เอาเรื่องราวเกี่ยวกับหลวงปู่ดู่ วัดสะแก สอนการปฏิบัติธรรม พูดเรื่องผี มาให้คุณ.ศักดา อ่านเพื่อเป็นแนวคิดครับ...
หลวงปู่ขา...หนูกลัวผีมากค่ะ มีนักปฏิบัติใหม่ (รวมทั้งเก่า) จำนวนไม่น้อย ที่มีปัญหากับเรื่องกลัวผี
ทำให้ไม่กล้านั่งสมาธิคนเดียว หรือไม่กล้าไปปฏิบัติที่วัดต่างจังหวัด
โดยเฉพาะกุฏิเดี่ยวๆ ยิ่งไปกางกลดด้วยแล้ว ไม่ต้องพูดถึง ไม่กล้าแม้แต่จะคิด
มีนักศึกษาสาวคนหนึ่ง เพิ่งเริ่มปฏิบัติไม่นาน
มากราบหลวงปู่พร้อมกับสารภาพกับท่านถึงสาเหตุที่ไม่ได้นั่งปฏิบัติภาวนาที่บ้าน
ว่าเป็นเพราะนั่งปฏิบัติแล้วเกิดอาการกลัวผีอย่างมาก
หลวงปู่อมยิ้มแล้วพูดตอบไปว่า
"ในท้องแกก็มีผีเต็มไปหมด มีทั้งผีเป็ด ผีไก่ ผีหมู สารพัดผี แกยังไม่เห็นกลัวเลย"
เด็กคนนั้นรวมทั้งศิษย์ที่นั่งอยู่ที่นั้นก็พากันหัวเราะ เพราะเห็นจริงตามที่หลวงปู่กล่าว
แท้จริงแล้ว ถึงผีจะมีจริง แต่ตัวปัญหาที่ทำร้ายเรา ทำให้เราเป็นทุกข์ กลับไม่ใช่ "ผี"
หากแต่ว่าเป็น "ความกลัวผี" ต่างหาก
ผียังไม่ทันทำร้ายเรา แต่จิตที่ปรุงแต่งเป็นความกลัวผีต่างหากที่ทำร้ายเรา
แถมยังทำร้ายซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่ตลอดทุกนาทีตราบเท่าที่สติเราตามรู้ไม่ทัน
บางคนก็ปากเก่ง บอกว่าไม่เชื่อหรอกว่าผีมีจริง แต่พอพระท่านให้ลองไปอยู่ป่าช้า ก็ไม่เอา
เรื่องที่จะรู้ใจเจ้าของเองนั้นยากเหลือเกิน
เปรียบเหมือนลูกนัยตาที่ไม่เห็นนัยตาตัวเอง ต้องอาศัยกระจกสะท้อน
วกมาเรื่องกลัวผี หากผู้ที่กลัวได้พิจารณาจนตระหนักว่าแท้จริงแล้ว ไม่ว่าผีจะมีจริงหรือไม่ มันจะมาหรือไม่มาก็ตาม
แต่สิ่งที่ทำร้ายเราอยู่ขณะนี้ก็คือ "ความกลัวผี" มิใช่ "ตัวผี"
และความกลัวผีนี้ เรานั่นเองที่เป็นผู้ปรุงขึ้นมาด้วยความอ่อนแอ ความไม่มีสติ ความไม่มีปัญญา
ลูกศิษย์หลวงปู่บางคนได้คิดเอาตอนไปฝึกหัดภาวนาตามวัดป่า
ลองอยู่กุฏิโดด ๆ เพียงลำพัง ตะโกนถึงกันก็แทบไม่ได้ยิน
ตกกลางคืนบรรยากาศมันชวนให้น่าสะพรึงกลัว เวลาทุกวินาทีช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า
บรรยากาศมันเงียบเสียจนได้ยินเสียงชีพจรตัวเองเต้น
มือที่กำพระอยู่ทำไมมันมีเหงื่อไหลจนเปียก ความขี้ขลาดขี้กลัวมันแสดงตัวออกมาชัดขึ้น ๆ
เวลา ผ่านไป ๆ ดึกขนาดไหน แต่ความง่วงมันหนีหายไปไหนหมดก็ไม่รู้
จึงได้เห็นอานิสงส์อย่างหนึ่งของการกลัวผี
คืออย่างน้อยทำให้ความง่วงเหงาหาวนอนที่เคยเป็นนิวรณ์รบกวนเรามันถอยทัพไปได้
เพราะมีอารมณ์กลัวผีเข้ามาแทนที่นั่นเอง
พอรุ่งสาง ได้ยินเสียงนกสารพัดชนิด ประกอบกับแสงแดดน้อย ๆ ที่ค่อย ๆ พาดผ่านเข้ามา
แถมอากาศก็เย็นสบาย ทำให้รู้สึกเป็นสุขเหลือเกิน
อ้าว...ก็มันที่เดียวกันนี่นา ที่กุฏิแห่งนี้ ตอนกลางคืนน่ากลัวเหลือเกิน
แต่พอถึงตอนเช้ากลับเป็นสวรรค์ขึ้นมาได้
เอ สุดท้ายแล้วอะไรกันแน่ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์ ไม่ใช่ตัวกุฏิ (ผีสิง) นี้ดอกหรือ
ถ้าใช่ มันก็น่าจะทำให้เราทุกข์ถ่ายเดียว ไม่ควรกลับมาทำให้เราสุขได้
เมื่อพิจารณาทบทวนดีแล้ว จึงได้เรียนรู้ว่า กุฏิก็คือกุฏิ ผีก็คือผี มันไม่ได้ทำร้ายเราหรอก
ตัวจิตปรุงแต่งของเราเองต่างหาก ที่เป็นตัวปรุงให้ทุกข์ก็ได้ ปรุงให้สุขก็ได้ ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของเราเอง
ถ้าจะกลัวผีก็ควรกลัวตั้งแต่ผีเป็ด ผีไก่ ผีหมู ในท้องของเราอย่างที่หลวงปู่บอกสิ
ทีกินเขาเข้าไปเป็นผีตั้งมากมาย ไม่เห็นคิดบ้างเลย แล้วยังจะมากลัวผีอีก
คิดสอนตัวเองอย่างนี้เรื่อย ๆ จะได้ช่วยลดอาการกลัวผี ทั้งผีในตัว และผีนอกตัว
เรื่องความกลัวผีนี้ ถ้าเราไม่ฝึกหัดอบรมจิตเพื่อแก้ไขลดความขี้กลัวนี้ให้เบาบางลง
มันก็มีหวังอยู่กับเราไปจนแก่จนตายนั่นแหละ
จึงควรที่เราจะต้องเห็นว่ามันเป็นตัวปัญหา หรือตัวสร้างทุกข์ที่เราต้องจัดการชำระสะสางเสีย
ถึงไม่หมด แต่ให้เบาบางลงบ้างก็ยังดี จึงจะไม่เสียทีที่มาเป็นศิษย์มีครูอาจารย์