เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 27, 2024, 11:40:55 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 781 782 783 [784] 785 786 787 ... 811
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ไลฟ์ สไตล์ ของ " สมิง วังม่วง " และพี่น้องคอปืน จังหวัด น่าน  (อ่าน 890163 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 9 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11745 เมื่อ: สิงหาคม 22, 2015, 10:06:42 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา คนเราก็เหมือนสะพาน มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง




ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 8/11 ผลงานเขียนของ สยมภู ทศพล
ปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 12.7 มม.ที่ได้รับการลำเลียงมาจากสนามบินซำทองก็ได้รับการติดตั้งแล้วระดมยิง T-28 ลงมาคลุกฝุ่นเสีย 2 เครื่องซ้อนๆ
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา นักบินก็เลยไม่กล้าแหยมที่จะนำเครื่องไปโฉบบริเวณดังกล่าวอีกเลย
ท่านนายพลวังเปา เคยเสนอขอ B-52 มาปูพรมพื้นที่ดังกล่าวให้ราบเป็นหน้ากลอง
แต่พอ BC. 604 ซึ่งตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ ณ บริเวณตีนเขาของยอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี รู้ข่าวเข้าเท่านั้นก็โวยวายมาลั่นวิทยุว่าจะฆ่ากันเองหรือยังไง โวยวายไม่โวยวายเปล่า ทหารรับจ้างประท้วงแผนของนายพลวังเปาด้วยการเดินพาเหรดลงมาจากฐานปฏิบัติการเอาดื้อๆ
เล่นเอานายพลวังเปาต้องบินขึ้นไปเจรจาด้วยตนเอง เรื่องทั้งเรื่องมันจึงยุติลง
ยอดเนินชาร์ลี-ชาร์ลี ก้เลยกลายเป็นหนามยอกอกของนายพลวังเปา จนกระทั่งต้องขอตัว คำคม เข้ามาช่วยแก้สถานะการณ์ดังกล่าวนั้น จนกระทั่งบังเกิดการรบอย่างท่วมปฐพี อันเป็นที่มาของเรื่อง “ชุมทางคนกล้าตาย” ที่ท่านผู้อ่านกำลังติดตามอยู่ในขณะนี้
ทหารรับจ้างที่แตกมาจากทุ่งไหหินและสนามบินซำทองแต่ละกองพันมีจำนวนไม่น้อย กองพันต้นสังกัดเดิมก็ยุบตัวเองลง เนื่องจากขาดอัตราการบรรจุ บก.ล่องแจ้งก็เลยแก้ปัญหาด้วยการรวบรวมทหารรับจ้างกองพันต่างๆ เหล่านี้มาตั้งเป็นกองพันอิสระแล้วมอบหน้าที่ให้กับอินตอง ผบ.พัน กองพัน 605 เดิมเป็นผู้บังคับบัญชา
บก. ล่องแจ้งวางแผน “เข้าตีหลอก” หรือ “เข้าตีฉาบฉวย” ทหารเวียดนามเหนือบนยอดเนินชาร์ลี-ชาร์ลีของขุนเขา “สกายไลน์-วัน” ที่สูงทะมึนเสียดท้องฟ้า ในตอนกลางคืนวันหนึ่งก่อนการเริ่มแผนการจริงไม่กี่สัปดาห์
อินตอง กับทหารรับจ้างกองพันอิสระจำนวน 120 คน คืบคลานขื้นไปบนยอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี อย่างเงียบเชียบเพื่อหยั่งกำลังข้าศึก
ทหารเวียดนามเหนือก็เหมือนกับนกรู้ หรือไม่ก้แผนการของ บก.ล่องแจ้งรั่วไหล พวกมันตั้งอาวุธหนักรอการมาของกองพันอิสระเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
อินตองเคลื่อนที่ผ่าน ชาร์ลี-เอ็คโค่-แฟ็ค ขึ้นไปได้เพียงครึ่งทางก็โดนถล่มจากอาวุธหนักของทหารเวียดนามเหนือเป็นพายุบุแคม
พนักงานวิทยุซึ่งเดินขนาบข้างถูก ปรส. 82 ลอยกระเด็นไปเหมือนถูกช้างเตะ อินตองถลาลงไปนอนจุกแอ็ดๆ อยู่ในหลุมระเบิดรอดตายอย่างชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด
ทหารรับจ้างกองพันอิสระ 15 คน ซึ่งทำหน้าที่เป็นส่วนหน้าสุด ตายเกลี้ยง
แผนการเข้าตีหลอกประสพผลล้มเหลว จากการประเมินผลที่วัดได้ก็คือ ข้าศึกมีอาวุธหนักทุกชนิดอยู่บนเนินสกายไลน์-วัน
แม้กระทั่ง ปตอ.12.7 ซึ่งเป็นปืนชนิดกระสุนแตกอากาศก้ได้รับการดัดแปลงเป็นปืนกรสุนวิถีราบยิงถล่มทหารรับจ้างกองพันอิสระ จนต้องแตกกระเจิงลงมาอย่างทุลักทุเล
เพื่อตัดเสบียง และตัดการลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ของข้าศึกที่จะขนย้ายมาจากซำทอง
เส้นทางคมนาคม “ซำทอง-ล่องแจ้ง” ซึ่งวกวนอยู่บนยอดภูเขาที่สูงเสียดฟ้า ก็เลยโดน T-28 ถล่มด้วยระเบิดขนาด 500 ปอนด์ พังทลายเป็นช่วงๆ
สะพานข้ามแม่น้ำงึม บางตอนที่ตัดข้ามเส้นทางดังกล่าวก็ถูกทำลายลงไปด้วย
ขณะนี้เส้นทางคมนาคมสายซำทอง-ล่องแจ้ง ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง
และก็ รถถัง 2 คัน ที่ระดมยิงฐานปฏิบัติการของ BC.616 จนพังพินาศ อยู่ที่ไหนกันแน่
ไอ้เรื่องที่รถถังจะวิ่งขึ้นไปซุกซ่อนอยู่บนยอดเนิน “ชาร์ลี-ชาร์ลี” เห็นทีจะเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด
BC. 604 ตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ ณ บริเวณทางแยกสามแพร่ง
ยานยนต์ทุกชนิดที่จะเดินทางขึ้นมาจากสนามบินซำทองหรือสนามบินล่องแจ้ง หรือแม้กระทั่งยานยนต์ที่จะผ่านขึ้นไปบนเนิน “ชาร์ลี-ชาร์ลี” จะต้องผ่านบริเวณสามแพร่งดังกล่าวนั้นเสียก่อน
ทางแยกสามแพร่ง มีชื่อตามรหัสว่า “ชาร์ลี-เอ็คโค่-แฟ็ค” ทหารรับจ้างกองร้อยที่ 3 ของ BC.604 เป็นผู้ยึดรักษาเส้นทางดังกล่าวเอาไว้อย่างชนิดยอมตายคารังปืน
ผบ.พัน 604 เล็งเห็นความสำคัญของพื้นที่ดังกล่าวก็เลยมอบหน้าที่ให้ “วิเศษ” (ร.ท.ปิ่นพันธุ์) นายทหารม้ายานเกราะจากอุตรดิษฐ์ผู้มีความบ้าบิ่นพอสมควร เป็นผู้บังคับบัญชาทหารกองร้อยที่ 3 ซะเลย
“วิเศษ” หรือ ร.ท.ปิ่นพันธุ์ สนิทสนมกับผมพอสมควร ในขณะที่ผมอยู่บนยอดเนิน “ชาร์ลี-ชาร์ลี” ก่อนฐานปฏิบัติการแตกเพียง 3 วัน “วิเศษ” เคยขับรถจิ๊ปเล็กขึ้นไปหาผมบนยอดเขาแต่เพียงลำพัง... ขึ้นมาหาทั้งๆที่ผมและเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย
วิเศษขึ้นมาขอกระสุนอาร์ก้าที่ผมยึดได้จากทหารเวียดนามเหนือในการกวาดล้างบ้านน้ำชาร่วมกัน ต่อจากนั้นเราได้ร่วมตะลุยเลือดกันอีกนับครั้งไม่ถ้วน...สงครามลาวยุติ ผมก็ไม่ได้ข่าวคราวของวิเศษอีกเลย...
“17 ศพที่ห้วยโกร๋น” ทำให้ผมเป็นห่วงวิเศษมาก... เพราะเขาเคยขึ้นไปปฏิบัติงาน ณ พื้นที่ดังกล่าวนั้นอยู่เสมอ
“เพื่อนเอ๋ย ทหารหาญหรือตำรวจตระเวณชายแดน ที่ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยอย่างชนิดเอาชีวิตเป็นเดิมพันเช่นนี้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมคุ้มครองอยู่เสมอ... ขอให้เพื่อนทุกคนโชคดี อีกไม่นานเกินรอ “สยุมภู ทศพล”อาจจะเดินทางขึ้นไปกินนอนกับเพื่อนเพื่อหาวัตถุดิบมาเขียนถึงเบื้องหลังวีรกรรมอันลือเลื่องแบบปิดทองหลังพระของเพื่อนๆทุกคน ให้ประชาชนชาวไทยได้ทราบถึงความโหดร้ายทารุณของสงครามนอกแบบให้จงได้... อีกไม่นานเกินรอ เราคงจะได้พบกัน”
แม้กระทั่ง “ภูหมอก” หรือเนิน “สกายไลน์-ทู” ที่ทหารรับจ้างรับหน้าที่ยึดรักษาจากทหารลาวเอาไว้ก็ยังโดนถล่มด้วยลูกยาวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
BC.618 ซึ่งรักษาเนิน “ชาร์ลี-แทงโก้” อันเป็นจุดที่สูงที่สุดของภูหมอก ก็ยังต้องประสพกับการถอนตัว... เนื่องจากอำนาจการยิงของปืนใหญ่ที่ถล่มเข้าใส่อย่างหูดับตับไหม้
“บุลเลตเฮด” F.A.G.หุ่นพระเอกหนัง... โดนแรงอัดของปืนใหญ่ขนาด 130 มม. ตกลงไปในหุบ ทหารรับจ้างต้องบุกตะลุยลงไปลากขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
BC.618 จำเป็นต้องถอนตัวลงมาท่ามกลางห่ากระสุนอาร์ก้าของทหารราบเวียดนามเหนือที่แหกตำราลอบเข้าโจมตีในเวลากลางคืน
การถอนตัวออกจากฐานปฏิบัติการในเวลากลางคืน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการลอบซุ่มโจมตีจากหน่วยแซปเปอร์ข้าศึก
BC.618 ตัดสินใจถอนตัวลงมาทางหน้าผาด้านสนามบิน ปลอดภัยจากการซุ่มโจมตี แต่ทว่าต้องพบกับอุปสรรคในการเดินทาง แทบเลือดตาแทบกระเด็น ความมืดทำให้กองร้อยทั้ง 3 แตกขบวนออกจากกันอย่างช่วยเหลือไม่ได้ และในเวลาเดียวกันทหารเวียดนามเหนือ 1 หมวดก็สวมรอยเกาะทหาร BC.618 ลงมาจนกระทั่งเกือบถึงสนามบิน...
จะว่าดวงดีหรือว่าโชคช่วยก็เหลือจะเดา...
แสงแฟลร์จากกระสุนปืนใหญ่ทำให้ทหารรับจ้างกองพัน 618 ผิดสังเกตุ ร้องถามรหัสผ่านออกไป
ทหารเวียดนามเหนือชุดนนั้นก้เลยถูกรุมสังหารยับ ณ บริเวณวัดแม้วก่อนที่จะถึงรันเวย์สนามบินนั่นเอง
พอ BC.618 ถอนตัว ทหารเวียดนามเหนือก็เคลื่อนกำลังเข้ามายึดรักษาเนิน “C-T” เอาไว้อย่างเหนียวแน่น
พอรุ่งเช้า T-28 และ F-105 ก็แห่เอาระเบิดมาปูพรหมกันยกใหญ่ ระลอกแล้วระลอกเล่า จนยอดภูหมอกแทบลุกเป็นไฟ
ทหารเวียดนามเหนือถอนตัวออกจากฐานปฏิบัติการ เนื่องจากอำนาจการทิ้งระเบิดของเครื่องบิน
ทหารรับจ้างกลับเข้าไปยึดเนิน “ชาร์ลี-แทงโก้” ได้อีกครั้ง... แต่พอยึดอยู่ได้เพียงคืนเดียว ก็ต้องถอนตัวกลับลงมาอีกครั้ง ด้วยอำนาจของลูกยาวข้าศึก
เอาเถิด...เอาล่อ หมุนเวียนผลัดเลี่ยนกันโจมตีอยู่เช่นนี้ จนมองดูเหมือนกับเด็กเล่นขายของ
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา บนเนิน “สกายไลน์-ทู” ที่ยาวเหยียดก็เลยมีฐานปฏิบัติการของทหารรับจ้างและทหารเวียดนามเหนือ ตั้งซ้อนสลับกันอยู่เช่นนั้น...
ซึ่งบางฐานก็อยู่ใกล้กันขนาดมองเห็นกการเคลื่อนไหวซึ่งกันและกันด้วยสายตาอย่างถนัดชัดเจน
บางครั้งทหารรับจ้างก็พากันขึ้นไปนั่งบนหลังคาบังเกอร์มองดู “T-28” โจมตีฐานปฏิบัติการของทหารเวียดนามเหนืออย่างสนุกสนานและบางทีก็ร้องตะโกนเชียร์ให้พวกมันหลบลูกระเบิดกันเสียอีก
นิสัยคนไทยละก็เป็นอยู่อย่างนี้เสมอๆ นั่นแหละครับ ทั้งๆที่เป็นข้าศึกก็ยังอดที่จะสงสารไม่ได้ อย่าว่าแต่ทหารรับจ้างเลยครับ... แม้แต่ตัวของผมเองก็เช่นกัน
คราวใดที่มองเห็น “T-28” ดำดิ่งลงมาโจมตีฐานปฏิบัติการของเวียดนามเหนือแล้วอดที่จะใจหายไม่ได้ ความรู้สึกที่พุ่งขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนก็คือ ความเป็นห่วง เป็นห่วงพวกมันที่วิ่งระส่ำระสายหาทางมุดลงอุโมงค์ใต้ดินอยู่นั้น
ลูกระเบิดกระทบพื้น... พอควันจางก็มองเห็นพวกมันโผล่ออกมาจากรู ขึ้นมายืนกันสลอน ขึ้นมายืนเพื่อแสดงให้เห็นว่า พวกมันปลอดภัยจากลูกระเบิด และผมก็ต้องถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก
เออ... นี่สติสัมปชัญญะของผมยังครบถ้วนอยู่หรือเปล่านี่? หรือว่าผมกำลังจะวิกลจริตไปเสียแล้ว... มันเรื่องอะไรกัน ที่ผมจะต้องไปคอยห่วงชีวิตของข้าศึก... ผมชักไม่แน่ใจตัวเองขึ้นมาเสียแล้ว บางที...บางที ความโหดร้ายของสงครามอาจจะผลักดันจิตใจของผมให้บ้าๆบวมๆไปแล้ว ก็อาจจะเป็นได้...
ส่วนดีของทหารเวียดนามเหนือที่ขึ้นมาตั้งฐานอยู่ใกล้ๆเราก็คือ พวกมันจะไม่ยอมยุ่งกับพวกเราอย่างเด็ดขาด... ถ้าพวกเราไม่ไปตอแยกับพวกมัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 23, 2015, 08:14:38 AM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11746 เมื่อ: สิงหาคม 23, 2015, 08:10:34 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีวิตคนเราก็เหมือนสะพาน มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง



ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 9/11 ผลงานเขียนของ สยมภู ทศพล
ทหารเวียดนามเหนือใช้อาวุธหนักนานาชนิดยิงถล่มลงไปยังเมืองล่องแจ้งอย่างไม่ปราณีปราศัย ชีวิตของทหารรับจ้างและประชาชนชาวแม้วเสียชีวิตไม่เว้นแต่ละวัน
สิ่งที่ผิดสังเกตุอย่างหนึ่งก็คือ ตามปกติ “ลูกยาว” ของข้าศึกที่ยิงถล่มเมืองล่องแจ้งอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น จะยิงมาสะเปะสะปะ พลาดเป้าหมายเสียเป็นส่วนมาก
แต่พอทหารเวียดนามเหนือขึ้นมาอยู่บนยอดเนิน “สกายไลน์” เข้าเท่านั้น “ลูกยาว” ของข้าศึกที่ยิงมาจากสนามบินถ้ำตำลึง แต่ละนัด แม่นเหมือนกับจับวาง เล่นเอาเมืองล่องแจ้งประสบกับการสูญเสียอย่างเหลือคณานับ
เรื่องทั้งเรื่องมันก็เลยต้องเฉ่งกันให้ยับไปข้างหนึ่งตามธรรมเนียมของสงครามทั่วๆไป
ทหารเวียดนามบนเนินชาร์ลี-แทงโก้ เสริมกำลังมากขึ้นทุกที ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งทหารเวียดนามเหนือก็ยังอุตส่าห์ลาก ปรส.82 ขึ้นมาตั้งจังก้าอยู่บนภูหมอก แล้วเริ่มยิงถล่ม บก.ล่องแจ้งอย่างหูดับตับไหม้ (พฤติการณ์การบุกขึ้นไปโจมตีฐานยิงของเวียดนามเหนือ ผมได้เขียนลงในหนังสือจักรวาลรายสัปดาห์จบไปเรียบร้อยแล้วในเรื่องไม่มีคำตอบจากทุ่งไหหิน) เล่นเอาพวก นายร้อย นายพัน ทั้งหลายแหล่ ยืมฝีเท้า “อาณัติ รัตนพล” วิ่งแข่งกันอกตั้ง แย่งกันลงหลุมใต้ดินกันเป็นจ้าละหวั่นไปหมด
ล่องแจ้งเหมือนกับเมืองร้าง ประชาชนแม้วเริ่มอพยพออกจากเมืองเป็นทิวแถว และก็มีบางส่วนอพยพกลับเข้ามาอย่างน่าผิดสังเกตุ แม้วแปลกหน้าเดินพลุกพล่านอยู่ในตลาดล่องแจ้งจนผมบังเกิดความเอะใจ
ถนนสายที่ขนานกับสนามบินล่องแจ้งกลายเป็นถนนสายมรณะไปเสียแล้ว
ปรส .82 ของทหารเวียดนามเหนือหล่นโครมลงมาบนกลุ่มทหารรับจ้างที่กำลังเดินเกาะกลุ่มกันอยู่บนถนนสายนั้นเข้าอย่างจังเบอร์
18 คนตายยับแทบหาชิ้นส่วนไม่พบ แม้กระทั่งพวกรถจิ๊บหรือรถบรรทุก พวกเวียดนามเหนือก็ยังจ้องระดมยิงไม่ขาดระยะ
เชื่อผมเถอะครับ... ต่อให้นักขับรถแข่งกรังปรีซ์ที่มีฝีมือชั้นยอดเยี่ยมขนาดไหนก็ตามที ลองมาเจอะถนนสายนี้เข้าเป็นต้องสั่นเศียรกันทั้งนั้น
ก่อนวันเข้าตีเนิน “ชาร์ลี-ชาร์ลี” เพียง 4 วัน ผมก็ได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติการพิเศษร่วมกับกองร้อยที่ 3 ของกองพัน 604 ซึ่งตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ ณ บริเวณทางสามแพร่ง “ชาร์ลี-เอ็คโค่” ตีนเขาเนินสกายไลน์-วัน พอดิบพอดี...
 
นักบินพาผมขึ้นชอปเปอร์บินสูงลิบเพื่อหลบ ปตอ.12.7 ซึ่งตั้งจังก้าอยู่บนยอดเนินสกายไลน์-วัน
หลังจากบินวนเวียนอยู่ชั่วครู่ก็ลดระดับร่อนลงแตะพื้นด้วยอาการรีบร้อนจนผมกระโดดลงมาแทบไม่ทัน
“วิเศษ” (ร.ท.ปิ่นพันธุ์) ผบ.ร้อย 3 ยืนรอผมอยู่ที่บริเวณ “ชอปเปอร์แพด” อยู่ก่อนแล้ว ผู้กองหนุ่มคนลำปางหัวเราะร่า ยื่นมือให้ผมสัมผัส ปากก็ร้องสั่งทหารรับจ้างที่ยืนอยู่ข้างๆเอ็ดอึง
“เฮ้ย... ช่วยขนเป้สนามของบิ๊กแมนไปเก็บใว้ในเบิมอั๊วด้วย แล้วสั่งไอ้จันทร์ชงกาแฟมาให้ 2 ที่ ...สวัสดีครับบิ๊กแมน พอรู้ข่าวจากนอร์แมน ผมก็นั่งรอชอปเปอร์อยู่ตั้งนาน ผมคิดว่าจะไม่มาเสียแล้ว”
สองสามประโยคสุดท้าย วิเศษหันมาพูดกับผมด้วยท่าทางดีอกดีใจ
ผมสะพายวิทยุ “PRC-77” และ “HT-2” เดินไหล่เอียงเข้าไปนั่งอยู่หลังแนวกระสอบทราย ซึ่งดัดแปลงสร้างอย่างมั่นคงแข็ง ด้วยการใช้ซุงขนาดใหญ่กั้นเป็นชั้นๆ และแต่ละชั้นก็เทดินลงไปอัดแน่น แล้วใช้กระสอบทรายโป๊ะผิวด้านนอกอีกชั้นหนึ่ง
พื้นฐานของฐานปฏิบัติการมีลักษณะแคบและยาวเรียงรายเป็นแนวขนานไปกับเส้นทางซำทองซึ่งมองเห็นยาวเหยียดอยู่เบื้องหน้า
เบื้องหลังแนวยิงของกองร้อยที่ 3 เป็นหุบลึกและชันเกือบ 90 องศาเลยทีเดียว
ข้าศึกแม้จะอยู่สูงกว่าฐานปฏิบัติการของผมและสามารถตรวจการได้เป็นอย่างดี
แต่ไอ้การที่จะยิงอาวุธหนักถล่มลงมาบนพื้นที่-ที่มีบริเวณแคบๆ เพียง 2-3 ตารางมตรได้อย่างแม่นยำนั้นเป็นสิ่งที่เหลือวิสัยที่พลยิงจะทำได้
“ปรส. 82 ของมันเคยยิงถูกแนวกระสอบทราย 5 ชั้นของผมอยู่เสมอๆ ยากครับ บิ๊กแมน กระสุนของมันเจาะเข้ามาได้เพียงชั้นที่ 3 เท่านั้นเอง ไอ้กำบังที่ผมออกแบบขึ้นมาใหม่นี้ ทาง บก.ล่องแจ้ง น่าจะลอกแบบไปใช้ดูบ้าง ไม่ว่าจะเป็นปืน ค. หรือ อาร์พีจีไม่ได้แอ้มแนวยิงผมหรอกครับ ผมกลัวอยู่อย่างเดียวก็คือ 130 ของมันเท่านั้น”
เมื่อผมมองดูแนวกระสอบทรายดังกล่าวแล้ว ก็ที่จะอดทึ่งในสมรรถภาพของไม่ได้ ซุงและกำแพงดินซึ่งอัดแน่นอยู่เป็นชั้นๆ สามารถที่จะลดอำนาจทะลุทะลวงของลูกกระสุนได้อย่างมีประสิทธภาพที่สุด...
“...ผมกลัวมันจะแจ็คพอทลงบนแนวอย่างเดียวเท่านั้น... แต่ก็ยังไม่เคยซักที... หลุดจากแนวกระสอบมันก็หล่นตูมลงไปในหุบข้างล่างโน่น ล่อกาแฟกันก่อนครับ...บิ๊กแมน”
ในขณะที่ซดกาแฟ ผมกับ “วิเศษ” ก็เริ่มวางแผนการที่ได้รับมอบหมายจากนอร์แมนทันที
“คืนนี้ผมจะใช้ทหารเข้าไปขุดหลุมกึ่งกลางถนนห่างจากฐานของเราออกไปประมาน 300 เมตร ตามแผนของคุณ ถ้าข่าวกรองของซี.ไอ.เอ. ไม่ผิดพลาด รถถัง 2 คันซึ่งเคยยิงถล่มพวกคุณมาแล้ว จะต้องเคลื่อนที่บุกโจมตีฐานของพวกผมในตอนเช้ามืดพรุ่งนี้แน่ๆ”
วิเศษจิบกาแฟพร้อมเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าที่วิตกกังวล
“ข่าวกรองของซี.ไอ.เอ. ไม่เคยพลาดขณะนี้นำมันรถถังของมันที่ขาดแคลนได้ลำเลียงมาถึงแล้วด้วยขบวนเดินเท้า... ถ้าผมเดาไม่ผิด เช้ามืดพรุ่งนี้ มันต้องขึ้นมาจวกฐานของคุณแน่ๆ ทหารชุดอาสาของคุณพร้อมแล้วหรือยังครับ”
ผมย้อนถามออกไป
“พร้อมแล้วครับ ผมจะออกไปกับทหารของผมด้วย ถ้าคุณบิ๊กแมนจะร่วมแผนการล่ารถถังกับผม ผมก็ไม่ขัดข้อง และจะรู้สึกดีใจมากที่ได้ร่วมงานกับคุณครั้งแรก...ว่ายังไงครับ”
ผมไม่มีทางปฏิเสธ คำชักชวนของ ผบ.ร้อย 3 หรอกครับ ทางออกทางเดียวของผมที่ทำได้ในขณะนั้นก็คือ “นิ่ง” อุบไต๋ของตัวเองเอาไว้อย่างเงียบเชียบ
โธ่ ใครจะไม่กลัวบ้างครับ... การออกนอกฐานปฏิบัติการในตอนกลางคืน มันเป็นของน่าพิสมัยเมื่อไหร่กัน แล้วก็ทางเดินมันสะดวกสบายเหมือนกับถนนราชดำเนินเมื่อไรกันครับ... ทั้งกับระเบิดทั้งหน่วยซุ่มโจมตีหยั่งกับตาสัปปะรด
ทั้งๆที่กลัวจนขนลุก กลัวจนสั่นสะท้านเข้าไปถึงตับไตไส้พุง ผมคต้องสงบสติอารมณ์ ข่มจิตข่มใจวางหน้าตายนั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เหมือนกับว่าอาตมานี่แน่อย่างเหลือหลาย
แบะหัวใจพุดกันอย่างเปิดอกซะเลย บิ๊กแมนเป็นคนที่กลัวตายเท่าๆกับพลอาสาสมัครคนใดคนหนึ่ง และบางทีอาจจะกลัวมากกว่าเอาเสียอีก... เท่าที่ทน ทู่ซี้ เชิดฉิ่ง อยู่กับพวกมันทุกวันนี้ก็เพราะความยากจนและความระยำของตัวเองเท่านั้น
ผมเอนตัวลงนอนในบังเกอร์ของวิเศษ ก่อนที่จะเข้าสู่ภวังค์ ภาพพจน์ในอดีตก็พรั่งพรูขึ้นมาเหมือนกับได้ชมภาพยนต์ในจอโทรทัศน์
อดีตที่เคยรุ่งโรจน์ในวงการก๊ฬาของเมืองไทย บัดนี้เหลืออยู่แต่เพียงซากแห่งความทรงจำ
ผมติดทีมชาติไทยตั้งแต่อายุ 20 ปีพอดิบพอดี เมือง “แรงกูน” ประเทศพม่า คือสนามประลองฝีเท้าต่างแดนในชีวิตการเล่นกีฬาระดับชาติครั้งแรกของผม...
ผมกับ “สุทธิ มัญยากาศ” ขับเคี่ยวกันอย่างหนัก ฝีเท้าผมด้อยกว่าก็เลยคว้าแต่เพียงเหรียญเงินกลับมา
กลับจากพม่าเหงื่อยังหมาดๆ ผมก็ติดทีมชาติไปแข่งเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 3 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง คราวนี้ทั้งผมและสุทธิก็ได้แต่เพียง “เหรียญแจก” กลับมาเท่านั้น
จากญี่ปุ่นก็มุ่งเข้าปีนังในกีฬาฉลองเอกราชของมาเลเซีย
ต่อจากนั้น ก็ตะลุยสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ตระเวณแข่งดะจนกระทั่งถึงกีฬาแหลมทองครั้งแรก... ครั้งที่ 2 จนจำแทบไม่หวาดไม่ไหว
การแข่งขันที่ผมภูมิใจที่สุด แม้จะไม่ได้เหรียญอะไรกลับมาเลย ก็คือการแข่งขันโอลิมปิคครั้งที่ 17 ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี (2504)
ผมได้มีโอกาสกระทบไหล่กับจอมโม้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค... ไม่ใช่ใครหรอกครับ เขาคือแคสเซีย เคลย์ หรือ โมฮัมหมัด อาลี นักมวยร้อยล้านในปัจจุบันนี่เอง
“อาลี” เป็นนักมวยสมัครเล่นของสหรัฐ เขาพักอยู่ใกล้ๆกับที่พักของนักกีฬาทีมชาติไทยภายในหมู่บ้านโอลิมปิค
“อาลี” สนิทสนมกับผมก้เพราะทุรียนเพียงชิ้นเดียวที่ผมแบ่งให้หมอลองชิมดูเท่านั้น...
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา อาลีมักจะเทียวไปเทียวมาหาพวกผมมิได้ขาด และทุกครั้งเขาจะเอ่ยปากถามหาทุเรียนเป็นนิจสิน
อาลีชนะเลิศมวยโอลิมปิค หมอคล้องเหรียญทองอวดชาวบ้านตลอด 24 ชั่วโมง แม้กระทั่งในเวลาอาบน้ำหมอก้ไม่ยอมถอด เล่นเอาพวกผมหัวเราะในความบ้าๆบวมๆของหมอไปหลายวัน...
กลับจากกรุงโรม ผมก็ตระเวณแข่งต่อไปอีกอย่างมันเขี้ยว
ดวงดีซะอย่าง ก็เลยไปคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันวิ่ง 400 เมตร ในกีฬา “อินวิเตชั่นเกมส์” ณ กรุงจาร์กาต้า-อินโดนีเซีย แถมยังได้สัมผัสมือกับ อดีตประธาณาธิบดีซูกาโน่ ซะโก้หรูไปเลย
เพื่อนของผมคนหนึ่ง อย่าให้เอ่ยชื่อจริงหมอเลยครับ...บอกใบ้ว่า เป็นนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติก็แล้วกัน ยศปัจจุบันเห็นจะเป็น “นายพันตรี” แล้วกระมัง
หมอทำยุ่ง เกือบจะทำให้ผมโดนซิวอยู่ที่กรุงจากาต้าร์ซะแล้ว
อาศัยที่เพื่อนผมรูปหล่อ แถมฝีมือแบดมินตันก็อยู่ในอันดับโลกซะด้วย สาวๆอินโดนีเซียก็เลยตอมหึ่งกันไปหมด
สาวอินโดรูปร่างน่ากินเหมือนกับ “มาลาริน บุญนาค” อาจหาญขึ้นไปหาพ่อเจ้าประคุณเพื่อนของผมถึงบนห้องพัก เพื่อนของผมก็เลยฉลองศรัทธาด้วยความชำนาญ
ไอ้ผมก็ดันเสือกเป็นต้นทางให้เพื่อนฝูงซะนี่ ไม่ถึงอึดใจทหารอินโดนีเซีย 5 คน พร้อมอาวุธก็เดินสวบๆจะผ่านขึ้นไปบนห้องพักนักกีฬาแบดมินตันให้ได้
ผมออกไปขวางก็โดนผลักเซถลานั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้นพร้อมๆกันนั้น ประสาทหูผมก็ได้ยินแว่วๆว่า นักกีฬาไทยพาเมียน้อยซูกาโน่ขึ้นมาบนห้องพัก
ผมใจหายวาบ ปากก็ร้องตะโกนขึ้นมาเอ้ดอึง เพียงเพื่อจะช่วยให้ “เพื่อน” ให้พ้นจาก “บาทาภัย” ของทหารกลุ่มนั้น...
“เฮ้ย...ไอ้รงค์ (เห็นไหมละ ผมเผลอเรียกชื่อจริงออกมาจนได้) ทหารจะมาจับเอ็งแล้ว เอ็งเสือกเอาเมียน้อยซูกาโน่มา...หนีเร็วโว้ย”
ไอ้รงค์เพื่อนผมก็เร็วทายาท มันสวมวิญญาณนักกระโดดค้ำ เผ่นโครมลงมาทางหน้าต่างหลัง ขอยืมตีนสุนัขโกยแน่บไม่เหลียวหลัง
เมียน้อยซูกาโน่ โดนคุมตัวกลับวัง ไอ้รงค์ต้องรีบบินกลับเมืองไทยในวันรุ่งขึ้น ส่วนผมเจ็บฟรี แถมยังโดนเพื่อนฝูงอำไปตั้งหลายวัน.
ผมเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวงการกีฬาเกือบ 15 ปีเต็มๆ ก็เลยซาโยนาระ ลาออกจากทหารมาหารับประทานเป็นขี้ข้า ซี.ไอ.เอ. อยู่พักหนึง และอาชีพสุดท้ายก็คือ เขียนหนังสือขาย... ถ้าตกม้าตายกลางทาง บอกกล่าวกันเสียก่อน คราวนี้ผมเห็นจะต้องเข้าป่าแน่ๆ... ครับผม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 23, 2015, 08:14:02 AM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11747 เมื่อ: สิงหาคม 23, 2015, 09:21:58 AM »

ตลาดปืน มือ 2 วันนี้ http://2013.gun.in.th/index.php?board=6.0 (ถ้ายังไม่สมัครสมาชิกให้สมัครด้วยครับ)
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11748 เมื่อ: สิงหาคม 24, 2015, 10:00:55 AM »

ขอให้ น้องศักดิ์และครอบครัวไปสู่สุขคติ 
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11749 เมื่อ: สิงหาคม 25, 2015, 10:24:51 AM »

เมื่อคืนก่อนไปงานศพ (วัดท่าล้อ อ.เมือง จ.น่าน) น้องศักดิ์ บรรยากาศเศร้ามาก  (ฌาปนกิจที่สุสานลอมเชียงของ อ.เมือง จ.น่าน วันพุธ 26/8/58 )
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11750 เมื่อ: สิงหาคม 26, 2015, 10:11:10 AM »

ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึื่ง ขอให้น้องศักดิ์และครอบครัว ไปสู่สุขคติ (ฌาปนกิจวันที่ 26/8/58 ณ สุสานลอมเชียงของ)
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11751 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2015, 09:24:09 AM »

อัพเดตตลาดปืนสวัสดิการณ์วันนี้ http://2013.gun.in.th/index.php?board=2.0  (สมัครสมาชิกด้วย)
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11752 เมื่อ: สิงหาคม 29, 2015, 09:41:14 AM »

ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 10/11  ผลงานเขียนของ สยมภู ทศพล
   ผมเผลอตัวหลับไปตั้งนาน หลับไม่หลับเปล่า ยังฝันถึงเรื่องกีฬาให้เปรอะไปหมด ชีวิตกีฬาที่ผมฝอยให้ฟังเมื่อบทที่แล้ว ผู้อ่านอย่าทึกทักว่าเป็นเรื่องจริงนะครับ... มันเป็นเรื่องของคนที่ใจไม่อยู่กับร่องกับรอยจนสร้างภาพพจน์ขึ้นมาเพียงเพื่อปลอบใจตัวเองว่า “ครั้งหนึ่ง อาตมาก็มีอดีตชีวิตที่เอร็ดอร่อยพอสมควรเท่านั้นเอง ครับผม”
   ตกใจตื่นขึ้นมาก้มองเห็นลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับเหลี่ยมเขาลงไปพอดี
   บรรยากาศรอบๆตัว มืดลงอย่างรวดเร็ว ทหารชุดล่ารถถังที่ “วิเศษ” จัดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จับกลุ่มคุยกันอยู่เบาๆ หน้าบังเกอร์
   ผมคลานออกมาก็มองเห็นวิเศษกำลังจะมุดเข้ามาปลุกผมพอดิบพอดี
   “เห็นบิ๊กแมนนอนหลับ ก็เลยไม่ปลุก...ตั้ง 4 ชั่วโมงเต็มๆแน่ะครับที่คุณเผลอหลับไป เหลืออีกครึ่งชั่วโมง ผมจะออกเดินทาง คุณพร้อมหรือยังครับ”
   ผมรีบลุกขึ้นมายืนอยู่หน้าบังเกอร์ สะบัดศรีษะไปมาด้วยความมึนงง
   ไม่น่าเชื่อที่ตัวเองเผลอหลับไปตั้ง 4 ชั่วโมง แถมนอนฝันเป็นตุเป็นตะว่าตัวเองเป็นนักกีฬาทีมชาติบ้าง... กระทบไหล่ โมฮาหมัด อาลีบ้าง ทั้งๆที่ความจริงแล้ว ไอ้เหตุการณ์เหล่านั้นมันจะบังเกิดขึ้นกับตัวของผมไม่ได้อย่างเด็ดขาด
   โธ่ เมืองนอกเมืองนา... อย่างดีก็แค่เมืองลาวนี่แหละครับ ที่ผมมีความสามารถเหยียบย่างเข้าไปถึง
   
   19.30 น. วิเศษก็คุมขบวนชุดล่ารถถังเคลื่อนที่ลงจากฐานปฏิบัติการ แล้วลัดเลาะป่าละเมาะข้างทางด้วยความเงียบเชียบ
   ผมเดินอยู่รั้งท้ายกับพนักงานวิทยุประจำกองร้อย ซึ่งสะพาย PRC-77 เดินถือปากพูดหูฟังแนบกับข้างใบหู กระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
   สภาพของถนนที่เอียงลาดลงไปยังเบื้องล่าง ทำให้การเคลื่อนที่ของพวกผมดำเนินไปอย่างสะดวกสะพายยิ่งกว่าทุกครั้ง
   พอเคลื่อนที่พ้นฐานออกมาได้ 100 เมตร วิเศษก็แบ่งทหารออกเป็นสองชุด
   ชุดแรกให้เดินอยู่บนป่าละเมาะเหนือขอบถนน ส่วนอีกชุดให้เคลื่อนที่ไปบนถนนในลักษณะขบวนแถวตอน เรียงเดี่ยว
   กับระเบิดแบบ M-19 ที่ใช้ดักรถถังจะต้องได้รับแรงกดตั้งแต่ 500 กิโลกรัมขึ้นไป ชนวนของมันถึงจะทำงาน... ทหารรับจ้างแต่ละคนรวมทั้งอาวุธพร้อมน้ำหนักก็ยังไม่ถึง 100 ก.ก. เพื่อนก็เลยเดินเหยียบลงไปอย่างสบายใจเฉิบ... ส่วนผมนึกแหยงๆอย่างไรพิกล
   ภาพในอดีตที่ลูกน้องของผมถูกกับระเบิดลอยกระเด็นขึ้นจากพื้นยังพร่างพรายอยู่ในห้วงคิด... ความแหยงทำให้ผมก้าวเท้าข้ามเจ้า M-19 ด้วยอาการหวาดผวาที่ยังเหลืออยู่ในจิตใต้สำนึกของคนกลัวตาย
   หลายต่อหลายครั้งที่พวกผมต้องหยุดการเคลื่อนที่เนื่องจากได้รับสัญญาณจากหน่วยหน้าสุดที่ตรวจการณ์พบสิ่งผิดปรกติจากเส้นทางเบื้องหน้า
   ครึ่งชั่วผ่านไป พวกผมก็มาหยุดรวมพลกันบนเส้นทางที่ได้เลือกกันเอาไว้แล้ว ว่าจะใช้เป็นพื้นที่สำหรับ “ล่ารถถัง” โดยเฉพาะ
   มันเป็นเส้นทางที่โผล่ตัดตรงออกมาจากมุมหักข้อศอก และเส้นทางดังกล่าวก็ยาวเป็นแนวตรงเกือบ 200 เมตร อันเป็นระยะที่แม่นยำที่สุดของจรวดแม็กนีโตอันทรงอานุภาพของสหรัฐอเมริกา
   ทหารราบทุกคนจะไม่ยอมให้รถถังเข้าใกล้ฐานปฏิบัติการของตัวเองอย่างเด็ดขาด
   การวางแผนยับยั้งรถถัง จะต้องหาทางให้รถถังหยุดอยู่ให้ไกลกับฐานให้จงได้
   วิเศษ เป้นนายทหารม้ายานเกราะ เขาจะต้องรู้จุดอ่อนของรถถังและรู้ซึ้งถึงยุทธวิธีของรถถังเป็นอย่างดี และผมก็ไม่เสียใจเลยที่นอร์แมน เลือกนายทหารผู้นี้เข้าสะกัดกั้นก่อนที่รถถังทั้งสองคันที่เหลือจะเคลื่อนที่ขึ้นไปบนเนินสกายไลน์แล้วถล่มปืนขนาด 85 ม.ม. ลงไปทำลายเมืองล่องแจ้งในโอกาสต่อไป
   “ผู้กอง ถนนข้างหน้าช่วงที่พังจากการทิ้งระเบิด พวกมันซ่อมเสร็จแล้วครับ รอยยังใหม่อยู่เลย”
   ทหารรับจ้างคนหนึ่ง กระหืดกระหอบเข้ามารายงานกับ วิเศษ ด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น และพร้อมๆกันนั้น ประสาทหูของผมก้ได้ยินเสียงร้องของสัตว์ชนิดหนึ่งดังมาตามสายลม
   “แปร๊น”
   “เสียงช้าง ผมว่าเสียงช้างร้อง คุณบิ๊กแมนได้ยินหรือเปล่าครับ”
   ผมไม่ตอบคำถามของวิเศษ... พยายามตะแคงหูฟังเสียงร้องของมันอีกครั้ง...
   เงียบ เงียบเสียจนผมคิดว่าประสาทหูของผมคงจะเฟือนไปเอง
   ผมหวนคิดถึงคำบอกเล่าของทหารรับจ้างที่แตกลงมาจากภูเทิง ที่เคยเล่าให้ผมฟังอยู่เสมอๆว่า ทหารเวียดนามเหนือใช้ช้างลากรถถังเข้ามาใกล้กับฐานปฏิบัติการของพวกเรา แล้วจึงติดเครื่องยนต์แล่นขึ้นตะลุยพวกเราอย่างชนิดสายฟ้าแลบจนพวกเราไม่มีโอกาสที่จะรู้ตัวหรือต่อสู้ได้ทัน
   ลางสังหรณ์ดังกล่าว ทำให้ผมเปลี่ยนแผนการที่วางเอาไว้โดยฉับพลัน
   “วิเศษ เสียงช้างแน่ๆ และผมคิดว่า ขณะนี้ เจ้าช้างดังกล่าวก็คงจะอยู่ห่างจากพวกเราไม่ไกลนัก จัดลูกน้องของคุณที่มีฝีมือในการยิงM.72 ที่แม่นยำพอสมควรเอาไว้ให้พร้อม... ผมจำเป็นต้องเปลี่ยนแผน เราจะปีนเนินเขาลูกนี้ขึ้นไป แล้วเดินตัดตรงไปยังเนินที่มองเห็นอยู่เบื้องหน้า ถึงแม้ว่ามันจะเสี่ยง แต่เราไม่มีแผนการที่ดีกว่านี้อีกแล้ว”
   “โอเค...บิ๊กแมน”
   วิเศษตอบห้วนๆ แล้วออกคำสั่งให้ทหารรับจ้างทั้งหมดเคลื่อนที่ขึ้นไปบนเนินที่อยู่ข้างๆเส้นทางอย่างรวดเร็ว
   มันเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างจะรกรุงรังไปด้วยพืชล้มลุกนานาชนิด ความหนาทึบของภูมิประเทศดังกล่าวทำให้ผมพอจะสังเกตุได้ว่า เส้นทางนี้ยังไม่ได้ถูกใช้ในการเคลื่อนที่จากทหารฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมาก่อนเลย
   ด้วยการเคลื่อนที่อย่างระมัดระวัง อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา พวกผมก็ปีนขึ้นมาหมอบอยู่บนเนินอีกลูกหนึ่งซึ่งสามารถมองเห็นเส้นทางจากสนามบินซำทองเด่นชัดอยู่เบื้องล่าง
   กลุ่มคนไม่น้อยกว่า 30 คน ชุลมุนวุ่นวายอยู่เบื่องล่าง จากระยะที่ห่างเกือบ 400 เมตร ทำให้ผมต้องอาศัยกล้องสนามแรงสูงชนิดพิเศษ ตรวจการณ์อย่างละเอียดถี่ถ้วน...
   ภาพที่ปรากฏอยู่ในความสลัวของโฟกัส ทำให้ขนของผมลุกซู่ขึ้นมาทั่วตัว
   ช้าง 7 เชือก บนหลังบรรทุกสิ่งของพะรุงพะรัง ยืนรวมกลุ่มกันอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทหารเวียดนามเหนือ ซึ่งกำลังขนถ่ายสิ่งของที่อยู่บนหลังช้างทั้ง 7 เชือกสับสนวุ่นวายกันไปหมด
   “ไอ้ห่า พวกมันใช้ช้างขนน้ำมันจากทุ่งไหหินเชียวหรือครับนี่... ผมคิดว่าพวกมันเพิ่งจะเดินทางมาถึงที่นี่อย่างสดๆร้อนๆ นี่เอง ผมอยากรู้เหลือเกินว่า ไอ้รถถัง 2 คันของมันซุกซ่อนอยู่บริเวณไหนกันแน่”
   วิเศษใช้กล้องสนามแรงสูงตรวจการณ์ลงไปเบื้องล่าง  ปากก็บ่นพึมพำไม่ขาดระยะ
   “ประเดี๋ยวคุณก็จะเห็นเอง รอให้ไอ้พวกแกวมันขนน้ำมันลงจากหลังช้างให้หมดเสียก่อน แล้วคุณจะรู้เอง ว่ารถถังของมันซ่อนอยู่ตรงไหน?”
   “M.72  10 กระบอก เตรียมพร้อม”
   วิเศษออกคำสั่งขึ้นมาอย่างเฉียบขาด ทหารรับจ้าง 10 คน ซึ่งหมอบเรียงรายอยู่ข้างๆ ปลด M.72 ออกจาบ่า...คลายล็อค ดึงลำกล้องกางออกเป็นสองท่อน ปรับศูนย์ยิง ตั้งระยะการยิงด้วยความชำนิชำนาญ แล้วค่อยๆวางปืนจรวดอันทรงอานุภาพลงกับพื้นอย่างสงบนิ่ง รอคำสั่งการยิงด้วยความใจเย็น...
   ช้างทั้ง 7 เชือก ถูกจูงเดินลงจากขอบถนนแล้วหายลับเข้าไปในป่าทึบที่มองเห็นทึมๆ อยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สุกสกาว
   แสงสว่างที่สะท้อนเป็นนวลใยอยู่เบื้องล่างทำให้ผมตรวจการณ์ บนเส้นทางดังกล่าวได้ชัดเจนพอสมควร
   ทหารเวียดนามเหนือขนสัมภาระที่ถ่ายลงมาจากหลังช้างแล้วนำลงไปวางกองพะเนินเทินทึกอยู่ที่ขอบถนน ต่อจากนั้นก็ติดตามขบวนช้างดังกล่าวหายเข้าไปในป่าเป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง จนผู้กองวิเศษบ่นพึมพำออกมาด้วยความฉุนเฉียว
   “จบกัน บิ๊กแมน... ไอ้ห่าพวกนั้นหายหัวเข้าไปหมดแล้ว... ไม่น่าใจเย็นอยู่เลย”
   ผมเอื้อมมือไปตบหลังของวิเศษ แล้วปลอบใจผู้กองขี้ยั๊วขึ้นมาเบาๆ
   “ใจเย็นน่า...ผู้กอง...เชื่อผมเถอะ รออีกซักเดี๋ยว ผู้กองจะต้องแปลกใจเลยทีเดียว น่าน...น่าน... ผมพูดแล้วไม่มีผิด M.72 เตรียมพร้อม ผมจะเป็นคนสั่งยิงเอง
   สองประโยคสุดท้าย ผมหันไปออกคำสั่งกับพลยิง M-72 ซึ่งหมอบกระสับกระส่ายอยู่ข้างๆ
   ช้าง 4 เชือกปรากฏตัวออกมาจากป่าทึบข้างทางแล้ว ลักษณะการเดินของมันคล้ายๆกับจะออกแรงลากอะไรออกมาด้วย ชั่วอึดใจผมก็มองเห็นภาพของรถถังถูกลากขึ้นมาจอดจังก้าอยู่บนถนน
   “รถถัง...บิ๊กแมน ไอ้ช้างอัปรีย์นั่นลากขึ้นมาอีกคันนึงแล้ว...เกิดมาเพิ่งเคยเห็น ไอ้ห่าผมเป็นทหารยานเกราะแท้ๆก็ยังไม่เคยเห็นยุทธวิธีบ้าๆบอๆแบบนี้มาก่อนเลย”
   วิเศษพูดพลางขยับ M-72 ด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นเอาการ
   กลุ่มทหารเวียดนามเหนือทั้งหมดช่วยกันยกถังนำมันที่วางอยู่ที่ขอบถนนขึ้นไปบนรถถังเป็นจ้าละหวั่น
   และในขณะเดียวกันนั้น ผมก็มองเห็นพวกมันกลุ่มหนึงเดินผละออกมาจากรถถัง ภายในมือถือวัตถุยาวๆเหมือนกับด้ามไม้กวาด ทำอากัปกริยาเหมือนกับจะกวาดถนน เดินห่างจากรถถังออกไปทุกที...
   “พวกมันเริ่มทำความสะอาดถนนแล้วครับ ผู้กอง”
   ทหารรับจ้างคนหนึ่ง กระซิบขึ้นมาอย่างลุกลี้ลุกลน
   ผู้กองวิเศษหัวเราะก๊าก แล้วเอื้อมมือไปเขกศราะของทหารรับจ้างคนนั้นดังป๊อก
   “ไอ้หอก พ่อมึงนะสิกวาดถนน ทหารม้าส้นตีนอะไรว่ะ ไม่รู้จักเครื่องตรวจจับทุ่นระเบิด... ไอ้ที่พ่อมึงกำลังถือทิ่มอยู่กับพื้นนั่นแหละ เครื่องตรวจทุ่นระเบิดดักรถถังของมันละ”
   คำพูดของผู้กองวิเศษ ทำให้บังเกิดเสียงหัวเราะคิกคักไปทั่วแนว... แม้แต่ผมก็อดที่จะขำต่อความนึกคิดแบบซื่อๆเซ่อๆของทหารรับจ้างคนนั้นไม่ได้...
   “โธ่ ผู้กองก็ ไอ้ผมเป็นทหารม้าเนื้อ แล้วจะไปรู้จักเครื่องตรวจทุ่นได้ยังไงกัน เป็นทหารทั้งทีก็โดนแต่ผู้หมู่ใช้ให้ขนขี้ม้ายันเต”
   “หยุด ไอ้หอก มัวแต่พูดเล่นอยู่นั่นแหละ เสียงานเสียการหมด ประเดี๋ยวพวกมันได้ยินเข้าก็จบเห่เท่านั้นเอง... พวกมึงน่าจะรู้ฤทธิเดชของปืน 85 มันแล้วนี่หว่า... เตรียมตัวโว้ย”
   ผู้กองวิเศษปรามลูกน้องออกไป พร้อมกับขยับลุกขึ้นมานั่งยองๆ ในลักษณะ “นั่งยิง” มือทั้งสองยก M-72 ขึ้นประทับเล็งปรับระยะอยู่ไปมา...
   การเติมน้ำมันได้สิ้นสุดลงแล้ว... ช้างทั้งหมดเริ่มลากรถถังทั้งสองคันวิ่งช้าๆ ไปบนถนนเสียงเอี๊ยดอ๊าดของสายพานที่ปราสจากน้ำมันหล่อลื่นบดกับพื้นถนนดังเกรียวกราว
   คงจะเนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวอยู่ห่างจากฐานปฏิบัติการของผมหลายกิโลเมตร และอีกอย่างหนึ่ง ตามปกติทหารรับจ้างฝ่ายเราก็ไม่เคยออกปฏิบัติงานในเวลากลางคืนแม้แต่ซักครั้งเดียว และประการสุดท้ายพื้นที่ดังกล่าวนี้ เป็นเขตยึดครองของพวกมัน พวกมันก็เลยบังเกิดความประมาทขึ้นมาอย่างช่วยเหลือไม่ได้
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11753 เมื่อ: สิงหาคม 31, 2015, 11:13:49 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชิวิตคนเราก็เหมือนสะพาน มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง

ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 11/11 ผลงานเขียนของสยมภู ทศพล
ถ้าจะให้ผมเดา รถถังทั้งสองคันนี้จะต้องถูกลากไปสมทบกับทหารเวียดนามเหนือที่อาจจะเคลื่อนที่ลงมาจากเนิน “ชาร์ลี-ชาร์ลี” แล้วโจมตีฐานปฏิบัติการของพวกผมพร้อมๆกันก่อนสว่างก็อาจจะเป็นได้
จุดสมทบของมันก็คงไม่แคล้วทางแยกสามแพร่ง... ถ้าพวกมันยึดทางแยกสามแพร่งได้เมื่อไหร่ เมืองล่องแจ้งก็โดนรถถังแล่นลงไปบดขยี้ถึงใจกลางเมืองเมื่อนั้น
“ผู้กองส่งรหัสบอกให้ทหารของผู้กองยิงแฟลร์ขึ้นไปบนยอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี ได้แล้วครับ ยิงต่อเนื่องกันอย่าให้ขาดระยะ ผมคิดว่าพวกมันคงจะเคลื่อนย้ายลงมาสมทบกับรถถังสองคันนี่เพื่อจวกฐานของเราแน่ๆ”
“ก่อนออกเดินทาง ผมสั่งลูกน้องเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ผมส่งรหัสออกไปคำเดียว แฟลร์ 4.2 จะถูกยิงขึ้นไปบนยอดเนินชาร์ลี-ชาร์ลีทันที ต่อจากนั้นกองร้อย 2 ก็จะเคลื่อนที่ลงมาเสริมแนวที่ทางแยกสามแพร่ง เพื่อยันการบุกของมันทันที”
ผู้กองวิเศษเป็น ผบ.ร้อย ที่คล่องงานและเจนยุทธวิธีการวางแผนจนผมอดทึ่งไม่ได้ เพียงครั้งแรกที่ผมร่วมงานกับเขา ผมก็บังเกิดความสบายใจที่แผนการต่างๆของเรา ดำเนินไปอย่างสอดคล้องกันทุกประการ
เท่าที่ผมทราบ วิเศษเคยรับราชการครูมาก่อน อุปนิสัยที่รักการต่อสู้ ผจญภัย ทำให้เขาเผลี่ยนเข็มผละจากอาชีพพ่อพิมพ์ หันเข้าโรงเรียนนายร้อยพิเศษ สำเร็จออกมารับราชการอยู่เพียงปีเดียวก็ข้ามมาฝั่งลาว
ผมแทบไม่เชื่อที่ทราบว่า อดีตครูผู้เคยถือแต่ชอล์คเขียนกระดานดำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอย่างวิเศษจะมากลายเป็นเพชฌฆาตที่เข่นฆ่าคนเล่นเป็นผักปลาเช่นนี้
แต่มันก็เป็นไปแล้วครับ วิเศษหรือร้อยโทปิ่นพันธุ์ ทหารม้าจากอุตรดิษฐ์ได้กลายเป็นเพชฌฆาตเมาเลือดไปเสียแล้ว
กิตติศัพท์และชื่อเสียง ตลอดจนความใจถึงของเขา ทำให้ทหารรับจ้างทุกคนเคารพเชื่อฟังและเกรงกลัววิเศษหยั่งกับหนูกลัวแมว แม้แต่ตัวของ ผบ.พันเองยังไม่กล้าแหยม
รถถังทั้งสองคัน ถูกลากเข้ามาอยู่ในทางปืนของพวกผมแล้ว
ทั้งๆที่สงสารเจ้าช้างทั้ง 7 เชือกใจจะขาด แต่ผมก็จำเป็นต้องสั่งยิงออกไปเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
“M-72 5 กระบอก ที่หมายรถถังคันหน้า M-72 5 กระบอกถัดไปที่หมายรถถังคันที่ 2 ผู้กองวิเศษที่หมายหน่วยตรวจค้นทุ่นระเบิด...ระวัง”
“ยิง”
“บึ้มส์ส์ส์ ------- แว้ดๆๆๆๆๆๆๆ”
ความรุนแรงของแรงสะท้อนถอยหลังที่ดันออกจากท้ายลำกล้อง ทำให้ประสาทของผมอื้อไปชั่วขณะ
แสงไฟที่พุ่งแลบลงไปเบื้องล่างเป็นสาย มองดูเหมือนกับห่าฝนเหล็ก เสียงหางนำทิศของจรวดแม็กนีโตครวญครางโหยหวนเหมือนกับเสียงเปรตทวงวิญญาณ พอสิ้นเสียงแว๊ดที่ยาวนาน ก็ปรากฏเสียงกระหึ่มขึ้นมา เหมือนกับฟ้าถล่ม
“บึ้ม...บึ้ม...บึ้ม...บึ้มๆๆๆๆๆๆๆ”
ประกายไฟสีส้มปนเขียวสว่างจ้าไปทั่วบริเวณ
อา...จรวดแม็กนีโตทั้ง 11 ลูก ถล่มลงบนเป้าหมายอย่างถนัดถนี่เข้าให้แล้ว
ทหารรับจ้างที่อยู่ข้างๆผม กระแทกแฟลร์กระทุ้งขึ้นไปลอยฟ่องอยู่เหนือบริเวณดังกล่าวสองดวงซ้อนๆ
ไม่มีเสียงตอบโต้ขึ้นมาแม้แต่นัดเดียว ก่อนแสงแฟลร์จะสิ้นแสง ผมก็ตรวจการณ์เห็นรถถังทั้ง 2 คันเอียงกระเท่เล่อยู่กับพื้นถนน ประกายไฟที่ลุกไหม้อยู่บริเวณท้ายรถเริ่มโชนขึ้นทุกที...ทุกที แล้วค่อยๆลามเลียท่วมตัวรถจนแดงฉานไปหมดทั้งคัน
ความร้อนจากไฟทำให้ลูกกระสุนปืนที่บรรทุกอยู่ในรถระเบิดซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง
“บึ้ม...บึ้ม...”
แรงระเบิดทำให้กระบอกปืนอันใหญ่โตของมันหลุดออกมาจากป้อมปืนทันที และอำนาจของระเบิดดังกล่าวก็ยังทำให้รถถังอีกคันที่อยู่ข้างๆ ระเบิดตามไปอีกด้วย
คราวนี้ไม่มีอะไรเหลือหลออีกแล้ว จากแสงสว่างของไฟที่สาดออกไปรอบๆ ผมมองเห็นซากอันแหลกเหลวของช้างทั้ง 7 เชือก กองระเกะระกะอยู่บนถนนในสภาพที่เอน็จอนาถสุดประมาณ
หน่วยตรวจค้นทุ่นระเบิด 5 คนถูกอำนาจของ M-72 ปลิวกระเด็นออกไปจากกึ่งกลางถนนอย่างกับโดนช้างเตะ
ผู้กองวิเศษดึงปากพูดหูฟัง PRC-77 ขึ้นมากดสวิทช์ออกคำสั่งเป็นรหัสไปยังฐานผฃปฏิบัติการในทันทีทันใดที่การระดมยิง M-72 สิ้นสุดลง
2 นาทีต่อมา ผมก็ได้ยินเสียง ค. 4.2 ดังสะเทือนเลื่อนลั่นอยู่ทางเบื้องหลัง ชั่วอึดใจผมก็มองเห็นแสงแฟลร์ขนาดใหญ่สว่างจ้าอยู่บนยอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี และพร้อมๆกันนั้น ผมก็ได้ยินเสียงอาวุธหนักทุกชนิด เซ็งแซ่ขึ้นมาหยั่งกับประทัดในวันตรุษจีน
กระสุนส่องวิถีพุ่งผ่านเหนือภูมิประเทศเป็นสายเหมือนกับผีพุ่งไต้
“วิเศษ จากธรรมนูญ ไอ้แกว 2 กองร้อยเคลื่อนที่ลงมาจาก ชาร์ลี...ตามแผนด่วน
วิทยุจากฐานปฏิบัติการที่ทางแยกสามแพร่งดังกังวานขึ้นมาท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของห่ากระสุนปืน
“เร็วโว้ย...เคลื่อนที่กลับฐานให้เร็วที่สุด พรรคพวกของเราโดนไอ้แกวเข้าจวกแล้ว ไม่มีรถถังซะอย่าง ให้พ่อมึงลงมาด้วย จ้างกูก็ไม่กลัว”
วิเศษพูดพลางฉุดข้อมือของผมลุกขึ้น แล้วพากันวิ่งเหยาะๆ ตามทหารรับจ้างซึ่งเริ่มถอนตัวออกจากบริเวณดังกล่าวอย่างรวดเร็ว
เสียงตึงตังของปืนนานาชนิดที่สนั่นหวั่นไหวอยู่เบื้องหน้า ทำให้พวกผมเคลื่อนที่ได้รวดเร็วกว่าปกติ
ไม่ถึงชั่วโมง พวกผมก็ปีนเขาขึ้นมายืนหอบเป็นหมาบ้าแดดอยู่บนยอดเนินข้างๆ เส้นทางที่พวกผมเคลื่อนที่จากถนนขึ้นไปหลังจากที่ได้ยินเสียงช้างร้องเป็นครั้งแรก
ภูมิประเทศที่เกิดการประทะ สว่างไสวอยู่เบื้องล่าง
แฟลร์กระทุ้ง กระสุนส่องวิถีวิ่งสวนกันไปมาอยู่บนท้องฟ้า สร้างความตื่นตาให้กับทหารรับจ้าง จนถึงกับยืนเบิกตามองด้วยความตื่นตะลึง
“เฮ้ย...ตั้ง M-60 ยิงสนับสนุนพวกเราเดี๋ยวนี้ ที่หมายบริเวณฐานปฏิบัติการเก่าของ BC.616 ที่มองเห็นแสงไฟวูบวาบนั่นแหละ จวกเลยไอ้จันทร์”
ผู้กองวิเศษสั่งงานอย่างคล่องแคล่วว่องไวพร้อมกับหันไปหยิบปากพูดหูฟัง PRC-77 ขึ้นมาตะโกนกรอกเสียงออกไปเต็มแรง เสมือนหนึ่งจะให้ข้าศึกที่ดักฟังวิทยุอยู่ทราบข่าววิทยุดังกล่าวนั้นด้วย
“ธรรมนูญ จากวิเศษ ขณะทหารของอั๊วทำลายรถถังได้แล้วโว้ย มันกำลังเอาช้างลากอยู่พอดี... ช้าง 7 เชือก รถถัง 2 คัน กับทหารราบของมันอีกไม่น้อยกว่า 15 คน ตายโหงหมดแล้ว ขณะนี้อั๊วขึ้นมาตั้งแนวยิงอยู่บนเนินพร้อมด้วยทหาร 100 คนประเดี๋ยวจะตีโอบเข้าไปโว้ย...”
M-60 เริ่มพ่นกระสุนลงไปยังเบื้องล่าง วิเศษหัวเราะก๊าก หันมาพูดกับผมค่อนข้างดัง
“ผมแหกตาไอ้แกวว่า มีทหารตั้ง 100 คน ป่านนี้มันคงจะได้ยินแล้วมั้ง ไอ้พวกห่านี่มันดักฟังวิทยุของพวกเราอยู่ตลอดเวลา แหกตามันซะให้อ่วมไปเลย เฮ้ย M-72 ถล่มลงไปซัก 3 กระบอกซีโว้ย”
ประโยคสุดท้าย วิเสาหันไปสั่งลูกน้องที่หมอบเรียงรายอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางกระหายเลือดจนมือไม้สั่นไปหมด
“บึ้ม...แว้ด...บึ้ม”
“บึ้ม...แว้ด...บึ้ม”
M-72 อันทรงอานุภาพพุ่งปร๊าดลงไปยังจุดที่ไฟวอมแวมอยู่เบื้องล่างด้วยความเร็วเหมือนกับดาวตกลงมาจากท้องฟ้า
ไอ้จันทร์ลูกน้องมือดีของผู้กองวิเศษ ขยับปืน M-60 ส่ายลำกล้องเป็นมุมกว้างพ่นกระสุนด้วยจังหวะการยิงเป็นชุดๆอย่างมีจังหวะจะโคนอันแสดงถึงความชำนิชำนาญอย่างแท้จริงของพลปืน...
กระสุนส่องวิถีจากที่ตั้งจุดหนึ่งของตีนเขา “สกายไลน์-วัน” หันทิศทางการยิงขึ้นมาบนเนินของผมเข้าให้แล้ว
แนวกระสุนสีเขียวเข้มพุ่งข้ามศรีษะของพวกผมไปทางเบื้องหลัง จนได้ยินเสียงหัวกระสุนแหวกอากาศอย่างถนัดหู
“เฮ้ย ปืนของพวกมันจวกพวกเราแล้วโว้ย M-16 ทั้งหมดประสานการยิงลงไปข้างล่าง ที่หมายที่ตั้งปืนกลเบาของข้าศึก พอยิงหมดแม็กแล้วให้เคลื่อนที่ออกไปที่มุมซ้าย ต่อจากนั้นยิงอีกหนึ่งแม็ก แล้วให้ย้ายมาตั้งแนวยิงมาอยู่ที่มุมขวา สลับกันอยู่เช่นนี้ไปเรื่อยๆ อั๊วจะหลอกไอ้แกวว่ากำลังพลของเรามีเป็นตัน ปฏิบัติได้”
ผู้กองวิเศษร้องเอ็ดอึง ท่ามกลางเสียงหัวเราะเกรียวกราวของทหารรับจ้างที่กำลังระดมยิงอย่างมันมืออยู่นั้น
ผมนั่งพิงก้อนหิน มองดูทหารรับจ้างที่กำลังสลับที่ตั้งยิงด้วยความทึ่งใจ จากยอดกำลังพลไม่ถึงยี่สิบคน ผู้กองวิเศษสร้างสถานะการณ์ให้ข้าศึกประเมินกำลังไม่ถูก และคงจะเชื่ออย่างสนิทใจว่า กำลังหนุน 100 คน ที่อยู่บนยอดเนินกำลังจะบุกลงไปเข้าตีโอบในเวลาไม่ช้านี้
ผู้กองวิเศษเล่นกลอยู่สักพักหนึ่ง ก็สั่งให้ลูกน้องหยุดยิง แล้วส่งข่าว “ลวง” ไปหา “ธรรมนูญ” ผบ.ร้อย 2 อีกครั้ง
“ธรรมนูญจากวิเศษ ลื้อสั่งให้ลูกน้องเบนวิถีกระสุนกินซ้ายมากๆหน่อย ทหารของอั๊วจะตีโอบทางด้านขวามือเดี๋ยวนี้ ระวังหน่อยนะโว้ย อย่าเสือกยิงพวกเดียวกันเข้า คอยสังเกตุแฟลร์กระทุ้งสีแดง 2 ช่อให้ดี นั่นคืออาณัติสัญญาณการเข้าตีโอบล้อมของอั๊ว อั๊วจะพยายามเคลื่อนที่เข้าไปให้เงียบที่สุด พอถึงแนวยิงของพวกมันเมื่อไหร่ อั๊วจะใช้แฟลร์กระทุ้งสีแดงอีกครั้ง ต่อจากนั้น พวกเราจะได้เข้าชาร์ทพวกมันพร้อมๆกัน”
“วิเสษ จากธรรมนูญ โอเคพรรคพวก ขณะนี้กองร้อยที่ 1 ก็เริ่มเคลื่อนที่เข้าไปหาพวกมันตามแผนที่วางกันเอาไว้แล้ว โชคดีเว้ย... พรรคพวก”
“ธรรมนูญ” ผบ.ร้อย 2 BC.604 “ตอแหล” สวนกลับมาอย่างรู้ทันซึ่งกันและกัน
ผู้กองวิเศษสั่งให้ทหารกระทุ้งแฟลร์สีแดงตามแผนลวง ต่อจากนั้นก็ยุติการยิงเป็นปลิดทิ้ง...
และในเวลาเดียวกัน ณ บริเวณฐานปฏิบัติการ “ชาร์ลี-เอ็คโค่” ตรงทางแยกสามแพร่ง แนวกระสุนที่แผ่กว้างไปรอบทิศ ก็เริ่มบีบเบนกินซ้ายออกไปเหมือนหยั่งกับนัดกันเอาไว้
ทหารรับจ้างเคลื่อนที่ลงจากยอดเนินอย่างเงียบเชียบ หลังจากลัดเลาะป่าละเมาะข้างทางอยู่ชั่วครู่ พวกผมก็สามารถเข้าฐานปฏิบัติการได้อย่างปลอดภัย โดยมิสูญเสีย กำลังพลแม้แต่กำลังพลแม้แต่คนเดียว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 31, 2015, 01:28:43 PM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11754 เมื่อ: กันยายน 01, 2015, 01:24:05 PM »

"อย่าตัดใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขา ชิวิตคนเราก็เหมือนสะพาน มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง

ตอนที่ 1 - วันชโลมเลือด โดยสยุมภู ทศพล
ทหารเวียดนามเหนือเริ่มระดมยิงพื้นที่ทางขวามือเข้าให้แล้ว พวกมันหลงกลผู้กองวิเศษเข้าอย่างถนัดใจ พวกมันคงพากันคิดว่าขณะนี้ทหารรับจ้าง 100 คน อาจจะเคลื่อนที่เข้ามาโอบล้อมก็เลยซัลโวอาวุธหนักทุกชนิดเข้าใส่พื้นที่ดังกล่าวเป็นห่าฝน
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ทหารเวียดนามเหนือซึ่งขาดการสนับสนุนจากรถถังก็เริ่มถอนตัวกลับขึ้นไปบนเนิน "ชาร์ลี-ชาร์ลี"
04.30 น พอดิบพอดีที่กระสุนทุกชนิดได้ยุติการยิงลงเป็นปลิดทิ้ง "นอร์แมน"ซึ่งตามปกติจะกลับไปนอนที่อุดร แต่วันนี้คงเป็นกรณีพิเศษ อุตส่าห์ค้างคืนที่ล่องแจ้ง วิทยุสอบถามสถานะการณ์จากผมด้วยความห่วงใย
"บิ๊กแมนจากนอร์แมน เหตุการณ์เป็นยังไงบ้าง ไม่เห็นคุณรายงานให้ผมทราบเลย ผมรู้แต่ว่าคุณทำลายรถถังได้ แต่ผมไม่รู้รายละเอียดมากนัก"
"ผมเพิ่งกลับลงมาจากเส้นทางบนยอดเนินกับผู้กองวิเศษและทหารอีก 15 คน ทุกๆคนเป็นคนทำลายรถถัง ไม่ใช่ผมคนเดียว พรุ่งนี้เช้า ผมจะบินไปรายงานรายละเอียดด้วยตัวเอง แล้วก็โปรดเตรียมเงินรางวัล 1500 ดอลล์ใว้เป็นรางวัลในการล่ารถถัง 2 คันเอาใว้ให้ด้วย"
ผมเบี้ยวนอร์แมนด้วยการปิดวิทยุแล้วนอนคุยกับวิเศษจนกระทั่งเช้าของวันไหม่คลืบคลานเข้ามาถึง
ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากสันเขายังไม่ทันถึงครึ่งดวง ผมก็ได้ยินเสียงหึ่งๆ ของเครื่องบินตรวจการณ์ปีกชั้นเดียวที่ทหารรับจ้างพากันเรียกอย่างติดปากว่า "ไอ้ปากหมา" ดังอยู่บนท้องฟ้า เมื่อผมแหงนหน้าขึ้นมองขึ้นไปก็เห็นมันบินอยู่สูงลิบ
คงเป็นเครื่องของ"สไปร้ท" ฝรั่งลูกครึ่งที่สนิทสนมกับผมเป็นพิเศษยิ่งกว่านักบินแอร์อเมริกาคนอื่นๆ
สไปร์ทกับผมเคยแหกตา ซีไอเอ ด้วยการบินถ่วงเวลาเอาดอลล่าร์มากินเสียแยะต่อแยะมาแล้ว แถมเวลาเมียสไปร้ท์มาเที่ยวเมืองล่องแจ้ง ไอ้ความที่มันงกเงินกลัวจะเสียชั่วโมงบิน มันก็เลยบินไปตรวจเส้นทางโฮจิมินทห์ แล้วปล่อยให้ผมพาเมียของมันเที่ยวค้างคืนหมู่บ้านแม้วซะอ่วมอรทัยไปเลย
เมียของสไปร้ทถ้าจะนับตามเกรดของน้ำมันก็เปรียบเสมือนหนึ่ง"อ็อกเทน" เราดีๆนี่เอง
ผมโดนเมียเพื่อนข่มขืน! ข่มขืนบนยอดดอยของเมือง "ปากเซ"
ผมไปเล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อ เกิดมาไม่เคยสาบถสาบาน คราวนี้ขอสาบานซักครั้งเถอะ ให้เจ้าหักคอ เมียไอ้สไปร้ทมันข่มขืนผมจริงๆ
"บิ๊กแมนจาก สไปร้ท...เปลี่ยน" ใช่แล้วครับ "ไอ้ปากหมา" เครื่องนี้เป็นของเพื่อนสนิทผมจริงๆ
ผมยกวิทยุ "HT-2" ระบบ "แอร์ ทู กราวด์" ที่แขวนอยู่ที่หน้าบังเกอร์ตอบสวนขึ้นไปทันที
"สไปร์ทจากบิ๊กแมน สวัสดีโว้ย เสือกบินมาทำไมตอนเช้าวะ บินให้ต่ำงมาหน่อยซีโว้ย ไอ้ก๊อก"
"บิ๊กแมนอย่าเพิ่งพูดเล่นโว้ย บอกพิกัดรถถังสองคันที่โดนพวกลื้อถล่มแหลกราญเมื่อคืนให้อั๊วด้วย อั๊วจะถ่ายรูปไปให้นอร์แมน ประเดี๋ยวค่อยคุยกัน"
"สไปร้ท์ ขณะนี้ลื้ออยู่ในตำแหน่ง 12 นาฬิกาของอั๊ว ลื้อจงเบนคันบังคับให้เครื่องของลื้อมาอยู่ในตำแหน่ง 11 นาฬิกา แล้วลื้อจะเห็นเอง มันกองระเกะระกะอยู่บนถนนนั่นแหละ"
"ขอบใจโว้ย แล้วอั๊วจะอัดขยายรูปขนาด 24 นิ้วให้ลื้อเป็นพิเศษหนึ่งใบ ทำงานก่อนโว้ย"
ไอ้ปากหมาเริ่มลดเพดานบินลงแล้วร่อนตีวงโฉบดูภูมิประเทศเบื้องล่างอยู่ชั่วครู่ก็บินวนเวียนอยู่ ณ ตำบล ที่รถถังทั้งสองคัน พบกับกาลพินาศ
สไปร้ท์พาเครื่องลงโฉบพื้นที่ดังกล่าว เกือบไล่เรี่ยกับยอดเนิน ผมผุดลุกผุดนั่งยืนดูความบ้าระห่ำของมันอย่างขนหัวลุก ถึงแม้จะมียอดเนินทั้งสองยอดบังวิถีกระสุนเอาใว้ แต่ลักษณะการบินแบบนั้น ก็ทำให้ผมเห็นว่า สไปร้ทเพื่อนของผมมันเสี่ยงเอาการ
มีเสียงระรัวของปืนอาก้า ดังแว่วมาตามลม ผมรีบวิทยุถามมันขึ้นไปด้วยความเป็นห่วง
"สไปร์ท เสียงปืน มีอะไรวะ"
"ไอ้หอก ยังเสือกถามใด้ ว่ามีอะไร ก็ไอ้แกวพ่อเอ็งนั่นแหละ กำลังเก็บศพพวกมันอยูพอดี พออั๊วโฉบลงไปมันก็เลยยิงสวนขึ้นมาด้วยปืนอาก้า ไม่สนว่ะ ปืนห่วยๆแบบนี้ อั๊วเคยโดนมาแยะแล้วแบบนี้”
สไปร้ทคุยฟุ้งตามภาษาคนขี้โอ่ แล้วบินดิ่งลงมายิงจรวดควัน สำหรับชี้เป้า ลงไปยังพื้นที่ดังกล่าวหนึ่งนัด มองเห็นควันพวยพุ่งขึ้นมาเป็นสาย
"บิ๊กแมนโว้ย อั้วอยากให้ลื้อขึ้นมาบินกับอั๊วชิบหายว่ะ สนุกยิ่งกว่าเมื่อครั้งอั๊วพาลื้อบินเฉียดถ้ำซำทองตั้งหลายเท่าแน่ะโว้ย รถถังเหลือแต่ซากอยู่นิดเดียว แต่ไอ้ที่นอนระเกะระกะอยู่หน้าซากรถถังนี้เป็นอะไรวะ อั๊วดูไม่ออกจริงๆ ไอ้เกลอ"
สไปร์ทพูดวิทยุท้าวความถึงความบ้าระห่ำของมัน ที่พาผมบินไปตรวจสนามบินซำทอง จนโดน ปตอ. 12.7 ยิงแพนทางจนทะลุอย่างสนุกสนานพร้อมกับซักถามผมถึงซากสัตว์ประหลาดที่กองอยู่หน้ารถถัง
"ช้าง...เพื่อน ช้างที่ทาร์ซานพาอีเจนขี่คอเดินท่อมๆในป่าเมืองแอฟริกานั่นแหละ ทั้งหมด 7 เชือก พวกมันใช้ช้างลากรถถัง อั๊วไม่รู้จะทำยังใงก็เลยต้องฆ่ามัน"
"มายก็อด ช้างจริงๆนั่นแหละโว้ย อั๊วเห็นเศษงวงของมันแล้ว กองอยู่ขอบถนนนั่นเอง ไอ้ห่ารบมาหลายสงครามแล้ว อั๊วไม่เคยเห็นมันพิเรนทร์เหมือนสงครามห่าเหวนี่เลยพับผ่า"
ในขณะที่วิทยุติดต่อกับผม สไปร้ทก็บินวนเวียนถ่ายรูปอยู่ตลอดเวลา และเสียงปืนอาร์ก้าของข้าศึกก็ยังคงยิงสวนขึ้นมาไม่ขาดระยะ
"บิ๊กแมน ลองใช้ ค.42 ยิงมาที่พิกัด 810270 สัก 6-7 นัดสิว่ะ ไอ้แกว 15 คนกำลังเก็บศพพวกมันเป็นจ้าละหวั่น มันไม่หนีอั๊วซะด้วย ไอ้ห่า มีแต่จรวดชี้เป้า ยิงลงไปพวกมันกลับยกซ่นตีนให้อั๊วซะอีก จวกมาเลย อั้วจะปรับปืนให้"
"วิเศษ" ซึ่งเข้าใจภาษาอังกฤษพอสมควร สั่งทหารรับจ้างตั้งปืน ค.4.2 แล้วปล่อยลูกสังหารออกไปทันควัน
ลูกกระสุน 4.2 ไคร้ทขึ้นท้องฟ้าแล้วพุ่งดิ่งหายลับไปยังเบื้องหลังเนินสองลูกนั้น
"บึ้ม"
กระสุนสังหารกระทบพื้นเข้าให้แล้ว เสียงสะท้อนของมัน ดังติดต่อกัน เป็นลูกคลื่นไม่น้อยกว่า 4-5 วินาทีขึ้นไป
"บิ๊กแมน ซ้าย…100 ระยะเดิม ยิงมาเร็วๆโว้ย"
สไปร้ทปรับทางปืน ค 4.2 รวดเร็วทันใจ และหมวดอาวุธหนักของกองพัน 604 ก็แสดงสมรรถภาพในการตั้งระยะปืนใด้ทันอกทันใจไม่แพ้กัน ลูกสังหาร ค 4.2 สองลูกซ้อนๆ ไดร้ทขึ้นท้องฟ้าแล้วโค้งตกลงไปเบื้องหลังเนินดังกล่าวอีกครั้ง
"บึ้ม...บึ้ม"
"พอโว้ย หล่นลงกลางกลุ่มเลย เหลืออยู่ไม่ถึง 5 คน วิ่งขี้หดตดหายเข้าไปในป่าหมดเกลี้ยงแล้ว ประเดี๋ยวอั้วจะช่วยตรวจการณ์ผลยิงให้ลื้ออีกครั้ง"
เสียงของสไปร้ท เงียบหายไปชั่วขณะ หนึ่งนาทีต่อมา ผมก็ได้ยินเสียงสไปร้ทโวยวายลั่นวิทยุ
"ของเก่าตายเท่าไหร่อั๊วไม่รู้ ซากศพมันเละเทะไปหมด ร่างกายขาดออกจากัน ไม่รู้ว่ากี่ชิ้นต่อกี่ชิ้น สดๆร้อนๆ เมื่อกี้นี้ 6 คนพอดี เอ้าเฮ้ย ยังนอนกระดุกกระดิก โงหัวขึ้นมานั่งอีกสองคนแน่ะโว้ย สงเคราะห์มันอีกลูกเถอะวะ ทิศทางเดิม ระยะเดิม"
ผมยังไม่ทันจะตอบสไปร้ท ประสาทหูของผมก็ใด้ยินเสียงดัง"ตุ้ง" ดังแว่วๆมาจากเนินสกายไลน์วัน
วิเศษถีบหน้าอกผมกระเด็นลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ในร่องสนามเพลาะ และพร้อมๆกันนั้นบริเวณใกล้ๆตัวผมก็โคลงเคลงเหมือนกับแผ่นดินไหว เสียงระเบิดที่กระหึ่มขึ้นมา ทำเอาแก้วหูของผมแทบจะพิการไปในบัดดล
อา ข้าศึกบนเนิน "ชาร์ลี-ชาร์ลี" เปิดฉากระดมยิงอาวุธหนักถล่มฐานปฏิบัติการของผม เข้าให้แล้ว กระสุนปืน ค. ที่ผมยังไม่ทราบขนาดของมันฟลุ๊คลงบนตำแหน่งที่ผมยืนอยู่พอดิบพอดี ถ้าผู้กองวิเศษไม่ถีบผมตกลงไปในหลุมเพลาะเสียก่อน ป่านนี้ ยอดจำหน่ายบัญชีของยมบาลก็จะมีรายชื่อของผมเข้าไปรวมอยู่เรียบร้อยแล้วต่อจากนั้น ข้าศึกเริ่มระดมยิงฐานของผมอย่างถี่ยิบ กระสุนของมันพลาดจากฐานของผมอย่างหวุดหวิด ไม่ตกหน้าร่องสนามเพลาะ ก็ข้ามฐานหล่นโครมไปในหุบเขา สลับกันอยู่เช่นนี้ จนกระทั่งมันหยุดยิงไปเอง ปืน ค. 4.2 ของพวกเราไม่ใด้ยิงโต้ตอบขึ้นไปแม้แต่นัดเดียว ผมขยับจะถาม ผู้กองวิเศษก็ชิงอธิบายขึ้นมาเสียก่อน
"ยิงทำไม เปลืองกระสุนเปล่าๆ บังเกอร์ของพวกมันยังกับโบกด้วยปูนซีเมนต์ สู้เก็บกระสุนเอาใว้จวกทหารราบของมันดีกว่า..."
"บิ๊กแมนจากสไปร้ท โดนลูกยาวเข้าแล้วหรือยังใงพวก"
วิทยุ "HT-2" ซึ่งกลิ้งอยู่ข้างๆ ส่งเสียงลั่น
ผมเอื้อมมือหยิบวิทยุขึ้นมา แล้วค่อยๆขยับขึ้นมานั่งพิงแนวกระสอบทรายแหงนหน้าดู "ไอ้ปากหมา" ซึ่งขณะนี้บินอยู่เหนือฐานของผมพอดี
"เออว่ะ เกือบจอด ถ้าไม่ใด้ผู้กองวิเศษถีบลงหลุม ป่านนี้อั๊ว "เซย์ ฮัลโหล" กับพระเยซูของลื้อแล้ว”
"อั๊วเสร็จงานแล้วโว้ย ล่อซะเกือบ 4 ชั่วโมง สบายองค์ไปแล้ว อ้อ เมียอั้วเค้าอยากจะมาเที่ยวนาซูอีกว่ะ ถ้าลื้อว่างอั๊วอยากให้ลื้อช่วยพาเมียอั้วเที่ยวซะหน่อย ...อั๊วไปละโว้ย"
หาเหามาใส่กะบาลผมอีกแล้วไหมล่ะ ดันเสือกให้ผมพาเมียของมันไปเที่ยวค้างคืนค้างแรมอีกจนใด้
ประเพณีฝรั่งนี่มันก็แปลกเหลือหลายนะครับ ช่างไม่ถือสากันบ้างเลย ถ้าเป็นธรรมเนียมของไทย ป่านนี้บิ๊กแมนอาจจะโดนเป่าดับไปแล้วก็ได้ใช่ไหม
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11755 เมื่อ: กันยายน 02, 2015, 12:40:56 PM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา คนเราก็เหมือนสะพาน มีขึ้นมีลง มีสูงมาต่ำ สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน"สมิง วังม่วง

วันชโลมเลือด ตอนที่ 2 ผลงานของ สยมภู ทศพล
เครื่องบินตรวจการณ์ของสไปร้ท บินกลับไปสนามบินนาซูแล้ว ตามปกติเครื่องบินตรวจการณ์และเครื่องบินโจมตีทุกชนิดจะใช้สนามบินล่องแจ้งเป็นที่ขึ้นลงประจำ
เนื่องจากเนิน “สกายไลน์-ทู” บางส่วนโดนทหารเวียดนามเหนือจู่โจมเข้ายึด แล้วแอบลำเลียงอาวุธหนักขึ้นมาตั้งจังก้าถล่มสนามบินวอดวายเป็นแถบๆ
เครื่องบินทุกชนิดก็เลยได้รับการขนย้ายไปยังนาซู ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาน 25 นาทีบิน
ผมยกนาฬิกาข้นมาดู 10.30 พอดิบพอดี แทบไม่น่าเชื่อเลย ที่เวลามันผ่านไปรวดเร็วถึงขนาดนั้น สี่ชั่วโมงเต็มๆที่ได้บังเกิดเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นขึ้นมาซ้อนๆกันถึงสองรายการ
ผมวิทยุเข้าถึง “เบาร์เดอ-คอนโทรล” รายงานทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างคร่าวๆ พร้อมกับขอชอร์ปเปอร์ มารับกลับล่องแจ้งในทันทีทันใด ที่รายงานสถานการณ์จบลง
ไม่ถึง 15 นาที ผมก็มองเห็นเจ้าฮิวอี้ บินลัดเลาะเนินสกายไลน์ ลิ่วเข้ามาหาผมด้วยลักษณะการบินที่สูงผิดปกติ
นักบินคงจะทราบจาก เบาว์เดอ-คอนโทรล แล้วว่า ฐานปฏิบัติการของผมเพิ่งจะโดน”ลูกยาว” ถล่มลงมาอย่างสดๆร้อนๆ ความปอดแหกทำให้นักบินเรียกหาผมลั่นวิทยุ
“บิ๊กแมน จาก โฮเต็ล-ฟอกท็อต ขณะนี้ ซิสซูเจชั่น ที่ชาร์ลี-เอ็คโค่ เป็นยังใงบ้างครับ มื่อกี้นี้ผมทราบว่า มี “อิน คัมมิ่ง” ผมไม่อยากจะพาเครื่องเสี่ยงลงไป บิ๊กแมน เดินมาขึ้นที่..ชาร์ลี..เอ็คโค่..วัน ได้ไหมครับ”
ด้วยความปอดแหกของนักบิน ทำให้ผมต้องเดินไกลขึ้นไปบนเส้นทางที่ค่อนข้างชันอีกหนึ่งกิโลเมตรเศษๆ และพื้นที่ดังกล่าวนั้นก็อับกระสุนพอที่ชอร์ปเปอร์จะบินลงมารับผมได้อย่างปลอดภัย
ไม่ถึงครี่งชั่วโมง ผมก็มานั่งรายงานสถานการณ์ที่เกิดข้นกับนอร์แมน เจ้านายของผมฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
“คำคม” ซึ่งนั่งฟังอยู่ใกล้ๆออกความเห็นขึ้นมาอย่างน่าเลื่อมใส
“ตามคำรายงานของบิ๊กแมน ทำให้ผมประเมินสถานการณ์ใด้ว่า ขณะนี้บนเนิน “ชาร์ลี-ชาร์ลี” จะต้องเป็นขุมกำลังของมันอย่างแน่นอน บังเกอร์ที่สร้างขึ้นอย่างแข็งแรง สามารถทนต่ออาวุธหนักได้เกือบทุกชนิด กว่ากองพันของผมจะบุกตะลุยขึ้นไปได้ ก็คงจะสูญเสียมิใช่น้อย ผมอยากจะขอ “บี-52” ถล่มมันซัก 2 เที่ยว ถล่มโดยมิต้องบอกให้ BC.604 รู้ตัว ผมเชื่อฝีมือนักบิน บี-52 และเชื่ออย่างเด็ดขาดว่า ทหารที่ฐาน ชาร์ลี-เอ็คโค่ จะไม่สูญเสียแม้แต่คนเดียว
“คุณพูดของคุณแบบนั้น ก็มีเหตุผลที่ควรจะถูกต้องอยู่บ้าง แต่ผมคิดอีกแบบหน่งครับ..ผู้พัน ตามธรรมดา ผบ.พันทุกคนย่อมเล็งเห็นประโยชน์ของกองพันตัวเองมากกว่าสิ่งอื่นใด โดยไม่ยอมนึกถึงความปลอดภัยของกองพันอื่นๆ แผนของคุณเป็นแผนที่เห็นแก่ตัว ความปลอดภัยของฐาน ชาร์ลี-เอ็คโค่ ซึ่งอยู่ห่างจากฐานของข้าศึกไม่ถึง 2 กิโลเมตร จะมีอะไรเป็นหลักประกัน อำนาจระเบิดขนาด 750 ปอนด์ที่ทิ้งลงมาจาก บี-52 ถึงแม้มันจะไม่พลาดจากเป้าหมายก็ตาม แต่แรงระเบิดอันมหาศาลของมัน อาจจะถล่มบังเกอร์ของฐาน ชาร์ลี-เอ็คโค่ ราบเป็นหน้ากลองก็ใด้ ถ้าทหารรับจ้างของพวกคุณเกิดตายขึ้นมาเพราะแผน ดังนี้...ผมเห็นจะต้องถูกส่งกลับแน่ๆ ..ผมว่าเรามาหาทางออกที่ดีกว่านี้ดีกว่าครับผู้พัน”
นอร์แมน ซึ่งเคยโดน คำคม เชือดเฉือนมาแล้ว เปิดฉากสวดแผนการใช้ บี-52 ถล่มยอดเนินสกายไลน์-วันของคำคม ด้วยคำพูดที่แสบเข้าไปถึงกระดองใจ
คำคมหัวเราะอย่างอารมณ์เย็นชาพร้อมกับสวนคำพูดขึ้นมาอย่างยืดยาวด้วยสำนวนที่ผมซึ้งเข้าไปทุกขุมขน...
“ถูกต้อง นอร์แมน ผบ.พันทุกคนจะต้องเล็งเห็นความปลอดภัยและผลประโยชน์ของกองพันตัวเองก่อนสิ่งอื่นใด...สงครามก็คือสงคราม คุณมอบหน้าที่ให้กองพันผม เข้าตีเนินสกายไลน์-วัน คุณก็เคยเป็นนายทหารผู้เจนศึกมาแล้ว..นอร์แมน คุณย่อมรู้ว่ายุทธวิธีของการเข้าตี มันจะต้องปูพรมหรือถล่มพื้นที่ดังกล่าวให้ราบเป็นหน้ากลองเสียก่อน แล้วจึงส่งทหารราบไปบดขยี้ในโอกาสต่อไป หน้าที่สนับสนุนการเข้าตีดังกล่าวเป็นหน้าที่ของคุณ ซึ่งเป็นกองบัญชาการส่วนหลัง แต่ผมขอถามคุณหน่อยเถอะครับว่า ขณะนี่คุณมีอาวุธหนักชนิดใดมาสนับสนุนกองพันของผมบ้าง โปรดอย่าตอบว่าคุณจะสนับสนุนผมด้วยปืนใหญ่ขนสด 155มม. ที่ตั้งอยู่บนฐาน โฮเต็ล-แทงโก้ โน่นเป็นอันขาด ไอ้ปืนใหญ่เส็งเคร็งเก่าคร่ำคร่า ลำกล้องปืนหลวมโคลงเคลงของเหลือใช้สงครามที่พวกคุณมอบให้กับพวกเรานั้น มันก็เศษเหล็กที่บังเอิญยิงใด้ดีๆนี่เอง หมดสมรรถภาพ ยิงแต่ละนัดตกห่างที่หมายเกือบครึ่งกิโล..คุณว่าแผนของผมเห็นแก่ตัว ผมยอมรับ นอร์แมนที่รัก ผมจะต่อรองกับคุณเป็นครั้งสุดท้าย และถ้าครั้งนี้คุณไม่โอเค ผมก็จะบินกลับเมืองไทยทันที”
คำคมหยุดพูด เขาเอื้มมือไปหยิบแก้วน้ำเย็นที่วางอยู่ตรงหน้าขึ้นไปดื่ม
ผมแอบสังเกตดูสีหน้าของทุกคนในห้องประชุมก็ปรากฏว่าแทบทุกคนมีแวววิตกกังวลต่อความตรึงเครียดที่กำลังจะก่อตัวขึ้นจากคารมของยอดเสนาธิการทั้งสอง
“ผมจะพาทหาร BC 617 เคลื่อนที่เข้าไปที่หมู่บ้าน 50 หลัง ซึ่งหมู่บ้านดังกล่าวอยู่ห่างจาก ยอดเนินชาร์ลี-กอล์ฟ ไม่ถึง 1 กิโลเมตรจากนั้นผมก็จะพาทหารขึ้นตีฉาบฉวย 2 ครั้ง เพื่อประเมินกำลังและขีดความสามารถของอาวุธหนักข้าศึก ต่อจากนั้นผมก็จะถอนตัวกลับลงมาที่หมู่บ้าน 50 หลัง แล้วตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ที่นั่น ก่อนการเข้าตีจริง ผมขอ บี-52 ถล่มยอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี และ ชาร์ลี-กอล์ฟ เป็นจำนวนสองเที่ยว สิ่งสุดท้ายที่ผมอยากให้คุณเก็บไปนอนคิดเป็นการบ้านว่า ระหว่างฐาน ชาร์ลี-เอ็คโค่ ซึ่งอยู่ห่างจากเนินสกายไลน์-วันเกือบสองกิโลเมตรกับฐานของผมซึ่งอยู่ที่หมู่บ้าน 5 หลัง ใครจะเสี่ยงตายมากกว่ากัน”
คำคม ยอดเสนาธิการทิ้งไพ่ตายด้วยการวางแผนเอากองพันของตัวเองเดิมพันเสี่ยงอันตรายจาก บี-52 ร่วมกับ BC.604 ท่ามกลางความตื่นตะลึงของผู้เข้าร่วมประชุม
“มันเสี่ยงอันตรายและกองพันของผู้พันอาจจะได้รับการสูญเสียหมดทั้งกองพันนะครับ...ผู้พัน”
นอร์แมนกล่าวขึ้นมาด้วยเสียงอ่อยๆแบบยอมจำนน
“สงครามนี่ครับ...ทุกคนต้องเสี่ยงกันทั้งนั้น ไม่ว่าคุณหรือผม ส่วนหน้าหรือส่วนหลังก็มีสิทธิ์ตายเท่าๆกัน และจากเหตุผลดังกล่าว ผมคิดว่าคุณคงไม่ปฏิเสธแผนของผมใช่ไหมครับ? ”
“โอเคผู้พัน นับว่าเป็นครั้งที่สองที่ผมยอมจำนนผู้พัน ยอมจำนนด้วยเหตุผลที่ผมไม่มีทางปฏิเสธได้ หมายกำหนดการณ์ทิ้งระเบิดของ บี-52 ผมจะปรึกษากับ “ดาวขาว” (นายพลวังเปา) อีกครั้ง”
นอร์แมนตัดบทแล้วเดินออกจากห้องประชุมอย่างฉุนฉียว
ตามปกติแล้ว นายทหารไทยทุกคนที่ทำงานร่วมกับ ซีไอเอ มักจะเกรงใจนอร์แมนกันทั้งนั้น แผนการต่างๆไม่ว่าจะเป็นแผนปฏิบัติการยุทธ แผนการเคลื่อนย้าย ส่วนมากมักจะถูกนอร์แมนกำหนดขึ้นมาแต่ผู้เดียวเท่านั้น นายทหารไทยเหล่านั้นจึงเปรียบเสมือนช้างเท้าหลัง
เมื่อเกิดมีคนจริงข้นมา..นอร์แมนก็เลยบังเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวจนสังเกตได้ชัด
คำคมทิ้งคำพูด ที่ซึ้งเข้าไปในหัวใจของ “ล่าม” ทุกๆคนอีกครั้งก่อนที่จะจบการประชุมที่ยาวนาน
“พวกคุณอย่านึกว่าการเป็นลูกจ้างของฝรั่งแล้วจะต้องปฏิบัติตามแผนของมันเสมอไป นอร์แมนเป็นนายจ้างที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากที่สุด นอร์แมนเป็นนายจ้างที่มักเสือกไสให้ลูกน้องออกไปพบกับอันตราย โดยไม่ให้ลูกน้องมีโอกาสรู้ตัวอยู่เสมอ จงคัดค้านเมื่อพวกคุณเห็นว่าแผนปฏิบัติดังกล่าว ไม่ชอบด้วยเหตุผล ผมรู้ไต๋ของมันดีว่า มันต้องง้อพวกเราอยู่วันยังค่ำ ลองพวกคุณนัดกันลาออกซีครับ ไอ้นอร์แมนจะต้องเต้นเป็นเจ้าเข้าเลยทีเดียว”
ผมคล้อยตามคำพูดของคำคมตั้งแต่ได้ฟังท่านพูดในวันแรกที่ร่วมประชุมกันแล้ว สำนวนการพูดที่เชือดเฉือน มีทั้งด่า ทั้งยกยอ และตลบหลังด้วยการสรุป จนกระทั่งนอร์แมนต้องตกอยู่ในภาวะที่ยอมจำนนอยู่ในที
แต่เมื่อมาคิดดูอีกที คิดในแง่ของมุมกลับ ผมคิดว่านอร์แมนไม่ผิดหรอกครับ พวกผมต่างหากที่เสือกไปหลงใหลในกลิ่นอันหอมหวนของดอลล่าร์ของมันที่ประเคนให้อย่างท่วมท้น
ทั้งๆที่รู้ว่าแผนการดังกล่าวไม่มีทางจะเป็นไปได้ แผนดังกล่าวมีโอกาสตายเกือบครึ่งต่อครึ่งและโอกาสที่จะปฏิเสธก็มีตลอดเวลา
แต่พวกผมก็ปฏิเสธไม่ใด้ซักทีสิน่า ก็เพราะเงิน เงินตัวเดียวเท่านั้น แล้วผมจะไปด่านอร์แมนได้อย่างไรกัน ใช่ไหมครับ
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11756 เมื่อ: กันยายน 03, 2015, 10:18:44 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีวิตคนก็เหมือนสะพานมีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง

วันชโลมเลือด ตอนที่ 3 ผลงานของ สยมภู ทศพล
แผนการบุกเข้าตียอดเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี เริ่มขึ้นแล้ว คำคมเคลื่อนย้ายกองพัน 617 จากฐานปฏิบัติการชั่วคราว ณ โรงเรียนผบ.ร้อยทหารแม้วซึ่งตั้งอยู่บริเวณหัวสนามบินในทันทีทันใดที่นอร์แมนยอมรับแผนการของเขา อาวุธยุทโธปกรณ์ทุกชิ้น ทหารรับจ้างต้องแบกไปด้วยตนเองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ปรส. 57 ค.60 ค.81 และลูกกระสุนที่หนักอ้ง จะไม่มีการสนับสนุนด้วยชอปเปอร์เด็ดขาด แม้กระทั่งเสบียงอาหารซึ่งตามปกติในรอบ 3 วัน ชอร์ปเปอร์จะต้องบินไปส่งอาหารสดให้แก่กองพันเป็นประจำ เพื่ออำนวยความสะดวกและตัดปัญหายุ่งยาก คำคมสั่งตัดรายการอาหารสดออกแล้วจ่ายเรชั่น และอาหารแห้งแทนในอัตรา 5 วัน
“กองพันของผมจะเคลื่อนย้ายเข้าหาข้าศึกโดยเงียบเชียบที่สุด จะไม่มีการโวยวายทางวิทยุ จะไม่มีขบวนชอร์ปเปอร์บินสนับสนุนอย่างอึกทึกครึกโครมเหมือนอย่างที่แล้วๆมาอย่างเด็ดขาด นั่นมันไม่ใช่การเข้าตีที่ถูกต้อง นั่นมันเป็นการทัศนาจรต่างหาก ยิ่งเงียบเท่าไหร่ กองพันของผมก็จะปลอดจากหน่วยลาดตระเวนและหน่วยซุ่มโจมตีของมันมากเท่านั้น”
มันเป็นการเคลื่อนย้ายกองพันเข้าตีที่แปลกประหลาดและแหวกแนวที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาในสมรภูมิลาว ทหารรับจ้างทุกคนหอบหิ้วสัมภาระอีรุงตุงนัง แม้กระทั่งคำคมเองก็ยังต้องแบกสัมภาระและของใช้ส่วนตัว ด้วยตัวของท่านเองทั้งสิ้น แม้ในขนาดเดินทาง คำคมก็มักจะพาตัวเองเข้าไปสอบถามและพูดคุยกับทหารรับจ้างอย่างใกล้ชิด ถ้อยคำพูดที่ผู้ใต้บังคับบัญชาฟังแล้วรื่นหูอิ่มเอิบใจยิ่งกว่า ผบ.พันใดๆที่ผ่านมา
เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่คำคมปฏิบัติหน้าที่ในกองพัน 617 คำคมก็สามารถเอาชนะจิตใจที่เหี้ยมโหดและหยาบกระด้างของทหารรับจ้างเดนคนเหล่านั้นได้อย่างราบคาบ วิทยุถูกงดใช้โดยเด็ดขาด พลนำสารคือสิ่งที่จำเป็นที่สุดในกรณีดังกล่าว บางครั้งคำคมก็มักจะเป็นฝ่ายเดินเข้ามาส่งข่าวด้วยตัวเขาเอง และนี่คือจิตวิทยาอย่างง่ายๆ ในการครองจิตใจลูกน้องในภาวะสงคราม การเคลื่อนที่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า ทหารรับจ้างทุกคนใช้กิ่งไม้สดพรางตัวเองและอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างแนบเนียน โลหะสะท้อนแสงถูกทาด้วยสีดำ แม้กระทั่งสิ่งที่เป็นโลหะบนเสื้อผ้าของทหารรับจ้างก็ถูกปลดออกจนหมดสิ้น
“เดินช้า ระมัดระวังอย่าให้เกิดเสียงในขณะเดินทางเป็นอันขาด สิ่งเล็กๆน้อยๆเหล่านี้จะทำให้การเคลื่อนที่ของพวกเรารอดพ้นจากการตรวจการณ์ของพวกมันอย่างสบาย ทนเอาหน่อย ไอ้น้องไม่ถึง 3 วัน เราก็เหยียบจมูกพวกมันแล้ว”
คำคมมักจะพูดปลอบใจลูกน้องอยู่เสมอๆ
การเคลื่อนที่ดำเนินต่อไปอย่างเชื่องช้า บางครั้งแถวทหารที่ยาวเหยียดก็ต้องหยุดโดยกะทันหันเมื่อหน่วยลาดตระเวนส่งสัญญาณเป็นเสียงนกดังกังวานออกมาจากป่าทึบเบื้องหน้า อันเป็นอาณัติสัญญาณว่า ได้ตรวจพบสิ่งผิดปกติในพื้นที่ดังกล่าวเข้าให้แล้ว
ทหารรับจ้างทุกคนล้มตัวลงหมอบนิ่ง สงบเงียบ รอการตรวจค้นจากหน่วยลาดตระเวนจนกระทั่งใด้ยินสัญญาณปลอดภัยดังขึ้นอีกครั้ง จึงเริ่มปรับขบวนเคลื่อนที่ต่อไปด้วยความระมัดระวัง
เงียบ เงียบ จนแทบจะไม่มีเสียงพูดคุยกันในระหว่างเดินทาง มันเป็นการเข้าตีที่มีวินัยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในสมรภูมิที่ห่าเหวนี้
“ไม่ถึง 3 วัน เราก็จะเหยียบจมูกของพวกมันแล้ว”
ครับ คำพูดอันเป็นคำมั่นสัญญาที่คำคมมักจะพูดให้ลูกน้องของเขาฟังอยู่เสมอๆ และผมก็เชื่อซะด้วยว่า มันจะต้องเป็นความจริงขึ้นมาอย่างแน่นอน อีกไม่นานเกินรอเราคงจะได้เห็นกัน
ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะพอดิบพอดี ผมกับคำคมเดินเรียงเดี่ยวตามแถวทหารซ่งเคลื่อนที่อย่างช้าๆตามเส้นทางเดินแคบๆ ที่พวกชาวแม้วเคยใช้เป็นเส้นทางคมนาคมติดต่อกับเมืองล่องแจ้งเป็นประจำ มันเป็นเส้นทางที่เคยใช้ ขนฝิ่นจากหมู่บ้าน “เถิดเทิง”เข้าสู่ล่องแจ้งโดยเฉพาะ
เมืองเถิดเทิง เป็นเมืองขนาดเล็ก ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองล่องแจ้ง จากลักษณะของตัวเมืองที่ผมเห็นมาแล้ว มันควรจะเรียกว่า บ้านเถิดเทิง เสียมากกว่า เพราะทั่วทั้งเมืองมีประชาชนเพียง 500 คนเท่านั้น มีบ้านสัปปะรังเคไม่ถึง 100 หลัง ทั่วทั้งหมู่บ้านอาชีพหลักก็คือปลูกฝิ่นขาย การติดต่อกับโลกภายนอกก็คือทางเท้าที่ทุรกันดาร และทางอากาศก็มีวิธีเดียวคือใช้ชอร์ปเปอร์ลอยตัวอยู่บนอากาศแล้วใช้บันไดเชือกไต่ลงมาเท่านั้น พื้นที่ของเมืองเถิดเทิง ไม่มีที่ราบ ที่ตั้งของบ้านเถิดเทิงอยู่บนสันเขา ที่เอียงเกือบ 70 องศา
ไร่ฝิ่นถูกปลูกลดหลั่นอยู่บนสันเขาเหล่านั้นมองดูสุดลูกหูลูกตา ภัยพิบัติจากสงคราม ทำให้ประชาชนจากบ้านเถิดเทิงอพยพเข้าเมืองล่องแจ้งจนหมดสิ้น และเมื่อล่องแจ้งถูกโจมตีจากอาวุธหนักของข้าศึก ประชาชนเหล่านี้ ก็อพยพต่อไปยังเมืองนาซู พร้อมๆกับทหารกองพัน 616 ซึ่งเพิ่งจะแตกลงมาจากสกายไลน์-วัน
ทหารเวียดนามเหนือ ที่ “เกาะ” ชาวแม้วมาจากบ้าน “เถิดเทิง” เข้ามาผสมอยู่ในขบวนอพยพอย่างแนบเนียน จนทำให้เกิดการฆ่ากันอย่างวินาศสันตะโรมาแล้ว ณ เส้นทางที่สูงชัน ก่อนจะถึงแม่น้ำงึม (พฤติกรรมตอนละเลงเลือดที่แม่น้ำงึม) และเหตุการณ์ละเลงเลือดดังกล่าว ก็มีตัวผมเองร่วมอยู่ด้วยตลอดเวลา
นึกถึงวีรกรรมที่ชาวแม้วอพยพได้สร้างขึ้นเมื่อครั้งเกิดศึกประจัญบานแล้ว ทำให้ผมอยากจะเข้าไปคารวะถิ่นฐานบ้านเกิดของชาวแม้วผู้กล้าหาญเหล่านี้ขึ้นมาทันที
บ้นเถิดเทิง ตั้งอยู่ระหว่างล่องแจ้งกับเนินสกายไลน์วัน จากข่าวกรองที่เชื่อถือใด้ ขณะนี้บ้านเถิดเทิง กลายเป็นปราการด่านหน้าของทหารเวียดนามเหนือไปเสียแล้ว
และเส้นทางที่จะผ่านขึ้นเนิน สกายไลน์-วัน ก็จำเพาะเจาะจงจะต้องเดินผ่านบ้านเถิดเทิงซะด้วย
อะไรมันจะเกิดขึ้น เห็นทีต้องให้ยมบาลช่วยตอบละกระมังครับ
ถัดจากไร่ฝิ่น ขึ้นไปเป็นยอดเขาที่มีลักษณะแปลกที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา ยอดเขาดังกล่าวแหลมเปี้ยบเหมือนกับส่วนบนสุดของฝาชี และพื้นที่ยอดเขาดังกล่าว ก็มีเพียง 10 ตารางเมตรเท่านั้น
มันเป็นยอดเขามรณะ ที่ผมจะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป
16.30 น. คำคมก็สั่งให้ทหารหยุดพักผ่อนประจำชั่วโมง ณ บริเวณป่าทึบ ข้างเส้นทางขนฝิ่นนั่นเอง
ทหารรับจ้างกระจายกำลังออกจากเส้นทางเดินอย่างเงียบเชียบ แล้วแฝงกายเข้าไปอยู่ในป่าทึบสงบนิ่ง ระแวดระวังต่อสิ่งผิดปกติรอบๆข้างด้วยอาการระมัดระวังอย่างเต็มที่
ชุดลาดตระเวนเริ่มเคลื่อนที่ออกเคลียร์เส้นทางเบื้องหน้า
ไม่ถึง 15 นาที ชุดลาดตระเวนสองคนก็กระหืดกระหอบเข้ามารายงานคำคมด้วยท่าทางตื่นเต้น
“ผู้พันครับ เจอะผ้าพันแข้งของทหารเวียดนามเหนือ อยู่ที่หุบร่องน้ำ ห่างจากเส้นทางนี้ขึ้นไปประมาณ 400 เมตร หมู่สมพรกำลังตรวจขึ้นไปตามบริเวณต้นน้ำแล้วครับ”
คำคมหยิบแผนที่ยุทธการออกมาวางทาบลงไปบนพื้นดิน อ่านพิกัดอยู่ชั่วครู่ก็พึมพำออกมาเหมือนจะพูดกับตัวเอง
“หุบร่องน้ำอยู่ห่างจากบ้านเถิดเทิงเกือบ 3 กิโลเมตร ไอ้เรื่องที่ผ้าพันแข้งของมันจะลอยตามน้ำมาไกลถึงขนาดนี้เป็นไปไม่ได้ ไอ้น้องสั่งทหารทุกคนพักแรมอยู่ที่ ไม่ต้องขุดหลุมเพาะ ห้ามตัดต้นไม้ทำเต้นท์สนามโดยเด็ดขาด ให้ทุกคนช่วยตัวเอง วางแนวอย่างระมัดระวังอย่าให้เกิดเสียงดัง ไฟฟืนห้ามเด็ดขาด บุหรี่ให้คลุมโปงสูบในผ้าห่ม ระวังหน่อยไอ้น้อง เงียบเท่าไหร่ก็ปลอดภัยเท่านั้น”
สามสี่ประโยคสุดท้าย คำคมหันไปกำชับ “บุญนาม แม้นเดช” พนักงานรักษาประจำกองพันซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยความรอบคอบ แล้วหันมาเอ่ยชวนผมอีกครั้ง “บิ๊กแมน ไปดูหุบร่องน้ำกับผมหน่อยครับ”
ผม คำคม และทหารคุ้มกันอีก 5 คน เดินเรียงเดี่ยวตามชุดลาดตระเวนไปอย่างรีบเร่ง เส้นทางเดินถูกเคลียร์มาก่อนแล้วจากชุดลาดตระเวณ ทำให้พวกผมเคลื่อนที่ด้วยความสบายอกสบายใจยิ่งกว่าทุกครั้งตลอดระยะทาง หัวหน้าชุดลาดตระเวนได้ทิ้งทหารเอาไว้เป็นจุดๆ จุดละ 2 คน เพื่อทำหน้าที่เป็นกองระวังหลังป้องกันการลอบเข้าตลบหลังของข้าศึก ซึ่งอาจจะบังเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ในภาวะการณ์ที่ไม่น่าไว้วางใจเช่นนี้ อาณัติสัญญาณ เสียงนกร้องขานรับกันอยู่ตลอดเวลา ไม่ถึง 10 นาที พวกผมก็เคลื่อนที่มาถึงหุบร่องน้ำ ซึ่งปรากฏว่าอยู่ลึกจากเส้นทางขนฝิ่นเข้าไปทางขวามือเกือบ 40 เมตร
หุบค่อนข้างตื้น น้ำใสแจ๋วจนกระทั่งมองเห็นพื้นทรายอย่างถนัดชัดเจนทหารรับจ้าง 8 คน ยืนกระจัดกระจายคุ้มกันพื้นที่ดังกล่าวเอาไว้อย่างระแวดระวัง
คำคมปราดเข้าไปนั่งคลุกเข่าอยู่ที่ริมหุบร่องน้ำ หัวหน้าชุดลาดตระเวนที่เพิ่งกลับจากการสำรวจต้นน้ำ เดินตรงเข้ามาสมทบ เขายื่นสิ่งหนึ่งที่ถืออยู่ในมือให้คำคม แล้วกระซิบออกมาเบาๆ
“ผมเจอะเศษขนมโก๋หล่นเรี่ยราดห่างจากจุดนี่ขึ้นไปประมาน 100 เมตร จากรอยเท้า ผมคิดว่าพวกมันมีประมาณ 5 คน และที่บริเวณหุบร่องน้ำ มีรอยย่ำเท้าเฉอะแฉะไปหมด ผมคิดว่าพวกมันคงจะอาบน้ำหรือไม่ก็ข้ามไปฝั่งโน้น นี่ครับ ขนมโก๋”
คำคมเอื้อมมือรับเศษขนมโก๋ที่ถูกบิทิ้งเอาใว้เกือบครึ่งอันขึ้นมาตรวจดุอย่างพิจารณา แล้วใช้ปากกระบอกปืน M-16 เกี่ยวเศษผ้าพันแข้งสีเขียวอ่อนขึ้นมาวางบนพื้นด้วยความระมัดระวัง
“ชัด...ไอ้น้อง...ของใหม่ๆทั้งนั้น ชุดลาดตระเวนของมันแน่ๆ อั้วคิดว่า ขณะนี้พวกมันคงจะข้ามไปฝั่งโน้นมากกว่า และถ้าอั้วเดาไม่ผิด ป่านนี้พวกมันคงจะยังไม่ข้ามกลับมาแน่ๆ สมพรอั้วมอบหน้าที่ให้ลื้อประกบไอ้แกวชุดนี้ อยู่ในบริเวณที่เจอะขนมโก๋โน่น ... ถ้าเหตุการณ์อำนวย ลื้อจะเกาะพวกมันเข้าไปในบ้านเถิดเทิงก็ได้ พรุ่งนี้พบกันที่พิกัด 788 936 อย่าลืมลื้อขาดการติดต่อกับหน่วยเหนือตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ปฏิบัติ ไอ้น้อง”
ผมกับคำคม และทหารคุ้มกันเดินทางกลับที่พักแรม
“สิบเอกสมพร อ่ำดิน” ลูกน้องคู่ใจของคำคม แบ่งชุดลาดตระเวนกลับ พร้อมๆกับพวกผม 6 คน ส่วนตัวเขาเองกับลูกน้องอีก 2 คนเคลื่อนที่หายลับเข้าไปยังเส้นทางที่รกรุงรังเบื้องหน้าด้วยลักษณะท่าทางที่ปราศจากอาการกริ่งเกรงใดๆทั้งสิ้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 03, 2015, 10:20:37 AM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11757 เมื่อ: กันยายน 03, 2015, 03:06:43 PM »

อัพเดตราคาปืนใหม่และกระสุน เดือนสิง-กันยา 2558 http://2013.gun.in.th/index.php?topic=57739.0 (สมัครสมาชิกใหม่)
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11758 เมื่อ: กันยายน 04, 2015, 10:29:33 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือแค่ฟังคนอื่นเขามา ชีวิตคนเราก็เหมือนสะพาน มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง

วันชโลมเลือด ตอนที่ 4 ผลงานของสยมภู ทศพล
คำคมกล่าวขวัญถึงกิตติศัพท์ของหมู่”สมพร อ่ำนาดิน” ให้ผมฟังด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจ
“ลูกน้องคนนี้ของผมไว้ใจได้ มันผ่านหลักสูตรลาดตระเวนระยะไกลมาแล้ว พอมันรู้ว่าผมจะบินมาล่องแจ้ง มันมานอนเฝ้าหัวบันไดของผมทั้งคืน ตื๊อผมจนกระทั่งผมใจอ่อนต้องพามันมาด้วย นิสัยเสียอย่างเดียว ชอบฆ่าคนโดยไม่มีเหตุผล นักเลงดังๆ โดนมันลากไปเชือดคอทิ้งหลายต่อหลายคนแล้ว ส่วนดีของมันก็คือ กล้า บ้าบิ่นเหมือนกับไม่ใช่คน”
ดวงอาทิตย์หายลับไปตั้งนานแล้ว ความมืดจู่โจมเข้ามาเหมือนติดปีกบิน ความเงียบสงัดและความวังเวงครอบคลุมพื้นที่ดังกล่าวเอาไว้จนหมดสิ้น ผมกับคำคมนั่งคุยกันเบาๆอยู่ ณ บริเวณโคนต้นมะยมป่า ที่สูงทมึนโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางพืชล้มลุกที่หนาทึบนั้น
คำคมขอตัวไปทำธุรกิจส่วนตัว ส่วนผมนั่งทำความสะอาดปืนอยู่ ณ ที่เดิม ชั่วอึดใจผมก็ได้ยินคำคมสวดมน ด้วยคาถาบท “ชินบัญชร” อันศักสิทธิ์ของสมเด็จวัดระฆัง ด้วยความคล่องแคล่ว โดยไม่มีติดขัดแม้แต่นิดเดียวผมเอนกายลงหนุนเป้สนาม ความคิดที่พุ่งขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วนก็คือ ความเป็นห่วงชุดลาดตระเวนอย่างจับจิตจับใจ
หมู่สมพร อ่ำนาดิน เป็นนักรบอาชีพที่ไม่ใด้รับเงิน โอเวอร์-ไทม์ จาก ซีไอเอ เหมือนหยั่งผม เงินเดือน-เดือนหนึ่งๆของเขาก็ได้จากต้นสังกัดประมาน 1,500 บาท บวกกับเงิน บก.333 อีก 1,800 บาท รวมเบี้ยเลี้ยงและโบนัส เมื่อครบภารกิจเงินกำไรค่าข้าว ปีหนึ่งๆเขามีรายได้เพียง สามหมื่นกว่าบาทเท่านั้นเอง เมื่อเทียบกับเงินเดือนของผมแล้ว มันช่างห่างไกลกันเหลือเกิน ผมทำงานเพียงสามเดือน ก็เท่ากับหมู่สมพรทำงานทั้งปี แต่เมื่อมาเทียบกันถึง”งาน”ที่หมู่สมพรกำลังปฏิบัติอยู่ในขณะนี้ ผมอดที่จะบังเกิดความละอายแก่ใจไม่ได้
หมู่สมพร กระทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาให้กับกองพัน 617 อย่างแท้จริง แผนการของคำคมที่สั่งให้ หมู่สมพร คอยประกบชุดลาดตระเวณ ของทหารเวียดนามเหนือเสมือนหนึ่งเป็นแผนการที่ยิงกระสุนนัดเดียว แล้วได้นกถึงสองตัว
ชุดลาดตระเวนของเวียดนามเหนือที่จะออกจากบ้านเถิดเทิงจะต้องโดนเกาะตัวแจทุกขณะ กองพัน 617 จะต้องมีโอกาสล่วงรู้การเคลื่อนไหวล่วงหน้าของข้าศึกอยู่เสมอ และยิ่งไปกว่านั้น หมู่สมพรก็ยังทำหน้าที่สังเกตความเคลื่อนไหวภายในบ้านเถิดเทิงได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกด้วย ด้วยการวางแผนอย่างรัดกุมและแยบยลจากเสนาธิการ มันสมอง”คอมพิวเตอร์” ทำให้กองพัน 617 “ปลอด”จากการรบกวนของข้าศึกตลอดทั้งคืน
ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น กองพัน 617 ก็พร้อมที่จะออกเดินทาง
ร่องรอยต่างๆที่ปรากฏอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวถูกตบแต่งให้อยู่ในสภาพเดิม แม้กระทั่งกิ่งไม้ที่หักอย่างสดๆร้อนๆก็ต้องตบแต่งดัดแปลงด้วยการใช้โคลนทาปกปิดรอยฉีกขาดเอาไว้อย่างแนบเนียน
เศษกระดาษห่อ เรชั่น และเศษอาหารถูกฝังอย่างมิดชิด แล้วพรางด้วยกิ่งไม้จนสังเกตแทบจะไม่เห็นความผิดปกติใดๆทั้งสิ้น
06.30 น. BC 617 ก็เริ่มเคลื่อนที่ออกจากจุดพักแรม ที่หมายคือ พิกัด 728936 อันเป็นจุดนัดพบก่อนที่จะเข้าตีบ้านเถิดเทิงในโอกาสต่อไป
เมื่อส่วนหน้าสุดของกองพันผม เคลื่อนที่มาถึงจุดที่หมู่สมพรเจอะเศษขนมโก๋ ก็ได้พบกับร่องรอยที่หมู่สมพรทำอาณัติสัญญาณทิ้งเอาไว้ด้วยการหักกิ่งไม้วางเอาไว้บนก้อนหินข้างๆทาง
ปลายกิ่งไม้ ที่ถูกหักชี้ทิศทางไปทางทิศตะวันออก อันเป็นทิศทางที่ต้องข้ามหุบร่องน้ำขึ้นไป
ชุดลาดตระเวนส่งสัญญาณให้กองพันของผมหยุดการเคลื่อนที่ คำคมซึ่งสับเปลี่ยนข้นไปอยู่กองร้อย 3 ซึ่งเป็นกองร้อยหัวหอก รีบขึ้นไปสมทบอย่างรวดเร็ว
“ขณะนี้ชุดลาดตระเวณของเวียตนามเหนือ ข้ามหุบนี้ขึ้นไปทางขวามือ สมพรทำเครื่องหมายเอาไว้ให้ ผมคิดว่า พวกมันจะต้องอยู่ห่างจากจุดนี้พอสมควร เพราะถาขืนอยู่ใกล้กับบริเวณนี้ ชุดลาดตระเวนของเราจะต้องเจอะกับสมพรก่อนแล้ว จากอาณัตสัญญาณของสมพรแสดงให้เห็นว่า สมพรต้องการให้พวกเราเบนออกจากเส้นทางดังกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงทหารเวียดนามเหนือ ไอ้น้อง..สั่งให้ทหารทั้งหมดเคลื่อนที่เข้าไปในป่าทึบ ล็อคเข็มทิศที่พิกัด 788936 เดี๋ยวนี้”
ชุดลาดตระเวนทั้งหมดถอนตัวกลับ ต่อจากนั้นกองพันของผมก็เลี้ยวซ้ายลงจากเส้นทางแคบๆ มุ่งหน้าเข้าไปในป่าทึบที่อยู่ข้างๆนั่นเอง มันเป็นการเดินทางที่ยากลำบากแทบเลือดตาแทบกระเด็น ความหนาทึบของป่าเสือหมอบ ทำให้ทหารรับจ้างถึงกับต้องหมอบลงไปกับพื้นดิน แล้วค่อยๆคืบคลานผ่านช่องแคบๆ ไปอย่างลำบากยากเย็น
อาวุธหนัก และอุปกรณ์ทุกชนิด ถูกห่อด้วยเสื้อกันฝน เพื่อลดการเสียดสีอันจะทำให้เกิดเสียงดังในขณะเคลื่อนย้าย ภาระที่หนักอึ้งที่สุดก็คือ การขนอาวุธหนักผ่านป่าเสือหมอบที่มีทางเดินเพียงช่องทางแคบๆ ด้วยเชือกและผ้ากันฝน ทำให้พวกเราสามารถลากเจ้าปืน ค.เหล่านั้นผ่านป่าทึบได้อย่างทุลักทุเล เส้นทางต่ำลงไปทุกที ความรู้สึกบอกกับตัวเองว่า ขณะนี้กองพันของเรา กำลังจะเคลื่อนที่ลงไปในหุบอยู่ทุกขณะ สภาพของพื้นดินที่แข็งกระด้างเปลี่ยนเป็นเฉอะแฉะ และเมื่อเคลื่อนที่ลงไปจนถึงก้นหุบ พื้นที่เฉอะแฉะเหล่านั้นก็กลายเป็นโคลนตมที่ลึกเกือบถึงหัวเข่า มันเป็นการเดินทางที่ทุลักทุเลที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา คำคมล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้นโคลนเปื้อนหน้าตามอมแมม ท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของทหารรับจ้างที่เดินอยู่ใกล้ๆ
หลังจากย่ำโคลนอยู่ประมาน 2 ชั่วโมง เส้นทางเดินก็เริ่มชันขึ้นอย่างกระทันหัน ภูมิประเทศที่เป็นป่าทึบเปลี่ยนสภาพเป็นป่าโปร่งขึ้นมาในฉับพลัน ต้นไม้ขนาดคนโอบ ขึ้นเรียงรายเป็นระยะๆ ทหารรับจ้างใช้เชือกมนิลาผูกกับโคนต้นไม้ แล้วอาศัยเชือกเหล่านั้นพาตัวเอง เคลื่อนที่ขึ้นไปจากหุบได้อย่างง่ายดาย
3 ชั่วโมงต่อมา ทหารกองพัน 617 ทั้งสามกองร้อยก็เคลื่อนที่ขึ้นมาอยู่บนยอดเนินที่สูงจากพื้นดินไม่น้อยกว่า 3,000ฟิต พื้นที่บนยอดเนินเป็นป่าค่อนข้างทึบ มะขามป้อมและมะม่วงป่าลูกดกสะพรั่งขึ้นอยู่ทั่วๆไป ทหารรับจ้างนอนแผ่หลา กับพื้น ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ส่วนผมไม่ต้องพุดถึงหรอกครับ พอหลุดจากหุบขึ้นมาผมก็โซซัดโซเซ เข้าไปนั่งหอบแฮ่กๆพิงโคนต้นมะม่วง แหงนหน้าดูลูกมะม่วงด้วยความหิวโหย หมดแรงแม้กระทั่งจะยืนขึ้นไปปลิดลูกที่ห้อยเป็นพวงระย้าอยู่นั่น ต่อให้ “แรงเยอร์” หรือ “รีค่อน” ที่ผ่านคอร์สการเดินป่าขนาดใหนมาก็เถอะน่า มาเจอะไอ้หุบฉิบหายบรรลัยจักรนี่เข้า ผมก็เห็นนั่งหอบลิ้นห้อยเหมือนกันทั้งนั้น
“คำคม” เดินตุปัดตุเป๋มานั่งพิงอยู่ข้างๆผม ในมือข้างหนึ่งถือมะม่วงป่าพวงเบ้อเร่อ คำคมปลิดมะม่วงส่งมาให้ผม 2-3 ลูก ผมรับมากัดกินอย่างกระหาย รสชาติอันเปรี้ยวจี้ดของมัน ทำให้หูตาของผมสว่างไสวขึ้นมาอย่างทันตาเห็น
อากาศอันเย็นยะเยือกบนยอดเขา ทำให้ผมสดชื่นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และในขณะเดียวกันนั้น ชุดลาดตระเวนที่ออกไปเคลียร์พื้นที่อีกด้านหนึ่งของยอดเขาก็ปรากฏตัวออกมาจากแมกไม้เบื้องหน้า คนที่เดินนำหน้าสอบถามทหารรับจ้างที่นั่งกระจัดกระจายอยู่ ชั่วครู่ก็เดินตรงเข้ามายังบริเวณที่ผมและคำคมนั่งพักเหนื่อยอยู่ด้วยอาการเร่งรีบ
“เรียบร้อย...ไอ้น้อง”
คำคมเอ่ยถามขึ้นมา พร้อมกับส่งมะม่วงป่าที่เหลืออยู่ให้กลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มนั้น
“ครับ ผู้พัน ผมเคลียร์พื้นที่และสั่งทหารเข้าประจำแนวบนเนินด้านโน้นเรียบร้อยแล้ว บ้านเถิดเทิงและเนินสกายไลน์-วันอยู่เบื้องหน้ายอดเนินนี่เอง”
คำรายงานของหัวหน้าชุดลาดตระเวณ ทำให้ผมกับคำคมเดินตัวปลิวไปยังพื้นที่ดังกล่าวนั้นใน 10 นาทีต่อมา
ในบริเวณริมสุดของยอดเนิน ซึ่งชันดิ่งลงไปเบื้องล่าง ทหารรับจ้างตั้งแนวยิงเรียงรายเป็นระยะ อาวุธประจำกายทุกชนิดกระชับมั่นอยู่ในมือ สายตาและกล้องสนามแรงสูงถูกส่องตรวจการณ์ลงไปยังสันเนินของภูเขาที่ขวางอยู่ข้างหน้าอย่างพินิจพิจารณา
ผมกับคำคมคลานเข้าไปหมอบอยู่หลังก้อนหินขนาดใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับเส้นทางที่ชันหักเป็นมุมดิ่งลงป้างล่างพอดี
เนินเขาขนาดใหญ่ตั้งทมึนอยู่เบื้องหน้า และห่างออกไปเล็กน้อย ยออดส่วนที่สูงที่สุดของเนินสกายไลน์โผล่แทรกซ้อนขึ้นมาทางเบื้องหลังมองเห็นยอดรำไร
ความใหญ่โตมโหฬารของภูเขาดังกล่าวปิดบังสันเนิน “สกายไลน์-วัน” เอาใว้อย่างสิ้นเชิง จะมองเห็นก็เพียงยอดเขาซึ่งสูงกว่ากันเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง...
บ้านเถิดเทิง ซ่อนตัวเองอยู่บนสันเนินที่ชันเกือบ 70 องศา หมู่บ้านมุงแฝกรวมกลุ่มกันอยู่ในบริเวณกึ่งกลางของสันเนินพอดิบพอดี
ลักษณะของภูเขาดังกล่าวเหมือนกับ ปีรามิด ที่มียอดแหลมเปี้ยบเหมือนกับฝาชี สำหรับด้านข้างซึ่งชันอย่างน่ากลัวนั้นปลูกฝิ่นเอาไว้เป็นชั้นๆ ลดหลั่นกันมองดูเขียวสะพรั่งสุดสายตา
จากกล้องสนามแรงสูง ทำให้ผมทราบว่าบนยอดเขาที่มีลักษณะแปลกประหลาดนั้นเป็นภูเขาหัวโล้น ปราศจากต้นไม้และสิ่งก่อสร้างใดๆทั้งสิ้น
คำคมปรับโฟกัสตรวจการณ์อย่างละเอียดถี่ถ้วน อยู่พักหนึ่งก็หันมาพูดกับผมเบาๆ
“ในหมู่บ้านมันมีคนอยู่แน่ๆ ผมตรวจการณ์เห็นควันไฟลอดออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง คราวแรกนึกว่าหมอก แต่เมื่อสังเกตอยู่พักหนึ่งจึงรู้ว่าเป็นควันไฟจากการหุงต้มของมัน ไอ้พวกแม้วนี่มันก็พิกลเหมือนกันนะ บิ๊กแมน ที่ราบมีพะเรอเกวียนมันก็ไม่ยอมไปตั้งหลักแหล่ง มาหากิน มันเสือกมาตั้งรกรากอยู่บนไหล่เขา ที่เอียงกะเท่เล่ อยู่แบบนี้ ทำไมกัน ชอร์ปเปอร์ก็ลงจอดไม่ได้ จะเข้าไปเมืองล่องแจ้งทั้งทีก็เดินกันอาน”
ผมไม่ตอบคำคม ปรับโฟกัสไปยังบริเวณไร่ฝุ่นที่อยู่ติดกับบ้านหลังหนึ่งด้วยความสงสัย คำคมคงเห็นความผิดสังเกตุจากผม ก็เลยส่องกล้องสนามแรงสูงไปยังทิศทางที่ผมกำลังตรวจการณ์อยู่ทันที
ภาพของทหารเวียดนาม 8 คนสะพายอาวุธปรากฏขี้นมาในโฟกัสอย่างถนัดชัดเจน พวกมันเดินทะลุออกจากไร่ฝิ่น แล้วหายลับเข้าไปในหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว
“ชุดลาดตระเวนของพวกมันแน่ๆ ผมชักจะเป็นห่วงหมู่สมพรเสียแล้ว...ผู้พัน”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 04, 2015, 10:58:58 AM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11759 เมื่อ: กันยายน 05, 2015, 09:55:04 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชิวิตคนเราก็เหมือนสะพาน มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง

วันชโลมเลือด ตอนที่ 5 ผลงานของ สยมภู ทศพล
ผมหันออกไปออกความเห็นกับคำคมพร้อมกับแสดงอาการเป็นห่วงหมู่สมพรขึ้นมาอย่างจับใจ
“ครับ ชุดลาดตระเวนของพวกมันเพิ่งจะกลับจากหุบร่องน้ำ นี่ก็เพิ่งสามโมงเย็น ผมคิดว่าไม่ถึงหนึ่งทุ่มสมพรมันจะต้องขึ้นมาพบกับพวกเราบนยอดเขานี้แน่ๆ ไม่เชื่อคุณคอยดูก็แล้วกัน ผมเชื่อมือมัน ไอ้หมอนี่ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง”
“แล้วแผนการบุกเข้ายึดบ้านเถิดเทิงจะเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ครับ...ผู้พัน” ผมย้อนถามไปอย่างร้อนใจ
“ใจเย็น...น้องชาย ทุกสิ่งทุกอย่างจะเริ่มต้นขึ้นเมื่อสมพรมาถึง สมพรมันจะเก็บทุกสิ่งทุกอย่าง ของบ้านเถิดเทิงมาให้กองพันของเราทราบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ถ้าไม่มีสมพร ภูมิประเทศแถบนี้ขืนบุกเข้าไป เราก็พังเท่านั้น”
เมื่อผมมองดูภูมิประเทศที่จะลงไปยังบ้านเถิดเทิงแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าคำพูดของคำคมมีส่วนถูกต้องทีเดียว ถ้าบ้านเถิดเทิงมีทหารราบ หรืออาวุธหนักของทหารเวียดนามเหนือซุกซ่อนอยู่ แล้วคอยยิงจรวดลงมา ในขณะที่กองพันของผมเคลื่อนที่ลงจากสันเนิน ทหารของผมก็จะสูญเสียอย่างย่อยยับไปเท่านั้น
หลังจากตรวจการณ์ภูมิประเทศจนพอสมควรแล้ว คำคมก็สั่งทหารทุกคนพร้อมที่จะเคลื่อนย้ายในทันทีทันใดที่หมู่สมพรเดินมาถึง
17.00 น.อากาศที่สว่างเริ่มมืดครึ้มลงอย่างรวดเร็ว เมฆก้อนใหญ่ลอยต่ำลงทุกที ลมเริ่มพัดแรงจัดขึ้นทุกขณะ มันเป็นสัญลักษณ์ของฝนที่กำลังจะตกลงมาในไม่กี่นาทีข้างหน้านี้ ทหารรับจ้างสาละวน รื้อกันฝนออกมาคลุมร่างกายเป็นโกลาหล ในไม่ช้าฝนก็เทลงมาหยั่งกับฟ้ารั่ว ลูกเห็บเม็ดขนาดใหญ่เท่าผลมะนาวตกลงมาขาวเกลื่อนกราดไปทั่วยอดเนิน ลูกเห็บตกลงมาทับถมจนมองดูขาวโพลนเหมือนกับปุยหิมะ ชั่วครู่มันก็ละลายไปกับน้ำฝนที่ไหลผ่านลงไปยังหุบเขาเบื้องล่าง
ลูกเห็บหยุดแล้ว ..แต่ฝนยังกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตาต่อไปอีกเกือบชั่วโมงเต็มๆ
18.30 น. ฝนเริ่มซาและหยุดเป็นปลิดทิ้งในเวลาต่อมาอีกเล็กน้อย ความมืดคลืบคลานเข้ามาอีกเป็นครั้งที่สองของการเดินทาง สายหมอกเริ่มจับกลุ่มหนาทึบแล้วโรยตัวลงมาเป็นสายดูเหมือนกับปุยนุ่น ที่ปลิวลงมาจากสรวงสวรรค์ ในไม่ช้า สายหมอกก็ปกคลุมยอดเนินดังกล่าวเอาไว้จนหมดสิ้น แม้กระทั่งบ้านเถิดเทิงและยอดเนินสกายไลน์-วัน ก็หายลับไปจากสายตาอย่างสิ้นเชิง
18.45 น.หมู่สมพรกับลูกน้องอีกสองคนก็เดินทางมาถึงในสภาพที่เปียกโชกไปหมดทั้งตัว กางเกงขาดรุ่งริ่ง ทหารรับจ้างคนนึงปากบวมเจ่อหยั่งกับถูกใครตะบันปากมาอย่างสดๆร้อนๆ
“เฮ้ย...ทำไมมาเร็วนักวะ ไอ้น้อง หมอกหนาทึบแบบนี้ อั้วคิดว่าลื้อจะมาพรุ่งนี้เสียอีก จัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน โน่น...เป้สนาม
ของลื้ออยู่ที่เต้นท์ บก.พันโน่น แล้วพาลูกน้องของลื้อไปหาหมอกองพันใส่ยาซะด้วย ไปโดนอะไรมาวะไอ้น้อง”
คำคมไล่ให้สมพรไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกับสอบถามอาการทหารรับจ้างที่ได้รับบาดเจ็บด้วยความห่วงใย
“ตกเขาครับผู้พัน ลื่นเหลือเกิน ไอ้หอกนี่ปีนเขาอยู่หน้าผม เสือกลื่นลงมาจูบปากกระบอกปืนเอ็ม.16 ของผมเข้าพอดี เห็นทีจะต้องเย็บเพราะแตกข้างใน รอผมประเดี๋ยวนะครับ ขอกินข้าวก่อน ไอ้ห่า...เรชั่นตกน้ำหมด” หมู่สมพรบ่นพึมพำพร้อมกับมุดออกจากเต้นท์ของคำคมแล้วพาตัวเองคลานหายเข้าไปในเต้นท์ของ บก.พันที่อยู่ข้างด้วยอาการรีบร้อน
ภายในเต้นท์ยุทธการที่ค่อนข้างจะกว้างขวางพอสมควร ผม,คำคม,ฝอ.3 และ ร.ต.ชัยสิทธิ์ ผบ.ร้อย 3 นั่งฟังรายงานของหมู่สมพรด้วยความเคร่งเครียดยิ่งกว่าทุกครั้ง
“ลื้อเริ่มเล่าตั้งแต่ เริ่มแกะรอยมันที่หุบร่องน้ำเลย พยายามเก็บเกี่ยวรายละเอียดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ตอนไหนสงสัยอั๊วจะถามลื้อเอง” คำคมเอ่ยขึ้นพร้อมกับขยับเข้ามาครึ่งนั่งครึ่งนอนกับผ้าห่มขนสัตว์ซึ่งม้วนเป็นก้อนกลมๆ ที่วางอยู่ใกล้ๆกับหมู่สมพร
“เมื่อวานนี้ หลังจากผู้พันแยกจากผมแล้ว ผมก็เริ่มแกะรอยชุดลาดตระเวนของมันทันที คราวแรกผมตั้งใจจะข้ามหุบตามพวกมันไป แต่แล้วผมก็มาคิดได้ว่า ถ้าพวกมันเกิดเดินสวนกับพวกเราเข้ามาแผนการต่างๆก็พังหมดเท่านั้น ผมเลยเปลี่ยนใจซุ่มอยู่ ณ.บริเวณนั้นประมานสองชั่วโมง พวกมันก็ข้ามกลับมา ลักษณะการเคลื่อนที่ของมันขาดการระมัดระวังอย่างเห็นใด้ชัด คุยกันลั่นไปหมด พวกมันมีทั้งหมด 8 คน แต่งเครื่องแบบทุกคน มีอาวุธปืนอาก้าและอาร์พีจีครบครัน ในขณะที่ข้ามหุบร่องน้ำ ไอ้ตัวหัวหน้าของมันหยุดตรวจดูบนเส้นทางอยู่ตั้งนาน นานจนผมนึกว่า พวกมันจะผิดสังเกตอะไรซักอย่างหนึ่งเข้าให้แล้ว เกือบ2 นาทีทีพวกมันเดินย้อนกลับไปกลับมา กิริยาท่าทางมันเพิ่มความระแวดระวังขึ้นอย่างผิดสังเกต เมื่อพวกมันไม่พบอะไรก็เริ่มเดินทางกลับเมืองเถิดเทิง เส้นทางเดินสบายมากครับ กับระเบิดไม่มีแม้แต่อันเดียว ลัดเลาะริมหุบแห่งหนึ่งประมาน 2 ชั่วโมง ก็ทะลุถึงไร่ฝิ่นที่ปลูกอยู่บนไหล่เขาพอดิบพอดี”
“มีฐานปฏิบัติการของมันหรือปล่าววะ ไอ้น้อง” คำคมแทรกคำพูดขึ้นมากลางคัน
“ตรงปากทางเข้าไร่ฝิ่นไม่มีครับ มีแต่รอยเท้าสับสนไปหมด”
สมพรหยิบกระติกน้ำที่วางอยู่ข้างๆตัวขึ้นมาดื่มอั่กๆด้วยความกระหาย และพูดต่อไปอีกอย่างยืดยาว
“ผมแกะรอยมันจนกระทั่งถึงหมู่บ้าน คราวนี้เจอพวกแม้วที่อยู่ในหมู่บ้านประมาน 30 คนมีทั้งชายและหญิง นอกจากนั้นผมยังสังเกตเห็นเล้าหมูขนาดใหญ่ มีลูกหมูเล็กๆอยู่หลายสิบตัว ผมไม่กล้าแกะรอยมันเข้าไปอีก กลัวจะเจอะพวกแม้วก็เลยถอยหลังกลับมา พอถึงตอนกลางคืน ผมก็ลอบเข้าหมู่บ้านอีกครั้ง คราวนี้เจอะทหารเวียดนามเหนือ 20 คน กำลังเอะอะวุ่นวาย อยู่ในบ้านแม้วเหล่านั้นพอดี พวกมันจับหมูเอาไป 5 ตัว แล้วขึ้นไปฉุดเอาผู้หญิงแม้วไปอีก 10 คน แต่เท่าที่สังเกตพวกผู้หญิงแม้วเหล่านั้นก็มีท่าทีพออกพอใจทหารเวียดนามเหนือกลุ่มนั้นอยู่มิใช่น้อย ผมแกะรอยตามมันขึ้นไปเกือบถึงยอดเขาก็เจอะฐานของมันพอดี ฐานของมันแข็งแรงมาก มีกำลังพลไม่น้อยกว่า 50 คน อาวุธหนักเท่าที่ผมเห็นก็มี ปรส.82 และ ค.61 พวกมันฆ่าหมูแล้วจัดแจงประกอบอาหารโดยให้ผู้หญิงเหล่านั้นเป็นคนทำ พวกมันดื่มเหล้าข่มขืนผู้หญิงกันอย่างสนุกสนาน ผมใด้โอกาสก็เลยตรวจการณ์ฐานของพวกมันอีกครั้ง แฟลร์สะดุดซึ่งพวกมันคงจะยึดเอาไปจากพวกเราวางถี่ยิบไปหมด ผมสามารถขึ้นไปถึงยอดเขา และปรากฏว่า บนยอดไม่มีฐานปฏิบัติการของพวกมันเลยแม้แต่แห่งเดียว”
“เฮ้ย ไหนลื้อว่ามีทางอ้อมขึ้นไปบนยอดฝาชี นั่นโดยไม่ต้องผ่านฐานของมันหรือวะ สมพร” คำคมสวนคำพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“ครับ ผู้พันมีทางอ้อมขึ้นไปด้านข้างๆ พวกมันคงนึกไม่ถึงว่า พวกเราจะอ้อมเข้ามาตีเนิน สกายไลน์-วัน ทางด้านนี้ การระมัดระวังป้องกันก็เลยหละหลวมกว่าปกติ และอีกอย่างหนึ่ง ชุดลาดตะเวนของพวกมันที่เพ่นพ่านอยู่ตลอดเส้นทาง ก็ทำให้พวกมันถึงได้ใจคิดว่าคงจะไม่มีใครผ่านเข้ามาถึงบ้านเถิดเทิงได้อย่างเด็ดขาด”
“แล้วก็-เครื่องหมายกิ่งไม้หักนั่นลื้อทำเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่” คำคมย้อนถามอีกครั้ง
“ก็ตอนเช้านั่นแหละครับผู้พัน ผมเริ่มแกะรอยมันตั้งแต่ 05.30 น. เลยทีเดียว ชุดลาดตะเวนชุดใหม่ของมันเริ่มออกเคลียร์พื้นที่ตั้งแต่ตอนเช้ามืด และคราวนี้พวกมันเอาปืนค.61 และ ปรส.82 ม้าด้วยอย่างละกระบอก พอพวกมันจะข้ามหุบร่องน้ำ ผมแก้ปัญหาอยู่ตั้งนาน กลัวว่าพวกมันจะวกลับมาเจอะกับขบวนที่ยาวเหยียดของพวกเราเข้า ผมก็เลยตัดสินใจทำเครื่องหมายเอาไว้ให้ผู้พันทราบ และเคลื่อนที่แกะรอยมันต่อไปอย่างระมัดระวัง เส้นทางเดินที่พวกมันขนปืนและกระสุนไปนั้น ราบเรียบเหมือนกับได้รับการตบแต่งจากฝีมือมนุษย์มาแล้ว ผมเดินตามมันไปเกือบชั่วโมง ก็มาสะดุดอยู่ ณ.เชิงผาแห่งหนึ่งซึ่งสามารถ ตรวจการณ์สนามบินล่องแจ้งได้อย่างชัดเจน มันเป็นเส้นทางลับที่ผมเองยังคาดไม่ถึง พวกมันจัดแจงตั้งอาวุธหนักมุ่งทิศทางการยิงไปยังสนามบินล่องแจ้ง พอพวกมันเดินทางกลับ ผมก็จัดแจงเอากระสุนปืนของพวกมันมาถอดเอาเชื้อประทุออก คราวนี้ต่อให้พวกมันยิงจนมือบวม กระสุนก็ไม่มีวันถึงสนามบินหรอกครับ อย่างดีก็โด่งขึ้นไปแล้วหล่นตุ๊บลงมาในหุบนั่นเอง พอพวกมันเดินทางกลับ ผมก็เดินย้อนกลับลงมาเลี้ยวซ้ายบุกป่าฝ่าดงตามรอบเดิมที่พวกเราย่ำเอาไว้ การเดินทางตัวเปล่าและเป็นทางที่เคลียร์เอาไว้แล้ว ทำให้พวกผมทั้งสามคนเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าปกติ ผู้พันจะเอายังไงดีครับ”
ประโยคสุดท้าย หมู่สมพรย้อนถามเจ้านายของเขาอย่างเอางานเอาการ
คำคมนิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ฝอ.3 หยิบแผนที่ลงทาบกับพื้น แล้วใช้ไฟฉายพรางแสงส่องลงไปบนพิกัด 788936 อันเป็นพิกัดที่กองพันของผมตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ในปัจจุบัน
“ถ้ากองพันของเรายึดบ้านเถิดเทิงได้ เส้นทางขึ้นไปเนินชาร์ลี-ชาร์ลี ก็อยู่แค่เอื้อม หมู่บ้าน 50 หลังที่อยู่ตีนเนินทางด้านซ้ายมือ ก็คงจะเป็นเส้นทางผ่านที่ไม่สลักสำคัญเท่าใดนัก ใช่ไหมครับ ผู้พัน”
ฝอ.3 พูดพลางใช้ไฟฉายส่องกราดขึ้นไปที่บริเวณพิกัดต่างๆบนแผนที่อยู่ไปมา
“เตรียมตัวไอ้น้อง สั่งทหารกองร้อยหนึ่งเคลื่อนย้ายเข้าบ้านเถิดเทิง ในเวลา 23.30 น. ให้แบ่งกำลังออกเป็น 2 ชุด ชุดละ 3 หมวด ให้สมพรและทหาร 2 คน จากชุดลาดตระเวนเป็นผู้นำทาง ชุดแรกขึ้นไปยึดยอดเนินเถิดเทิงเอาไว้ ส่วนชุดที่ 2 เคลื่อนที่เข้าโอบล้อมฐานของพวกมันทางด้านปีกทั้งสองข้าง โดยให้ห่างจากฐานของพวกมันประมาน 100 เมตร ส่วนช่องกลางเปิดทางเอาไว้ กองร้อย 2 และกองร้อย 3 จะบุกตะลุยเข้าไปโจมตีมันให้แหลกเวลา 06.30 น.”
“แล้วหมวดอาวุธหนักเล่าครับ ผู้พัน” ฝอ.3 ทักท้วงขึ้นมาอย่างคลางแคลงใจ
“อาวุธหนักทุกชนิดตั้งฐานยิงสนับสนุนพวกเราอยู่บนนี้ ให้เริ่มระดมยิงเวลา 06.00 น โปรดสังเกตควันสีแดงให้ดี นั่นคือที่ตั้งของพวกเดียวกัน การติดต่อให้ติดต่อทางวิทยุไม่ต้องปกปิดอะไรอีกแล้ว เมื่อยึดยอดเนินเถิดเทิงได้ ทุกสิ่งทุกอย่างจะหมดความหมาย ต่อจากนั้นหน้าที่ของเราก็คือนอนรอ บี.52 มาทำงานอย่างเดียวเท่านั้น”
“แล้วชุดลาดตระเวนของพวกมันที่จะออกเคลียร์พื้นที่ตอน 05.30 น.ละครับ ขืนปล่อยเอาใว้เป็นภัยแก่เราแน่ๆ”
สมพรทักท้วงขึ้นมา
“ก็ให้พวกลื้อนั่นแหละ เก็บมันซะ เก็บเงียบในไร่ฝิ่นนั่นแหละ ให้ลูกน้องของลื้อ 2 คนนั่นก็ได้”
คำคมตัดบทออกมาแล้วใช้พลนำสารตระเวนแจกข่าวไปยังกองร้อยต่างๆอย่างรวดเร็ว
23.30 น. หมู่สมพร และทหารรับจ้างชุดลาดตระเวน 2 คน ซึ่งเคยแกะรอยทหารเวียดนามเหนือมาแล้ว ถูกมอบหน้าที่ให้นำทาง กองร้อย 1 เคลื่อนที่หายลับลงไปตามไหล่เขาที่มืดมิดเบื้องล่าง ด้วยอาการที่เงียบเชียบเหมือนกับทหารปิศาจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 06, 2015, 08:54:16 AM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

หน้า: 1 ... 781 782 783 [784] 785 786 787 ... 811
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.17 วินาที กับ 23 คำสั่ง