เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 27, 2024, 09:21:37 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 784 785 786 [787] 788 789 790 ... 811
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ไลฟ์ สไตล์ ของ " สมิง วังม่วง " และพี่น้องคอปืน จังหวัด น่าน  (อ่าน 889980 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
เอก@ดอยฯ
ปฏิบัติอย่างถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่ม
Moderator
Hero Member
*****

คะแนน 183
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9460


Do it right the first time


« ตอบ #11790 เมื่อ: ตุลาคม 12, 2015, 12:08:40 PM »

 ไหว้  สวัสดีครับ  มาเยี่ยมมาเยือน บ้านเฮาเงียบๆเน๊าะ  Grin
บันทึกการเข้า

SPSC No.057       THPSA No.A-331
สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11791 เมื่อ: ตุลาคม 12, 2015, 02:06:00 PM »

ไหว้  สวัสดีครับ  มาเยี่ยมมาเยือน บ้านเฮาเงียบๆเน๊าะ  Grin
เรื่อยๆ ปกติของเมืองไกลปืนเที่ยง ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 12, 2015, 07:50:28 PM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11792 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2015, 01:17:42 PM »

อัพเดตตลาดปืนมือ 2  วันนี้ http://2013.gun.in.th/index.php?board=6.0  ถ้ายังไม่ได้สมัครสมาชิกให้สมัครด้วย ครับ
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11793 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2015, 10:11:36 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง

 

ทหารรับจ้างเดนตาย
ตอนที่ 1 ทหารผี (จบในตอน) ผลงานของสยมภู ทศพล
รัตติกาลครอบคลุมฐานปฏิบัติการกองพันทหารรับจ้างที่ 616 ซึ่งตั้งฐานอยู่บนยอดเนิน “เดลต้า-แยงกี้” จนมืดมิดไปหมดทั้งขุนเขา แนวสีดำที่คาดขึงอยู่อยู่รอบๆด้านมองดูเหมือนกับผ้าม่านผืนมหึมาที่โรยตัวลงมาปิดกั้นภูมิประเทศดังกล่าวเอาไว้โดยรอบ
สนามบินซำทอง ซึ่งมองเห็น และไฟวอมแวมอยู่เป็นประจำ บัดนี้...เงียบ...สนิท เหมือนกับสนามบินร้าง
ข่าวคราวของทหารเวียดนามเหนือที่กำลังจะเคลื่อนย้ายกำลังพลเข้ามาใกล้ฐานปฏิบัติการ...สร้างความระแวดระวังให้กับทหารรับจ้างเหมือนกับเป็นอัตโนมัติ
เวร...ยามที่เคยหลับเป็นประจำ ต่างก็พากันนั่งถ่างตาคอยสังเกตุความเคลื่อนไหวของสิ่งผิดปกตินอกแนวลวดหนามด้วยจิตใจเต้นระทึก
ความสามารถของทหารหน่วยแซปเปอร์ (กล้าตาย) เวียดนามเหนือที่เคยแหกกับระเบิด ขึ้นมาเชือดคอทหารรับจ้างถึงข้างบนฐานปฏิบัติการสร้างความหวาดผวาขึ้นมาอย่างจับจิตจับใจ
ผม,ไอ้โล้น, (รอง ผบ.หมวด) และเจ้าดำพนักงานวิทยุจอมกะล่อนครึ่งนั่งครึ่งหมอบอยู่ใน “ร่องสนามเพลาะ” ส่งสายตาตรวจการณ์ลงไปยังหุบลึกเบื้องล่าง อันเป็นขุมกำลังของข้าศึกด้วยความตั้งอกตั้งใจยิ่งกว่าทุกครั้ง
“หมวด ถ้าข่าวกรองของซี.ไอ.เอ.แน่นอน ผมคิดว่าป่านนี้ ไอ้แกวคงจะเคลื่อนที่เข้ามาอยู่ในหุบลึกนี่กันให้คลักไปหมดแล้วก็ได้ เมื่อตอนเย็นอาวุธหนักถล่ม ค 4.2 ลงไป 5 นัด ผมสังเกตุเห็นระเบิดซ้อนขึ้นมาตั้ง 7-8 ครั้ง คงจะโดนลูกปืนครกของมันระเบิดแน่ๆ รึหมวดว่ายังไง”
ไอ้โล้นหันมาถามผมเอาดื้อๆ
ผมยังไม่ทันตอบไอ้โล้น “เจ้าดำ” ซึ่งมองเขม็งลงไปเบื้องล่าง ไม่ยอมพูดจากับ ก็โวยวายออกมาค่อนข้างดัง
“ไฟ... หมวด...โน่น ทางขวามือโน่น หนึ่ง,สอง,สาม,สี่ โอ้โห แสงของมันหยั่งกับสปอร์ตไล้ท์เลยครับ”
จริงเหมือนอย่างที่เจ้าดำพูดไม่มีผิด แสงไฟสี่จุด สว่างจ้าเป็นทางยาวเหมือนกับแสงสปอร์ตไล้ท์ ความสว่างไสวของมัน สาดขึ้นท้องฟ้าเป็นมุมกว้างเหมือนกับแสงไฟจากปืนต่อสู้อากาศยานที่ส่องค้นหาเครื่องบินในเวลากลางคืนเลยทีเดียว
เป็นที่น่าสังเกตุว่า ทิศทางของไฟเคลื่อนที่เข้าหาฐานปฏิบัติการของพวกเราอยู่ตลอดเวลา
และจากลักษณะดังกล่าว ดูคล้ายๆกับพวกมันจะพากันปีนขึ้นมาจากหุบ เพื่อมาเล่นงานเราถึงยอดเนินเอาเลยทีเดียว
และสิ่งที่สำคัญที่สุด พวกมันจำเพาะเจาะจงปีนขึ้นมายังบริเวณที่ผมและลูกน้องวางแนวเอาซะด้วย
เจ้าดำหยิบปากพูดหูฟังที่เสียบอยู่ข้างๆ “PRC-77” ขึ้นมาส่งวิทยุเข้า บก.พัน เพื่อรายงาน “กองสิงห์” ด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่ตื่นเต้น จนพูดวิทยุแทบไม่เป็นภาษาคน
“กองสิงห์จาก สลาตัน ขณะนี้สลาตันตรวจการณ์พบแสงไฟ 4 จุด กำลังเคลื่อนที่ขึ้นมาจากหุบ ช่วยให้หมวดอาวุธหนักยิงสลุตให้หน่อยครับ”
“สลาตันจากกองสิงห์ พูดวิทยุให้มันรู้เรื่องหน่อยซีโว้ย ไอ้หอก พูดซะเร็วจี๋ หยั่งกับรถด่วนยังนี้ ใครจะไปฟังมึงรู้เรื่องวะ กูเห็นแล้ว...แล้วก็รู้สึกว่า พวกมันจะขึ้นไปหาตรงบริเวณที่มึงอยู่เสียด้วย ตายแน่มึง ไอ้ดำเอ๋ย ...เฮ้ย บอกทหารลงหลุมให้หมดด้วย ประเดี๋ยวสปุกกี้จะมาทำงาน”
“กองสิงห์” ผบ.พันพูดสวนวิทยุกลับมาในทันทีทันใดที่เจ้าดำรายงานเหตุการณ์จบลง
รู้สึกว่า มันจะเป็นโชคที่เข้าข้างของกองพันผมอยู่มากเลยทีเดียว ตามปกติ เครื่อง “สปุกกี้” หรือเครื่องบินสองเครื่องยนต์แบบ “C-47” (ดาโกต้า) ติดอาวุธปืนใหญ่อากาศเจาะเกราะ ไม่ค่อยจะบินมาสนับสนุนในตอนกลางคืนเท่าใดนัก
ฟลุ๊คอย่างมหาฟลุ๊ค เจ้าสปุ๊กกี้เกิดบินผ่านพื้นที่ของผมทันเวลาพอดี
“สนุกแน่ไอ้แกว ลองแดกกระสุนเจาะเกราะดูบ้าง แล้วมึงจะรู้สึก”
ไอ้โล้นแหกปากร้องออกมาค่อนข้างดัง แล้วคลานสี่ตีนเข้าไปหยิบวิทยุ PRC-77 ของเจ้าดำขึ้นมาวางเอาไว้บนแนวกระสอบทรายแล้วหันกลับมาถามผมอีกครั้ง
“หมวด ฟรีเคว็นซี่ ของ สปุ๊กกี้เท่าไหร่ครับ สี่สิบหกหรือว่า ห้าสิบหก ผมชักจะลืมๆ เอาเซี๊ยแล้ว”
“ไอ้หอก ผิดทั้งสองอย่างโว้ย อะไรวะ จำความถี่ของสปุ๊กกี้ไม่ได้ เวลาฐานแตกคงได้แดกข้าวลิงกันเท่านั้น สี่สิบเก้าจุดหนึ่งศูนย์ แบนด์ต่ำ แล้วช่วยเร่งวอลลุ่มให้เต็มที่ด้วย อั๊วจะฟังล่ามคนใหญ่ทำงาน เห็นเขาลือกันนักว่าสำเนียงอังกฤษเอร็ดอร่อยนัก”
ยังไม่ทันไอ้โล้นจะหมุนฟรีเคว็นซี่ไปยังตำแหน่งที่สปุ๊กกี้ใช้งาน เสียงของกองสิงห์ก็แว่วผ่านลำโพงอีกครั้ง
“สลาตันจากกองสิงห์ คอนรับบูลเล็ตเฮดด้วย กำลังจะไปที่สลาตันเดี๋ยวนี้”
ไอ้โล้นตอบรับคำสั่งจาก ผบ.พัน เสร็จแล้วก็ลุกขึ้นมานั่งยองๆอยู่บนกระสอบทรายแหงนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า พร้อมกับเงี่ยหูฟังเสียงเครื่องบินด้วยท่าทางตื่นเต้นเอาการ
ชั่วอึดใจ ผมก็ได้ยินเสียงหึ่มๆ ของสปุ๊กกี้ดังแว่วๆอยู่ บนท้องฟ้า และพร้อมๆกันนั้น ผมก็ได้ยินเสียงกว้บก้าบออกมาจากร่องสนามเพลาะทางด้านซ้ายมือ
ไฟฉายเดินทางชนิดพรางแสงสีแดงเรื่อ ส่องกราดมาตามร่องสนามเพลาะ ร่างของทหารรับจ้าง 3 คนปรากฏออกมาจากความมืด คนหนึ่งในจำนวนนั้นขานตำแหน่งออกมาเบาๆ
“หมวด ช่วยเลือกภูมิประเทศที่ตรวจการณ์มองเห็นแสงไฟให้ผมด้วยครับ ผมจะคอนโทรลให้สปุ๊กกี้ยิงถล่มพวกมันเดี๋ยวนี้”
“บุลเลตเฮด” ล่ามประจำกองพันที่หุ่นเท่ห์หยั่งกับพระเอกหนัง สพายวิทยุ PRC-77 เดินตรงเข้ามาหาผมด้วยอากัปกริยาที่เร่งรีบ
เสียงเครื่อง “สปุ๊กกี้” ที่บินหึ่งๆอยู่บนท้องฟ้า ทำให้บุลเลตเฮดไม่มีเวลาทักทายพูดคุยกับผมมมากมายนัก พอเลือกภูมิประเทศที่ตรวจการณ์ให้ บุลเลตเฮดก็เริ่มปฏิบัติงานทันที
สต๊อบ-ไลท์ ไฟให้สัญญาณตำแหน่งที่ตั้งของบุลเลตเฮดถูกเปิดสวิทช์ขึ้นในฉับพลัน
ไฟกระพริบสีเหลืองเข้มแบบตัดหมอกจากเครื่องสต๊อบ-ไลท์ พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นจังหวะต่อเนื่องกัน
สปุ๊กกี้ลดเพดานบินลงมาทุกขณะ เสียงเครื่องยนต์ของมันได้ยินถนัดหูขึ้นทุกที
“บุลเลตเฮด... บุลเลตเฮด... ฟรอมสปุ๊กกี้ โอเวอร์”
พนักงานวิทยุประจำเครื่องสปุ๊กกี้เรียกล่ามประจำกองพันผมด้วยภาษาอังกฤษอู้อี้ และเร็วปริ๊ดจนผมแทบฟังไม่รู้เรื่อง
ด้วยสำเนียงภาษาอังกฤษที่ชัดเปรี๊ย บุลเลตเฮด เริ่มประสานงานกับเครื่องสปุ๊กกี้ในทันทีทันใดที่ได้รับการติดต่อมา
สปุกี้ลดเพดานบินลง จนกระทั่งผมมีความรู้สึกว่า ขณะนี้มันบินต่ำจากฐานปฏิบัติการของผมลงไปเกือบจะถึงตีนเขาเลยทีเดียว
“พรึ๊บ”
ประกายไฟจากลูกแฟลร์ขนาดยักษ์สว่างพรึบขึ้นมาในหุบลึกเบื้องล่าง
แสงสว่างขนาด 1000 แรงเทียนสาดกระจายไปรอบทิศ... หุบเขาเบื้องล่างสว่างโพลนเหมือนกับโดนแสงอาทิตย์
ลูกไฟวิ่งลงจากเครื่องสปุ๊กกี้เป็นสายเหมือนกับผีพุ่งไต้...
อา... ปืนใหญ่อากาศชนิดกระสุนเจาะเกราะจากเครื่องสปุ๊กกี้เริ่มระดมยิงแสงไฟทั้ง 4 จุดเข้าให้แล้ว...
เสียงระเบิดของกระสุนปืนแทนที่มันจะดังปึงปังเหมือนกับปืนชนิดอื่นๆ กลับปรากฏว่ามันดังปืดๆ ปืดๆ ยาวเป็นพรืดติดต่อกันด้วยเสียงพิกลหูที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมา
ด้วยปืนใหญ่อากาสแบบ “มินิ-กัน” ที่ยิงได้นาทีละ 6000-7000 นัด เครื่องสปุ๊กกี้ยิงถล่มหุบลึกดังกล่าวเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม จนกระทั่งกระสุน 80000 นัดที่บรรทุกมาเต็มระวางหายวับไปในชั่วพริบตา
สปุ๊กกี้บินกลับอุดรไปแล้ว บุลเลตเฮด นั่งคุยกับผมอยู่ชั่วครู่ก็ขอตัวกับ บก.พัน
จากชั่วเวลาอันเล็กน้อยที่ผมกับบุลเลตเฮด ได้สังสรรค์กัน ทำให้ผมได้ทราบฉากหลังของเขาพอสมควร
บุลเลตเฮด เป็นนักเรียนนอก ชื่อจริงของเขาคือ “อรินทร์ สนิทวงษ์ ณ อยุทธยา” พออายุได้ 7 ขวบก็ต้องติดตามคุรพ่อ “มล.ซัง สนิทวงศ์ ณ อยุทธยา” ไปอยู่สหรัฐอเมริกาเกือบ 15 ปีเต็ม
ตำแหน่งของคุณพ่อซึ่งเป็นทูตไทยประจำสหรัฐทำให้บุลเล็ตเฮดไม่ค่อยจะสนใจการเรียนเท่าที่ควร พอกลับประเทศไทย ก็เลยสมัครเป็นชุดเฝ้าถนน ปฏิบัติการอยู่ ณ บริเวณเส้นทางโฮจิมินส์(ลาวเหนือ)เกือบ 4 ปีเต็ม
ต่อจากนั้น บุลเลตเฮดก็โอนมาเป็น F.A.G. (ล่ามกองพัน) รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกผมจนกระทั่งสงครามลาวต้องยุติลง (ตามข้อตกลงจอมปลอมของลาวแดง) ขณะนี้บุลเลตเฮดทำงานเป็น “สจ๊วต-แอร์-สยาม” สบายองค์ไปซะแล้ว
ก่อนสว่าง ผมก็ได้รับคำสั่งจากกองสิงห์ให้นำทหารหนึ่งหมวดลงไปกวาดล้างบริเวณพื้นที่ ที่เพิ่งจะโดนสปุ๊กกี้ยิงถล่มลงไปอย่างสดๆร้อนๆ ในตอน 07.00 น. ของเช้าวันเดียวกันนั่นเอง...
เส้นทางลงจากยอดเนิน ชันเกือบ 70 องศา ผมพาทหารรับจ้าง 15 คนเดินแถวเรียงเดี่ยวมุ่งหน้าลงไปยังหุบลึกเบื้องล่างด้วยจิตใจที่สับสนอลเวงยิ่งกว่าทุกครั้ง สายหมอกที่เปลี่ยนสภาพกลายเป็นหยดน้ำค้างพร่างพรมเปียกชื้นไปทั่วบริเวณ ทำให้เส้นทางเดิน ลื่น จนกระทั่งทหารรับจ้างบางคนล้มหกคะเมนไม่เป็นท่า
เจ้าดำ พนักงานวิทยุลื่นไถลลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่เบื้องล่างเป็นคนแรก และบัดซบที่สุด เสาอากาศของเครื่อง “HT-2” หักสะบั้นเหลือแต่โคนเสา...ทำให้การติดต่อประสานงานกับกองพันของผมโดนตัดขาดไปโดยปริยาย
สามชั่วโมงเต็มๆที่ผมพาทหารลงไปในหุบลึก ที่ลึกเสียจนกระทั่งผมมองไม่เห็นยอดเนิน “เดลต้า-แยงกี้” อันเป็นที่ตั้งฐานปฏิบัติการของพวกผมเอง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ผมก็ถึงจุดที่สปุ๊กกี้ทำงาน
ต้นไม้ขนาดใหญ่พรุนไปหมด กิ่งไม้ขนาดเท่าโคนขาขาดกระเด็นเหมือนโดนขวานจาม สพทหารเวียดนามเหนือ 8 คน นอนระเกะระกะในสภาพที่ร่างกายขาดวิ่นไม่มีชิ้นดี
ไอ้โล้นซึ่งลาดตระเวณล่วงหน้าขึ้นไปก่อน หันหลังกลับ คลานสี่ตีนเข้ามาหาผมพร้อมกับกระซิบเบาๆ ด้วยท่าทางที่ตื่นเต้น
“หมวด... เจอะรอยเลือด... และที่บริเวณพื้นดินมีรอยลากเป็นทาง รอยยังใหม่ๆอยู่เลย ถ้าตามเป็นได้ตัวแหงๆ จะเอายังไงดีครับ”
ในฐานะผู้บังคับหมวด ผมออกคำสั่งให้ทหารรับจ้างเคลื่อนที่ออกไปยังภูมิประเทศเบื้องหน้า ด้วยรูปขบวนแถวเรียงเดี่ยวโดยเว้นระยะกันพอสมควร
จากลักษณะของป่าที่ค่อนข้างทึบเปลี่ยนสภาพเป็นป่าโปร่ง ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ห่างๆกัน ทำให้การเคลื่อนที่ของพวกผมสะดวกสบายยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“หมวด เจอะแล้ว... นอนพิงต้นมะม่วงอยู่โน่น”
ลูกน้องคนหน้าหน้าสุดร้องออกมาค่อนข้างดังพร้อมกับก้าวเท้าพรวดออกไปอย่างลืมตัว
“บึ้ม”
เสียงประหนึ่งอสุนีบาตฟาดเปรี้ยงลงมาข้างๆตัว เศษดินและเศษใบไม้ที่ปลิวว่อน ทำให้ประสาทตาของผมมองอะไรไม่เห็นไปชั่วขณะ
สัญชาตญาณที่ผ่านการฝึกและการรบมาอย่างจำเจ ทำให้ผมฟุบตัวเองลงกับพื้นดินเหมือนกับเป็นอัตโนมัติ
พอควันจางลง เศษหมูบ๊ะช่อกองมหึมาก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้า กลิ่นคาวเลือดคลุ้งไปทั่วบริเวณ อนิจจา พล ณรงค์ รักชาติ “รองหัวหน้าชุดยิง” ลูกน้องใจถึงของผมโดนกับระเบิดเละไปหมดทั้งตัวเสียแล้ว
ภาพอันสยดสยองที่อยู่เบื้องหน้าทำให้ประสาทของทหารรับจ้างแทบจะโบยบินออกจากร่าง พลชิดชัยซึ่งหมอบอยู่ข้างหลัง พลณรงค์ ผู้เคราะห์ร้าย รีบคลานแยกออกไปทางซ้ายมืออย่างขวัญเสีย
“บึ้ม”
กับระเบิดของเวียดนามเหนือ ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์ที่สุด ร่างของพลชิดชัยหายวับไปกับตา ชิ้นส่วนร่างกายถูกอำนาจสะเก็ดระเบิดเฉือนออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยปลิวว่อนออกไปรอบๆ... บางชิ้นปลิวมากระทบใบหน้าของผมจนรู้สึกชาไปทั้งแถบ
ยังไม่ทันที่ผมจะออกคำสั่งอะไรออกไป ก้ได้ยินเสียงรัวเป็นประทัดแตกของปืนกลอาร์ก้าดังระงมออกมาจากโคนต้นมะม่วงป่าที่มีร่างของทหารเวียดนามเหนือนอนพิงอยู่นั้น...
จะเคลื่อนที่ออกไปทางข้างๆ ก็โดนกับระเบิดของทหารเวียดนามเหนือซึ่งวางเอาไว้อย่างถี่ยิบ... ทางเดียวที่พวกผมกระทำได้ในขณะนี้ก็คือ ถอยหลังกลับออกไปจากพื้นที่สังหารดังกล่าว
อนิจจา แม้กระทั่งทางเดียวที่ผมคิดเอาไว้ก็ดูเหมือนจะไม่มีหวังเสียแล้ว
อาร์ก้าไม่น้อยกว่า 3 กระบอก คำรามขึ้นมาด้วยการยิงแบบอัตโนมัติเต็มตัว เสียงเล็กแหลมที่ดังอยู่เบื้องหลัง แนวกระสุนฉีกพื้นดินที่อยู่ข่างๆตัวผมกระจุยกระจายเป็นทางยาวจนเย้นวาบไปทุกขุมขน... อา พวกผมโดนบีบให้ตกอยู่ในพื้นที่สังหาร ผคิลลิ่งโซน) ของข้าศึกเสียแล้วรึนี่
ถอยหลังก็โดนจวกด้วยอาร์ก้า... เคลื่อนที่ไปข้างหน้าก็เจอะกับ กับระเบิดและพลซุ่มยิงที่มีฝีมือเหมือนกับผีจับยัด
พฤติการดังกล่าว ดูเหมือนข้าศึกจะจงใจบีบให้พวกผมเคลื่อนที่เข้าไปในดงกับระเบิดที่วางอยู่ทั้งสองด้าน
“บึ้ม...วี้ด...บึ้ม”
“บึ้ม...วี้ด...บึ้ม”
เสียงจรวดแม็กนีโต 2 นัดซ้อนๆ จากที่ตั้งยิงแห่งไหนไม่ปรากฏ คำรามแหวกเสียง M.16 และ อาร์ก้าดังขึ้นมาสนั่นหวั่นไหว
ตำบลกระสุนตกนัดแรก หล่นโครมลงไปบนที่หมายต้นมะม่วงป่าเบื้องหน้า... อำนาจจรวดจาก M-72 ถอนรากถอนโคนมะม่วงป่าล้มครืนลงมาเหมือนกับปาฏิหารย์
นัดที่สองกนระหึ่มขึ้นมาทางเบื้องหลัง แรงระเบิดอันมหาศาลของมันทำให้หูทั้งสองข้างของผมอื้อไปชั่วขณะ
เสียงอาร์ก้าเงียบลงเป็นปลิดทิ้ง... เงียบ... มันเงียบสงัดจนกระทั่งผมได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น วิทยุ HT-2 เสาหักซึ่งเจ้าดำสะพายอยู่ก็ดังลั่นขึ้นมาอย่างไม่มีขลุ่ย
“สลาตันจากทอร์นาโด ผมได้รับการร้องขอจากกองพันของคุณ ให้ออกช่วยเหลือพวกคุณ ขณะนี้พวกคุณตกอยู่ในดงทุ่นระเบิด สิ่งแรกที่ควรดกระทำก็คือ อยู่นิ่งๆ คอยฟังคำแนะนำจากพวกผมแต่อย่างเดียวเท่านั้น อันดับแรก M-72 2 กระบอกเตรียมยิงทำลายทุ่นระเบิด ที่หมายทางซ้ามือของพวกคุณในระยะ 20 เมตร
ไอ้โล้นดูเหมือนจะสติดีกว่าเพื่อน ผมเห็นมันคลานขึ้นไปหาเพื่อนของมันที่อยู่ข้างหน้า แล้วใช้ M-72 ยิงแหวกทำลายกับระเบิดในทันทีทันใด ที่ได้รับคำสั่งจากหน่วยช่วยเหลือ ที่พวกผมยังมองไม่เห็นตัว
ไม่ถึงห้านาที ดงระเบิดอันถี่ยิบของทหารเวียดนามเหนือที่พวกผมจับพลัดจับผลูหลุดเข้ามาอยู่บริเวณใจกลางของพวกมันก็ถูกทำลายลงจนหมดสิ้น
ทหารรับจ้างเจ้าของนามสถานี “ทอร์นาโด” 4 คน ปรากฏตัวออกมาจากทางขวามือด้วยลักษณะการเดินที่เงียบเชียบจนแทบไม่ได้ยินเสียงของการเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น
ชุดเครื่องแบบเก่าคร่ำคร่าขาดรุ่งริ่งจนดูแทบไม่ออก ว่าเป็นเครื่องแบบของทหารพราน หมวกเบเรต์ที่สวมอยู่บนศรีษะปรากฏรอยเลือดเป็นคราบถนัดตา
คนที่นำหน้าสุดถือวิทยุ “HT-2” อยู่ในมือข้างซ้าย วิทยุเครื่องนั้นเสาอากาศหักเหลือแค่โคนเช่นเดียวกับเครื่องประจำหมวดของผมเหมือนหยั่งกับนัดเอาไว้
“เหม็นชิบหายเลยหมวด... โอ้โหกลิ่นหยั่งกับผีตายซากแน่ะครับ น่ากลัวพี่แกคงจะไม่ได้อาบน้ำเป็นปีๆละกระมัง”
ไอ้โล้นกระซิบกระซาบกับผมพร้อมกับทำจมูกฟุดฟิดอยู่ตลอดเวลา
“สวัสดีครับ ผม สอ.แฟง แสงทอง ตำแหน่งรอง ผบ.หมวด 4 ร้อย 3 BC.606 A และนี่ลูกน้องของผมทั้งนั้น พวกคุณโชคดีมากครับที่หลุดออกมาจากดงระเบิดนี้ได้”
ในขณะที่แนะนำตัว สอ.แฟง แสงทอง ก็นั่งทรุดตัวลงนั่งบนขอนไม้ ส่งสายตามองดูที่กระติกน้ำของผมด้วยท่าทางกระหายจัด และถ้าประสาทจมูกของผมไม่ผิดปกติ ผมได้กลิ่นสาปสางของซากสพอบอวลอยู่ใกล้ๆ หยั่งที่เจ้าโล้นตั้งข้อสังเกตุเอาใว้ไม่มีผิด
ผมปลดกระติกน้ำส่งให้ สอ. แฟง แสงทอง เขารับไปดื่มแล้วส่งให้ลูกน้องจนครบทุกคน
“ผมไปละครับ แยกกันตรงนี้เลย ขอให้พวกคุณและทหารไทยทุกคนที่อยู่บนโน้นโชคดี”
ร่างของ สอ.แฟง แสงทอง และลูกน้องทั้งสามคน เดินกลับออกไปทางเก่าอย่างเงียบเชียบเหมือนกับปีศาจ ไอ้โล้นยกวิทยุชำรุดเครื่องนั้นขึ้นมาเรียกหา สอ. แฟง คลื่นวิทยุซู่ซ่า ไม่ปรากฏเสียงตอบมาเหมือนอย่างเคย
ไอ้โล้นจ้องหน้าผมนิ่งอยู่ชั่วครู่ อากัปกริยาของมันคล้ายๆ กับจะพูดออกความเห็นอะไรวักอย่างหนึ่งออกมา เพื่อขวัญและกำลังใจของลูกน้อง ผมจำเป็นต้องขยิบตาเป็นทำนองปรามมันอยู่ในที
12.00 น. หมวดลาดตระเวณของผมเริ่มตรวจค้นศพทหารเวียดนามเหนือ เอกสาร..เครื่องหมายยศถูกรวบรวมเอาไว้อย่างเป็นสัดส่วน
ไอ้โล้นใช้มีดเฉือนใบหูข้างขวาจากศพทหารเวียดนามเหนือจำนวน 12 คนออกมาแล้วร้อยเป็นพวงด้วยสานเคลย์โมว์ ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักฐานในการปฏิบัติงานกวาดล้างของพวกผมนั่นเอง
ทหารรับจ้างพากันรวบรวมชิ้นส่วนศพของพล.ณรงค์ และพล.ชิดชัย ห่อด้วยเสื้อกันฝน “ปันโจ” แล้วพากันเดินทางขึ้นจากหุบลึกในครึ่งชั่วโมงต่อมา
เกือบหกชั่วโมงเต็มๆ ที่พวกผมปีนขึ้นมาจาก “หุบนรก” พอเท้าสัมผัสยอดเนิน “เดลต้า-แยงกี้” ลูกน้องของผมถึงกับนอนแผ่หลาด้วยความอ่อนระโหยโรยแรงไปตามๆกัน
“เฮ้ย...ทำไมลื้อไม่ติดต่อวิทยุขึ้นมาวะ เสียงระเบิดตึงตังโครมครามลั่นหุบไปหมด อั๊วจะสั่งหน่วยช่วยเหลือลงไปก็กลัวจะไม่ประสานงานกัน เกิดจวกกันเองก็ป่นกันไปเท่านั้น ทำกันอีท่าไหนวะถึงหลุดเข้าไปในดงกับระเบิดของพวกมันเข้า”
“กองสิงห์ ผบ.พัน ซึ่งฟังคำบอกเล่าอย่างคร่าวๆจากลุกน้องคนนึงของผมเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกับส่งเบียร์กระป๋องมาให้ ผมส่งต่อให้ไอ้โล้นแล้วถาม “กองสิงห์” ออกไปด้วยความแปลกใจ
“ผู้พันแน่ใจหรือครับว่า ไม่ได้ขอร้องให้ทหารจากกองพัน 606A ลงไปช่วยเหลือผม”
“ไอ้ห่า ถามชอบกล ตั้งแต่พวกลื้อขาดการติดต่อทางวิทยุ อั๊วก็เดินทางมารอลื้ออยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอน 5 โมงเช้า อั๊วไม่ได้ติดต่อขอความช่วยเหลือจากทหารกองพันใดๆทั้งสิ้น”
ไอ้โล้นหันขวับมามองผม แล้วหันกลับไปเล่าเหตุการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหุบลึกเบื้องล่างให้กองสิงห์ฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
กองสิงห์อ้าปากหวอ ทำหน้าเหมือนกับโดนผีอำ ชั่วอึดใจท่านก็ปราดเข้าไปที่วิทยุ PRC-77 ติดต่อสอบถามกับกองพัน 606A ด้วยท่าทางตื่นเต้นอยู่ชั่วครู่ก็หิ้ววิทยุเดินมาหาพวกผม พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาด้วยคำพูดที่ผมเย็นเยือกไปทั่วขุมขน
“เฮ๊ย มันยังไงกันวะ อั๊วปวดกระดหลกจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว ส.อ.แฟง แสงทอง ที่ลงไปช่วยพวกลื้อออกจากดงระเบิดนั่น อั๊วเช็คไปที่กองพัน 606A แล้วมีตัวตนจริง แต่ทว่าตายห่าไปตั้ง 3 เดือนแล้ว จากการประทะกับทหารเวียดนามเหนือตอนฐานแตกบริเวณหุบข้างล่างนั่นแหละ หมอตายพร้อมๆกับลูกน้องอีก 3 คน ไอ้ห่า... พวกลื้อแหกตาอั๊วหรือปล่าววะ? ”
เสียงของกองสิงห์ไม่ใช่ค่อยๆ ลูกน้องของผมที่นอนพังพาบอยู่กับพื้น เผ่นขึ้นมานั่งเบียดอยู่ข้างๆ ผมเป็นกระจุก เหมือนกับนัดกันเอาไว้ ไอ้โล้นเทเบียร์พรวดลงไปในกระเพราะ แล้วบ่นพึมพรำออกมาเบาๆ
“กูว่าแล้ว... กลิ่นสาปสางหยั่งกับผีตายซาก ผีหมู่แฟงแหงๆ ผู้พัน นึกสงสัยตั้งแต่ตอนวิทยุเสาหักเสือกติดต่อได้แล้ว วิญญาณหมู่แฟงคงจะเป็นห่วงพวกเราแน่ๆ ไปผุดไปเกิดเถิดเพื่อนฝูง อย่าทนทุกข์ทรมานอยู่อีกเลย”
ผมประสาทชาดิกไปทั้งร่าง ภาพของ ส.อ.แฟง แสงทอง ในสภาพที่เครื่องแต่งกายกระรุ่งกระริ่งผุดขึ้นมาในห้วงสำนึก
“เพื่อนเอ๋ย เพื่อนจะเป็นผี หรือเป็นคนก็ตามที พฤติการณ์ของเพื่อนที่ช่วยชีวิตพวกผมเอาไว้ ผมจะลืมไม่ได้จนชั่วชีวิตนี้”
ท่านผู้อ่านที่เคารพ สิ่งที่เหลือเชื่อและสิ่งน่าพิศวง มักจะบังเกิดขึ้นเสมอๆ โดยไม่เลือกสถานที่ ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ผมไม่เคยลืม ส.อ.แฟง แสงทอง ทหารผีกล้าตายคนนั้น”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 15, 2015, 10:14:24 AM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11794 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2015, 09:55:41 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง


อัพเดตตลาดปืน มือ 2 วันนี้  http://2013.gun.in.th/index.php?board=6.0  ถ้ายังไม่ได้สมัครสมาชิกให้สมัครด้วยครับ
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11795 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2015, 08:13:02 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง



ทหารรับจ้างเดนตาย ผลงานของสยมภู ทศพล
ตอนที่ 2 ยอดวีรบุรุษกระเทย (จบในตอน)
ผมกับไอ้โล้นนั่งเต๊ะท่าอยู่บน “แลนเซอร์” สีมัสตาดรุ่นล่าสุด ที่กำลังแล่นกินลมอย่างช้าๆผ่านสนามม้าราชกรีฑาสโมสร
นาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลา 23.00 น. พอดิบพอดีไอ้โล้นยกมือทั้งสิบนิ้วขึ้นมาพนมจรดหน้าผากแล้วหันไปไหว้สนามม้า ปากขมุบขมิบเหมือนจะอธิฐานอะไรอยู่ในใจ
“อะไรของมึงวะ ไอ้โล้น เมื่อกี้ก็หนนึงแล้ว อีตอนผ่านวัดเบญจะ... แทนที่มึงจะยกมือไหว้วัด มึงกลับยกมือไหว้สนามม้านางเลิ้งซะนี่ แล้วก็ครั้งนี้มึงไหว้สนามราชกรีฑาอีก มึงเกิดบ้าอะไรของมึงขึ้นมาวะ ไอ้โล้น”
ไอ้โล้นเอนหลังกับพนักพิงแล้วเปิดกระเป๋าเสื้อหยิบ “วินสตั้น” ออกมาคาบไว้ที่ริมฝีปาก
“เอ้า... ไหนมึงสัญญาว่าจะเลิกสูบบุหรี่ ถ้าวันไหนมึงสูบให้เห็น มึงจะต้องจ่ายตัวละ 500 บาท จ่ายมาเสียดีๆ ไอ้อิสลามนอกรีด”
“ยังก่อน ผู้เป็นสหายร่วมตายและนายข้า การสูบบุหรี่ที่ครบเครื่อง มันจะต้องจุดไม้ขีดสูบใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ โปรดสังเกตุ ไอ้โล้นเพียงแต่คาบบุหรี่เปล่าเอาใว้เท่านั้น เหตุผลง่ายๆ... แก้กระสันต์บุหรี่ครับผม พยายามคาบบุหรี่เปล่าๆ วันละหนสองหน มันก็เลิกได้เองใช่ไหมครับ ผู้หมวด”
จับไม่มั่นคั้นไม่ตาย ไอ้โล้นก็เอาตัวรอดจากการจ่ายเงินไปอีกจนได้ มันดีดบุหรี่ปลิวออกไปนอกหน้าต่างรถ ปากก็พึมพำออกมาอีก
“หมวดสงสัยอะไรครับ หมวดเป็นพุทธมามะกะที่นับถือพุทธศาสนาเป็นชีวิตจิตใจ ความสุขทางใจก็คือ การได้กราบไหว้สักการะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพุทธ ส่วนผมถึงแม้โครตเหง้าจะนับถือศาสนาอิสลาม แต่ผมก็เป็นอิสลามนอกคอกที่ไม่ถืออะไรเลย ที่ผมไหว้สนามม้าแทนวัด มันจะผิดแปลกอะไรตรงไหน ก็ในเมื่อเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมาทั้งสองวัน ผมมีโชคจากการเล่นม้าทั้งสองสนามเกือบสามหมื่นบาท แล้วผมจะไม่จดจำบุญคุณของสนามได้อย่างไรกัน เลี้ยวซ้ายดีกว่าหมวด ขึ้นไปนั่งเต๊ะท่าบนดุสิตธานีให้กระเป๋ามันแฟบเล่นดีกว่า”
ผมหักพวงมาลัยพาเจ้าแลนเซอร์ที่ไอ้โล้นเพิ่งจะเช่ามาจากสถาบริการแห่งหนึ่งด้วยค่าเช่าที่แสนแพงลิบลิ่ว เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าไปยังดุสิตธานีที่มองเห็นสว่างไสวด้วยแสงฟลูออเรสเซนต์อยู่เบื้องหน้า
กระหรี่โทรมๆ หน้าแก่เหมือนกับแรดค้างปียืน “สี” ตำรวจอายุคราวพ่ออยู่ข้างๆป้อมยาม ทางเข้าโรงพยาบาลจุฬาพลุกพล่านเป็นพิเศษยิ่งกว่าทุกๆคืน ห่างจากทางเข้าโรงพยาบาลออกไปจนเกือบจะถึงบริเวณสี่แยกค่อนข้างจะเปลี่ยวและมืดเอาการ
กลุ่มคนไม่น้อยกว่า 3 คน ทำอากัปกริยาเสมือนหนึ่งจะทำร้ายซึ่งกันและกัน มองเห็นวอมแวมอยู่ตรงฟุตบาททางซ้ายมือของสี่แยกพอดี
“ดับไฟ... หมวด ดูไอ้โก๋มันฉึ่งกันข้างหน้าโน่น เอ้า มีผู้หญิงด้วยนี่หว่า”
ไอ้โล้นชี้มือชี้ไม้ให้ผมมองดูเหตุการณ์ข้างหน้าอย่างมันเขี้ยว ผมเบาเครื่องยนต์ ดับไฟหน้ารถ หักพวงมาลัยชิดซ้าย ปลดเกียร์จอดรถซุ่มดูเหตุการณ์ซึ่งกำลังมั่วขึ้นทุกขณะ
ดรุณีนางหนึ่งถือรองเท้าแบบส้นหนา(รูปร่างเหมือนเตารีด) เอาใว้ในมือทั้งสองข้าง เท้าทั้งสองก็ยกเตะกราดปิดป้องจิ๊กโก๋ทั้งสองคนซึ่งถือมีดพกยาวเปลือยอยู่ตลอดเวลา
“ฉิบหาย... กระเทย ผมนึกว่าผู้หญิงเสียอีก ลงไปช่วยมันหน่อยนะผู้หมวด”
ไอ้โล้นกระซิบกับผม พร้อมกับดึงล็อคขยับบานประตูเผยอออกไปอย่างช้าๆ
มันไม่ทันการณ์เสียแล้ว กระเทยใจร้อนคนนั้นขว้างรองเท้าเตารีดตูมลงไปบนใบหน้าของจิ๊กโก๋คนที่ถือมีด และในจังหวะที่จิ๊กโก๋ยกมีดขึ้นเสมือนหนึ่งจะปิดป้องใบหน้าของมันนั่นเอง ผมก็มองเห็นกระเทยกระตุกมีดโกนออกจากกระเป๋าหลังสะบัดข้อมือนิดนึงแล้วกระโจนเข้าหาจิ๊กโก๋ที่กำลังยืนตะลึงด้วยชั้นเชิงการต่อสู้ที่ผมนึกนิยมชมชอบอยู่ในใจ
“ฉับ, ฉับ, ฉับ, ฉับ”
ใบมีดโกนซึ่งกระชับพาดอยู่ที่สันมือขวาปาดลงไปบนหน้าอก,แขน,ใบหน้า และครั้งสุดท้ายก็เฉือนลงไปบนหลอดลมของจิ๊กโก๋ผู้เคราะห์ร้ายตนนั้นอย่างถนัดถนี่
เสียงร้องโอดโอยที่ดังไม่ได้ศัพท์อยู่ตลอดเวลาเงียบเสียงลงเป็นปลิดทิ้ง จิ๊กโก๋อันธพาลตัวงอลงกับพื้น โลหิตที่ทะลักออกมากระทบกับแสงไฟที่มัวซัวมองดูคล้ายๆกับจะเป็นสีดำ
จิ๊กโก๋อีกคนที่ยืนตะลึงอยู่ใกล้ๆ ล้วงปืนออกมาจากกระเป๋ากางเกง พร้อมกับเหนี่ยวไกยิงด้วยอาการผลีผลาม
“ปัง”
กระเทยใจถึงเซผงะออกไปนิดนึง ไหล่ซ้ายคู้ห้อยลงทันตาเห็น ก่อนที่จิ๊กโก๋ผู้ยิงจะทันตั้งตัว กระเทยผู้เมาเลือดก็กระโจนเผ่นเข้าประชิด คราวนี้คุณเธอก็ซอยมีดโกนอย่างไม่เลี้ยง ไม่ถึงนาทีจิ๊กโก๋มือปืนก็ยับไปทั้งร่าง
เสียงฝีเท้าว่งตั๊บๆมาเบื้องหลัง ไอ้โล้นซึ่งลงไปยืนอยู่ข้างล่างตั้งแต่เมื่อไร ผมไม่ทันสังเกตุเห็น รีบเผ่นกลับขึ้นมานั่งบนรถ ละล่ำละลักขึ้นมาด้วยท่าทางเป็นห่วงกระเทยคนนั้นอย่างจับจิตจับใจ
“หมวด ตำรวจกำลังควบมาโน่น สงเคราะห์กระเทยมันหน่อย โน่นออกวิ่งเลี้ยวซ้ายไปทางโรงพยาบาลตำรวจโน่นแล้ว ช่วยเหลือมันหน่อยครับ”
ผมกระแทกคลัช ตบเกียร์ พาแลนเซอร์กระโจนพรวดออกจากที่จอด ไอ้โล้นโผล่หน้าออกไปนอกรถ แหกปากร้องตะดกนเสียงหลง
“อีหนู ขึ้นมาบนรถนี่ ขืนชักช้าโปลิศซิวแหง๋ๆ”
กระเทยหันมามองไอ้โล้นนิดนึงพร้อมกับชลอฝีเท้าลง พอแลนเซอร์ของผมเลี้ยวซ้ายลับสายตาตำรวจก็วิ่งตีคู่เปิดประตูกระโจนเข้ามานอนหมอบตัวสั่นอยู่ท้ายรถ
ผมพาแลนเซอร์ควบผ่านเอราวัณ เลี้ยวซ้ายผ่านหน้าโรงพยาบาลตำรวจ ความเบาบางของการจราจรทำให้ผมใช้ความเร็วได้อย่างเต็มที่ ไม่ถึง 10 นาที ผมก็เฉิดฉายอยู่บนสะพานพระปิ่นเกล้าด้วยลักษณะการขับแบบชมวิว
ด้วยอำนาจเงินของไอ้โล้น กระเทยผู้บาดเจ็บได้รับการปฐมพยาบาลจากคลีนิคแห่งหนึ่งในย่านธนบุรีนั่นเอง
“หนูชื่อ วิรงค์ลอง บุญนาค เป็นญาติกับน้าปานช่างเสริมสวยมือดีที่พวกพี่ๆคงจะเคยได้ยินชื่อเสียงของน้าหนูมาแล้ว จิ๊กดฏ๋มันจี้หนูค่ะ โธ่... พี่ หนูเพิ่งซิวฝรั่งมาหยกๆสองหมื่นบาท พอลงจากดุสิตธานีไอ้เปรตสองตัวนี่ก็จี้ประกบหนูมาทันที กว่าจะได้โอกาสจวกกับมันก็แทบแย่ จะทำยังไงดี หนูฆ่าคนตายซะแล้ว กรุงเทพคงจะแคบเกินไปสำหรับหนู พวกพี่พอจะหาทางช่วยหนูได้ไหมคะ นี่ค่ะเงินสองหมื่นหนูยกให้พวกพี่ทั้งหมด”
ไอ้โล้นผลักเงินดอลล่าร์ปึกใหญ่กลับคืนไปให้วิรงค์ลอง แล้วหันมาออกความเห็นกับผมดวยท่าทางเอาจริงเอาจัง
“หมวด ลุงนวลที่ได้พักพร้อมกับเรา น่ากลัวแกไม่กลับแน่ครับ เอกสาร,ใบลา, แกฝากไว้ที่ผมทั้งหมด ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะยัดไอ้รงค์ข้ามฝั่งลาวไปอยู่กับกองพันเรา โดยใช้เอกสารของลุงนวลแทน ผมว่าสำเร็จแหง๋ๆ เอาน่าหมวด ลองมีทหารรับจ้างกระเทยมันซักครั้ง ไอ้พวกผีเปรตที่อยู่บนดอยมันจะได้แก้ขัดไปได้บ้าง”
ไอ้โล้นลูกน้องตัวดีของผมมันแส่เอาเรื่องฉิบหายบรรลัยจักรที่เฉียดคุกเฉียดตะรางมายัดเยียดให้ผมอีกแล้วไหมละ
มันก็เหมือนกับทุกๆครั้งที่ผมต้องใจอ่อนยอมร่วมมือกับไอ้โล้นไปโดยปริยายทุกทีซิน่า
วิรงค์ลองตัดผมเสียเหี้ยนศรีษะ ทรวงอกที่ฉีดไขเข้าไปล้นปรี่เป็นปัยหาที่ผมกับไอ้โล้นต้อวขบคิดกันอยู่นาน ในที่สุดเราก็แก้ปัญหาอย่างง่ายๆ ด้วยการใช้เสื้อแจ็กเก้ตฟิลด์ไซด์ขนาดใหญ่ สวมทับชุดเครื่องแบบเสือพราน และกำชับให้วิรงค์ลองระมัดระวังความผิดปกติอันนี้อย่างระมัดระวัง
เครื่องเพศชายของวิรงค์ลองได้รับการผ่าตัดมาแล้ว ด้วยการเปิดปลายเครื่องเพศออกแล้วยัดหนังหุ้มกลับเข้าไปข้างใน ต่อจากนั้นก็ตบแต่งบริเวณด้านนอกจนกระทั่งแนบเนียนเหมือนกับผู้หญิงคนหนึ่งเลยทีเดียว
“หมวด ของอีรงค์มันแต่งใหม่เหมือนของจริงไม่มีผิด ของผมพิสูจน์ดูแล้ว นิ๊งเป็นบ้าเลย”
“ไอ้โล้น ไอ้ลามกจกเปรต” ผมด่ามันออกไป
“อย่าเข้าใจผมผิดๆน่าหมวด พิสูจน์โดยใช้มือคลำอย่างเดียว ฮีท่อ ใครจะฟัดมันลง เห็นใส้เห็นพุงกันอยู่ทุกวัน ไม่มีฟิลลิ่งหรอกครับ จะมีก็คือความเอียนให้ตายห่า”
ไอ้โล้นสบถสาบานอย่างแข็งขันกับผมในขณะที่เราทั้งสามนั่งอยู่บนรถบัสที่กำลังมุ่งหน้าไปจังหวัดอุดร
ด้วยความหละหลวมของ บก.333 ผมยัดเยียด วิรงค์ลองแทนลุงนวลข้ามไปฝั่งลาวได้อย่างง่ายดายที่สุด
ก็มันทำไมจะไม่ง่ายละครับ บัตรประจำตัวของทหารรับจ้างก็ไม่เคยปรากฏว่ามี ใบลาที่ทาง บก.333 แจกให้ ก็คล้ายๆกับใบลาของโรงเรียนชั้นมัธยมศึกษา เรื่องทั้งเรื่อง ไอ้รงค์ก็เลยกลายเป็นตัวแทนลุงนวลไปโดยปริยายตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
มีเงินซะอย่าง บก.ส่วนหลัง กองพันของผมก็เลยต้องหุบปากนิ่งเหมือนเป่าสาก ไอ้รงค์ก็เลยกลายเป็นทหารรับจ้างเต็มตัว แถมมีเงินเดือน 1800 บาท สบายตัวไป
เนื่องจากเป็นช่วงที่ทหารรับจ้างกำลังจัดผลัดลาพักทุกคน จึงไม่ค่อยจะสนใจกันเท่าใดนัก
ฐานปฏิบัติการกองพันผมตั้งอยู่บนยอดที่สูงที่สุดของภูล่องมาศ ห่างออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาน 20 กว่ากอโลเมตร ก็เป็นที่ตั้งของที่ราบผืนมหึมา ที่ราบอันกว้างใหญ่ไพศาลที่กลายเป็นสุสานของทหารรับจ้างหลายสัญชาติ จนกระทั่งถูกนักรบทั่วๆไป ขนานนามที่ราบแห่งนี้ว่า “ทุ่งไหหิน – สมรภูมินรก”
ตีนเขาภูล่องมาส ทางด้านทิศตะวันตกเป็นพื้นที่ปฏิบัติการของพวกเรา ส่วนเนินที่ลาดลงไปทางทิสตะวันออกเป็นเขตปฏิบัติการที่เต็มไปด้วยอันตรายรอบด้านของทหารเวียดนามเหนือ
สามเดือนผ่านไปเหมือนกับติดบิน ไอ้รงค์หรือ “อีวิรงค์ลอง” ถูกไอ้โล้นฝึกอย่างหนักหน่วง อาวุธทุกชนิดที่มีใช้ในกองพัน ไอ้รงค์ยิงอย่างสนุกสนานเหมือนกับปืนเด็กเล่น แม้กระทั่งหลักสูตรการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ไอ้รงค์ก็สามารถเรียนรู้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว
และแล้ววันหนึ่ง ความลับของไอ้รงค์ก็แตก ทหารรับจ้างทุกคนรู้ว่า ไอ้รงค์เป็นกระเทยที่ได้รับการผ่าตัดมาเรียบร้อยแล้ว
ความลับของไอ้รงค์ฉาวโฉ่ขึ้นมาก็เพราะไอ้รงค์มีความรัก ไอ้รงค์หลงรัก ผบ.หมวดคนหนึ่งอย่างเป็นชีวิตจิตใจ มันยอมเสียตัวให้หมวดคนนั้นเป็นครั้งแรกในบังเกอร์ที่เย็นยะเยือกบนดอยภูล่องมาศที่สูงจากพื้นดินถึง 2017 เมตร
ทหารรับจ้างคนนึงบังเอิญมาพบเข้า ไอ้รงค์ก็เลยกลายเป็น “นางพิม” ที่ต้องห้ามไปเสียแล้ว
ไอ้รงค์ถูกประกบตัวแจ ไม่ว่าไอ้รงค์จะก้าวไปไหน ทหารรับจ้างผู้หิวกระหายก็เดินติดตามเป็นฝูง
ไอ้รงค์เป็นกระเทยที่บูชาความรักอย่างยิ่งยวด มันไม่ยอมเสียตัวให้ใครง่ายๆ เพราะมันรักเดียวใจเดียว ทุกห้องหัวใจมันมอบให้กับ ผบ.หมวดรูปหล่อคนนั้นจนหมดสิ้น
เค้าแห่งความยุ่งยากเริ่มก่อตัวขึ้นมาบนกองพันพันของผมเข้าให้แล้ว
ผบ.หมวดคนรักของไอ้รงค์ โดนลูกระเบิดตายในขณะลาดตระเวณเคลียร์พื้นที่ ตามกระแสข่าวที่ไม่ได้รับการยืนยัน มันเป็นอุบัติเหตุที่ทหารรับจ้างคนนึงจงใจให้มันบังเกิดขึ้น โดยตั้งความหวังเอาใว้ว่า การตายของ ผบ.หมวดรูปหล่อคนนั้น อาจจะทำให้ไอ้รงค์เปลี่ยนใจมารักเขาเข้าสักวันหนึ่ง
ไอ้รงค์เสียอกเสียใจแทบจะเป็นบ้า ร่างกายของมันผ่ายผอมจนผิดหูผิดตา ทุกวันตอนพระอาทิตย์จะลับเหลี่ยมเขา ไอ้รงค์นั่งเหม่อมองดูพื้นที่ ที่คนรักของมันเสียชีวิตด้วยลักาณะเซื่องซึมเหมือนกับคนวิกลจริต
หกเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมไอ้รงค์เริ่มยาวปะบ่าอีกครั้ง และพร้อมๆกับทหารเวียดนามเหนือก็ทุ่มก็ทุ่มกำลังเข้าโอบล้อมบดขยี้กองพันของผมทุกด้าน
ไอ้รงค์รบเหมือนกับคนบ้าเลือด มันยิงไปหัวเราะไปเหมือนกับคนวิกลจริต ทหารรับจ้างที่เวทนาไอ้รงค์ แอบมากระซิบบอกความลับในการตายของ ผบ.หมวดคนรักของมันให้ทราบ
ไอ้รงค์ตาขุ่นเหมือนกับหมาบ้า มันเดินพล่านตามหาทหารรับจ้างคนนั้นทั้งวัน แล้วก็บังเอิญทหารรับจ้างคนนั้นเกิดมาเสริมแนวยังพื้นที่ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของผมพอดี
ไอ้รงค์กระโจนพรวดลงไปขี่หลัง มีดโกนที่ผมจำติดหูติดดตา ในวันที่มันเชือดคอจิ๊กโก๋ที่หน้าโรงพยาบาลจุฬา ปาดฉับลงไปที่บริเวณคอด้านหลังของทหารรับจ้างมือระเบิดผู้นั้น จนกระทั่งคอขาดห้อยร่องแร่ง ทหารในร่องสนามเพลาะแตกฮือ ไอ้รงค์โยนมีดโกนทิ้ง นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนกับเด็กๆ
ทุกคนเห็นใจไอ้รงค์ ความเห็นใจทำให้ทหารรับจ้างแทบทุกคนปิดปากเงียบ เหตุการที่บังเกิดขึ้นในร่องสนามเพลาะถูกลืมไปจากความทรงจำอย่างสิ้นเชิง
ทหารเวียดนามเหนือบุกเข้าตีพวกเราระลอกแล้วระลอกเล่า การยิงต้านทานอย่างมีประสิทธิภาพของพวกเรา ทำให้พวกมันถอยลงไปซุกซ่อนอยู่ตามตีนเขา แล้วใช้อาวุธหนักลอบยิงทำลายพวกเราอยู่ตลอดเวลา
กองพันของเราประสพกับการสูญเสียเพิ่มขึ้นทุกที เนื่องจากอำนาจการยิงของปืน ค. กระบอกนั้น
ไอ้รงค์เข้าไปรับอาสากับ ผบ.พันขออนุญาตลงไปทำลายปืนกระบอกนั้นด้วยตัวของมันเอง
และแล้ว “ปฏิบัติการจองเวร” จากไอ้รงค์ก้ได้เริ่มต้นขึ้น ท่ามกลางความใจหายใจค่ำของทหารรับจ้างรอบด้าน
ไอ้รงค์ถอดชุดเครื่องแบบเสือพรานออกอย่างไม่ไยดี
รูปร่างสูงโปร่ง ผมยาวสลวยปะบ่า ทรวงอกเต่งตูมและอวบอัด ส่วนที่แสดงความเป็นเพศหญิงท้าทายสายตาทหารรับจ้าง จนบางคนส่งเสียงฮือฮาออกมาด้วยความเผลอใจ และที่เป็นพิเศษ ไอ้รงค์งัดเครื่องสำอางที่ซุกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิดขึ้นมาตบแต่งใบหน้าเป็นครั้งแรก
อย่าบอกใครเลยครับ รูปร่างหน้าตาของไอ้รงค์ เมื่อแต่งหน้าเสริมแล้ว ผู้หญิงที่จัดว่าสวยบางคนยังสู้มันไม่ได้
“ซืโฟ” แบบมัดข้าวต้มพร้อมด้วยสวิทช์ระเบิดถูกซ่อนเอาใว้ในผ้าขาวม้าที่ใช้เคียนเอวไอ้รงค์
ไอ้รงค์ถือธงขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของการยอมแพ้ เดินลงจากแนว มุ่งหน้าเข้าหาฐานที่ตั้งยิงอาวุธหนักของทหารเวียดนามเหนืออย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย
ทั่วทั้งร่างกายของมันเปลือยเปล่า จะมีก็เพียงผ้าขาวม้าเพียงผืนเดียวที่เคียนเอวอยู่เท่านั้น
ร่างของไอ้รงค์เดินเข้าใกล้ฐานยิงอันมั่นคงของทหารเวียดนามเหนือไปทุกขณะ ทหารรับจ้างบนแนวเงียบกริ๊บ สายตาที่มองตามร่างไอ้รงค์ บ่งบอกถึงการเอาใจช่วย ให้งานของมันสำฤทธิ์ผล
จากกล้องสนาม ผมมองเห็นร่างของไอ้รงค์หายลับเข้าไปในบังเกอร์ที่แข็งแรงของทหารเวียดนามเหนือ ผมมองเห็นแม้กระทั่งกลุ่มทหารเวียดนามเหนือที่วิ่งเข้ามากุ้มรุมไอ้รงค์เหมือนกับแร้งหิวโซ
ไอ้รงค์หายเข้าไปเกือบ 2 นาที สองนาทีที่เนิ่นนานที่สุดในชีวิต บัดดลนั้นเอง ผมก็มองเห็นประกายไฟสีส้มสว่างแวบขึ้นมา ณ บริเวณแห่งนั้น
“บึ้ม, บึ้ม, บึ้ม, บึ้ม”
เสียงระเบิด 4 ครั้งซ้อนๆ ดังขึ้นมาสนั่นก้องขุนเขา บังเกอร์อันแข็งแรงถูกอำนาจดินระเบิดแรงสูงถล่มทลายไม่มีชิ้นดี ปืน ค. อันทรงอานุภาพที่กดหัวพวกเราอยู่ตลอดเวลา ป่นไปในชั่วพริบตา
อา ไอ้รงค์ได้สละชีวิตของมันเพื่อกองพันของผมแล้ว ผมกวาดสายตามองดูรอบๆ ทหารรับจ้างบางคนก้มหน้าร้องไห้กับกระสอบทราย สะอื้นฮักเหมือนกับเด็กๆ
ห่ากระสุนที่เงียบเป็นปลิดทิ้ง เริ่มรัวเป็นประทัดแตกอีกครั้งหนึ่ง
ทหารรับจ้างสองหมวดเริ่มเกาะกลุ่มกันลงไปกวาดล้างฐานยิงของทหารเวียดนามเหนือ อันเป็นภารกิจสุดท้ายที่จะต้องปฏิบัติก่อนที่จะรวบรวมกำลังเข้าตีข้าศึกในโอกาสถัดไป
วีรกรรมของไอ้รงค์ที่มันสร้างขึ้น ถูกทหารรับจ้างเล่าต่อๆกันไปเหมือนกับนิยายโกหก ความเก่งกล้าของมันเป็นที่กล่าวขวัญกันไปทั่วสมรภูมิลาว ทหารรับจ้างบางคนให้สมญานามไอ้รงค์ว่า “ยอดวีระบุรุษกระเทย”
ความลับของ “วิรงค์ลอง บุญนาค” ก็คือ เป็นทหารรับจ้างกระเทยคนแรกในสมรภูมิลาว แต่ความลับที่เหนือกว่าความลับของวีระบุรุษกระเทยผู้นี้ยังไม่มีผู้ใดทราบ นอกจากผมและไอ้โล้นเพียงสองคนเท่านั้น นี่คือจดหมายฉบับสุดท้ายที่ “วิรงค์ลอง” ส่งให้ไอ้โล้นก่อนพบจุดจบ
…พี่หมวดและพี่โล้นที่เคารพอย่างสูง หนูหมดอาลัยตายอยากในชีวิตเสียแล้ว นมที่ฉีดกำลังจะเริ่มเน่าเฟะ เครื่องเพศหญิงที่ได้รับการผ่าตัดก็เน่าจนหนองไหลออกมาไม่เว้นแต่ละวัน วิ...อาย... ไม่กล้าไปหาหมอ... วิขอลาก่อน... ก่อนตาย วิจะขายชีวิตของวิให้แพงที่สุด แพงจนกระทั่งพี่ทั้งสองจะต้องไม่คาดคิดเลยจริงๆ... ขอให้คุณพระครุ้มครองพี่หมวดและพี่โล้นของวิให้แคล้วคลาดจากภยันตรายทุกชนิด... วิ... ขอกราบลา
รัก...บูชา และเคารพยิ่งชีวิต
วิรงค์ลอง บุญนาค
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11796 เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2015, 07:30:54 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง

ลงเสาเอก อาคารพาณิชย์ ผมครับ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 01, 2015, 07:33:20 AM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11797 เมื่อ: พฤศจิกายน 01, 2015, 07:32:34 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง

ลงเสาเอก อาคารพาณิชย์ ผมครับ



บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11798 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2015, 06:06:31 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง



อัพเดตตลาดปืนมือ2วันนี้ http://2013.gun.in.th/index.php?board=6.0  (ถ้ายังไม่ได้สมัครมาชิก ให้สมัครด้วยครับ)

ตอนที่ 3 ไอ้ยี (จบในตอน) ผลงานของ สยมภู ทศพล
แผ่นกระดาบสีขาวสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ถูกวางลงกับพื้นปูนซีเมนต์ใต้ถุนตึกกองบังคับการบินของสนามบินล่องแจ้ง บนแผ่นกระดาษดังกล่าวถูกแบ่งออกเป็นหกช่องเท่าๆกัน และแต่ละช่องก็มีจุดวงกลมสีแดงเรียงรายเป็นพรืด โดยเริ่มตั้งแต่ช่องแรกอันเป็นตำแหน่งของหมายเลขหนึ่งไปจนกระทั่งถึงหมายเลขหก ซึ่งจากลักษณะดังกล่าวแล้วนั้น เจ้าจุดวงกลมแดงเหล่านั้น ความหมายของมันก็คือ ใช้แทนจำนวนเลขจากหนึ่งถึงหกนั้นเอง
บริเวณกึ่งกลางของแผ่นกระดาษถัดจุงวงกลมแดงเข้าไป ซึ่งเป็นที่ว่างปรากฏมีเส้นแบ่งกระดาษแผ่นนั้นออกเป็นสองส่วนเท่าๆกัน และแต่ละส่วนก็มีอักษรภาษาไทยเขียนกำกับเอาใว้ว่า “สูง – ต่ำ” มองเห็นถนัดตา
ใช่ครับ ที่ผมไตเติ้ลมายืดยาวนี้ก็เพียงเพื่อจะอธิบายให้ท่านผู้อ่านได้ทราบถึง ลักษณะของการเล่น “ไฮโล” อันเป็นเกมพนันที่ฮิตที่สุดในสมรภูมิลาวนั่นเอง
เจ้ามือหน้าตาแก่งั่ก ผมหงอกทั่วศรีษะ ชุดเครื่องแบบเสือพรานใหม่เอี่ยมเหมือนกับไม่เคยได้รับความยากลำบากบนแนว ถูกรีดกลีบโง้งนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าถ้วยไฮโล ซึ่งขณะนี้ถูกเปิดถ้วยค้างทิ้งเอาไว้มองเห็น “ลูกเต๋า” ขนาดเล้ดสามลูกนอนสงบนิ่งเหมือนจะท้าทายอยู่ในที
“หัวเบี้ย” ซึ่งมีหน้าอ่อนอายุอานามห่างไกลกับเจ้ามือไม่น้อยกว่า 3 รอบขึ้นไป กำลังสาละวนแยกธนบัตรชนิดต่างๆ ออกเป็นสัดส่วนอย่างรวกๆ ธนบัตรไทย, ลาว, หรือแม้กระทั่งดอลล่าร์ถูกหัวเบี้ยยัดเข้ากระเป๋าครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งแน่นเอี้ยดไปหมดทุกกระเป๋า
ลูกค้าส่วนมากเป็นทหารรับจ้าง, พนักงานของสนามบิน, ประชาชนทั้งลาวและแม้ว,หรือแม้กระทั่ง ฝรั่งนักบินรายล้อมวงไฮโลจนกระทั่งแทบจะมองไม่เห็นเจ้ามือเอาเลยทีเดียว
“เอาละครับ ฟังให้ดีๆ ใครหูถึง ก็ล้มเค้าของผมได้ ใจสู้ซะอย่าง”
เจ้ามือพูดพลางบรรจงหยิบลูกเต๋าทั้งสามขึ้นมาเช็ดกับผ้าเช็ดหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อจากนั้นเช็ดก้นถ้วยเป็นครั้งสุดท้าย แล้ววางลูกเต๋าทั้งสามลงบนกึ่งกลางของก้นถ้วย จุดวงกลมสีแดงสี่จุด อันเป็นจุดที่แทนหมายเลขสี่ของลูกไฮโลทั้งสามวางเรียงรายท้าทายความกระหายของลูกค้าอยู่ชั่วอึดใจก็ถูกครอบด้วยถ้วยน้ำชาขนาดเล็กๆ
เจ้ามือใช้หัวแม่มือกับนิ้วกลางจับขอบถ้วยไฮโลขึ้นมาโดยมีนิ้วชี้วางทับอยู่บนฝาถ้วยครอบ เขาชั่งน้ำหนักข้อมืออยู่ชั่วอึดใจก็กระดกข้อมือเบาๆ
“ติ๊บ”
ลูกไฮโลทั้งสามกระดกขึ้นพร้อมๆกันจากก้นถ้วย ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลจนกระทั่งทหารรับจ้างขี้เล่นคนหนึ่งถึงกับอุทานออกมาค่อนข้างดัง
“โอ้โห ลุ๊ง เสียงเบายังกะสำลีแบบนี้ ลูกสี่มันก็ต้องอยู่แหง๋ๆนะซีครับ”
“ตามสบาย หลานชาย ใจสู้ซะอย่าง ของอยู่ในถ้วย ถ้าไม่เปิดลุงก็แทงไม่อั้นเหมือนกัน”
ในขณะที่พูด เจ้ามือค่อยๆวางถ้วยไฮโลลงกับแผ่นกระดาษ สายตามองกวาดดูจำนวนธนบัตรจากมือลูกค้าที่กำลังวางลงบนช่องหมายเลขสี่ พร้อมกับอมยิ้มอยู่ไปมาอย่างอารมณ์เย็น...
ผมกับอับดุล-ราห์มาน (ไอ้โล้น) ยืนดูการเชือดเฉือนอยู่ใกล้ๆ ไอ้โล้นมันฉุดผมจากร้านเฝ๋อ (ก๋วยเตี๋ยวแม้ว) มาบ่อนไฮโลเกือบครึ่งชั่วโมงเข้สให้แล้ว ท่าทางของมันที่ยืนสงบนิ่งสังเกตุการเขย่าของเจ้ามือครั้งแล้วครั้งเล่า โดยไม่แทง ทำให้ผมเกิดอาการเบื่อหน่ายจนต้องกระซิบด่ามันออกมาเบาๆ
“ไอ้หอก จะแทงก็ไม่แทง ยืนเต๊ะอยู่ได้ ใส่มันลงไปซีวะ... โครมๆ ประเดี๋ยวก็รู้เรื่อง”
“เฉยๆน่า-หมวด มือไม่พายแล้วยังจะเอาเท้าราน้ำอีก ไม่รู้จักเซียนใหญ่นราธิวาสอีกแล้ว ผมไม่ใช่หมูอย่างไอ้พวกนี้นี่ครับ... โดนเจ้ามือฟัดเอาไปหลายหมื่นแล้วเห็นไม๊ หมวดลองสังเกตุดูหุ่นเจ้ามือบ้างสิครับ แก่งักแบบนี้ อายุมิตอกเข้าไปตั้ง 50 แล้วรึ... แก่ๆแบบนี้สมัครมารบมันก็ผิดไปละ แกจะต้องสมัครมาเพื่อเล่นไฮโลต้มเขาแดกแหงๆ... และถ้าอีตานี้ ถ้ามีลูกสี่อยู่แม้แต่ลูกเดียวผมยอมให้หมวดเตะฟรีๆ 3 ที”
ชาวแม้วคนหนึ่งซึ่งถูกเบียดตัวลีบอยู่ทางซ้าย มือสุดของเจ้ามือเอื้อมมืออันสั่นเทาหยิบกระเป๋าเก่าคร่ำคร่าออกมา แล้วหยิบธนบัตรดอลล่าร์ใหม่เอี่ยม ฉบับละ 50 ดอลล่าร์ออกมาชั่งใจอยู่ชั่วอึดใจก็วางแปะลงไปบนช่องหมายเลข 6 ท่ามกลางเสียงฮือฮาของบรรดาทหารรับจ้างที่ยืนมองอยู่รอบๆ
แทบทุกคนประเคนเงินลงไปบนช่องหมายเลขสี่ไม่รู้ว่ากี่พันต่อกี่พันบาท แม้กระทั่งฝรั่งนักบินซึ่งไม่ค่อยจะประสีประสาอะไรนักก็ยังโดนลูกยุของพรรคพวกทุ่มแทงเลข 4 จนกระทั่งหมดกระเป๋า
ทหารรับจ้างท่าทางนักเลงเต็มตัว ผลักเงิน 50 ดอลจากหมายเลข 6 เข้าไปรวมกันที่หมายเลข 4 พร้อมกับเอ่ยขึ้นมาค่อนดัง
“อั๊วยักไอ้แม้วนี่เอง เที่ยวนี้ขอเปิดนาโว้ย ไอ้ห่าแทงตั้งสามพันบาท ขอลุ้นหน่อยวะพรรคพวก”
ทหารรับจ้างท่าทางนักเลงคนนั้น ค่อยๆยกถ้วยไฮโลมาวางที่ตรงหน้า... แล้วบรรจงหยิบถ้วยขึ้นมาพร้อมกับตะแคงถ้วยให้ลูกไฮโลทั้ง 3 วิ่งจากกึ่งกลางของถ้วยมารวมกันเป็นจุดเดียวในบริเวณใดบริเวณหนึ่งของขอบถ้วย อันเป็นกรรมวิธีของนักเลงไฮโลชั้นเหยียบเมฆ ที่ชอบปฏิบัติกันเป็นประจำ
“คริ๊ก”
เสียงของลูกไฮโลวิ่งเข้ามากระทบกันดังอย่างถนัดหู
“ไอ้ห่า... กูเทถ้วยได้ลูกสี่อีกวะ เอาละวะ ทิ้งทวนเลย เงินกูเหลืออีกสองพัน-แทงมันลูกสี่นี่แหละวะ”
ในขณะที่พูด เขาโยนปึกธนบัตรสีชมพูเข้มลงไปบนช่องหมายเลข 4 ด้วยความแน่ใจยิ่งกว่าทุกครั้ง
“เอาละครับ ไม่ขึ้นไม่ลง เปิดถ้วยได้แล้วครับ ใครยักใคร ทวงกันเอาเอง เจ้ามือไม่เกี่ยว”
หัวเบี้ยตัดบทขึ้นมาทันทีเมื่อมองเห็นจำนวนเงินแทงมากมายยิ่งกว่าทุกครั้ง
ทั่วทั้งวงไอโลเงียบสงัด สายตาหลายสิบคู่เพ่งมองไปที่ถ้วยไฮโลที่กำลังจะถูกเปิด เหมือนกับจะให้มันผ่านทะลุเข้าไปถึงข้างใน
มันเป็นความตื่นเต้นและเป็นความ “มันส์” ทางอารมณ์ที่หาซื้อได้ยากที่สุด ช่วงหนึ่งของความโสภาอย่างสุดยอดก็ตอนถ้วยไฮโลจะเปิดนี่เองใช่ใหมครับเซียนไฮโลทั้งหลาย
ถ้วยไฮโลถูกยกขึ้นตรงๆแล้ว ค่อยๆเลื่อนออกไปข้างๆอย่างช้าๆ ด้วยวิธีการเปิดแบบเฉือนอารมณ์แทบหัวใจจะวายปราณ
สีดำสนิทจุดสีดำเรียงพรืดอยู่บนลูกเต๋าทั้งสามลูก แม้วคนที่แทงลูกหก 50 ดอลล่าร์ ตะเบ็งเสียงเป็นภาษาไทยออกมาคับห้อง
“หก-สามดอก”
ทั่วทั้งห้องเงียบกริบเหมือนโดนผีอำ สายตาทั้งหมด มองดูหัวเบี้ยกวาดเงินเกือบหมื่นบาทจากตำแหน่งหมายเลข 4 ด้วยความเสียดายอย่างสุดซึ้ง
“ผมแทงหก – พันบาท ต้องจ่ายให้ผมสี่พันบาท ขอเงินผมด้วยครับ”
แม้วคนที่แทงลูกหก 50 ดอลล่าร์ เอื้อมมือสะกิดทหารรับจ้างท่าทางนักเลงคนนั้นพร้อมกับเอ่ยปากทวงเงินด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นในความโชคดีของตัวเอง
“ไอ้สัตว์ ใครยักของมึงวะ กูไม่รู้เรื่อง มีแต่ตีนเอาไม๊... ไอ้แม้วโสโครก”
พอพูดจบ เขาก็พรวดพราดลุกขึ้นเตะโครมเข้าไปที่บริเวณใบหน้าของแม้วผู้เคราะห์ร้ายเต็มแรง
“ป๊าบ”
รองเท้าคอมแบทผ้าใบที่ใช้ปีนเขาพลาดจากใบหน้าหวดเข้าที่หน้าอกส่งแม้วขี้ยาปลิวกระเด็นออกไปนอกวงไฮโล ซึ่งขณะนี้แตกครืนเหมือนกับผึ้งโดนไฟ
ชายแม้วผู้เคราะห์ร้ายใช้มือทั้งสองยันพื้นผงกหน้าขึ้นมาพร้อมกับร้องตะโกนเสียงหลง
“ไอ้ยี...กัด”
ผมได้ยินเสียงคำรามของสุนัขแผดก้องขึ้นมาจากมุมห้อง และพร้อมๆกันนั้นผมก็มองเห็นร่างอันใหญ่โตของมันกระโจนพรวดเข้ามากลางวงไฮโล ที่หมายของมันคือร่างของทหารรับจ้างคนที่ยืนทะมึนอยู่นั้น
มันรวดเร็วจนผมมองดูแทบไม่ทัน อันดับต่อมาที่ผมมองเห็นก็คือ ร่างของทหารรับจ้างและร่างจของสุนัขกอดรัดฟัดกันอุดตลุดอยู่ที่พื้น ท่ามกลางความตกตะลึงของพรรคพวกที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ... “ไอ้ยี” ฟัดอย่างไม่ปราณีปราศัย มันขย้ำร่างกายของทหารรับจ้างเหวอะหวะไม่มีชิ้นดี
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
เสียงร้องของทหารรับจ้างผู้เคราะห์ร้าย ทำให้ทหารรับจ้างคนหนึ่งกระตุกมีดดาบปลายปืนออกจากซองผ้าใบแล้วเผ่นเข้ากระซวกช่องท้องของ “ไอ้ยี” สุนัขพันธุ์แม้วเต็มแรง... และพร้อมๆกันนั้นเอง ไอ้ยีก็ใช้เขี้ยวที่แหลมคมของมันกระชากคอหอยของทหารรับจ้างซึ่งกำลังตกเป็นเบี้ยล่างหลุดออกมาทั้งกระบิ
ทั้งคน... ทั้งหมา นอนแผ่หราอยู่กลางลานซีเมนต์... ทหารรับจ้างตาเหลือกโพลง เลือดทะลักออกมาจากลำคอเป็นสายน้ำ... ตายสนิท
ส่วนไอ้ยี นอนหายใจพะงาบๆ ส่งสายตาประสานกับผู้ที่ทำร้ายมันอย่างประสงค์ร้าย ปากก็ร้องคำรามไม่ขาดระยะ
“เฮ้ย... ส.ห. มาโว้ย”
ใครคนหนึ่งร้องตะโกนขึ้นมาเสียงคับห้อง
คราวนี้ก็ถึงบทตัวใครตัวมัน ทหารรับจ้างเผ่นออกจากที่เกิดเหตุอย่างชุลมุนวุ่นวาย... แม้กระทั่งชาวแม้วต้นเหตุของเรื่องก็วิ่งกางเกงแพรปลิวหายวับเข้าไปในตลาดล่องแจ้งชั่วพริบตา
ผมกับไอ้โล้น เลี่ยงออกมายืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ... ศพของทหารรับจ้างถูกหามขึ้นรถจี๊ป ส่วนร่างของไอ้ยี ถูกลากออกมาทิ้งที่ข้างๆรันเวย์สนามบินนั่นเอง
ไอ้โล้นเดินตรงรี่เข้าไปที่ร่างของ “ไอ้ยี” ผมเห็นมันหยิบเข็มเย็บออกมาจากกระเป๋ากางเกง จัดการเย็บแผลให้ไอ้ยี ท่ามกลางความแปลกใจของทหารรับจ้างที่มองดูเหตุการณ์อยู่ใกล้ๆ
“ไอ้ยี” ปล่อยให้ไอ้โล้นจัดการกับแผลของมันแต่โดยดี สายตาที่มันประสานกับไอ้โล้นผิดแปลกไปจากเมื่อกี้นี้อย่างหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
พอเย็บแผลเสร็จ ไอ้โล้นก็อุ้ม “เจ้ายี” ขึ้นชอปเปอร์ (เฮลิคอปเตอร์) บินกลับฐานปฏิบัติการในทันทีทันใด
“หมวด ผมจะเลี้ยงไอ้ยีเอาใว้ให้มันเป็นหมาลาดตระเวน... ผมได้ยินกิตติศัพท์ของหมาแม้วมานานแล้ว เพิ่งจะเห็นฤทธิ์เดชของมันวันนี้เอง ไอ้หอก ตายห่าเสียได้ก็ดี เสือกไปชักดาบแม้ว”
จบคำพูดของไอ้โล้น ชอปเปอร์ก็ร่อนลงบนยอดภูล่องมาศพอดิบพอดี
“ไอ้ยี” ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างดีที่สุดจากหมอประจำกองร้อย ไม่ถึงสองสัปดาห์ “ไอ้ยี” ก็หายสนิท และกลายเป็นทาษผู้ซื่อสัตย์ของไอ้โล้นอย่างชนิดไม่ยอมให้คลาดสายตาเลยทีเดียว
“ไอ้ยี” กลายเป็นส่วนหนึ่งของกองร้อยทหารเสือพรานไปเสียแล้ว ด้วยความแสนร็ของมัน ทำให้ทหารรับจ้างทุกคนให้ความเมตตาปราณีแก่มันด้วยใจจริง เศษอาหารที่เหลือเฟือถูกแบ่งให้ไอ้ยีจนกระทั่งมันอ้วนปึ๊กรูปร่างสูงใหญ่ผิดหูผิดตายิ่งกว่าเดิม
“ไอ้ยี” ถูกฝึกให้ค้นหากับระเบิดของข้าศึกได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด หลายต่อหลายครั้งที่ไอ้ยีช่วยชีวิตทหารรับจ้างด้วยการนำทางคืบคลานออกจากดงกับระเบิดได้อย่างปลอดภัย คล้ายๆกับปาฏิหารย์
คราวใดที่ “อากาศปิด” ชอปเปอร์ไม่บินมาส่งอาหาร... ไอ้ยีวิ่งแน่บเข้าไปในป่าพักใหญ่ก็วิ่งกลับมาพร้อมด้วยแย้เขื่องๆ 3-4 ตัว ช่วยแก้ปัญหาเรื่องปากท้องไปได้อย่างสะดวกโยธิน
“ไอ้ยี” กลายเป็นทหารรับจ้างคนหนึ่งในกองร้อยของผมไปเสียแล้ว
“พลอาสาสมัครยี แจ้งกระโทก สังกัดหน่วยลาดตระเวณระยะไกล” คือตำแหน่งและสังกัดที่พวกผมแต่งตั้งให้มันอย่างเต็มใจที่สุดในภาวะสงครามที่บัดซบเช่นนี้
“สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง”
และแล้ววันหนึ่งไอ้ยีก็ได้พิสูจน์ “สุภาษิต” อันเก่าแก่ของไทยข้อนี้ให้เห็นจริงจังขึ้นมา
ผม ไอ้โล้น, และทหารรับจ้างอีก 12 คน ออกกวาดล้างเคลียร์พื้นที่ในเขตปฏิบัติการของทหารเวียดนามเหนือตามแผนปฏิบัติการยุทธของ บก.ล่องแจ้ง...
“พล.ยี แจ้งกระโทก” ออกเดินสี่ตีนนำหน้าเหมือนกับทุกครั้ง ในขณะที่ผ่านพื้นที่แห่งหนึ่ง ผมสงสัยในพื้นที่ดังกล่าวก็เลยออกคำสั่งให้ทหารทุกคนหยุดการเคลื่อนไหว...ไอ้โล้นสั่งให้ไอ้ยีค้นหากับระเบิดเหมือนอย่างเช่นเคย
เกือบสี่ห้าเที่ยวที่ “ไอ้ยี” วิ่งพล่านเหมือนกับจะสงสัยในบางสิ่งบางอย่างในพื้นที่แห่งนั้น พอเที่ยวที่หก มันก็วิ่งย้อนกลับมาแสดงอากัปกริยาว่า พื้นที่ดังกล่าวปลอดภัย
ส.ต. กระวี พุทธรักษา หัวหน้าชุดยิงเดินตามไอ้ยีไปติดๆ...
ในขณะที่ไอ้ยีวิ่งล่วงหน้าไปนั่นเอง...
“บึ้ม”
กับระเบิดของทหารเวียดนามเหนือที่ได้รับน้ำหนักแรงกดจาก 40 กิโลกรัมขึ้นไป แสดงพิษสงขึ้นมาทันที
ส.ต.กระวี ร่างกายแหลกเหลว ไอ้ยีรอดตายอย่างหวุดหวิด มันวิ่งกลับมาหมอบตัวสั่นเป็นลูกนกอยู่หน้าไอ้โล้น ซึ่งกำลังโมโหสุดขีด ในความบกพร่องของสุนัขคู่ใจ
ไอ้โล้นเตะไอ้ยีกระเด็น มันกลับคลานเข้ามาหมอบอยู่เบื้องหน้าอีกครั้ง น้ำตาไหลพรากเหมือนกับสำนึกผิด จนพวกผมอดสงสารมันไม่ได้
พอกลับมาถึงฐานปฏิบัติการ ไอ้ยีมีอาการเซื่องซึมจนผิดสังเกต ข้าวปลาอาหารก็ไม่ยอมแตะต้อง และในตอนค่ำของวันนั้นเอง ในขระที่ไอ้โล้นกำลังตรวจความเรียบร้อยของแนวยิง ผมก็ได้ยินเสียงของมันเอะอะออกมาค่อนข้างดัง
“เฮ้ย ใครหยิบลูกระเบิดของกูไปโว้ย ไอ้ห่า กูเพิ่งจะเบิกมา 6 ลูก ใครขโมยไปลูกหนึ่งวะ”
“ผมเห็นไอ้ยีมันคาบวิ่งไปทางแนวลวดหนามโน่นครับ พี่โล้น”
ทหารรับจ้างคนที่อยู่ถัดออกไป ตะโกนบอกและตอนนั้นก็ยังไม่มีใครบังเกิดอาการเอะใจอะไรทั้งสิ้น
“บึ้ม”
เสียงระเบิดของ “M.26” ดังกระหึ่มออกมาจากบริเวณแนวรั้วลวดหนามตรงที่ ไอ้ยีเพิ่งวิ่งเข้าไปอย่างสดๆร้อนๆ
“ไอ้ยี...ลูกพ่อ”
ไอ้โล้นแหกปากร้องตะโกนขึ้นมาสุดเสียง พร้อมกับวิ่งควบเข้าไปยังบริเวณดังกล่าวอย่างชนิดลืมตาย
ผมและทหารรับจ้างหลายสิบคน วิ่งตามไอ้โล้นไปติดๆหยั่งกับงูกินหาง
มันเป็นภาพที่สะเทือนจิตใจพวกผมที่สุดเท่าที่เคยประสพมา
ไอ้โล้นนั่งลงรวบรวมชิ้นส่วนของไอ้ยีที่กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณเพราะอำนาจของสะเก็ดระเบิดด้วยท่าทางที่เซื่องซึม
น้ำตาลูกผู้ชายซึ่งผมไม่เคยเห็นจากไอ้โล้น บัดนี้เอ่อซึมออกมาเป็นทาง
“...ไอ้ยี มันน้อยใจที่ผมโกรธมัน... ไอ้ยีมันน้อยใจที่ทำให้หมู่วีตาย... มันก็เลยทำโทษตัวของมันเองด้วยการขโมยลูกระเบิดของผม แล้วใช้ปากดึงสลักนิรภัยฆ่าตัวตาย... หมวดขอชอปเปอร์ให้ผมด้วยครับ... ผมจะเอาศพไอ้ยีไปฝังที่ล่องแจ้ง... ผมไม่อยากให้มันถูกฝังอยู่บนสมรภูมิห่าเหวนี่ ผมจะพามันไปฝังด้วยตัวของผมเอง”
ด้วยกรรมวิธีแหกตาฝรั่ง... ผมร้องขอชอปเปอร์บินมารับไอ้โล้นใน 20 นาทีต่อมา
ชอปเปอร์ยกฐานสกีร่อนขึ้นจากพื้นสนาม... ร่างอันเละเทะของ “ไอ้ยี” ถูกบรรจุอยู่ในถุงทะเลประจำตัวของไอ้โล้น ชอปเปอร์บินสูงขึ้นทุกที... กลุ่มทหารรับจ้างยืนนิ่ง... บางคนน้ำตาซึมมออกมาด้วยความอาลัยอาวรณ์
“พลอาสาสมัครยี แจ้งกระโทก สุนัขพันธุ์แม้วที่มีประวัติชีวิตอันพิลึกกึกกือ ได้จากกองร้อยของผมไปแล้ว จากไปด้วยความทรงจำอันยาวนานซึ่งยากจะลบเลือนไปจากหัวใจของพวกผมง่ายๆ”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 03, 2015, 07:34:34 AM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11799 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2015, 05:36:47 AM »

  อัพเดตราคาปืนใหม่และกระสุน http://2013.gun.in.th/index.php?topic=60569.0  (ถ้ายังไม่ได้สมัครสมาชิกให้สมัครด้วย)
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11800 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2015, 06:04:13 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง




ตลาดปืนมือ 2 วันนี้ มีสีสรรมากครับ หลายรุ่น น่าเก็บ น่าสะสม http://2013.gun.in.th/index.php?board=6.0  (ถ้ายังไม่ได้สมัครสมาชิก สมัครด้วยครับ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 05, 2015, 06:05:58 AM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11801 เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2015, 12:02:08 PM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง



ทหารรับจ้างเดนตาย
ตอนที่ 4 หมอเทวดา (จบในตอน) ผลงานของ สยมภู ทศพล
ดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเนินสกายไลน์ไปแล้ว ความมัวซัวของบรรยากาศรอบๆข้างเริ่มมืดสนิท อากาศที่หนาวเหน็บทับทวีเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว
ทั่วทั้งสนามเพลาะเงียบเชียบ ทหารรับจ้างนั่งอยู่ในหลุมบุคคล แทบทุกคนส่งสายตามองฝ่าความมืดลงไปยังทางลาดเบื้องล่าง ประสาทหูระแวดระวังเต็มที่
ผมหยิบเสื้อแจ็คเก็ตฟิลด์ที่แขวนอยู่ที่หน้าบังเกอร์ขึ้นมาสวมทับชุดเครื่องแบบ กระแสลมที่รุนแรงบนยอดภูหมอกทำให้ผมต้องรูดซิปขึ้นไปจนกระทั่งถึงบริเวณใต้คาง
พนักงานวิทยุประจำกองร้อยนั่งหาวหวอดๆอยู่ข้างๆ
“บึ้มส์”
เสียงระเบิดปานประหนึ่งฟ้าผ่าดังสะท้อนอยู่บนเนินอานม้า ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองพันทหารรับจ้างที่ 604
พนักงานวิทยุยกปากพูดหูฟังของวิทยุ “PRC-77” กดสวิทช์ถามเหตุการณ์ออกไปด้วยความตื่นเต้น
“ลอนดอนจากนิวยอร์ค เสียงอะไรครับ... ของมันหรือของเราเปลี่ยน”
เงียบไปชั่วอึดใจ ทหารรับจ้างชำเลืองมองดูวิทยุเริ่มมีท่าทางอึดอัดใจ ความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคนในขณะนั้น ต่างก็พากันคิดว่า ทหารเวียดนามเหนือคงจะเริ่มยกกำลังเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการ BC.604 เข้าให้แล้ว
“นิวยอร์คจากลอนดอน ไม่มีอะไรหรอกครับ ทหารของผมทำ M.72 ลั่น”
พนักงานวิทยุของ BC.604 กระหืดกระหอบตอบมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นไม่แพ้กัน
โดยมารยาทแล้ว พวกผมไม่กล้าถามถึงอาการของผู้บาดเจ็บหรอกครับ วิธีเดียวที่พวกผมทำได้ก็คือนั่งฟังวิทยุจาก BC-604 ติดต่อขอความช่วยเหลือจาก บก.ล่องแจ้งต่อไป
“สิงหะ (บก.ล่องแจ้ง) จากลอนดอน ช่วยสนับสนุนชอปเปอร์ (เฮลิคอปเตอร์) ให่ผมด้วยครับ ทหารของผมประสพอุบัติเหตุโดน M.72 ถ้าได้รับการพยาบาลทันท่วงที อาจจะพอมีทางรอดชีวิต”
“ลอนดอนจากสิงหะ หมดเวลาทำงานของชอปเปอร์แล้ว มืดๆแบบนี้ มันจะบินมาได้ยังไงกันพ่อคู้ณ ทหารบาดเจ็บมากไม๊... เปลี่ยน”
บก.ล่องแจ้งปฏิเสธอ้างว่าไม่มีชอปเปอร์ แต่ก็ยังไม่วายที่จะสอบถามอาการด้วยความเป็นห่วง
“มากครับ เครื่องเยี่ยวหลุดออกไปทั้งหมด ช่องท้องฉีกขาด ลำไส้ไหลออกมากองเรี่ยราดอยู่ที่พื้น ช่วยจัดรถมารับหน่อยไม่ได้หรือครับ”
พนักงานวิทยุ BC.604 ออดอ้อนขอความช่วยเหลือจาก บก.ล่องแจ้งต่อไปอีก
“ใครจะกล้าขับขึ้นไปพ่อคุ๊ณ ทั้งกับระเบิด ทั้งหน่วยแซปเปอร์ (กล้าตาย) เพ่นพ่านยังกับตาสับปะรด.. ให้หมอประจำกองร้อยปฐมพยาบาลขั้นแรกเอาไว้ก่อน พรุ่งนี้หกโมงเช้า ชอปเปอร์จะไปรับ ประเดี๋ยวคุณช่วยตามหมอประจำกองร้อยมาพูดกับหมอชลกรด้วย”
“สิงหะ นี่ผมหมอนะประจำกองร้อยพูดครับ”
“นี่อั๊วหมอชลกร หมอใหญ่พูด... ลื้อรักษาทหารบาดเจ็บขั้นแรกแบบไหน รายงานให้อั๊วทราบเดี๋ยวนี้”
“ผม ยัดลำไส้ของทหารผู้บาดเจ็บกลับเข้าไปอย่างเดิมแล้วครับผม”
“เฮ๊ย... เฮ๊ย... ประเดี๋ยวได้ตายห่าหรอก เอาลำไส้ออกเดี๋ยวนี้ แล้วให้ราดด้วยน้ำอย่าให้ลำไส้แห้ง วิธีนี้อั๊วปฏิบัติได้ผลดีมาแล้ว”
เสียงหมอประจำกองร้อยเงียบหายไปประมาณ 3 นาที ทหารรับจ้างทุกคนที่นั่งหน้าสลอนอยู่หน้าวิทยุเย็บปากนิ่ง ทุกคนนั่งฟังการรักษาคนบาดเจ็บทางวิทยุด้วยความสนใจ
“ลอนดอน จาก ชลกร ทำไมเงียบจึงไป เรียบร้อยใช่ไหม๊”
“ครับ – หมอ เรียบร้อย”
หมอประจำกองร้อยตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงห้วนๆผิดไปจากครั้งแรกจนสังเกตุได้ชัด
“น่าน อั๊วบอกแล้ว มันจะไปยากเย็นอะไร อั๊วรักษามานักต่อนักลัว ลองดูอีกทีซิ คนเจ็บอาการดีขึ้นมากไหม๊”
หมอชลกรคุยจ้อด้วยน้ำเสียงที่ภูมิอกภูมิใจตัวเอง
“คนไข้ตายเรียบร้อยแล้วครับ ...ตายตอนผมเอาน้ำราดลำไส้นั่นแหละ ขอบคุณมาก หมอใหญ่ ว่างๆลองโดนยิงด้วย M-72 ดูบ้างนะครับ แล้วหมอจะรู้สึก”
มีเสียงหัวเราะเกรียวกราวดังขึ้นลั่นวิทยุ เสียงที่แทรกซ้อนขึ้นมาที่ผมฟังอย่างถนัดหูก็คือ
“ไอ้ชลกร... ไอ้หมอบ้า”
เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินกิตติศัพท์ของคุณหมอชลกรและตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ความบ้าๆบอๆของหมอชลกรผู้นี้ ก็ทะยอยเข้าหูของผมไม่เว้นแต่ละวัน
พฤติการณ์ของหมอชลกรที่ปฏิบัติต่อทหารรับจ้างทำให้เกิด “โจ๊กสตอรี่” ที่เล่าสู่กันฟังอย่างสนุกสนาน
และแล้ววันหนึ่ง ผมก็ได้ประสพกับวิธีรักษาคนไข้ด้วยกรรมวิธีแหวกแนวไปจากตำราอย่างสิ้นเชิง
ผมลงมาจากแนวเพื่อเช็คร่างกายที่โรงพยาบาลล่องแจ้ง
พอก้าวเท้าขึ้นไปบนโรงพยาบาลผมก็ต้องชะงัก กัดริมฝีปากแน่นด้วยความขบขัน
ทหารรับจ้างท่าทางเซื่องซึมเหมือนกับคนติดยาเสพติดยืนถอดเสื้อให้คุณหมอชลกรตรวจโรคอยู่ 4 คน
คุณหมอชลกรแต่งชุดสนามพร้อมพกปืน .45 กระบอกเขื่อง ยืนถือหูฟัง เริ่มตรวจร่างกายทหารรับจ้างด้วยกรรมวิธีล้ำยุค
คุณหมอชลกรเริ่มร้องเพลงมาร์ชทหารอากาศขึ้นมาเสียงลั่นห้อง
“วันนี้เราอยู่ดูโลกกันให้โสภิณ....”
ในขณะที่ร้องเพลง หมอชลกรก็เริ่มจิ้มหูฟังลงไปบนส่วนต่างๆ ของร่างกายทหารรับจ้างเป็นจังหวะจะโคนตามทำนองของเพลง
พอเพลงจบ หมอชลกรก็เตะก้นทหารรับจ้างทั้ง 4 คนค่อนข้างแรง พร้อมกับสำทับออกมาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“พวกลื้อเป็นโรคอู้ ติดกัญชากันงอมแง ไอ้ห่า ขึ้นแนวเดี๋ยวนี้ ประเดี๋ยวพ่อยิงทิ้งซะนี่”
พูดไม่พูดเปล่า หมอชลกรชักปืนออกมากระชากครอบลูกเลื่อนเสียงดัง “เคล๊ง”
ทหารรับจ้างทั้ง 4 คนกระโจนพรวดลงจากโรงพยาบาลวิ่งควบจี๋ หายลับไปจากสายตา ส่วนผมขึ้นบันไดไม่ไหวหรอกครับ ทรุดตัวลงนั่งหัวเราะงอก่องอขิงน้ำตาไหลพรากอยู่บนชั้นบันไดโรงพยาบาลนั่นเอง
ในช่วงเวลานั้น เมืองล่องแจ้งโดนถล่มอย่างหนักจากปืนไร้แรงสะท้อนถอยหลังของทหารเวียดนามเหนือ โรงพยาบาลโดนยิงเฉียดไปฉิวมาไม่เว้นแต่ละวัน คุณหมอชลกรเกิดมีไอเดียเฉียบแหลมขึ้นมา ก็สั่งให้ทหารปีนขึ้นไปบนหลังคา แล้วเอาสีแดงขึ้นไปทาเป็นรูปกากะบาทจนมองเห็นเด่นชัดจากยอดเนินสกายไลน์
“ลื้อเชื่อหมอเถอะน่า ไอ้แกวมันไม่ยิงโรงพยาบาลหร๊อก ไอ้ที่มันยิงครั้งก่อนเพราะมันไม่รู้ เราไม่ได้ทำเครื่องหมายให้มันเห็น คราวนี้พวกลื้อสบายใจได้แล้ว”
หมอชลกรยืนเท้าเอว ร้องตะโกนคุยกับทหารรับจ้าง 3 คนที่กำลังทาสีรูปกากะบาท อยู่บนหลังคาโรงพยาบาล
กากะบาทเพิ่งเสร็จไปครึ่งเดียว ก็มีเสียงวี้ดดังลั่นอยู่บนท้องฟ้า พอสิ้นเสียงวี๊ดก็ปรากฏเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว
“กรั๊ม”
ตำบลกระสุนตกอยู่หน้าโรงพยาบาลพอดิบพอดี ทหารรับจ้างที่นั่งอยู่บนหลังคา กระโจนลงมานอนแอ้งแม้งอยู่ข้างล่าง ทหารรับจ้างบาดเจ็บที่นอนอยู่ข้างในวิ่งพรวดพราดออกมาจากโรงพยาบาลอย่างตื่นตระหนก บางคนที่ขาเพิ่งจะเข้าเฝือกก็ลืมตัวออกวิ่งจี๋หยั่งกับ “อาณัติ รัตนพล”
คุณหมอชลกรกระโจนพรวดลงไปในหลุมสวะตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้ โผล่ขึ้นมาอีกครั้งก็หดหัวลงไปอีกด้วยอำนาจการยิงที่รุนแรงของ ปรส.ข้าศึก
ผนังด้านนอกของโรงพยาบาลพังทลายลงไม่มีชิ้นดี สองชั่วโมงเต็มๆที่คุณหมอชลกรต้องซุกตัวอยู่ในหลุมสวะ เมื่อการยิงของข้าศึกเริ่มเบาบางลง คุณหมอชลกรก็เผ่นแน็บเข้าไปหมอบเป็นเจ้าเข้าอยู่ในบังเกอร์ข้างๆ บก.ล่องแจ้งนั่นเอง
โรงพยาบาลถูกย้ายขึ้นไปอยู่บนเนินอับกระสุน ทหารเวียดนามเหนือก็ยังตามยิงรบกวนอีกไม่เว้นแต่ละชั่วโมง หมอชลกรมีอาการหวาดผวาจนเห็นได้ชัดสติป้ำๆเป๋อๆ เหมือนกับคนไม่เต็มเต็ง
ทาง บก.ล่องแจ้งคงจะเห็นสิ่งผิดปกติจากคุณหมอชลกรก็เลยออกคำสั่งย้ายคุณหมอชลกรไปยัง “เชียงลม” อันเป็นพื้นที่-ที่มีการรบไม่ค่อยรุนแรงเท่าไรนัก เพื่อเป็นการพักฟื้นจิตใจไปในตัว
และก็เป็นการบังเอิญอีกเหมือนกันในวันเดินทางออกจากล่องแจ้ง ผมกับหมอชลกรขึ้นชอปเปอร์ลำเดียวกันพอดี
หมอชลกรมีสีหน้าสดชื่น อากัปกริยาเหมือนคนไม่เต็มเต็งหายไปเป็นปลิดทิ้ง พอฐานสกีของเจ้าฮิวอี้ยกขึ้นพ้นจากลานจอด คุณหมอชลกรก็ร้องเพลงมาร์ชกองทัพอากาศขึ้นมาลั่นห้องโดยสาร
“วันนี้เราอยู่ดูโลกกันให้โสภิณ...”
พอร้องจบ คุณหมอชลกรก็หันหน้ามากระซิบกับผมเบาๆ
“คุณบิ๊กแมน ทุกๆคนในล่องแจ้งเขาหาว่าผมกำลังจะเป็นบ้าแม้แต่เจ้านายของผมก็ยังถามผมว่า ลื้อบ้าหรือปล่าวะ ฮ่าฮ่า ถ้าผมไม่แกล้งเป็นบ้า ผมจะได้ย้ายไปเชียงลมหรือครับ สถานะการณ์แบบนี้ ผมขืนอยู่ล่องแจ้ง เมียผมก็เป็นหม้ายเท่านั้น... ไอ้ห่า... ยิงเอ๊า ยิงเอา แม้กระทั่งหมอหรือโรงพยาบาลมันก็ไม่เว้น ไอ้สงครามระยำ เกิดชาติใดฉันใด อย่าให้เจอะเจอมันอีกเลย จุ๊ๆ ที่ผมเล่ามาอย่าไปบอกใครนะครับ บิ๊กแมน”
คุณหมอชลกรกระซิบกระซาบกับผมพร้อมกับหยิบหนังสือ “ต่วยตูน” เล่มกระทัดรัดออกมาเปิดอ่านดู ชั่วอึดใจ ผมก็ได้ยินคุณหมอชลกรหัวเราะก๊ากออกมาคับห้องโดยสาร...
บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11802 เมื่อ: พฤศจิกายน 07, 2015, 06:24:58 PM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง


อัพเดต ตลาดอุปกรณ์และส่วนควบ ปืน http://2013.gun.in.th/index.php?board=21.0  (ถ้ายังไม่ได้สมัครสมาชิก สมัครด้วยครับ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 08, 2015, 09:45:32 AM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11803 เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2015, 09:21:52 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง


ทหารรับจ้างเดนตาย
ตอนที่ 5 เมื่อผมปีนต้นงิ้วฝรั่ง (จบในตอน) ผลงานของ สยมภู ทศพล
กลุ่มเมฆรวมตัวกันเป็นก้อนมืดทมึนอยู่บนท้องฟ้า ลมพัดแรงจัดขึ้นทุกที บรรยากาสรอบข้างสลัวลงอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าที่เคยแจ่มจ้าถูกสายหมอกบดบัง จนพร่าไปหมดทั้งอาณาบริเวณ ในไม่ช้าฝนก็เทลงมายังกับฟ้ารั่ว
“ตกยังกับห่าเหวเช่นนี้ ผมคิดว่ามันไม่มีทางหยุดหรอกครับ ผมเป็นห่วงนายเหลือเกิน ป่านนี้บินอยู่แถวไหนก็ไม่รู้ ทั้งหมอกทั้งฝนแบบนี้ ขืนดันทุรังบิน อยู่ดีไม่ดีเจอะกับยอดภูเขาเหมือนกับนายโคบาร์ละก็ พังแน่”
คนใช้ประจำตัวของสไปร๊ท์ นักบินตรวจการณ์บ่นพึมพำขึ้นมาพร้อมกับดึงผ้าใบลงมากันฝนที่กำลังสาดกระเซ็นไปรอบทิศ ละอองส่วนหนึ่งของมันถูกลมพัดย้อนเข้ามาในตัวรถจิ๊บจนเบาะที่ผมอยู่เปียกเลอะเทอะไปหมด
ผมยังไม่ทันกล่าวอะไรออกไปทั้งๆที่ในใจคิดอยากจะด่าไอ้ความปากเสียของเจ้าคนใช้ ที่พูดออกมาในทำนองแช่งชักเพื่อนของผมเช่นนั้น ก็พอดีได้ยินเสียงแหลมเล็กของเครื่องบินตรวจการณ์แบบ L-19 ที่ทหารรับจ้างเรียกกันติดปากว่า “ไอ้ปากหมา” ดังแว่วมาทางหัวสนามบิน ชั่วครู่ก็มองเห็นลำตัวของมันทะลุสายฝนโผล่พรวดออกมาจากร่องสันเขา แล้วถลาร่อนลงอย่างนิ่มนวล
เครื่องแท็กซี่เข้าไปในโฌรงเก็บที่สร้างอย่าง่ายๆด้วยแผ่นสังกะสีเรียงปะติปะต่อกัน กระแสลมที่กระโชกกระชั้นดันแผ่นสังกะสีเพยิบพยาบ ในไม่ช้ามันก็หลุดผลัวะกระเด็นแวบหายไปกับสายลม
ผมสะกิดเจ้าคนใช้ปากเสีย เหมือนกับมันจะรู้ความต้องการของผม รีบสตาร์ทเครื่องพารถจี๊บแล่นฝ่าสายฝนตรงไปที่โรงเก็บทันควัน
สไปร๊ท์ปีนลงจากที่นั่ง หิ้วอุปกรณ์การบินวิ่งตรงรี่เข้ามา พร้อมกับตะโกนเสียงโว๊กเว๊กแข่งกับสายฝน
“เฮ้ย บิ๊กแมน ดวงดีฉิบหายเลยว่ะ ก่อนฝนตกโดน 12.7 ม.ม. ของไอ้แกวที่ภูล่องมาศ ปีกซ้ายทะลุเป็นรูโหว่เลย”
สไปร๊ท์กระหืดกระหอบเล่าเหตุการณ์พร้อมกับมุดเข้ามาแทรกกับผมที่เบาะข้างหน้า หันไปสั่งคนขับด้วยภาษาอังกฤษปนลาวด้วยสำเนียงเหน่อๆ ซึ่งฟังแล้วอดขำไม่ได้
“เลท โก บักหำแตก”
รถจิ๊บเล็กเปิดไฟหน้าวิ่งฝ่าหมอกและสายฝนที่กระหน่ำลงมา จนพื้นถนนนองเจิ่งเหมือนกับเกิดอุทกภัย
พอรถจิ๊บจอดสนิท สไปร๊ท์ก็รีบเผ่นขึ้นไปบนทีพักทั้งๆที่รองเท้าคอมแบทเปื้อนโคลนเลอะเทอะเต็มไปหมด ท่ามกลางการมองค้อนของเจ้าคนใช้ปากเสียที่เบ้ปากพร้อมส่ายหน้าอย่างอิดหนาระอาใจ
ผมเดินขึ้นไปบนห้องรับแขกที่จัดอย่างสวยงาม เก้าอี้นวมบุหนังสีดำตั้งตะหง่านอยู่กึ่งกลางห้อง ตู้เย็นขนาดเล็กยี่ห้อฟิลลิปตั้งอยู่ใต้แผงหนังสือประเภทพ็อคเก็ตบุ๊คจากต่างประเทศ วางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่หลายสิบเล่ม
มีเสียงโครมครามดังขึ้นในห้องนอน ซึ่งอยู่ถัดออกไปพร้อมกับมีเสียงตะโกนของสไปร๊ทดังออกมาลั่นห้อง
“ช่วยตัวเองพรรคพวก อยากจะฟัดอะไรก็หยิบเอาเอง ช่วยเปิดปิคอัพให้หน่อยโว้ย เลือกเอาเพลงบรรเลงที่เย็นๆ อั๊วจะนอนแช่น้ำร้อนสักครึ่งชั่วโมง... ถ้าลื้อง่วงจะนอน รออั๊วก็ได้ ประเดี๋ยวค่อยคุยกัน”
นี่แหละครัความสุขของไอ้กันหลังจากเสร็จสิ้นจากการปฏิบัติงาน ด้วยเครื่องสุขภัณท์และเครื่องบำรุงความสุขที่ทาง ซี.ไอ.เอ. ประเคนให้กับนักบินรับจ้างของบริษัทแอร์อเมริกาอย่างครบครัน ซึ่งผิดกับทหารรับจ้างชาวไทยหยั่งพวกผมเหมือนฟ้ากับดิน
อย่างพวกผมแค่มีน้ำประปาที่กรองจากน้ำภูเขาก็เพียงพอแก่อัตภาพแล้ว ไอ้เรื่องจะมีสเตริโอ มีบาร์บรรจุเหล้านานาชนิดอยู่ในที่พัก ชาตินี้ทั้งชาติ คงจะไม่ได้เจอะเจอหรอกครับ
เสียงเพลงบรรเลงจากฝีมือของ “แซนโต้” ครางอ้อยอิ่ง ลวดลายการเล่นกีตาร์ฮาวาย นาบอารมณ์และไพเราะจนผมต้องเอนกายลง หลับตานิ่ง ตั้งอกตั้งใจฟัง จนกระทั่งเคลิ้มหลับไปอย่างไม่รู้ตัว...
ผมคงจะเผลอตัวหลับไปนานทีเดียว ตกใจตื่นขึ้นมาก็ได้กลิ่น “จอห์นนี่วอคเกอร์” หอมฉุยตลบอบอวลอยู่ใกล้ๆ
เจ้าสไปร๊ทยืนอยู่ตรงหน้าเค้าเตอร์ ใช้คีมคีบน้ำแข็งก้อนเล็กๆ ใส่ลงไปในแก้วเหล้าทรงสูง เสื้อคลุมแบบกิโมโนปล่อยสายรัดห้อยรุ่มร่ามอย่างปราศจากการเอาใจใส่ ปล่อยให้ขนหน้าอกที่ขึ้นเปฌนแผงเหมือนกับลิงอุรังอุตังออกมาโชว์ความเป็นผู้ชาย จนผมมองดูแล้วอดขยะแขยงไม่ได้
อั๊วได้รับจดหมายจากเมียสองฉบับ ฉบับแรกบอกให้อั๊วส่งชุดแม้วไปให้ ยังไม่ทันจะส่งของไป เธอก็มานอนรออยู่ที่เวียงจันทร์เข้าให้แล้ว นี่เพิ่งฝากจดหมาย บรามสะเตียร์ มาให้เมื่อกี้นี่เอง เธออยากจะมาเที่ยวล่องแจ้ง ไอ้อั๊วมันไม่ค่อยจะมีเวลาว่าง ต้องปั้มเงินดอลล์ล่าร์หาเรื่องออกบินทุกวัน พรุ่งนี้ตอนสามโมงเช้าลื้อคอยรับเมียอั๊วด้วย ยังไงๆช่วยเซอร์วิสพาเธอเที่ยวตามหมู่บ้านชาวแม้วที่พอจะปลอดภัยให้อั๊วด้วย พรุ่งนี้ก่อนออกบิน อั๊วจะเขียนจดหมายแนะนำฝากไว้ให้ เฮ้ย ลุกขึ้นมาล่อเหล้ากันดีกว่า”
เอาแล้วซีครับ ไอ้ผมนี่มันเกิดมาราศรีอะไรหนอถึงต้องตกที่นั่งคอยบริการชาวบ้านเขาอยู่เรื่อยๆ จะปฏิเสธสไปร๊ท์มันออกไปก็เกรงใจมัน เพราะตามปกติตอนปลายๆเดือนถังแตก ผมก็เคยพึ่งพาดอลล่าห์ของมันอยู่เสมอมา... เรื่องทั้งเรื่อง ผมก็ไม่มีทางเลือกอีกเช่นเคยครับ
วันนั้นฝนตกกระหน่ำลงมาตั้งแต่เที่ยง และยิ่งตกหนักขึ้นทุกที จนกระทั่งหกนาฬิกาของวันรุ่งขึ้นจึงยุติเป็นปลิดทิ้ง พร้อมกับประกายอันเจิดจ้าของแสงอาทิตย์เริ่มผ่านพ้นเนินสกายไลน์ขึ้นมาสาดรัศมีไปทั่วบริเวณ
สายหมอกที่เคยปกคลุมและลามเลียตีนเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันสว่างโล่งไปหมดทั้งหุบเขา ผมไม่เคยเจอะกับสภาพอากาศที่สดใสเหมือนกับวันนี้มาก่อนเลย
น้ำฝนที่ค้างอยู่บนต้นไม้ใบหญ้าถูกแสงอาทิตย์สะท้านระยิบระยับเหมือนกับเกล็ดเพชร บางครั้งก็บังเกิดสีสันนานาชนิดมองดูเหมือนกับสายรุ้งที่แพรวพรายเจิดจรัสอยู่ในห้วงนภากาศ....
หลังจากผมส่งเจ้าสไปร๊ท์ขึ้น ไอ้ปากหมา” ไปเรียบร้อยแล้ว ก็มานั่งถือจดหมายแนะนำตัวอยู่บนห้องโดยสารชั่วคราวที่สร้างอยู่ข้างใต้หอบังคับการบินเฝ้ารอกำหนดการเดินทางของเมียเจ้าสไปร๊ท์ด้วยหัวใจที่บอกตัวเองไม่ถูก
ไอ้ธรรมเนียมฝรั่งมังค่านี่มันก็แปลกนะครับ ดูพวกมันไม่ค่อยจะถือสากันเลย ขนาดเมียมันยังกล้าใว้ใจฝากเอาไว้กับพรรคพวก ถ้าเป็นสังคมในเมืองหลวงมันก็พังเท่านั้น โดยเฉพาะคนไทยเราถือเหลือเกินไอ้เรื่องพรรค์นี้ ผมเคยได้รับการบอกเล่าอยู่เสมอๆว่ากามารมณ์ของพวกแหม่มนี้ ร้อนและรุนแรงผิดกว่าชาวบ้าน ถ้าแม่เกิดเฮี้ยนขึ้นมา เธอไม่รอให้เรา “เริ่ม” หรอกครับเธอจะเป็นฝ่ายโจมตีเราก่อนทีเดียว เป็นอะไรก็เป็นกันวะ จะได้รู้ฝีมือของผู้ชายไทยหยั่งเราเสียที
เครื่องปอร์ตเตอร์สีเทาสลับดำ วิ่งปร้าดเข้ามาทางด้านหัวสนามบิน มันใช้ความเร็วอยู่บนรันเวย์ชั่วครู่ก็ชะลอเครื่องเลี้ยวซ้ายเข้ามาจอด ณ บริเวณหน้าห้องพักผู้โดยสารทันที
ผมผลุดลุกขึ้นเดินออกจากห้องพักผู้โดยสาร สอดส่ายสายตาสำรวจผู้โดยสาร ซึ่ง ขณะนี้กำลังทะลักออกมาชุลมุนวุ่นวาย
หญิงแม่ลูกอ่อนชาวแม้วโผล่ออกมาเป็นอันดับแรก ตะกร้าไก่ถูกยกโยนลงมาที่พื้น สลักที่ใส่เอาใว้หลวมๆหลุดผลั๊วะออกมาทันที ไก่ 2-3 ตัวที่ถูกขังมาเกือบชั่วโมงพอได้โอกาส ก็วิ่งพรูออกมาส่งเสียงร้องพร้อมกับวิ่งพล่านไปมา ท่ามกลางเสียงเฮฮาของกลุ่มทหารรับจ้างที่คอยยืนเครื่องบินอยู่ใกล้ๆ
แหม่มสาวแฟนของสไปร๊ท์ปรากฏตัวออกมาแล้ว เธอเดินตามกลุ่มทหารลาวท่าทางสกปรก 2-3 คน ที่หันรีหันขวางกลับไปมองดูเธอจนกระทั่งสะดุดขาตัวเองล้มลงกับพื้น ทำให้เจ้าคนท้ายสุดที่มีส่วนสูงแค่หน้าอกของแหม่มสาวสะดุดร่างของเพื่อนฝูงล้มตามลงไปด้วย
ผมเห็นเธอยกมือขึ้นปิดปาก ท่าทางเธอคงจะอยากหัวเราะออกมาเต็มที่ แต่ทว่าความที่ได้รับการอบรมในด้านสังคมมาพอเพียงจึงทำให้เธอสามารถอดกลั้นเอาไว้ได้
ด้วยเครื่องแต่งกายชุดเดินทางที่ได้สัดส่วน ความเข้มของสีน้ำเงินช่วยขับให้ผิวขาวเผือดของเธอเด่นชัดขึ้นกว่าปกติ ดวงหน้าที่เรียวยาวแบบผู้หญิงยุโรป ถูกสวมทับเอาไว้ด้วยแว่นตากันแดดขนาดใหญ่ มองดูเก๋ และแปลกตากว่าแหม่มทุกคนที่ผมเคยเห็นมา
กระเป๋าถือชนิดสะพายยาวถูกห้อยเอาไว้ที่บ่าข้างซ้าย ส่วนกระเป๋าเดินทางใบขนาดย่อมซึ่งผมคิดว่าจะต้องหนักเอาการ เพราะจากการสังเกตดูอาการเดินของเธอ ไหล่ลู่ไปข้างหนึ่ง
ผมพาตัวเองเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว ก่อนอื่นผมยื่นมือไปช่วยถือกระเป๋า พร้อมกับบอกให้เธอเดินตามผมไปขึ้นรถจี๊ปที่จอดอยู่ใกล้ๆ...
“สไปร๊ท์ออกบินไปลาดตระเวณทุ่งไหหิน สั่งให้ผมมารับคุณ กรุณาอ่านจดหมายด้วยครับ”
ผมเอ่ยขึ้นมา ในขณะที่สตาร์ทเครื่องพารถจิ๊ปออกมาจากสนามบินมุ่งหน้าไปยังที่พักของสไปร้ท์ ซึ่งมองเห็นลิบๆ บนเนินเขาเบื้องหน้า
เธอถอดแว่นกันแดดออก เอื้อมมือหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านลวกๆ เธอใช้เวลาอ่านอยู่ชั่วครู่ ก็หันมายิ้มพร้อมกับยื่นมือขวาออกมา กล่าวเป็นภาษาอังกฤษค่อนข้างเร็วที่ผมฟังเกือบไม่รู้เรื่อง
“ยินดีมากค่ะที่ได้รู้จักกับคุณบิ๊กแมน ดิฉันชื่อ “มาเรีย” เป็นคนอิตาเลี่ยน ขอบคุณมากค่ะที่ช่วยเป็นธุระให้กับสามีของดิฉัน
ผมยื่นมือจากพวงมาลัยออกไปสัมผัส มันคงจะหยาบกร้านและสกปรกเต็มที จนทำให้เธอชำเลืองดูมือของเธอที่อยู่ในอุ้งมือของผม
“ขอโทษครับ... รู้สึกว่าร่างกายของผมจะไม่ค่อยสะอาดนัก”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ชีวิตในสนามรบจะมามังพิถีพิถันกับร่างกาย ดิฉันคิดว่ามันคงจะไม่ถูกต้องเรื่องนักใช่ไหมคะ?”
เธอย้อนถามมาอีกครั้งด้วยลิ้นของชาวอิตาลีที่พูดสำเนียงอังกฤษรัวจนแทบฟังไม่รู้เรื่อง...
ผมไม่ทันจะตอบ รถจิ๊ปก็ถึงบ้านพักของสไปร๊ท์เสียแล้ว เจ้าคนใช้ปากเสียปราดเข้ามาช่วยยกกระเป๋าขึ้นไปบนห้องพักอย่างรวดเร็ว
“มาเรีย” เดินสำรวจห้องพักอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อเธอมองเห็นชุดเสื้อผ้าของชาวแม้วที่สไปร๊ท์แขวนเอาไว้ที่ตู้ ดูท่าทางของเธอตื่นเต้นมาก เห็นพึมพำเป็นภาษาบ้านเกิดออกมา ซึ่งพอจะจับใจความแว่วๆว่า
“เบนร่า... เบ็นร่า” ซึ่งมันก็จนด้วยเกล้าครับผม ผมไม่มีความรู้ในภาษาดังกล่าวนี้เลย แต่ถ้าจะให้ผมเดา มันคงจะแปลว่า “สวยมาก” อะไรในทำนองนั้นแหละครับ
“ขอเวลาดิฉัน 10 นาที นี่ก็แปดโมงครึ่งเข้าไปแล้ว ดิฉันอยากไปเที่ยวที่ปากเค อยากจะเห็นการทอผ้าของพวกแม้ว และการทำไรฝิ่น คุณบิ๊กแมนพร้อมแล้วใช่ไหมค่ะ อ้า กรุณาเตรียมเครื่องนอนไปด้วย เพราะบางที ดิฉันอาจจะค้างแรมกับคุณ”
ประสาทของผมชาวูบ มันเรื่องอะไรที่แม่แหม่มคนนี้จะไปค้างคืนกับผมในหมู่บ้านชาวแม้วที่อยู่กลางป่าลึก ประเดี๋ยวไอ้สไปร๊ท์รู้เข้า มันก็จะฉีกอกผมป่นปี้เท่านั้น
มาเรียเห็นผมอึ้งไป ก็หัวเราะออกมา กล่าวต่อไปอีก
“คุรไม่ต้องคิดอะไรมากหรอกค่ะ ประเพณีของดิฉันกับของคุณแตกต่างกันมากค่ะ เรื่องการเที่ยวเตร่ดิฉันมีสิทธิเสรีภาพและมีอิสระอย่างเต็มที่ ทั้งสไปร๊ท์และดิฉันเข้าอกเข้าใจกันดี ก่อนออกเดินทาง ดิฉันจะเขียนโน๊ตบอกสไปร๊ท์อีกครั้งหนึ่ง”
ใครปฏิเสธเธออกไปก็โง่เต็มทน ผมจัดแจงสต็อกขนมปังและเรชั่นกระป๋องติดตัวไปเต็มอัตราศึก เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจแก่ชาวบ้าน ผมต้องไปเสาะหาเครื่องแบบสีเขียวแบบที่ทหารรับจ้างแต่งกันในล่องแจ้งมาให้เธอผลัดเปลี่ยนแทนชุดเดินทางสีฉูดฉาดชุดนั้น
ไม่ถึงเก้านาฬิกาดี ทั้งผมและมาเรียก็ห้อตะบึงไปบนเส้นทางที่วกวนเวียนไปตามไหล่เขา
เมื่อผ่านจุดตรวจแต่ละแห่ง ทหารแม้วที่ยืนรักษาการณ์ทำตาโตมองดูมาเรียที่นั่งสวมหมวกเหล็กเต๊ะท่าอยู่อย่างสงสัย มันคงจะแปลกใจและคิดไม่ถึงว่าขณะนี้ ทางล่องแจ้งคงจะมีทหารหญิงฝรั่งรับจ้างรบเหมือนอย่างกับพวกมันเข้าให้แล้ว
ผมใช้เวลาประมาน 2 ชั่วโมงก็มาถึง “ปากเค” เสือกหัวรถเข้าไปจอดหน้าบ้านหัวหน้าเผ่าที่ขณะนี้ยืนยิ้มพุงกระเพื่อม ร้องออกมาด้วยความดีใจ
“เชิญเลยครับ นายภาษา กำลังคิดถึงอยู่ทีเดียว มานั่งพักผ่อนข้างในก่อนครับ อุตส่าห์พาเมียมาเที่ยวถึงที่นี่”
มาเรียเกาะแขนผม กระซิบถามออกมาทันควัน
“อีตาอ้วนเขาพูดว่าอะไรคะ”
ผมก็เลยแปลเป็นภาษาอังกฤษออกไปตามนั้น มาเรียหัวเราะกิ๊ก กระซิบบอกผมให้ตอบตาลุงหัวหน้าเผ่าออกไปว่าเธอเป็นเมียของผม แถมยืนยันคำพูดด้วยการโอบสะเอวของผมแน่น พร้อมกับยื่นจมูกเข้ามาหอมแก้มผมฟอดใหญ่...
เล่นพิเรนทร์กับผมอีกแล้ว แถมยังมาคุอารมณ์ของผมให้กรุ่นขึ้นมาอีก ผมก็เลยต้องตกกระไดพลอยโจนสมอ้างไปตามที่เธอบอก
เราได้รับการต้อนรับจากหัวหน้าเผ่าอย่างดีที่สุด ห้องพักที่มีอยู่ห้องเดียว ถูกโยกย้ายครอบครัวออกไปอย่างกระทันหัน ที่หลับที่นอนถูกตระเตรียมเหมือนกับจะให้เป็นสวรรค์ระหว่างผมกับมาเรียโดยเฉพาะเท่านั้น
ผมและมาเรียใช้เวลาว่างเท่าที่มีอยู่ตระเวณหมู่บ้านปากเคเสียจนทั่ว มาเรียจับจ่ายเงินอย่างมากมาย เพื่อซื้อเครื่องประดับของชาวแม้ว แม้กระทั่งแหวนเงินซึ่งผมพยายามมองนักมองหนา ก็ยังเห็นว่าแหวนสนามหลวงของบ้านเรายังจะเข้าท่ากว่า มาเรียก็เหมาซื้อแทบเกลี้ยงหมู่บ้าน นัยว่า จะหอบเอาไปแจกจ่ายเพื่อนฝูงที่ชิคาโก...
ตอนเย็นมาเรียเปลี่ยนชุดเครื่องแบบออก สวมชุดสาวแม้วออกไปเที่ยวไร่ฝิ่นที่ปลูกอยู่ใกล้ๆ
เนื่องจากในขณะนั้น ต่นฝิ่นเพิ่งจะเริ่มปลูกเท่านั้นเอง สภาพและลักษณะของมันก็เลยไม่เหมือนกับภาพยนต์ที่เธอเคยชมมา เมื่อผมชี้ให้ดูต้นฝิ่นต้นเล็กๆ ที่ปลูกอยู่เป็นแถวๆ เธอหันมาทำตาเล็กตาน้อยกับผมพร้อมกับพูดว่า
“บิ๊กแมนโกหก ดิฉันมองเท่าไหร่ก็เห็นเป็นต้นผักกาดหอมอยู่นั่นเอง อย่ามาหลอกดิฉันเลยค่ะ”
ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เธอเข้าใจได้อย่างไร เมื่อเห็นว่าอากาศชักจะมืดลงทุกที ก็เลยชวนเธอกลับที่พัก
ตะเกียงน้ำมันก๊าซแสงส่องสลัวๆ ผมและมาเรียนั่งจัดสิ่งของที่ซื้อมาเมื่อตอนกลางวันลงในถุงทะเลใบเขื่องที่ผมถือตืดมือเอามาด้วย...
“หนาวเหลือเกิน ที่นี่เขาคงไม่อาบน้ำกันใช่ใหมคะ หนาวแบบนี้ ดิฉันคิดว่าปรอทคงจะไม่เกิน 2 องศาเซลเซียสแน่ๆ พวกชาวบ้านเขาทนอยู่กันได้อย่างไรกัน”
“ชาวแม้วเกิดขึ้นมาในสภาพและสิ่งแวดล้อมต้องช่วยตัวเองอยู่ตลอดเวลา คุณคงจะสังเกตุเห็นใต้เตียงนอนของแม้วแทบทุกบ้าน จะมีกองไฟจุดคุอยู่ตลอดเวลา ซึ่งมันก็สามารถช่วยได้มากทีเดียว”
“ดิฉันเห็นห้องนอนของเราแล้ว อดนึกถึงวันฮันนีมูนของดิฉันกับสไปร๊ท์ไม่ได้”
เธอพึมพำออกมาเบาๆ พร้อมกับเอนกายลงนอน ผมขยับที่ให้เธอพร้อมกับค่อยๆพลิกตัวหันหลัง นอนใจเต้นตึกๆ คิดอะไรสับสนไปหมด
“กู๊ดไน๊ท์”
เสียงมาเรียกระซิบแผ่วเบาๆ ที่ใบหู ผมพยายามข่มใจอย่างเต็มที่ คาถาที่ท่องอยู่ในใจก็คือ “เมียเพื่อน เมียเพื่อน เมียเพื่อน” จนกระทั่งเผลอหลับไปจนได้
ตกใจตื่นขึ้นมาก็รู้สึกผิดปกติบนร่างกาย ความรู้สึกบอกตัวเองว่า ซิ๊ปกางเกงของผมถูกรูดออกไปจนสุด มีมือที่นุ่มนิ่มล้วงไต่เข้าลูบไล้บริเวณปืนพก “จุดสองห้อย” ของผมอยู่ไปมา
ผมนอนตัวเกร็ง เรี่ยวแรงไม่รู้ว่าหายไปใหนหมด อนิจจา ผมไม่มีกำลังแม้แต่จะยกมือขึ้นมาป้องกันสิ่งที่ผมรักและหวงแหนประดุจชีวิตเอาไว้ได้
ก่อนเหตุการณ์จะเลยเถิดไป จนกระทั่งผมประสพกับการพ่ายแพ้ ผมก็คว้าหมับไปที่ข้อมือของมาเรียทันควัน
ผมไม่เร็วไปกว่าเธอหรอกครับ มือข้างที่ว่างของเธอคว้าหมับเข้าที่ไหล่ของผม ดึงร่างของผมเข้าไปหาเธออย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรหยุดยั้งกระทิงแก่ๆอย่างผมอีกต่อไปแล้ว ผมเก็บเกี่ยวความละลานใจบนร่างของเธอทันที
“บิ๊กแมน กางเกง” มาเรียกระซิบเสียงสั่น ผมขยับก้นขึ้น ใช้มือขวาเขี่ยขอบกางเกงเลื่อนลงไปข้างล่าง คงจะไม่ทันใจ มาเรียก็เป็นฝ่ายช่วยดึงขากางเกงของผมหลุดออกไปด้วยตัวของเธอเอง
ผมเอื้อมมือคลำสะเปะสะปะไปทั่วร่างของเธอ ไม่มีส่วนไหนที่จะราบเรียบเหมือนกับผืนรันเวย์เลยครับ มันอวบอูมเหมือนกับเนินภูเขาไปเสียทั้งหมด เสียงหายใจของเราทั้งสองดังฟืดฟาดฟังไม่ได้ศัพท์ เจ้าตะเกียงน้ำมันก๊าซที่ลืมตาโพลง จ้องมองดูเราอย่างตื่นตระหนกสิ้นแสงไปเสียแล้ว เสียงคาถา “เมียเพื่อน เมียเพื่อน” ดังแว่วๆ อยู่โคนต้นงิ้ว
พับผ่า ผมเพิ่งจะรู้ว่าไอ้การปีนต้นงิ้วฝรั่งนี่มันมีรสชาดสะเด่าแบบนี้เอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 09, 2015, 12:53:26 PM โดย สมิง วังม่วง » บันทึกการเข้า

สมิง วังม่วง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 69
ออฟไลน์

กระทู้: 7597


tel. 0861810566


« ตอบ #11804 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2015, 09:47:25 AM »

"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน  มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง


ทหารรับจ้างเดนตาย งานเขียนอิงเรื่องจริงของ สยุมภู ทศพล
ตอนที่ 6 โรซี่ พยาบาลสาวเจ็ดแรงม้า (จบในตอน)
ดวงอาทิตย์ตรงศรีษะพอดิบพอดี ท้องฟ้าที่เคยมืดครึ้มไปด้วยสายหมอกอยู่ตลอดเวลา ถูกประกายความร้อนที่เจิดจ้า ขับไล่สว่างโล่งไปหมดทั้งอาณาบริเวณ
บรรยากาศที่ซบเซาของสนามบินล่องแจ้งเริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ความสงบเงียบซึ่งมีอยู่ชั่วขณะหนึ่งเนื่องจากสภาพอากาสอันเลวร้ายของอากาศ เริ่มอึกทึกครึกโครมและชุลมุนวุ่นวายกันให้มั่วไปหมด บรรดาเครื่องบินชนิดต่างๆไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินรบ,เครื่องบินลำเลียง, หรือแม้กระทั่งเฮลิคอปเตอร์ที่ถูกจอดแช่อยู่ตั้งแต่เช้าถูกติดเครื่องครางกระหึ่มส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว หลายต่อหลายเครื่องเริ่มแท็กซี่ช้าๆไปตามรันเวย์ เพื่อรอคิวที่จะบินขึ้นไปปฏิบัติงานตามภาระกิจ ที่ได้รับมอบหมายจากกองบัญชาการล่องแจ้งต่อไป...
ผมนั่งอยู่บนเฮลิคอปเตอร์ชนิด ?ฮิวอี้? ที่พรางลำตัวด้วยสีเขียวสลับน้ำตาล ที่กำลังบินอยู่สูงลิบเหนือบริเวณ ?เนินซีบร้า? เพื่อสำรวจผลการทิ้งระเบิดจาก B-52 ตามคำสั่งของ ซี.ไอ.เอ. ที่ต้องการจะประเมินผลการสูญเสียของกองพันทหารเวียดนามเหนือที่ตั้งอยู่ ณ บริเวณดังกล่าวนั้น
ทั้งๆที่เป็นการเสี่ยงอันตรายร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มจากอำนาจปืนต่อสู้อากาสยานที่อาจจะหลงเหลืออยุ่บ้าง แต่ผมก็ไม่ได้มีทางหลีกเลี่ยงภาระกิจชิ้นนี้เสียแล้ว อันดับแรกก็คือคำสั่งจากเบื้องบน (ซึ่งอันนี้ พอจะเลี่ยงได้ด้วยชั้นเชิงที่เคยเบี้ยวไอ้กันเป็นประจำ)
แต่อันดับสองนี่สิครับ มันยั่วใจผมเหลือเกิน ก็ไอ้ ?โอเวอร์ไทม์? ที่ไอ้กันมันประเคนดอลล่าร์ให้อย่างไม่อั้นนี่แหละ ที่ทำให้ผมลืมตัว ?ลืมตาย? ไปชั่วขณะ ตกหลุมเงินสกุลดอลล่าร์ของพวกมันไปอย่างง่ายดาย
แต่พอมานั่งเฮลิคอปเตอร์ลอยฟ่องอยู่บนท้องฟ้า ณ บริเวณเป้าหมาย ก็อดที่จะขนหัวลุกไม่ได้ ร่ำๆที่จะเปลี่ยนใจตั้งหลายครั้งหลายคราก็อายนักบินมัน หันมาชำเรืองดูทหารแม้วที่ติดตามมาด้วย เห็นสายตาของมันแล้วอดใจแป้วไม่ได้ ทั้งลูกน้องและผู้บังคับบัญชา ขีดความสามารถในเรื่องความกลัวตาย มันก็ไอ้เครือๆกันนั่นแหละครับ
?บิ๊กแมนเตรียมตัวครับ ผมจะบินต่ำลงไปสำรวจยอดเนินข้างล่าง อย่าโผล่ศรีษะพ้นเกราะที่อยู่หน้าช่องประตูออกไปนะครับ?
เสียงกังวานของนักบินผู้ขับขี่เฮลิคอปเตอร์ดังออกมาจากหูฟังที่สวมทับหมวกเบเรต์สีแดงสดของผมได้ยินอย่างถนัดชัดเจน
ผมรีบดึงปากพูดขนาดจิ๋วที่ติดอยู่กับหูฟังขึ้นมาพูดตอบกลับไปทันควัน
?พร้อมแล้วครับ ผมอยากจะตรวจการณ์ตั้งแต่หัวเนินทางด้านทิศเหนือไปจนถึงทางลาดลงไปในหุบด้านตรงข้าม ถ้ามีโอกาส ผมคิดว่า คุณพอจะทำได้ใช่ใหมครับ?
?แคน ดู อีซี่ มายเฟรนด์? นักบินอเมริกันสวนคำพูดกลับมาพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี...
เฮลิคอปเตอร์ลดระดับลงอย่างรวดเร็ว แล้วตีวงกว้างบินร่อนลงไปเหนืออาณาบริเวณของยอดเนิน ?ซีบร้า? ซึ่งมองเห็นลิบๆอยู่เบื่องล่าง ยิ่งต่ำลงไปเท่าไหร่ สภาพและร่องรอยของภูมิประเทศที่บอบช้ำจากการทิ้งระเบิดแบบปูพรมของ B-52 ยิ่งปรากฏชัดขึ้นทุกที
หลุมขนาดยักษ์ 6-7 หลุมเรียงรายกันไปตามความยาวของสันเขา อย่างกับถูกน้ำมือของมนุษย์ถูกขุดเอาไว้ด้วยระยะความห่างที่เท่าๆกัน ต้นไม้ขนาดใหญ่ซึ่งผมเคยจำได้อย่างถนัดหูถนัดตาว่าเคยมีอยู่หนาแน่น ณ บริเวณท้ายเนินซึ่งลาดลงไปในหุบเบื้องล่าง ถูกอำนาจจากไฟบรรลัยกัลป์เหี้ยนเตียนโล่งไปหมด จะมีเหลือพรอมแพรมอยู่บ้างก็เพียงสองสามต้นที่ถูกสะเก็ดเฉือนลำต้นขาดหายไป เหลือเพียงแต่โคนต้นเท่านั้นเอง
นักบินพาเครื่องบินกลับไปมาอยู่สองสามเที่ยว เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอนแล้ว นักบินตัดสินใจบินต่ำลงเพื่อสำรวจภูมิประเทศเบื้องล่างทันที
มันเป็นการประเมินสถานการณ์ผิดอย่างช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ทหารเวียดนามเหนือที่ซุ่มซ่อนอยู่ในบังเกอร์ที่ได้รับการพรางอย่างดีเยี่ยมพร้อมด้วยปืนต่อสู้อากาศยานชนิดแตกอากาศแบบ 12.7 มม. ระดมยิงเฮลิคอปเตอร์ลำที่ผมนั่งทันที
เสียงระเบิดรัวถี่ยิบ ดังเป็นประทัดแตกเซ็งแซ่อยู่เบื้องล่าง เสียงหวีดหวิวของหัวกระสุนที่วิ่งตัดอากาศเฉียดลำตัวของเจ้าฮิงี้ ซึ่งขณะนี้นักบินผู้ขับขี่กำลังตาลีตาเหลือกไดร์ฟเครื่องบินหนีอย่างไม่คิดชีวิต
ในขระที่เครื่องเงยลำตัวนั่นเอง กระสุดนัดหนึ่งของเจ้า 12.7 ก็จับพลัดจับผลูทะลุลำตัวเครื่องผ่านเข้าไปในห้องโดยสาร
ผมรู้สึกเสียวปร๊าบที่บริเวณต้นแขนซ้ายความรู้สึกเหมือนกับใครตบด้วยกำปั้นจนชาไปหมดทั้งแขน
ด้วยสามัญสำนึก ผมรีบยกมือขวาขึ้นตะปบบริเวณต้นแขนซ้ายทันที สัมผัสแรกที่ผมรู้สึกก็คือความเหนียวเหนอะหนะของเลือดที่ทะลักออกมาจนชุ่มฝ่ามือแดงเถือกไปหมด
?เฮ้ บิ๊กแมน... ยูโดนจวกเข้าแล้ว? อเมริกันนิโกรที่มีหน้าที่เปิดปิดประตูเฮลิคอปเตอร์ตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก พร้อมกับส่งวิทยุให้นักบินทราบ
ผมพยายามเช็ดบาดแผลด้วยการขยับมือซ้ายให้เคลื่อนไหวไปมา
อนิจจา ผมไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวมือข้างซ้ายได้เสียแล้ว มันดูคล้ายๆจะเป็นอัมพาตไปหมดทั้งแขน เวลาผ่านไปชั่วครู่ ความชาได้ทุเลาลง แต่ทว่าความเจ็บปวดรวดร้าวได้เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว
เศาผ้าร่มที่สกปรกขมุกขมอมไปด้วยเหงื่อที่พันคออยู่ตลอดเวลาของทหารแม้วถูกนำมาผูกมัดเอาไว้อย่างหนาแน่นบริเวณหัวไหล่ด้านซ้าย ซึ่งมันก็ช่วยอะไรผมไม่ได้มากมายนัก นอกจากช่วยห้ามเลือด ซึ่งขณะนี้ซึมออกมานอกแขนเสื้อลงไปเปรอะเปื้อนไปหมดทั้งตัวให้เบาบางลงไปบ้างเท่านั้นเอง
ความเจ็บปวดรวดร้าวทับทวีเพิ่มขึ้นทุกที ผมนั่งคู้งอตัวลงกับเก้าอี้ ท่ามกลางการกุลีกุจอประคับประคองคนละไม้ละมือของเพื่อนฝูง ซึ่งตามปกติก็ไม่ค่อยจะมีความรู้มากมายนักในการปฐมพยาบาลขั้นแรก
เครื่องลดระดับอีกครั้ง อาการโคลงของมันเกือบทำให้ผมต้องพลัดตกจากเก้าอี้ ภูมิประเทสของเมืองล่องแจ้งผ่านสายตาเข้ามาพอล้อแตะพื้นจอด ความสะเทือนของมันทำให้สติของผมโบยบินออกไปทันที
มันคงจะนานเอาการทีเดียว เพราะในขณะที่ผมลืมตารู้สึกตัวขึ้นมา สิ่งแรกที่ทำให้ผมได้ทำความรู้จักกับมันก็คือความหิวที่วิ่งปร้าดเข้ามาจนกระเพาะอาหารปวดจี๊ดไปหมด...
ผมงงอยู่ชั่วครู่ พยายามนึกทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา พอสายตาชำเลืองดูที่ไหล่ซ้าย เหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมาในตอนกลางวันก็พรั่งพรูเป็นภาพขึ้นมาในหัวสมอง
ผมไม่โกรธนักบินผู้ขับขี่เฮลิคอปเตอร์หรอกครับ ให้เป็นผม ผมก็ต้องตัดสินใจเช่นนั้น ก็ใครมั่งละครับ จะไปคิดว่า ไอ้แกวมันจะใจเย็นขนาดให้ ฮ.บินโฉบไปมาถึงสามเที่ยวจนกระทั่งเราตายใจ ลดระดับความสูงลงมา โดนขนาดนี้ก็นับว่าเป็นบุญแล้ว รู้สึกปวดหนึบๆที่บริเวณบาดแผลซึ่งขณะนี้หนาเตอะไปด้วยผ้าพันแผลชนิดหนา ตั้งแต่บริเวณหัวไหล่ลงไปถึงบริเวณข้อศอกด้านใน
ผมพยายามเคลื่อนไหวแขนที่บาดเจ็บอีกครั้ง ให้ตายซี ผมไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนซึ่งวางพาดอยู่ขึ้นมาได้ ก็เลยนอนลืมตาสำรวจสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบข้างอย่างเนือยๆ หลอดฟลูออเรสเซ่นต์ลักษณะวงกลมสว่างนวลอยู่บนเพดานห้อง เครื่องแบบทหารรับจ้างที่สกปรกถูกลอกคราบออกไปเสียแล้ว มีชุดสีฟ้าอ่อนแบบชุดคนไข้ใหม่เอี่ยมถูกสับเปลี่ยนเข้ามาแทนที่
ผมกวาดสายตาสำรวจต่อไปอีก มันเป็นห้องที่ถูกจัดแบ่งออกเป็นสัดส่วนจากห้องอื่นๆ มองเห็นได้อย่างชัดแจ้ง ฝากั้นที่ทำด้วยไม้อัดทาสีขาว ถูกวางกั้นเอาไว้ทั้งสี่ด้านด้วยความสูงที่ไม่ต่ำกว่าด้านละสองเมตร เสียงหึ่งๆของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าครางผ่านประตูที่เปิดเผยอเอาไว้อย่างลวกๆ เข้ามาได้ยินแว่วๆ จากลักษณะของเตียงพยาบาลที่ยกหัวเตียงให้สูงขึ้นต้องทำให้ผมอยู่ในลักษณะครึ่งนั่งครึ่งนอน แต่เนื่องจากความหยุ่นของเจ้าหมอนที่วางซ้อนกันอยู่ ณ บริเวณแผ่นหลัง ช่วยทให้ผมมีความสุขสบายขึ้นมากทีเดียว
มีเสียงรองเท้าชนิดส้นแข็งดังเป็นจังหวะเข้ามาก่อนเพียงชั่วครู่ ประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมๆกับมีเสียงแหลมเล้กพูดเป็นภาษาแม้วดังค่อยๆ ถ้าหูของผมไม่ฝาดจนเกินไปนัก ภาษาแม้วที่ผมพอจะกระดิกหูอยู่บ้าง ก็คือการออกคำสั่งให้ยกอาหารมาให้ผมนั่นเอง
เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวอยู่ในชุดนางพยาบาลสีขาวนวลโผล่พ้นประตูเข้ามาในอันดับแรก จากอาการเอี้ยวตัวให้เด็กหนุ่มที่ถือถาดอาหารเข้ามา ทำให้ผมมองหน้าเธอไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่นัก คอรับกับปลายผมอันยาวสลวยที่หงิกงอยาวเคลียกับต้นคอบังดวงหน้าของเธอเอาไว้ครึ่งหนึ่ง แต่ก็พอสังเกตุเห็นจมูกที่โงเป็นสันอย่างสวยงามอย่างถนัดชัดเจน
พอเด็กหนุ่มชาวแม้ว ยกถาดอาหารเข้ามาวางบนโต๊ะยก ซึ่งตั้งอยู่บริเวณทางขวามือของเตียงพยาบาล เสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวผู้นั้นงับประตูเอาไว้อย่างเดิม หมุนตัวกลับ เดินตรงมาที่เตียงของผม
ด้วยรูปร่างที่สูงโปร่งผิดกับลักษณะของผู้หญิงลาวโดยทั่วไป ทำให้ผมเดาเอาเองว่า หญิงสาวผู้นี้จะต้องมีส่วนผสมของฝรั่งเศษอยู่ครึ่งหนึ่งอย่างแน่นอน จะเป็นทางบิดาหรือทางมารดาอันนี้แหละยังเป็นปัญหาที่ผมยังเดาไม่ออก
ด้วยอาก่รเดินเหินที่ไม่เคอะเขิน ลักษณะท่าทางเฉี่ยวเอาอย่างมากๆ เลยทีเดียว
เมื่อเธอมองเห็นผมลืมตาอยู่ เธอก็ชะงักเล็กน้อย ทันใดนั้นเองภาษาฝรั่งเศษที่เร็วปรื๋อก็ระรัวออกมาจากริมฝีปากที่บางเฉียบคู่นั้น
โธ่เอ๋ย ขนาดภาษาอังกฤษผมก็มีความรู้เพียงงูๆปลาๆเท่านั้น พื้นเพก็จบ ม.6 ธรรมดาๆ เท่านั้น ไอ้ที่สอบผ่านมาเป็นล่ามกับเขาได้ ไม่ใช่ว่าผมจะเก่งกาจในเชิงภาษาอังกฤษกว่าชาวบ้านเขาหรอกครับ มีนักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัยไปสอบภาษาอังกฤษแข่งกับผมที่อุดรหลายต่อหลายคน พอเจอะข้อสอบ ?จงแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาลาวเข้าเท่านั้น? ก็เจ๊งกลับบ้านกันเป็นแถวๆ ส่วนผม ส.บ.ม. ครับ ภาษาลาวมันของตายอยู่แล้ว
เมื่อฟังไม่รู้เรื่อง ผมก็เลยตอบกลับออกไปเป็นภาษาอังกฤษ แต่อย่าให้ผมเขียนเป็นภาษาอังกฤษลงไปเลยครับ ประเดี๋ยวผู้รู้ไวยากรณ์ทั้งหลายจะหาว่าผมเอาภาษาอังกฤาของกระหรี่ท่าเรือคลองเตยมาใช้ มันก็เสียเหลี่ยม ?ล่ามผี? ไปเท่านั้น
?ขอโทษครับ ผมเป็นคนไทย สัญชาติไทย ภาษาที่ผมพอจะเข้าใจก็คือ อังกฤษ ลาว แม้ว แล้วก็ภาษาไทยเท่านั้น กรุณาใช้ภาษาใด ภาษาหนึ่งที่ผมบอกคุณไป แล้วพูดกับผมใหม่ครับ?
?อุ๊ยตาย... คุณบิ๊กแมนเป็นคนไทยหรือคะ ดิฉันเห็นในใบตรวจแพทย์ ตรงช่องสัญชาติเขียนเอาใว้ด้วยตัว ?F? ดิฉันนึกว่าคุณมีสัญชาติเป็นฝรั่งเศษเสียอีก นึกดีใจที่จะได้พูดภาษาเมืองคุณพ่ออยู่ทีเดียว?
ภาษาไทยที่ชัดเปรี๊ยะจากปากนางพยาบาลลูกครึ่งลาวผสมฝรั่งเศษพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง
?ใช้ภาษาไทย ค่อยยังชั่วหน่อยครับ... คงจะมีการเข้าใจผิดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ตัว ?F? นั่นคือ ตำแหน่งหน้าที่ของผมครับ ผมทำหน้าที่เป็น F.A.G. ซึ่งย่อมาจาก Forward Air Guide เจ้าหน้าที่คงจะฟังมาผิดๆ ก็เลยโมเมลงผิดช่อง กรุณาแก้ไขให้ด้วยครับ สารรูปอย่างผม ไม่มีเค้าเป็นฝรั่งเศษหรอกครับ จะมีทางก็เพียงเศษๆของฝรั่งเท่านั้น? ...พอจบคำพูดของผม เราก็เลยได้ประสานเสียงหัวเราะกันอีกครั้ง
นางพยาบาลสาวลูกครึ่ง ซึ่งผมทราบชื่อของเธอในเวลาต่อมาว่า ?โรซี่? ให้ความสนิทสนมกับผมอย่างรวดเร็ว
เธอกล้าพอที่จะเปิดเผยให้ผมฟังอย่างไม่ปิดบังว่า เธอมีคู่หมั้นอยู่แล้ว เป็นนายร้อยโทชาวแม้ว เพิ่งประสพอุบัติเหตุเครื่องบินตกเสียชีวิตมาไม่กี่เดือนมานี่เอง ในขณะที่เธอเล่าความเป็นไปของเธออยู่นั้น เอก็สาละวน วัดปรอท ตรวจชีพจรให้ผมอย่างคล่องแคล่ว ผมอดที่จะชำเลืองดูมือที่สะอาดเรียวเล็กทั้งสองข้างที่วุ่นวายอยู่กับข้อมือขวาของผมไม่ได้
บางครั้งเธอก็โน้มตัวลงจนกระทั่งศรีษะเกือบชิดหน้าอกของผม กลิ่นสาบสาวผสมกลิ่นน้ำหอมตลบอบอวนโรยรินอยู่ใกล้ๆ ร่างกาย ส่วนใดส่วนหนึ่งของผมเริ่มจะผิดปกติขึ้นมาแล้ว
งามหน้าไหมล่ะ มีทางเดียวที่ผมจะทำได้ก็คือขยับขาข้างขวาขึ้นไปทับขาข้างซ้ายเอาไว้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้จากลักษระดังกล่าวมันก็พอที่จะป้องกันภูมิประเทศส่วนที่จะทำความอับอายมาสู่ผมให้ผ่านพ้นไปได้
?แผลยังปวดอีกหรือเปล่าคะ? โรซี่เอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกับใช้มือซ้ายเอื้อมผ่านลำตัวของผมไปขยับแขนที่บาดเจ็บในลักษณะ ที่ชะโงกหน้าเข้ามาจนกระทั่งภูเขาอันมหึมาทั้งสองลูกซึ่งขนาดของมันไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเนินสกายไลน์-เนินมรณะง้ำผงาดห่างจากใบหน้าของผมเพียงชั่วกระเบียดนิ้วเท่านั้น
?เป็นอะไรก้เป็นกัน? ผมคำรามอยู่ในใจ เหมือนกับอัตโนมัติ ไอ้มือขวาที่เคยเหนี่ยวไกปืน M-16 สังหารมนุษย์ทุกเมื่อเชื่อวันยกขึ้นอย่างรวดเร็ว คว้าหมับเข้าไปที่บริเวณเอวที่กิ่วเหมือนกับมดตะนอย ดึงร่างของโรซี่เข้ามาหาร่างของผมที่ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียงพยาบาลทันควัน
มีเสียงร้อง ?อุ้ย? เบาๆ พร้อมกับร่างของโรซี่ผวาเข้าปะทะหน้าอกของผม ไอ้จมูกเจ้ากรรมก็ดันซบลงกับร่องภูเขาอันมหึมาพอดิบพอดีเสียด้วย
เธอไม่ทันจะตั้งหลักก็โดนผมบุกเป็นพายุบุแคมเสียก่อนแล้ว
จมูกถูกดึงขึ้นมาจากร่องอก ฉกแว๊บเข้าหาริมฝีปากที่บางเฉียบคู่นั้น ปากต่อปากของเราทั้งสองเจอกันพอดี โรซี่ครางเสียงอึกอักอยู่ในลำคอ... ริมฝีปากของเธอเม้มสนิท แต่มันก็เป็นเพียงชั่วครู่เท่านั้น พอลิ้นผ่านไรฟันเข้าไปได้... ร่างกายของเธอก็สั่นเหมือนลูกนกในยามหนาว
มือขวาของผมก็เลื่อนปร้าดลงไปบริเวณเนื้อหนันสะโพกที่อูมอวบอิ่ม ไอ้มือเจ้ากรรมมันฟ้องกับผมว่า เนื้อหนันข้างในชุดพยาบาลนี้ ไม่มีอะไรเลย นอกจากเนื้อสันชั้นดีที่แน่นปั๋งซุกซ่อนท้าทายอยู่เท่านั้น
มีเสียงรองเท้าดังกุกกักเป็นจังหวะแว่วมาข้างนอก โรซี่ผละจากผมอย่างรวดเร็ว เดินพรวดพราดไปยังตู้ยาขนาดกระทัดรัด ที่ตั้งอยู่มุมสุดของผนังห้อง พร้อมกับยกมือตบแต่งผมที่ยุ่งเหยิงอย่างลวกๆ
ประตูห้องถูกเปิดออก พยาบาลกลางคนโผล่หน้าเข้ามาพร้อมกับส่งภาษาฝรั่งเสษถามโรซี่อยู่ชั่วครุ่ก็ปิดประตูเอาไว้อย่างเดิมพร้อมกับเดินผละออกไป
?ดิฉันจะไปตรวจคนไข้ห้องถัดไป อีกครึ่งชั่วโมงจะมาดูคุณบิ๊กแมนอีกครั้ง อาหารทานเสียสิคะ เย็นชืดหมดแล้ว?
เธอยิ้มให้ผมนิดหนึ่ง พร้อมกับพาตัวเองออกไปจากห้อง ผมนอนคอตก หายใจฟืดฟาด ไอ้ความปวดจากบาดแผลที่หายไปชั่วคราวเริ่มเข้ามารบกวนผมอีกครั้ง
ชำเลืองดูนาฬิกาที่ข้อมือขวา ปาเข้าไปตั้งเที่ยงคืนเข้าไปแล้ว เหลือบสายตามองลงไปที่ถาดอาหาร หิวจนทนไม่ไหว ก็เลยฟัดโจ๊กหมูเสียเรียบวุธไปเลย
โรซี่เงียบหายไปจนกระทั่งผมเผลอหลับไปเพราะความอ่อนเพลีย มาตกใจตื่นขึ้นอีกทีก้อีตอนได้ยินเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นของระเบิดสามสี่ครั้งติดๆกัน ณ บริเวณใดบริเวณหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปจากโรงพยาบาลไม่เกินครึ่งกิโลเมตร ไฟฟ้าที่สว่างไสวดับมืดลงทันควัน
ชั่วอึดใจก็ได้ยินเสียงประตูห้องผมเปิดออกแผ่วเบา ร่างตะคุ่มๆที่ผมจำได้ติดหูติดตาเดินตรงเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
?โรซี่? ผมกระซิบออกไป
ไม่มีเสียงตอบ... โรซี่ตัวสั่นเหมือนกับลูกนกผวาเข้ามากอดผมแน่นพร้อมกับแทรกตัวขึ้นมานอนเบียดกับผมบนเตียงพยาบาล
อย่าให้ผมบรรยายภาพต่อไปอีกเลยครับ เว้ากันอย่างซื่อๆคืนนั้นทั้งคืน แม่โรซี่เล่นงานผมเสียจนฟ้าเหลือง อย่าเพิ่งสงสัยนะครับว่า ผมเจ็บแขนแล้วจะมีปัญญาปฏิบัติ ?กามยุทธ์? ได้อย่างไร ก้แม่คุณแม่ทูนหัวโรซี่สวมวิญญาณเป็น ?จ๊อกกี้? ตะบี้ตะบันขี่ม้าแก่อย่างผมเสียลิ้นห้อยไปเลย
อยู่โรงพยาบาลสามอาทิตย์แทนที่จะอ้วนท้วนสมบูรณ์เหมือนกับชาวบ้าน ที่ไหนได้วันออกจาก ร.พ. เพื่อนฝูงฮากันเกรียวกราวที่เห็นสังขารอันร่วงโรยของผม ยังไม่ทะนจะอวดของดีที่เจอะมาให้เพื่อนฝูงฟังก็พอดีโดนอำเสียก่อน
?เฮ้ย บิ๊กแมน รีบไปหาหมอชลกรให้แกตรวจเลือดเสียก่อนนาโว้ย ลักษณะของเอ็ง อ้สารรูปแบบนี้ จะต้องถูกแม่โรซี่ถ่ายเชื้อให้เต็มเปาเข้าแล้ว?
กลับมาจากโรงพยาบาลส่วนหน้าที่ตั้งอยู่ใกล้ๆที่พัก ผมนอนซึมกระทือดูใบความเห็นแพทย์ ที่ลงความเห็นให้ผมพักรักษาตัวต่ออีกหนึ่งอาทิตย์ เนื่องจาก ?เลือดบวกสี่? และมีอาการแรกเริ่มของ ?โกโนเรีย? แทรกเข้ามาอีก อนิจจา นางพยาบาลลุกครึ่งทำผมเสียป่นเลยคราวนี้ ผมหมดกระจิตกระใจก็เลยนอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียงนั่นเอง ก่อนจะเข้าภวังค์ ก็ได้ยินเสียงเฮฮาของกลุ่มทหารรับจ้างที่ล้อมวงโจ้เหล้าเถื่อนอยู่ข้างล่างดังแว่วๆขึ้นมาอีก
?ไอ้นวยทำปืนลั่นใส่นิ้วมืออีกแล้วโว้ย ห้อยร่องแร่งเลย มันอยากจะเจอคุณหมอโรซี่ใจจะขาด จะเป็นโรคก็ยอม กูเพิ่งประคองมันไปส่งโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เอง?
บันทึกการเข้า

หน้า: 1 ... 784 785 786 [787] 788 789 790 ... 811
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.207 วินาที กับ 24 คำสั่ง