"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีวิตคนเราก็เหมือนสะพาน มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง
ชุมทางคนกล้าตาย ตอนที่ 9/11 ผลงานเขียนของ สยมภู ทศพล
ทหารเวียดนามเหนือใช้อาวุธหนักนานาชนิดยิงถล่มลงไปยังเมืองล่องแจ้งอย่างไม่ปราณีปราศัย ชีวิตของทหารรับจ้างและประชาชนชาวแม้วเสียชีวิตไม่เว้นแต่ละวัน
สิ่งที่ผิดสังเกตุอย่างหนึ่งก็คือ ตามปกติ ลูกยาว ของข้าศึกที่ยิงถล่มเมืองล่องแจ้งอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น จะยิงมาสะเปะสะปะ พลาดเป้าหมายเสียเป็นส่วนมาก
แต่พอทหารเวียดนามเหนือขึ้นมาอยู่บนยอดเนิน สกายไลน์ เข้าเท่านั้น ลูกยาว ของข้าศึกที่ยิงมาจากสนามบินถ้ำตำลึง แต่ละนัด แม่นเหมือนกับจับวาง เล่นเอาเมืองล่องแจ้งประสบกับการสูญเสียอย่างเหลือคณานับ
เรื่องทั้งเรื่องมันก็เลยต้องเฉ่งกันให้ยับไปข้างหนึ่งตามธรรมเนียมของสงครามทั่วๆไป
ทหารเวียดนามบนเนินชาร์ลี-แทงโก้ เสริมกำลังมากขึ้นทุกที ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งทหารเวียดนามเหนือก็ยังอุตส่าห์ลาก ปรส.82 ขึ้นมาตั้งจังก้าอยู่บนภูหมอก แล้วเริ่มยิงถล่ม บก.ล่องแจ้งอย่างหูดับตับไหม้ (พฤติการณ์การบุกขึ้นไปโจมตีฐานยิงของเวียดนามเหนือ ผมได้เขียนลงในหนังสือจักรวาลรายสัปดาห์จบไปเรียบร้อยแล้วในเรื่องไม่มีคำตอบจากทุ่งไหหิน) เล่นเอาพวก นายร้อย นายพัน ทั้งหลายแหล่ ยืมฝีเท้า อาณัติ รัตนพล วิ่งแข่งกันอกตั้ง แย่งกันลงหลุมใต้ดินกันเป็นจ้าละหวั่นไปหมด
ล่องแจ้งเหมือนกับเมืองร้าง ประชาชนแม้วเริ่มอพยพออกจากเมืองเป็นทิวแถว และก็มีบางส่วนอพยพกลับเข้ามาอย่างน่าผิดสังเกตุ แม้วแปลกหน้าเดินพลุกพล่านอยู่ในตลาดล่องแจ้งจนผมบังเกิดความเอะใจ
ถนนสายที่ขนานกับสนามบินล่องแจ้งกลายเป็นถนนสายมรณะไปเสียแล้ว
ปรส .82 ของทหารเวียดนามเหนือหล่นโครมลงมาบนกลุ่มทหารรับจ้างที่กำลังเดินเกาะกลุ่มกันอยู่บนถนนสายนั้นเข้าอย่างจังเบอร์
18 คนตายยับแทบหาชิ้นส่วนไม่พบ แม้กระทั่งพวกรถจิ๊บหรือรถบรรทุก พวกเวียดนามเหนือก็ยังจ้องระดมยิงไม่ขาดระยะ
เชื่อผมเถอะครับ... ต่อให้นักขับรถแข่งกรังปรีซ์ที่มีฝีมือชั้นยอดเยี่ยมขนาดไหนก็ตามที ลองมาเจอะถนนสายนี้เข้าเป็นต้องสั่นเศียรกันทั้งนั้น
ก่อนวันเข้าตีเนิน ชาร์ลี-ชาร์ลี เพียง 4 วัน ผมก็ได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติการพิเศษร่วมกับกองร้อยที่ 3 ของกองพัน 604 ซึ่งตั้งฐานปฏิบัติการอยู่ ณ บริเวณทางสามแพร่ง ชาร์ลี-เอ็คโค่ ตีนเขาเนินสกายไลน์-วัน พอดิบพอดี...
นักบินพาผมขึ้นชอปเปอร์บินสูงลิบเพื่อหลบ ปตอ.12.7 ซึ่งตั้งจังก้าอยู่บนยอดเนินสกายไลน์-วัน
หลังจากบินวนเวียนอยู่ชั่วครู่ก็ลดระดับร่อนลงแตะพื้นด้วยอาการรีบร้อนจนผมกระโดดลงมาแทบไม่ทัน
วิเศษ (ร.ท.ปิ่นพันธุ์) ผบ.ร้อย 3 ยืนรอผมอยู่ที่บริเวณ ชอปเปอร์แพด อยู่ก่อนแล้ว ผู้กองหนุ่มคนลำปางหัวเราะร่า ยื่นมือให้ผมสัมผัส ปากก็ร้องสั่งทหารรับจ้างที่ยืนอยู่ข้างๆเอ็ดอึง
เฮ้ย... ช่วยขนเป้สนามของบิ๊กแมนไปเก็บใว้ในเบิมอั๊วด้วย แล้วสั่งไอ้จันทร์ชงกาแฟมาให้ 2 ที่ ...สวัสดีครับบิ๊กแมน พอรู้ข่าวจากนอร์แมน ผมก็นั่งรอชอปเปอร์อยู่ตั้งนาน ผมคิดว่าจะไม่มาเสียแล้ว
สองสามประโยคสุดท้าย วิเศษหันมาพูดกับผมด้วยท่าทางดีอกดีใจ
ผมสะพายวิทยุ PRC-77 และ HT-2 เดินไหล่เอียงเข้าไปนั่งอยู่หลังแนวกระสอบทราย ซึ่งดัดแปลงสร้างอย่างมั่นคงแข็ง ด้วยการใช้ซุงขนาดใหญ่กั้นเป็นชั้นๆ และแต่ละชั้นก็เทดินลงไปอัดแน่น แล้วใช้กระสอบทรายโป๊ะผิวด้านนอกอีกชั้นหนึ่ง
พื้นฐานของฐานปฏิบัติการมีลักษณะแคบและยาวเรียงรายเป็นแนวขนานไปกับเส้นทางซำทองซึ่งมองเห็นยาวเหยียดอยู่เบื้องหน้า
เบื้องหลังแนวยิงของกองร้อยที่ 3 เป็นหุบลึกและชันเกือบ 90 องศาเลยทีเดียว
ข้าศึกแม้จะอยู่สูงกว่าฐานปฏิบัติการของผมและสามารถตรวจการได้เป็นอย่างดี
แต่ไอ้การที่จะยิงอาวุธหนักถล่มลงมาบนพื้นที่-ที่มีบริเวณแคบๆ เพียง 2-3 ตารางมตรได้อย่างแม่นยำนั้นเป็นสิ่งที่เหลือวิสัยที่พลยิงจะทำได้
ปรส. 82 ของมันเคยยิงถูกแนวกระสอบทราย 5 ชั้นของผมอยู่เสมอๆ ยากครับ บิ๊กแมน กระสุนของมันเจาะเข้ามาได้เพียงชั้นที่ 3 เท่านั้นเอง ไอ้กำบังที่ผมออกแบบขึ้นมาใหม่นี้ ทาง บก.ล่องแจ้ง น่าจะลอกแบบไปใช้ดูบ้าง ไม่ว่าจะเป็นปืน ค. หรือ อาร์พีจีไม่ได้แอ้มแนวยิงผมหรอกครับ ผมกลัวอยู่อย่างเดียวก็คือ 130 ของมันเท่านั้น
เมื่อผมมองดูแนวกระสอบทรายดังกล่าวแล้ว ก็ที่จะอดทึ่งในสมรรถภาพของไม่ได้ ซุงและกำแพงดินซึ่งอัดแน่นอยู่เป็นชั้นๆ สามารถที่จะลดอำนาจทะลุทะลวงของลูกกระสุนได้อย่างมีประสิทธภาพที่สุด...
...ผมกลัวมันจะแจ็คพอทลงบนแนวอย่างเดียวเท่านั้น... แต่ก็ยังไม่เคยซักที... หลุดจากแนวกระสอบมันก็หล่นตูมลงไปในหุบข้างล่างโน่น ล่อกาแฟกันก่อนครับ...บิ๊กแมน
ในขณะที่ซดกาแฟ ผมกับ วิเศษ ก็เริ่มวางแผนการที่ได้รับมอบหมายจากนอร์แมนทันที
คืนนี้ผมจะใช้ทหารเข้าไปขุดหลุมกึ่งกลางถนนห่างจากฐานของเราออกไปประมาน 300 เมตร ตามแผนของคุณ ถ้าข่าวกรองของซี.ไอ.เอ. ไม่ผิดพลาด รถถัง 2 คันซึ่งเคยยิงถล่มพวกคุณมาแล้ว จะต้องเคลื่อนที่บุกโจมตีฐานของพวกผมในตอนเช้ามืดพรุ่งนี้แน่ๆ
วิเศษจิบกาแฟพร้อมเอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าที่วิตกกังวล
ข่าวกรองของซี.ไอ.เอ. ไม่เคยพลาดขณะนี้นำมันรถถังของมันที่ขาดแคลนได้ลำเลียงมาถึงแล้วด้วยขบวนเดินเท้า... ถ้าผมเดาไม่ผิด เช้ามืดพรุ่งนี้ มันต้องขึ้นมาจวกฐานของคุณแน่ๆ ทหารชุดอาสาของคุณพร้อมแล้วหรือยังครับ
ผมย้อนถามออกไป
พร้อมแล้วครับ ผมจะออกไปกับทหารของผมด้วย ถ้าคุณบิ๊กแมนจะร่วมแผนการล่ารถถังกับผม ผมก็ไม่ขัดข้อง และจะรู้สึกดีใจมากที่ได้ร่วมงานกับคุณครั้งแรก...ว่ายังไงครับ
ผมไม่มีทางปฏิเสธ คำชักชวนของ ผบ.ร้อย 3 หรอกครับ ทางออกทางเดียวของผมที่ทำได้ในขณะนั้นก็คือ นิ่ง อุบไต๋ของตัวเองเอาไว้อย่างเงียบเชียบ
โธ่ ใครจะไม่กลัวบ้างครับ... การออกนอกฐานปฏิบัติการในตอนกลางคืน มันเป็นของน่าพิสมัยเมื่อไหร่กัน แล้วก็ทางเดินมันสะดวกสบายเหมือนกับถนนราชดำเนินเมื่อไรกันครับ... ทั้งกับระเบิดทั้งหน่วยซุ่มโจมตีหยั่งกับตาสัปปะรด
ทั้งๆที่กลัวจนขนลุก กลัวจนสั่นสะท้านเข้าไปถึงตับไตไส้พุง ผมคต้องสงบสติอารมณ์ ข่มจิตข่มใจวางหน้าตายนั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เหมือนกับว่าอาตมานี่แน่อย่างเหลือหลาย
แบะหัวใจพุดกันอย่างเปิดอกซะเลย บิ๊กแมนเป็นคนที่กลัวตายเท่าๆกับพลอาสาสมัครคนใดคนหนึ่ง และบางทีอาจจะกลัวมากกว่าเอาเสียอีก... เท่าที่ทน ทู่ซี้ เชิดฉิ่ง อยู่กับพวกมันทุกวันนี้ก็เพราะความยากจนและความระยำของตัวเองเท่านั้น
ผมเอนตัวลงนอนในบังเกอร์ของวิเศษ ก่อนที่จะเข้าสู่ภวังค์ ภาพพจน์ในอดีตก็พรั่งพรูขึ้นมาเหมือนกับได้ชมภาพยนต์ในจอโทรทัศน์
อดีตที่เคยรุ่งโรจน์ในวงการก๊ฬาของเมืองไทย บัดนี้เหลืออยู่แต่เพียงซากแห่งความทรงจำ
ผมติดทีมชาติไทยตั้งแต่อายุ 20 ปีพอดิบพอดี เมือง แรงกูน ประเทศพม่า คือสนามประลองฝีเท้าต่างแดนในชีวิตการเล่นกีฬาระดับชาติครั้งแรกของผม...
ผมกับ สุทธิ มัญยากาศ ขับเคี่ยวกันอย่างหนัก ฝีเท้าผมด้อยกว่าก็เลยคว้าแต่เพียงเหรียญเงินกลับมา
กลับจากพม่าเหงื่อยังหมาดๆ ผมก็ติดทีมชาติไปแข่งเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 3 ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นอีกครั้ง คราวนี้ทั้งผมและสุทธิก็ได้แต่เพียง เหรียญแจก กลับมาเท่านั้น
จากญี่ปุ่นก็มุ่งเข้าปีนังในกีฬาฉลองเอกราชของมาเลเซีย
ต่อจากนั้น ก็ตะลุยสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ตระเวณแข่งดะจนกระทั่งถึงกีฬาแหลมทองครั้งแรก... ครั้งที่ 2 จนจำแทบไม่หวาดไม่ไหว
การแข่งขันที่ผมภูมิใจที่สุด แม้จะไม่ได้เหรียญอะไรกลับมาเลย ก็คือการแข่งขันโอลิมปิคครั้งที่ 17 ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี (2504)
ผมได้มีโอกาสกระทบไหล่กับจอมโม้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค... ไม่ใช่ใครหรอกครับ เขาคือแคสเซีย เคลย์ หรือ โมฮัมหมัด อาลี นักมวยร้อยล้านในปัจจุบันนี่เอง
อาลี เป็นนักมวยสมัครเล่นของสหรัฐ เขาพักอยู่ใกล้ๆกับที่พักของนักกีฬาทีมชาติไทยภายในหมู่บ้านโอลิมปิค
อาลี สนิทสนมกับผมก้เพราะทุรียนเพียงชิ้นเดียวที่ผมแบ่งให้หมอลองชิมดูเท่านั้น...
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา อาลีมักจะเทียวไปเทียวมาหาพวกผมมิได้ขาด และทุกครั้งเขาจะเอ่ยปากถามหาทุเรียนเป็นนิจสิน
อาลีชนะเลิศมวยโอลิมปิค หมอคล้องเหรียญทองอวดชาวบ้านตลอด 24 ชั่วโมง แม้กระทั่งในเวลาอาบน้ำหมอก้ไม่ยอมถอด เล่นเอาพวกผมหัวเราะในความบ้าๆบวมๆของหมอไปหลายวัน...
กลับจากกรุงโรม ผมก็ตระเวณแข่งต่อไปอีกอย่างมันเขี้ยว
ดวงดีซะอย่าง ก็เลยไปคว้าเหรียญทองจากการแข่งขันวิ่ง 400 เมตร ในกีฬา อินวิเตชั่นเกมส์ ณ กรุงจาร์กาต้า-อินโดนีเซีย แถมยังได้สัมผัสมือกับ อดีตประธาณาธิบดีซูกาโน่ ซะโก้หรูไปเลย
เพื่อนของผมคนหนึ่ง อย่าให้เอ่ยชื่อจริงหมอเลยครับ...บอกใบ้ว่า เป็นนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติก็แล้วกัน ยศปัจจุบันเห็นจะเป็น นายพันตรี แล้วกระมัง
หมอทำยุ่ง เกือบจะทำให้ผมโดนซิวอยู่ที่กรุงจากาต้าร์ซะแล้ว
อาศัยที่เพื่อนผมรูปหล่อ แถมฝีมือแบดมินตันก็อยู่ในอันดับโลกซะด้วย สาวๆอินโดนีเซียก็เลยตอมหึ่งกันไปหมด
สาวอินโดรูปร่างน่ากินเหมือนกับ มาลาริน บุญนาค อาจหาญขึ้นไปหาพ่อเจ้าประคุณเพื่อนของผมถึงบนห้องพัก เพื่อนของผมก็เลยฉลองศรัทธาด้วยความชำนาญ
ไอ้ผมก็ดันเสือกเป็นต้นทางให้เพื่อนฝูงซะนี่ ไม่ถึงอึดใจทหารอินโดนีเซีย 5 คน พร้อมอาวุธก็เดินสวบๆจะผ่านขึ้นไปบนห้องพักนักกีฬาแบดมินตันให้ได้
ผมออกไปขวางก็โดนผลักเซถลานั่งก้นจ้ำเบ้ากับพื้นพร้อมๆกันนั้น ประสาทหูผมก็ได้ยินแว่วๆว่า นักกีฬาไทยพาเมียน้อยซูกาโน่ขึ้นมาบนห้องพัก
ผมใจหายวาบ ปากก็ร้องตะโกนขึ้นมาเอ้ดอึง เพียงเพื่อจะช่วยให้ เพื่อน ให้พ้นจาก บาทาภัย ของทหารกลุ่มนั้น...
เฮ้ย...ไอ้รงค์ (เห็นไหมละ ผมเผลอเรียกชื่อจริงออกมาจนได้) ทหารจะมาจับเอ็งแล้ว เอ็งเสือกเอาเมียน้อยซูกาโน่มา...หนีเร็วโว้ย
ไอ้รงค์เพื่อนผมก็เร็วทายาท มันสวมวิญญาณนักกระโดดค้ำ เผ่นโครมลงมาทางหน้าต่างหลัง ขอยืมตีนสุนัขโกยแน่บไม่เหลียวหลัง
เมียน้อยซูกาโน่ โดนคุมตัวกลับวัง ไอ้รงค์ต้องรีบบินกลับเมืองไทยในวันรุ่งขึ้น ส่วนผมเจ็บฟรี แถมยังโดนเพื่อนฝูงอำไปตั้งหลายวัน.
ผมเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวงการกีฬาเกือบ 15 ปีเต็มๆ ก็เลยซาโยนาระ ลาออกจากทหารมาหารับประทานเป็นขี้ข้า ซี.ไอ.เอ. อยู่พักหนึง และอาชีพสุดท้ายก็คือ เขียนหนังสือขาย... ถ้าตกม้าตายกลางทาง บอกกล่าวกันเสียก่อน คราวนี้ผมเห็นจะต้องเข้าป่าแน่ๆ... ครับผม