"อย่าตัดสินใครโดยไม่ได้ถามเขาสักคำ หรือ แค่ฟังคนอื่นเขามา ชีิวิตคนก็เหมือนสะพาน มีขึ้นมีลง มีสูงมีต่ำ ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน" สมิง วังม่วง
ทหารรับจ้างเดนตาย งานเขียนอิงเรื่องจริงของ สยุมภู ทศพล
ตอนที่ 8 สาม ต่อ หนึ่ง (จบในตอน)
มกราคม 2511 เหนือสนามบินซำทอง 12,000 ฟิต ?คารีบู? สีน้ำตาลสลับดำบินวนเวียนอยู่เหนือที่ราบแอ่งกระทะ ภายในห้องโดยสารที่ก้วางขวาง บัดนี้แน่นเอี้ยดไปด้วยพลร่มอเมริกัน, ไทย, และฟิลิปปินส์ ที่กำลังยืนเรียงเดี่ยวหันหน้าไปทางประตูช่องท้ายที่เปิดอ้าเต็มที่ มองดูปุยเมฆเรียงรายเป็นชั้นๆ แลดูเวิ้งว้าง สุดสายตา
ร่มชูชีพแบบ ?สกายไดร้ท์? (SKY DRIVE-หลังเขา) ที่พ่วงติดเข้ากับเครื่องแบบเสือพรานมองดูรุ่มร่ามและรุงรังเหมือนกับมนุษย์อวกาศ ที่กำลังเดินอยู่บนดวงจันทร์
มันเป็นการกระโดร่มแบบ ?สกายไดร๊ฟท์? ที่กระจอกที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา อุปกรณ์การกระโดจำพวก ?เครื่องวัดความสูง? ?ร่มรีเสริฟ? (*น่าจะหมายถึงร่มสำรอง-หลังเขา) ถูกหน่วย ?สกาย? ซึ่งมีหน้าที่เบิกและสนับสนุนแก่พวกเราโดยตรงปฏิเสธเอาดื้อๆว่า ?ขาดสต็อค?
หมายกำหนดการ กระโดร่ม ซึ่งถูกจัดขึ้นมาเพื่อต้องการทดสอบประสิทธิภาพของทหารอเมริกันและล่ามต่างๆที่ปฏิบัติงานอยู่ ณ สนามบินซำทองได้ถูก ?ฟิ๊ก? เอาใว้อย่างเรียบร้อยแล้ว โอกาสที่จะเลื่อนออกไปดูเหมือนจะไม่มีทางแม้แต่เปอร์เซนต์เดียว
และอีกอย่างหนึ่ง ประชาชนทั้งลาวและแม้วเผ่าต่างๆซึ่งแออัดยัดเยียดอยู่เบื้องล่างก็คงจะบังเกิดกริยาแน่ๆถ้าการแสดงชุดนี้ของทหารอเมริกันต้องพับลงไป
ร.อ. เบอร์นาด หัวหน้าทีม และเจ้านายโดยตรงของผม ยืนยิ้มเผล่อยู่หัวแถว เขาหันมาตะโกนกระเซ้าผมอย่างทีเล่นทีจริง
?เฮ๊ย... ใครจะจองเฟอร์นิเจอร์ของบิ๊กแมนก็จองๆกันเอาไว้บนเครื่องนี่ก่อนนะโว้ย ประเดี๋ยวลงไปข้างล่างเป็นได้แย่งกันตายห่า เที่ยวนี้บิ๊กมนจอดแน่ๆ สกายไดร์ฟไม่มีเครื่องวัดและร่มช่วยแบบนี้ ไม่แน่จริงอั๊วว่าได้วัดพื้นแหง๋ๆ?
ผมฉุนกึกเข้าไปถึงสมอง ไอ้คำพูดทีเล่นทีจริงของฝรั่งนี่เคยโดนคนไทยฉะปากมานักต่อนักแล้ว หยั่งว่านั่นแหละครับ ผมยังต้องอาศัยบารมีและอิทธิพลของ ?แคปตั้น-เบอร์นาร์ด? (แค็ปตั้น=Captain น่าจะหมายถึงทหารยศร้อยเอก-หลังเขา) ในการเลื่อนชั้นเงินเดือนอยู่เสมอเสมอ ถึงแม้จะโมโหโกรธาจนตัวสั่น อย่างดีที่ผมทำได้ก็คือ ตะโกนด่าพ่อล่อแม่ในความปากหมาของเจ้านายอยู่ในใจ
ความจริงมันก็เป็นอย่างที่ ร.อ.เบอร์นาดพูดเอาไว้ไม่มีผิด เกิดมาผมเคยกระโดด ?สกายไดร๊ฟ? กับเขาเมื่อไหราละครับ ฮี่ท่อ ตอนสะเออะไปอยู่ศูนย์สงครามพิเศษก็กระโดดเพียง 5 ครั้งเท่านั้นเอง แถมเป็นการกระโดดแบบธรรมดาๆ ที่ชาวบ้านเขากระโดดกันก็คือ หลับหุหลับตากระโจนพรวดออกมาจากเครื่องบินโดยไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น พอเชือกดึงร่มออกกินลม ผมก็ตั้งสติเตรียมลงพื้น เป็นอันเสร็จพิธี
แต่คราวนี้ อเมริกันเสือกมาให้ผมร่วมทีมกระโดร่ม แถมจำเพาะเจาะจงให้กระโดดแบบกระตุกเองซะด้วย
บ้ายอ... อยากได้เงินดอลล่าห์เพิ่ม และประการสุดท้าย ผมอายไอ้ ?ฟรีด้า? พนักงานวิทยุสัญชาติฟิลิปปินส์ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับผมอยู่ตลอดเวลาต่างหากครับผม
ก็ทำไมจะไม่อายเล่าครับ ขนาดไอ้ฟรีด้ามันขาเป๋ข้างหนึ่งยังกล้าโดด แล้วไอ้ผมที่มีอาการครบสามสิบสองขืนไม่กระโดดเป็นต้องโดน ?ถุย? จากไอ้ปินส์ไปตลอดชาติแน่ๆ
?ขณะนี้เครื่องขึ้นสู่ระยะ 12,000 ฟิตแล้ว อีก 5 นาทีจะถึงบริเวณกระโดด... แสตนบาย?
เสียงเลานดืสปี๊กเกอร์ที่ติดอยู่เหนือเคบินห้องโดยสารดังลั่น ร.อ.เบอร์นาดหันมาให้อาณัติสัญญาณพวกผมแล้วหันหน้ากลับไปเตรียมพร้อมที่จะกระโดดด้วยท่าทางที่ปราศจากอาการพรั่นพรึงแม้แต่นิดเดียว
ผมยืนอยู่หลังสุด ถัดผมออกไปเบื้องหน้าเล็กน้อย ?ไอ้ฟรีด้า? คู่รักคู่แค้นของผม ยืนเหงื่อแตกซิกทั้งที่อากาศหนาวจับจิตจับใจ อากัปกริยาดังกล่าวทำให้ผมอ่านไต๋ของมันออกอย่างทะลุปรุโปร่งขึ้นมาทันที
มันก็ไอ้ครือๆกับผมนั่นแหละครับ ?ไอ้ฟรีด้า? มันทั้งไซท์และกลัวจนขี้หดตดหายไม่แพ้ผมเหมือนกันทีเดียวเชียว
ประกายไฟสีแดงวับวาบอยู่เหนือช่องประตูท้าย
ร.อ.เบอร์นาดหล่นวูบไปเป็นคนแรก คนที่สอง, คนที่สาม ก็ก้าวเท้าเคลื่อนที่ไป ณ ตำแหน่งดังกล่าวแล้วกระโจนพรวดดิ่งเวหาลงไปเบื้องล่างจนมองแทบไม่ทัน
แถวของนักกระโดดร่มหดสั้นลงทุกที ตัวของผมเองก้เคลื่อนที่ใกล้ประตูช่องท้ายเข้าไปทุกขณะ ?ไอ้ฟรีด้า? เดินขาทิ่มกระเผล็กๆเข้ามาช่องประตูด้วยท่าทางที่ผมมองดูแล้ว อยากจะร้องไห้ออกมาดังๆในความไม่เจียมกะลาหัวของมัน
พลร่มทั้ง 18 คนกระโดดลงไปเรียบร้อยแล้ว อีตานี้ก็ถึงรอบของไอ้ฟรีด้ากับผมกันละ
ชะรอยไอ้ฟรีด้าคงจะเกิดปอดลอยขึ้นมาดื้อๆ ผมเห้นมันสะดุ้งสุดตัว แล้วถอยหลังกลับเข้ามาชนกับผมโครมเบ้อเร่อ กริยาที่มันแสดงออกมาคล้ายๆกับจะเกี่ยงให้ผมกระโดดลงไปก่อนมัน
ฮี่ท่อ ใครจะยอม ขืนหลวมตัวให้มัน ผมก็เสียเชิงไทยเท่านั้น เท้าไวเท่าความคิด ผมถีบตูมเข้าไปที่บริเวณกลางหลังของมันเต็มแรง
ไอ้ฟรีด้าแหกปากร้องขึ้นมาด้วยความตกใจพร้อมๆกับที่ร่างของมันเซถลาหลุดออกไปจากช่องประตูด้วยลักษณะการกระโดดที่พลิกแพลงยิ่งกว่านักกระโดดร่มใดๆที่ผมเคยเห็นมา
ก็ไอ้ฟรีด้ามันตลังกาหน้าลงไปจากเครื่องบินนะซีครับ แรงถีบบวกแรงตกใจ ทำให้ไอ้ฟรีด้ากระโดดร่มด้วยท่าทางที่พิลึกกึกกือยิ่งกว่าทุกๆคน
ผมหลับหูหลับตากระโจนพรวดตามไอ้ฟรีด้าออกมาจากช่องประตู
อันดับแรกที่รู้สึกก็คือ กระแสลมที่รุนแรงปะทะหน้าจนชาไปทั้งแถบ อันดับต่อมา ความรู้สึกบอกกับตัวเองว่ากำลังถูกแรงดึงดูดของโลกดึงตัวเองลงสู่พื้นดินด้วยความเร็วสูงจนหายใจแทบไม่ทัน
เอ๊ะ นี่ตัวอาตมายังไม่ตายนี่หว่า ลองลืมตาดูนิดนึงก็มองเห็นพื้นดินวิ่งเข้าหาลูกตาเร็วจี๋ เหมือนกับอีตอนนั่งมองดูภูมิประเทศในขณะนั่งอยู่บนรถยนต์ที่ใช้ความเร็วเกินกว่า 150 ก.ม.ต่อชั่วโมงขึ้นไป
ถ้าขืนไม่กระตุกร่ม ผมเป็นจอดตามคำพูดของผู้กองเบอร์นาดแน่ๆ...
มือมันเสือกไวกว่าความคิดไปซะแล้วซีครับ มือขวาของผมดึงห่วงร่มออกมาเต็มแรง
?พรึ่บ?
เสียงที่ชินหูที่สุดจากการกระโดดร่มดังลั่นขึ้นมาเหนือบริเวณศรีษะ ร่างของผมโดนกระตุกอย่างแรง ผมแหงนหน้าขึ้นไปดู
ไชโย ร่มกาง ผมรอดตายแล้ว ผมบังคับร่มพร้อมกับก้มลงดูเบื้องล่าง โอ้โห ผมยังอยู่สูงจากพื้นดินอีกตั้งหลายพันฟุต สนามบินซำทองเล็กกระจิ๊ดริ๊ดเหมือนโต๊ะปิงปองขนาดจิ๋ว และห่างจากผมไปทางตะวันทิศออก ร่มสีแสดของใครไม่รู้ลอยละลิ่วห่างออกจากสนามบินไปทุกที...
อนิจจา ทั่วท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ไพศาล มีร่มชูชีพกางเพียงสองร่มเท่านั้นเอง ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งตกใจ นึกว่าพลร่มอีก 18 คน ร่มไม่กลาง ตกพื้นดินตายเรียบนะครับ
ความจริงร่มทั้ง 18 ร่ม มันจะต้องกางอย่างแน่ๆ แต่ที่แน่ๆในขนาดนี้ พลร่มทุกคนกำลังดิ่งเวหาด้วยการร่อนตีวงก้วางแล้ววกเข้าหากัน แถมยังจับมือจับไม้กันกลางอากาศให้วุ่นไปหมด ควันสีต่างๆที่ผูกติดกับสันรองเท้าพลร่มพุ่งเป็นสายฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้ามองดสวยงามสุดขอบฟ้า
กระแสลมพัดร่มของผมห่างสนามบินออกไปทุกทีๆ จนผมหมดปัญญาที่จะบังคับร่ม ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลยด้วยความท้อแท้ใจ
ร่มของผมตรงดิ่งไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งบริเวณหมู่บ้านดังกล่าว ผมสังเกตุเห็นประชาชนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็แหงนหน้ามองดูผมและออกวิ่งติดตามร่มของผมเป็นการใหญ่...
พระเจ้าช่วย บางคนถือมีดสปาต้าที่ขาววับอยู่ในมือ ทำอากัปกริยาเหมือนกับจะหั่นผมออกเป็นชิ้นๆเมื่อผมลงถึงพื้นดิน
ผมผ่านไร่ฝิ่นที่งามสะพรั่ง กระแสลมเฮือกสุดท้ายพาร่มของผมพุ่งเข้าหากระต๊อบหลังหนึ่งอย่างชนิดหมดทางแก้ไข
?โครม?
ปลายเท้าทั้งสองของผมทะลุหลังคาแฝกลงไปเต็มแรง ร่างของผมหล่นวูบลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ในซอกแคบๆของกระต๊อบหลังนั้นเข้าอย่างเหมาะเหม็ง
กระทาชายแม้วนายหนึ่งที่กำลังนั่ง ?อึ? อยู่อย่างสบายอารมณ์ ทำหน้าเหมือนกับโดนผีหลอก เขาจ้องมองหน้าผมอยู่ชั่วอึดใจก็ร้องโวยวายออกมาสุดเสียง ร้องไม่ร้องปล่าว พี่แกยังลุกขึ้นวิ่งพรวดพราดทะลุฝาประตูที่บอบบางออกไปเบื้องนอกอย่างขวัญเสีย
ถ้าสายตาของผมไม่ฝาด พี่แม้วคนนั้นแกไม่ได้นุ่งกางเกงติดตัวออกไปหรอกครับ โธ่ ก็ใครบ้างครับที่เขานุ่งกางเกงนั่งอึกัน
อนิจจา ผมตกลงมาบนหลังคาส้วมแม้วเข้าให้ ส้วมดังกล่าวหักสะบั้นพังลงไม่มีชิ้นดี...
มีเสียงเอะอะเกรียวกราวดังลั่นอยู่ข้างนอก ภาษาแม้วที่ชินหูพูดกันสับสน ความรู้สึกต่อมาก็คือ สายร่มถูกดึงออกแรงดึงอยู่ข้างนอก ผมเซถลาล้มลงกับพื้นส้วมอีกครั้ง
ผมรีบปลดสายร่มแล้วคลานกระย่องกระแย่งออกมาอย่างทุลักทุเล
ชาวแม้วกลุ่มใหญ่ ทั้งชายและหญิงกำลังยื้อแย่งร่มชูชีพกันจ้าละหวั่น มีดสปาต้าที่ผมสังเกตุเห็นก่อนลงพื้นกำลังถูกฟาดฟันผ้าร่มจนขาดออกเป็นชิ้นๆ
ช่างหัวมัน ร่มของไอ้กัน กะอีแค่สมบัติแค่นี้ ขนหน้าแข้งไอ้กันไม่กระดิกหรอกครับ ผมไม่รู้จะทำอะไรเลยนั่งดูพวกแม้วยื้อแย่งผ้าร่มกัน และรู้สึกว่าจะบังเกิดความสนุกสนานไปกับพวกเขาด้วยเหมือนกัน...
เสียงหัวเราะกิ๊กกั๊กของแม้วสาวกลุ่มหนึ่ง ทำให้ผมต้องละสายตาจากร่มชูชีพ หันขวับกลับไปมองทางที่มาของเสียงอย่างรวดเร็ว
สาวแม้วหน้าตาแฉล่มแช่มช้อย ผิวกายขาวซีดเหมือนกับสาวจีนยืนรวมกลุ่มกันอยู่ 3 คน แต่ละคนแต่งกายด้วยผ้าสีกรมท่า นอกจากนั้นก็ยังมีแถบแพรสีเขียวสลับชมพูคาดประดับอยู่ตามที่ต่างๆยืนส่งยิ้มให้ผมเหมือนกับชอบอกชอบใจอยู่ในที
?หัวเราะอะไรครับ น้องสาว?
ผมล่อภาษาไทยออกไปทั้งดุ้น พร้อมกับลุกขึ้นยืนสืบเท้าเข้าไปหาพวกเธอ
?ขำค่ะ ขำที่คุณตกลงมาบนส้วมของพ่อเฒ่าวังตา คุณคงจะไม่รู้ว่า ส้วมหลังนี้เพิ่งสร้างเสร็จก่อนคุณตกลงมาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดี?
สาวแม้วที่หน้าตาเข้าทีที่สุดในกลุ่มนั้น จีบปากจีบคอพูดภาษาไทยที่ชัดเปรี๊ยออกมาจนผมอดทึ่งใจไม่ได้
?คุณเป็นคนไทยหรือคะ ดิฉันชื่อมีเดียร์ เคยข้ามไปเรียนวิทยาลัยครูที่อุดรตั้ง 3 ปี ขณะนี้เป็นครูที่นี่ คุณจะไม่แนะนำตัวของคุณให้มีเดียร์ทราบบ้างหรือคะ คุณป็นคนไทยคนแรกที่มีเดียร์พูดคุยด้วยหลังจากที่กลับจากอุดรมาแล้ว บ้านเถิดเทิงยินดีต้อนรับ?
ใจของผมเย็นวาบ ?บ้านเถิดเทิง? อยู่ห่างจากสนามบินซำทองถึง 7 กิโลเมตร ไอ้ความปอดลอยของผมแท้ๆ ที่ดันกระตุกร่มตั้งแต่อยู่ในระยะ 10,000 ฟิต ลมมันก็เลยพัดผมลอยมาไกลถึงขนาดนี้
?มีเดียร์? พาผมไปบ้านของเธอซึ่งปลูกอยู่ข้างๆโรงเรียนนั้นเอง เป็นที่น่าสังเกตุว่า ?พ่อเฒ่าวังตา? เจ้าของส้วมที่แก้ผ้าวิ่งหนีผมในขณะร่มชูชีพตกลงไปในส้วม เดินตามกลุ่มพวกผมแจ จนผมชักเอะใจ มีเดียร์พาตัวเองไปซักถามอยู่ชั่วครู่ ก้เดินอมยิ้มกลับมาหาผมพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ด้วยท่าทางขบขัน
?พ่อเฒ่าวังตาแกมาขอค่าเสียหายค่ะ แกคิดราคาทั้งหมดสองหมื่นกีบ?
ผมสะดุ้งเฮือก สองหมื่นกีบก็ตั้ง 500 บาท ส้วมระยำอะไรวะถึงแพงขนาดนี้ ตามสายตาของผม ไอ้ส้วมมุงแฝกหลังนั้น ถึงยังไงๆราคาของมันจะเกิน 30 บาทไปไม่ได้ ผมอธิบายเหตุผลให้มีเดียร์ฟัง เธอหันกลับไปซุบซิบกับพ่อเฒ่าวังตาอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก็หันกลับมาพูดพลางหัวเราะกับผมอีกครั้ง
?พ่อเฒ่าวังตาแกบอกว่า ราคาส้วมนะมันไม่กี่บาทหรอก สองหมื่นกีบที่แกคิดกับคุณ แกรวมถึงค่าปลอบขวัญที่คุณทำให้แกตกใจจนถ่ายอุจจาระไม่ออกด้วย แกเล่าให้มีเดียร์ฟังว่า หลังจากร่มชูชีพของคุณตกลงในส้วม แล้วแกพยายามไปถ่ายอุจจาระอีกครั้ง ก็ถ่ายไม่ออก พ่อเฒ่าวังตาตกใจมาก เหตุการณ์ครั้งนี้ คุณต้องรับผิดชอบจ่ายเงินให้แกค่ะ?
มีเดียร์หัวร่องอหาย ส่วนผมหัวเราะไม่ออกหรอกครับ เงินสองหมื่นกีบอีตอนปลายเดือนผมมีซะเมื่อไหร่เล่าครับ เรื่องทั้งเรื่องก็เลยต้องวานมีเดียร์บอกให้พ่อเฒ่าวังตาคอยเดินทางไปรับเงินพร้อมๆกับผมในวันรุ่งขึ้น แกถึงยอมเลิกประกบตัวผม เดินยิ้มร่ากลับไปด้วยความดีใจ
มีเดียร์เป็นคนล่องแจ้ง ท่านนายพลวังเปาออกทุนสร้างโรงเรียน ?วังเปาอนุสรณ์? ขึ้นแถวหมู่บ้านเถิดเทิง แล้วส่งเธอซึ่งสำเร็จจากวิทยาลัยครูอุดรอย่างสดๆร้อนๆ มาอบรมสั่งสอนประชาชนแม้วตามโครงการพัฒนาความรู้สมัยใหม่ของท่านนายพลวังเปา
เพื่อนของมีเดียร์ทั้งสองคนปลีกตัวหลบออกไปเหมือนอย่างจะรู้ใจ
อากาศก็เริ่มจะมืดครื้ม ฝนหลงฤดูจู่โจมเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้อากาศที่หนาวเหน็บอยู่แล้ว ยิ่งเพิ่มความเยือกเย็นขึ้นอย่างจับจิตจับใจ
ผมเปลี่ยนชุดเครื่องแบบที่เหม็นหึ่งออก มีเดียร์รับภาระหาชุดแม้วมาให้ผมผลัดด้วยท่าทางที่เอาอกเอาใจ จนผมนึกเข้าข้างตัวเอง วาดอนาคตสำหรับค่ำคืนนี้เอาไว้อย่างสวยหรู
ฝนกระหน่ำตั้งแต่สามโมงเย็น จนกระทั่งสามทุ่มก็ยังไม่ยอมหยุด เทียนไขเล่มเล็กที่จุดมาตั้งแต่หัวค่ำถูกเปลี่ยนเล่มแล้วเล่มเล่า จนกระทั่งเหลือเล่มสุดท้าย และเล่มสุดท้ายดังกล่าวกำลังจะสิ้นแสงลงไปในไม่ช้า
ท่านผู้อ่านคงจะเดาจิตใจของผมออกใช่ไหมครับ ใช่ครับ ผมแช่งชักหักกระดูกให้เจ้าเทียนไขมันหมดแสงลงไปตั้งนานแล้ว แต่มันก็ยังไม่หมดซะที
ก็สว่างออกอย่างนั้น ผมจะมีปัญญา ?เริ่ม? กับเธอได้อย่างไรกัน ตามปกติผมก็ไม่ค่อยจะถนัดนักในเรื่องพรรค์ยังงี้ มันเขินๆ อย่างไรพิกล
ถ้ามืดๆสิครับ ความหน้าด้าน และความมืด บางทีเจ้าสองสิ่งนี้มันอาจจะช่วยให้งานของผมลุล่วงไปด้วยดีก็อาจจะเป็นได้
?ครืน...เปรี้ยง?
อสุนียบาตฟาดลงมาสนั่นหวั่นไหว ต้นไม้ใหญ่ข้างๆโรงเรียน ล้มครืนลงมาได้ยินถนัดหู หน้าต่างบานเดียวที่เพยิบพยาบอยู่เปิดผลัวะออกไปเต็มแรงสายลมกระโชกเข้ามา เทียนไขดับพรึ่บลงทันที
ผมเอื้อมมือออกไปควานหาไม้ขีด (อีตอนนี้อยากจะด่าตัวเองซะจริงว่าไอ้หน้าโง่) ไม่เจอะหรอกครับ สิ่งที่ผมเจอะก็คือสะโพกที่
แข็งปั๋งของ ?มีเดียร์? ซึ่งกระเถิบเข้ามาใกล้ผมเหมือนกับจะกริ่งเกรงต่อบรรยากาศรอบข้าง
มีเดียร์นิ่ง ผมก็นิ่ง มือที่วางอยู่บนสะโพกด้านข้างเริ่มร้อนผ่าวเหมือนถูกไฟลน เมื่อมันร้อนผมก็เริ่มขยับมือนะซีครับ มีเดียร์นิ่ง แต่คราวนี้ผมไม่นิ่งอีกแล้ว มืออีกข้างของผมที่ว่างคว้าหมับเข้าไปบนร่างของเธอพร้อมกับออกแรงดึงให้ร่างของเธอนอนราบลงไปบนแคร่ไม้
ผมทาบร่างลงไปประกบเธอเหมือนกับเป็นอัตโนมัติ มีเดียร์เอนกายขึ้นมาเหมือนกับเป็นตะคิว จมูกเจ้ากรรมดันฟ้องผมว่าหน้าอกของมีเดียร์ไม่มีอะไรเหลืออยู่จริงๆ นอกจากเนื้อสองก้อนที่อ่อนไหวนุ่มนิ่มเนียนจมูกจนผมแทบจะขาดใจตาย
ถ้าจะเปรียบมีเดียร์เป็นรถยนต์ เธอก็เหมือนกับรถเซคกันแฮนด์ที่ยังไม่ค่อยจะชอกช้ำเท่าไรนัก เครื่องยนต์เพิ่งจะถูกยกเครื่องมาอย่างสดๆร้อนๆ จากอากัปกริยาของเธอ ทำให้ผมไม่กล้าที่จะเหยียบคันเร่งเท่าไรนัก ค่อยๆขับไปด้วยความเร็ว 70-80 ก.ม.ต่อชั่วโมง พอเครื่องร้อน มีเดียร์กลับเป็นฝ่ายจู่โจมผม เสียจนกระทั่งถูกน็อคนอนกลิ้งเหมือนกับผีตาย
มีเดียร์หายออกไปจากห้องพักใหญ่ผมก็ได้ยินเสียงเปิดประตู เงาของกลุ่มคนไม่น้อยกว่า 3 คนวูบวาบอยู่ในความสลัวเบื้องหน้า
ผมพรวดพราดลุกขึ้น ผ้าห่มถูกมือลึกลับกระตุกพรืดหลุดไปกองอยู่ที่ปลายเท้า
?จุ๊...จุ๊... เพื่อนๆของมีเดียร์เค้ามาเยี่ยมคุณค่ะ คุณนอนเฉยๆไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น?
เสียงของมีเดียร์กระซิบกระซาบพร้อมกับใช้มือกดหน้าอกของผมให้นอนราบลงไปกับพื้น
สาวแม้วทั้งสองจู่โจมเข้าฟัดผมอย่างบ้าคลั่ง ผมขนลุกซู่ กลิ่นสาปสาวที่อบอวลอยู่รอบด้านทำให้จิตใจคึกคัก ร่างกายส่วนที่อ่อนปวกเปียกผงาดขึ้นมาเหมือนกับม้าถูกโด๊ปยา
นักมวยจำเป็นเริ่มชก ยกที่หนึ่ง, สอง, ผ่านไปอย่างหวานคอแร้ง พอขึ้นยกที่สามซึ่งเป็นยกที่แม่ครูสาวมีเดียร์เป็นผู้กำกับการแสดงเอง สติของผมก็เริ่มโบยบินออกจากร่าง ลมหายใจเริ่มอ่อนลงเหมือนกับคนไข้หนัก และสำนึกสุดท้ายก่อนที่จะหลับผล็อยลงไป ผมได้ยินเสียงหัวเราะคลิ๊กๆประสานเสียงกัยดังกึกก้องสะท้อนไปมาอยู่ในสมองที่หนักอึ้งนั้น
ผมหลับเหมือนตาย จนกระทั่งสิบเอ็ดโมงเช้า เสียงหึ่งๆของชอร์ปเปอร์ที่บินวนเวียนอยู่เหนือหมู่บ้าน ช่วยปลุกประสาทให้ผมกระโจนผลุงลงมายืนโซซัดโซเซอยู่ที่ลานบ้าน พื้นดินรอบตัวโคลงเคลงเหมือนกับเกิดแผ่นดินไหว ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเหลืองซีดๆ หูอื้อตาลาย ผะอืดผะอมหยั่งกับผู้หญิงที่มีอาการแพ้ท้องมิมีผิด
ด้วย ?สโม๊ค? ที่ติดตัวอยู่เป็นประจำ ทำให้นักบินรีบร่อนชอร์ปเปอร์ลงมารับผมทันที เมื่อเห็นอาณัติสัญญาณควันสีแดงจากเบื้องล่าง
มีเดียร์และเพื่อนสาวของเธอวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากโรงเรียน ร.อ.เบอร์นาดกับทหารลาวอีกสามคนกระโดดแผล็วลงมาจากชอร์ปเปอร์ เขาหัวเราะก๊ากที่มองเห็นผมอยู่ในชุดเครื่องแต่งกายชาวแม้ว
?ลื้อกระโดดอีท่าใหนว่ะ ร่มห่างจุดตั้ง 6-7 ก.ม. แต่ก็ยังดีกว่าไอ้ฟรีด้าแยะ ลื้อคงไม่รู้หรอกว่า ไอ้ฟรีด้าดันไปลงที่บ้าน ?หนองไหล? โน่น ขาข้างซ้ายหัก ขณะนี้มันนอนอยู่โรงพยาบาลที่ล่องแจ้งเรียบร้อยแล้ว ลื้อรู้ไหม๊ ฟรีด้ามาขอบคุณลื้อมาด้วย?
ร.อ.เบอร์นาด หันไปทำตาเจ้าชู้กับมีเดียร์แล้วหันมาพูดกับผมอีกครั้ง
?ไอ้ฟรีด้ามันขอบคุณที่ลื้อช่วยสงเคราะห์ถีบมันลงมาจากเครื่องบิน จนทำให้ขาซ้ายมันหักไปอีกข้างหนึ่ง คราวนี้ขาของมันจะได้เท่ากันเสียที มันบอกให้ไปเยี่ยมมันบ้าง ...เฮ้ย โน่น อีแม้วนั่นสวยสะบัดช่อเลย?
?เบาๆครับ แค็ปตั้น เธอเข้าใจภาษาอังกฤษของคุณเป็นอย่างดี เอเป็นครูอยู่ที่นี่ ลองไปจีบดูซีครับ รึแค็ปตั้นจะอยู่ที่นี่ก่อนก็ได้ ตอนเย็นผมจะเอาชอร์ปเปอร์มารับ?
?เฮ๊ย วันนี้ ฟรีเดย์โว้ย อั๊วจะพักอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้มารับอั๊วก็แล้วกัน?
ร.อ.เบอร์นาดตัดบทเอาดื้อๆ ผมฉากแว๊บขึ้นชอร์ปเปอร์ ท่ามกลางเสียงโวยวายของพ่อเฒ่าวังตาที่วิ่งควบจี๋ร้องตะโกนเงินค่าส้วมมาติดๆ
ชอร์ปเปอร์ยกฐานสกีขึ้นจากพื้น... พ่อเฒ่าวังตาชูกำปั้น เต้นเป็นลิงอยู่เบื้องล่าง ผมชำเลืองดูเบอร์นาดที่กำลังเดินเข้าไปหา ?มีเดียร์? แล้วก็ยิ้มออกมาด้วยความสาใจ
?คืนนี้แหละมึงเอ๋ย ไอ้แค็ปตั้นปากหมา มึงจะต้องรู้ฤทธิ์สาวแม้วเหมือนหยั่งที่กูรู้ ต่อให้มึงแน่ขนาดไหน สามต่อหนึ่งถ้ามึงไม่คลานขึ้นชอร์ปเปอร์ มึงก็เก่งเกินคนไปล่ะ ขอสวัสดีในความโชคร้ายของมึง?
ผมเอนตัวลงครึ่งนั่งครึ่งนอนกับพนักเก้าอี้ พนักงานประตูอเมริกันนิโกร ขมวดคิ้วเอ่ยปากกถามผมด้วยความคลางแคลงใจ
?วอทท์ แฮปเป่น บิ๊กแมน? (what happen ? เกิดอะไรขึ้น ?หลังเขา*)
?ทรู มัช ฟัก โว้ย ไอ้มืด? (too much fuck ? อึ๊บมากไป ? หลังเขา*)
ผมตอบมันออกไปเป็นภาษาไทยปนอังกฤษด้วยความฉุนกึก ไอ้มืดหัวเราะก๊าก ล้วงกระเป๋าหยิบซอง ?เหล้าแห้ง? โยนให้ผม
?ล่อเหล้าแห้งซะ พรรคพวก ต่อให้ลื้อโทรมมาขนาดไหน เจอะไอ้ 80 ดีกรีอันนี้ของอั๊วเข้าเป็นต้องคึกคักอยากจะเข้าไปซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่เชื่อลื้อลองดูซิวะเกลอ?
ผมล่อ ?เหล้าแห้ง? ของเม็กซิกันเข้าไปสองซองซ้อนๆ
ดีกรีอันร้อนแรงวิ่งพรวดเข้าไปในกระเพราะ ชั่วอึดใจ หูตาของผมก็สว่างไสว ท้องฟ้าเปลี่ยนจากเหลืองเป็นธรรมดา ภาพของเหตุการณ์ที่ประทับใจเมื่อคืน วูบวาบอยู่ในสมอง ความคึกคักของอารมณ์เริ่มทับทวีพุ่งขึ้นมาเหมือนกับพ่อม้าโดน ?ทิงเจอร์ขาว?
?เป็นยังไงพรรคพวก เหล้าแห้งของอั๊ว มันออกฤทธิ์หรือยัง?
ไอ้มืดย้อนถามผมออกมาอีกครั้ง ผมไม่ตอบคำถามของมัน แต่คำพูดที่ผมตะโกนใส่วิทยุบอกกับนักบินก็ทำให้ไอ้มืดหัวเราะออกมาก๊ากใหญ่
?เฮ๊ย พรรคพวก อั๊วลืมของอยู่ที่เถิดเทิงช่วยบินกลับไปส่งอั๊วหน่อยวะ?