาการเคลื่อนที่ช้ามากกว่าเดิม 2 วัน แต่ผมแน่ใจว่า แผนของผมได้ผล... และผมขอรับผิดชอบในการผิดพลาดของกองพันของผมแต่ผู้เดียว...”
ทั่วทั้งห้องประชุมเงียบเหมือนเป่าสาก... นอร์แมนอ้าปากหวอเหมือนกับไม่เชื่อหูของตัวเอง เป็นครั้งแรกที่นอร์แมนถูกนายทหารไทยเชือดเฉือนด้วยเหตุผลจนต้องเงียบนิ่งเงียบงันยอมจำนนไปโดยปริยาย
“ผมขอเลือก F.A.G. ด้วยตัวของผมเอง... และ F.A.G. คนที่ผมเลือกเอาไว้แล้วก็คือ F.A.G. คนที่แตกลงมาจากเนินชาร์ลี-ชาร์ลี พร้อมๆกับ BC. 616 นั่นเอง ...คนที่ชำนาญภูมิประเทศมาก่อน ถึงแม้ผลงานจะผิดพลาด แต่การปฏิบัติงานครั้งที่ 2 ผลงานของเขาจะมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม... ผมตกลงใจเลือกบิ๊กแมนในการปฏิบัติการเข้าตีครั้งนี้”
ซวยแล้วไหม๊ล่ะ ที่ผมบังเอิญถูกคำคมเลือกตัวเข้าปฏิบัติงานครั้งนี้ ก็เพราะความผิดพลาดในการทำงานครั้งที่แล้วๆมาของผมนั่นเอง...
คำคม เป็นนักเรียนนายร้อยรุ่นเดียวกับกองสิงห์ กองสิงห์จะต้องเป็นคนแนะนำให้คำคมเจาะจงเลือกผมอย่างแน่นอน
ฮีธ่อ... เส้นทางเดินขึ้นเนินชาร์ลี-ชาร์ลี พูดก็พูดเหอะ อย่าหาว่าคุยเลยครับ บิ๊กแมนหลับตาเดินโดยไม่ต้องใช้แผนที่ก็ยังไหว
ที่ฝอยมานี่ไม่ใช่โม้นะครับ ก็อีตอนวิ่งหนีไอ้แกวลงมาครั้งนั้น ผมจำภูมิประเทศดังกล่าวติดหูติดตาอย่างไม่มีวันลบเลือน แล้วดันทุรังให้ผมกลับขึ้นไปอีกครั้งมันก็สบายไปเท่านั้นเอง
ไอ้ที่ว่าสบายก็ไม่ใช่การเข้าตีอีกนั่นแหละ ผมหมายถึงการเดินทางต่างหากครับผม...
หมายกำหนดการ “วัน ว.” หรือ “วันดีเดย์” ได้ถูกปกปิดเป็นความลับสุดยอด F.A.G. ที่ประจำ “เบาว์เดอร์-คอนโทรล” หรือแม้กระทั่งตัวของผมเองก็ไม่มีโอกาสที่จะทราบถึงหมายกำหนดการดังกล่าวนั้นเลย
หลังจากทหารเวียดนามเหนือขึ้นยึดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี ได้จาก B.C. 616 แล้ว... เครื่องบิน “F-105” และ “T-28” ก็แห่แหนกันมาทิ้งระเบิดบนยอดดังกล่าวเป็นการใหญ่
บังเกอร์ถาวรที่สร้างด้วยซุงขนาดยักษ์ที่เรียงรายเป็นพรืดอยู่บนยอดเนิน ถูกอำนาจระเบิดถล่มทลายไม่มีชิ้นดี เป็นที่น่าเหลือเชื่อเหลือเกิน พอเครื่องบินบินกลับอุดร พวกมันก็ขึ้นมาจากอุโมงค์ใต้ดิน มาซ่อมแซมบังเกอร์ดังกล่าวเป็นจ้าละหวั่น
เครื่องบินทิ้งเช้า ทิ้งเย็น มองเห็นอยู่ถนัดหูถนัดตาว่าบังเกอร์ทลายเป็นแถบๆ แต่พอถึงตอนเช้าก็ตรวจการณ์พบบังเกอร์ถูกสร้างขึ้นมาทดแทนอีกครั้ง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 21, 2015, 11:43:21 AM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

หน้า: 1 ... 780 781 782 [783] 784 785 786 ... 811
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.169 วินาที กับ 23 คำสั่ง