เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 50462
|
|
« เมื่อ: มิถุนายน 24, 2010, 07:48:09 PM » |
|
"ข้าพเจ้ามีความปรารถนาสูงสุดอยู่ประการหนึ่ง นั่นคือทำอย่างไรให้ประเทศของเราได้รับอิสรภาพและประชาชนมีเสรีภาพอย่างแท้จริง เพื่อนร่วมชาติทุกคนมีข้าวกินมีเสื้อผ้าใส่ และมีโอกาสได้ศึกษาร่ำเรียน"
นี่คือปณิธานของ โฮจิมินห์ หรือ ลุงโฮ ของประชาชนชาวเวียดนาม ซึ่งเป็น "วีรบุรุษ" ผู้ยิ่งใหญ่ของคนเวียดนาม ในฐานะนักปฏิวัติผู้ต่อสู้ให้ได้มาซึ่งเอกราชและอิสรภาพของเวียดนาม
จากข้อความดังกล่าวถือเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจน บ่งบอกถึงความปรารถนาอันแสนธรรมดาและเรียบง่ายของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นเนื่องในโอกาสครบรอบ 120 ปี ชาตกาลของโฮจิมินห์ เมื่อ 19 พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา ชมรมวัฒนธรรมไทย-เวียดนาม และสาขาวิชาภาษาเวียดนาม ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงจัดเสวนาในหัวข้อ "ลุงโฮกับความยิ่งใหญ่ในความเป็นสามัญ"
แม้การเสวนาจะผ่านมาแล้วเกือบ 1 เดือน แต่ความน่าสนใจเรื่องลุงโฮไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย จึงขอเก็บตกความ ประทับใจที่เป็นเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยบางส่วนของงานเสวนาครั้งนี้มาเล่าสู่กันฟัง โดยเฉพาะเรื่องเล่าเกี่ยวกับ "ความเรียบง่าย" ของโฮจิมินห์ ที่ทางผู้จัดงานได้เชิญวิทยากรชาวเวียดนามบินตรงจากเวียดนามมาไทย เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์จริงที่ได้พบปะใกล้ชิดกับโฮจิมินห์ และผู้ที่ศึกษาค้นคว้าประวัติของโฮจิมินห์อย่างละเอียดลึกซึ้ง
โดย ดร.บุ่ย ดิ่ง ฟอง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องชีวประวัติของโฮจิมินห์ จากมหาวิทยาลัยแห่งชาติฮานอย ได้เล่าเรื่องความเรียบง่ายของโฮจิมินห์ในชีวิตประจำวันให้ฟังว่า ความเรียบง่ายของลุงโฮแสดงให้เห็นจากการพูดของลุงโฮ ไม่ว่าจะพูดกับใครจะใช้คำพูดที่เรียบง่ายและกระชับ ทำให้เข้าใจง่าย
ขณะที่การใช้ภาษาของลุงโฮ มักชอบใช้คำว่า "ดงบาว" เรียกประชาชนชาวเวียดนาม ซึ่งมีความหมายมากกว่าคำว่าประชาชนที่ทั่วโลกใช้อยู่ หากแปลเป็นภาษาไทย รศ.แล ดิลกวิทยรัตน์ บอกว่า จะใกล้เคียงหรือตรงกับคำว่า "พี่น้องร่วมท้องเดียวกัน" คือพวกที่มาจากท้องแม่เดียวกัน เป็นพี่น้องกัน
คำว่า "ดงบาว" จึงมีความหมายลึกซึ้ง ศักดิ์สิทธิ์ และแน่นแฟ้นใกล้ชิดมากกว่า คำว่าประชาชนทั่วไป คำนี้มาจากความเชื่อตามตำนานที่เล่ากันว่า ทุกชนเผ่าเวียดนามเกิดมาจากไข่ฟองเดียวกัน แล้วแตกเป็น 100 ฟอง เป็นพี่น้องกัน เพราะฉะนั้น ลุงโฮจึงใช้คำว่า "ดงบาว" จะไม่พูดว่า ประชาชนหรือมวลชน
ในเรื่อง "กิจวัตรประจำวัน" ของลุงโฮ ดร.ฟองเล่าว่า ปกติอาหาร 1 มื้อ ลุงโฮจะทานครบ 5 หมู่ แต่อาหารจะมี 3-4 อย่าง และจะชอบอาหารประจำชาติเวียดนาม เช่น มะเขือดอง ถ้าวันไหนมีแขกมา อาหาร จะมากกว่าปกติ เกรงว่าจะทานไม่หมด ก็จะแบ่งไว้ตั้งแต่แรก จะไม่ทานเหลือไว้
ดร.ฟองบอกว่า มีเรื่องเล่าเรื่องลูกศิษย์คนโปรด ที่ลุงโฮมักจะเรียกมาทานอาหารร่วมกันทุกวันเสาร์ และสอนว่า "เวลาทานต้องทานให้หมด อย่าให้ตกหล่นลงพื้น เพราะข้าวทุกเม็ดเป็นของประชาชน เป็นน้ำพักน้ำแรง เป็นหยาดเหงื่อแรงงานของประชาชนที่ส่งมาให้เรา"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 50462
|
|
« ตอบ #1 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2010, 07:49:04 PM » |
|
ดร.ฟองบอกว่า ลุงโฮมีเสื้อผ้าน้อยชิ้นมาก คือมีเสื้อสีกา ที่มักจะเห็นใส่ประจำ 2 ชุด เสื้อชุดทหาร 1 ชุด ชุดที่เป็นผ้าไหม 1 ชุด และเสื้อกันหนาวแบบเวียดนามเป็นผ้าสำลีเย็บหนา ๆ 1 ตัว
แต่มีเสื้อตัวหนึ่งขาด ทหารให้เอาไปทิ้ง ลุงโฮก็ไม่ทิ้ง กลับบอกว่า ถ้าขาดก็เอาไปปะสิ แล้วก็ใส่ต่อได้ ทหารถามว่า ทำไม ไม่เอาเสื้อใหม่ (ท่านเป็นถึงผู้นำ ทำไมใส่เสื้อผ้าขาด) ท่านบอกว่า "เราเป็นผู้นำของประเทศที่กำลังปฏิวัติ กำลังต่อสู้กับศัตรูอยู่ ประเทศเรายังยากจนอยู่ เพราะฉะนั้นเราใส่เสื้อผ้าขาดถือว่าเป็นบุญของประชาชนของประเทศ"
ต่อมาเป็นเรื่องพื้นฐานจริง ๆ คือ รองเท้าของลุงโฮที่ทำด้วยยางรถยนต์ เป็นการสะท้อนความเรียบง่ายอย่างแท้จริง รองเท้าคู่นี้ลุงโฮใส่ใช้เดินทางไปทั่วโลก และช่วงการปฏิวัติก็ใช้รองเท้าคู่นี้ จนมีศิลปินเวียดนามแต่งเพลงให้ท่าน ชื่อเพลง "รองเท้าของลุงโฮ" เป็นเพลงที่เมื่อร้องแล้ว คนฟังจะรู้สึกสะเทือนใจ เพราะเป็นภาพผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แต่เรียบง่าย
ดร.ฟองบอกว่า รองเท้าที่ลุงโฮใส่มา ตั้งแต่สมัยอยู่ในป่า ค.ศ. 1958 คือ 10 กว่าปี ใส่รองเท้าคู่นี้มาตลอด ครั้งหนึ่ง ลุงโฮไปเยี่ยมทหารเรือ แล้วทหารทุกนาย ก็อยากเข้าหาอย่างใกล้ชิดลุงโฮ ก็เบียดกันเข้ามาใกล้ลุงโฮ แล้วมีทหารนายหนึ่งก็เหยียบโดนรองเท้าลุงโฮ ทำให้สายหลุดออกมา
เพราะเป็นรองเท้าที่ทำจากยางล้อรถยนต์ มีสายคีบที่เสียบเจาะรูลงไปข้างล่าง (เหมือนรองเท้าแตะของไทย) เมื่อเหยียบโดนก็หลุดออกมา ทหารก็ช่วยซ่อม แต่ใช้มากว่า 10 ปีแล้ว จึงต้องเอาตะปูมาตอกให้ติด เพราะไม่สามารถจะซ่อมได้ เนื่องจากยัดสายคีบที่เป็นยางลงไปแล้วก็หลุดออกมาอีก
ส่วนเรื่องบ้าน หรือที่อยู่ของลุงโฮ ดร.ฟองเล่าให้ฟังว่า เมื่อได้อิสรภาพมา ทางรัฐบาลก็จะจัดหาที่พักอาศัยให้ลุงโฮ ก็พาลุงโฮไปดูบ้านหลังหนึ่ง เรียกว่าเป็น "ทำเนียบ" ของผู้ว่าราชการเวียดนาม หรือผู้สำเร็จราชการประจำเวียดนาม ลุงโฮ ก็บอกว่า บ้านนี้สวยจริง แต่ว่าสวยเกินไป เอาเก็บไว้ให้เด็กมาเรียนหนังสือ หรือทำกิจกรรมดีกว่า แล้วลุงโฮก็มาดูบ้านอีกหลังหนึ่งใกล้ ๆ กัน เป็นบ้านของช่างซ่อมไฟประจำทำเนียบของผู้สำเร็จราชการฯ บ้านหลังนี้หลังคาต่ำมาก ทุกคนเห็นว่า บ้านเตี้ยและร้อนมาก แต่ลุงโฮเลือกที่จะอยู่บ้านของช่างซ่อมไฟ
เมื่อลุงโฮต้องการอยู่ก็ให้อยู่ แต่ครั้งหนึ่งลุงโฮต้องไปไกลไม่อยู่บ้าน ทุกคนก็คิดว่าควรจะหาแอร์ (เครื่องปรับอากาศ) ให้สักเครื่องหนึ่ง ก็ไปติดตั้งให้ เมื่อลุงโฮ กลับเข้าบ้าน ก็บอกว่า "ผมรู้สึกได้กลิ่นอะไรแปลกที่บ้านนะ" ทุกคนก็บอกว่าใช่แล้ว ทางกระทรวงการต่างประเทศเพิ่งมอบแอร์ให้เครื่องหนึ่ง เพราะคิดว่าที่นี่ร้อนมาก เกรงว่าลุงโฮจะอยู่ไม่ไหว เลยติดตั้งให้
แต่ลุงโฮกลับบอกว่า "ประเทศเรายังลำบากมาก ไม่ร่ำรวยอะไร แอร์ก็ดีนะ แต่จะดีกว่าถ้าจะให้ที่ที่ต้องการมากกว่า เช่น โรงพยาบาล ผมใช้พัดลมก็พอ" จะเห็นว่าสุดท้ายชีวิตของลุงโฮ ถ้าใครไปบ้านลุงโฮ จะยังเห็นพัดลมตัวหนึ่งที่เก่ามาก ที่ใช้จนบั้นปลายชีวิตของลุงโฮ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 50462
|
|
« ตอบ #2 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2010, 07:49:45 PM » |
|
แม้แต่เรื่องรถของลุงโฮ ก็มีเรื่องเล่าว่า ลุงโฮมีรถเก่า ๆ ของรัสเซีย ที่ไปไหนมาไหนจะนั่งคันนี้ตลอด แต่ทุกคนอยากให้ ลุงโฮได้นั่งรถคันใหม่ แต่ลุงโฮไม่ยอมนั่ง จะนั่งแต่คันเก่า จนคนที่อยู่รอบ ๆ ตัวก็บอกว่า จะทำอย่างไรให้ท่านยอมนั่งรถคันอื่น ก็มีวันหนึ่งไม่รู้ว่ารถเสียจริงหรือเปล่า แต่ทุกคนบอกกับลุงโฮว่า ให้ไปรถคันใหม่ดีกว่า เพราะรถคันเก่าเสีย แต่ลุงโฮก็บอกว่า "รถเสียก็ซ่อมสิ" และนั่งรอให้ซ่อมจนเสร็จ แล้วบอกว่า "รถไปได้แล้วนี่ เราก็ใช้กันต่อ"
หลังจากที่ลุงโฮได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ดร.ฟองเล่าว่า ในกองทัพ ก็อยากจัดพิธีการตอนรับท่านให้สมเกียรติ เวลาไปไหนมาไหนก็จะจัดพิธีการ มีคน แต่งตัวสวยงามมาต้อนรับ แต่ลุงโฮก็แอบไปสำรวจพื้นที่ก่อน พอถึงเวลาทุกคนก็รอ และรู้สึกแปลกใจว่า เมื่อถึงเวลาแล้วทำไมลุงโฮยังไม่มา ปรากฏว่ามาทราบอีกทีคือจริง ๆ มาตั้งนานแล้ว ทุกคนเลยถามว่า ลุงโฮมาแล้วทำไมเราไม่รู้กัน ลุงโฮก็บอกว่า "บ้านเมืองเราก็ยากจน จะทำอะไรให้ อึกทึกครึกโครมทำไม และทำให้เสียเวลาสิ้นเปลืองเงิน"
"ความเรียบง่ายของลุงโฮมีมากมาย แต่ขอสรุปความเรียบง่ายของลุงโฮว่า มันมาจากความรักประชาชนของลุงโฮ จริง ๆ ไม่ใช่กระทำเพื่อสร้างภาพ แต่มาจากใจของลุงโฮ และความรักของลุงโฮ ทำให้คนเวียดนามรักลุงโฮมากขึ้น" ดร.ฟองกล่าวสรุป
ขณะที่วิทยากรอีกท่านหนึ่งซึ่งน่าสนใจมาก คือ "คุณเตื่อง วี" เป็นศิลปินประชาชน จากประเทศเวียดนาม เป็นบุคคลซึ่งได้มีโอกาสใกล้ชิดกับลุงโฮ ในช่วงหนึ่งที่เวียดนามต้องต่อสู้กับอเมริกัน จะมีการระดมเด็กชาวเวียดนามไป เพาะเมล็ดพืชสีแดง คือจัดตั้งเยาวชนต่อต้านจักรวรรดินิยม เด็กคนใดถนัดเรื่องใดก็ทำเรื่องนั้น เด็กที่ถนัดร้องเพลงก็จัดให้ ร้องเพลง และในช่วงนี้เองที่คุณเตื่อง วี มีโอกาสได้สัมผัสกับลุงโฮอย่างใกล้ชิด
คุณเตื่อง วี ชอบร้องเพลง และหลายครั้งได้ร้องเพลงให้ลุงโฮฟังด้วย เธอได้เล่าถึงหลาย ๆ เหตุการณ์ที่ลุงโฮได้สร้างความประทับใจให้กับเธอและเด็ก ๆ อีกหลายคน
"ลุงโฮเป็นผู้นำประเทศ ขณะเดียวกันก็จะห่วงใยประชาชน โดยเฉพาะศิลปิน ลุงโฮได้แสดงความห่วงใยเสมอมา เมื่อมีแขกมาจากต่างประเทศก็จะให้ไปแสดง ส่วนตัวแล้วหลายครั้งได้ร้องให้ลุงโฮและแขกต่างประเทศฟัง" คุณเตื่อง วี กล่าวถึงความประทับใจในตัวลุงโฮ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 50462
|
|
« ตอบ #3 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2010, 07:50:24 PM » |
|
เธอเล่าว่า ในความเรียบง่ายของลุงโฮคือความยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะกับเด็ก ๆ และคนที่ขาดโอกาส ห่างไกลพ่อแม่ ตอนนั้นผู้ที่ได้พบลุงโฮยังอยู่ในวัยเยาว์ ก็เป็นอาสาสมัครที่ต้องมาภาคเหนือ ต้องมาฝึกฝน ต้องห่างไกลบ้าน ลุงโฮก็สงสารที่จากบ้านมาไกล วันไหนมีภาพยนตร์ที่สนุก ๆ ลุงโฮจะบอกให้เด็ก ๆ ที่ห่างไกลครอบครัวเข้าไปพบลุงโฮแล้วไปดูภาพยนตร์
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เด็กทางใต้จะคิดถึงบ้านเกิดตัวเอง แต่ไม่รู้ว่าจะเขียนจดหมายส่งถึงบ้านเกิดตัวเองอย่างไร ขณะที่เด็กภาคใต้ก็ไม่สามารถจะส่งจดหมายมาภาคเหนือได้ เพราะประเทศถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน มีเด็กคนหนึ่งอายุ 8 ขวบ เขียนจดหมายแล้วไม่รู้จะทำอย่างไรจะส่งไปภาคใต้ได้ ก็เลยขุดดินแล้วเอาจดหมายที่เขียนไว้ฝังไปในดิน และเอาดินกลบ แล้วก็พูดว่า "ดินเอ๋ย ช่วยส่งจดหมายนี้ส่งข่าวไปให้พ่อแม่ด้วย" คุณเตื่อง วี บอกว่า หลังจากที่ลุงโฮฟัง เรื่องราวเด็กคนนี้ก็รู้สึกสะเทือนใจ
อีกเรื่องหนึ่ง คือมีอยู่วันหนึ่ง คุณเตื่อง วี ไปกองทหาร เห็นลุงโฮกำลังให้อาหารปลา มีปลาหลายสีสวยงาม สีเขียว สีเหลือง เห็นลุงโฮกำลังเพลิดเพลินก็ไม่อยากรบกวน จึงย่องไปเบา ๆ แต่ไปเหยียบกิ่งไม้ ทำให้ลุงโฮหันมามอง เธอเลยถือโอกาสทักทาย ลุงโฮวางตะกร้าและตะเบ๊ะเหมือนทหารเขาทำกัน แล้วบอกว่านั่งลง เธอจึงนั่งอยู่ขอบสระ ลุงโฮถามในหน่วยของพวกหนูมีปลาหรือเปล่า เธอตอบว่าพวกหนูไม่มีบ่อปลา ลุงบอกว่ากลับไปบอกที่หน่วยซิ ให้ขุดบ่อเลี้ยงปลา แล้วมาซื้อปลากับลุง 1 ตัว จะแถมให้อีก 1 ตัว
"ความรู้สึกเป็นกันเองของลุงโฮเมื่ออยู่ใกล้ชิด ไม่รู้สึกประหม่า ยิ่งเคารพและก็รัก ในขณะที่กับผู้นำหน่วยของหนูเอง หนูจะรู้สึกกริ่งเกรงกันมาก แต่อยู่ใกล้ลุงโฮซึ่งเป็นผู้นำประเทศกับรู้สึกเป็นกันเอง เพราะลุงโฮเป็นคนที่เรียบง่าย และอารมณ์ดี" คุณเตื่อง วี ย้อนอดีตสมัยเป็นเด็กให้ฟัง
คุณเตื่อง วี เล่าว่า มีอยู่วันหนึ่งเดินไปคุยไปกับลุงโฮ ลุงโฮก็ถามว่า ร้องเพลงเสียงอะไร เธอบอกว่า ร้องสไตล์ซูปราโน ลุงโฮพูดว่าเป็นเสียงที่สูงนี่ และถามอีกคนว่า ร้องแบบไหน อีกคนก็ตอบว่า ร้องแบบเสียงระดับกลาง ลุงบอกว่า แบบนี้ต้องร้องประสานเสียง แล้วลุงก็มีศิลปินคนหนึ่งร้องแบบบาริโทน (เสี่ยงต่ำ) เด็ก ๆ ถามลุงโฮว่าอยู่ที่ไหนเหรอ ลุงโฮบอกว่าเงียบ ๆ แล้วไปกับลุง
ลุงโฮเดินย่องเบา ๆ พวกเด็กก็เดินตาม พอเข้าไปในสวนก็มีเสียงร้องกังวานออกมา ปรากฏว่าเป็น "กบ" คิวบา ที่เขามอบให้ ลุงโฮ ตัวใหญ่ประมาณ 2 กิโล กบจะอยู่ที่ พุ่มไม้ ทุก ๆ เย็นจะเปล่งเสียง ก็จะได้ยินเสียงศิลปินกบทุกวัน ทำให้คุณเตื่อง วี มีความรู้สึกว่า ลุงโฮมีความน่ารัก เรียบง่าย คุยเรื่องที่สอดคล้องเสมอ ๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 50462
|
|
« ตอบ #4 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2010, 07:50:58 PM » |
|
เธอเล่าอีกว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง นักแต่งเพลงหลาย ๆ ท่านได้ร่วมกันแต่งเพลงให้ลุงโฮ เป็นเพลงที่ช่วยเป็นกำลังใจให้ลุงโฮ เวลาที่ไปเยี่ยมลุงโฮ นักแต่งเพลงจะแต่งเพลง ใหม่ ๆ มา แล้วไปร้องเพลงให้ลุงฟัง พอลุงโฮฟัง ก็จะบอกว่า "หนูร้องเพลงนี้เพราะ เหมาะกับโทนเสียงของหนู และบอกว่าเพลงนี้จะดังและอยู่ไปยาวนาน"
คุณเตื่อง วี มีโอกาสใกล้ชิดกับลุงโฮบ่อย เธอเล่าว่า ครั้งหนึ่งตอนตั้งท้องอยู่ ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ได้ไปร่วมร้องเพลงกับนักร้องท่านอื่น ๆ ตอนที่นักร้องไปถึงบ้านลุงโฮ ลุงโฮกำลังออกกำลังกายอยู่ แต่ทราบเรื่องว่าเธอไม่ค่อยแข็งแรง จึงก้าวเข้ามาข้างหน้าเธอ แล้วถามว่าเป็นอย่างไร แล้วเอานิ้วมาเปิดดูเปลือกตา แสดงความห่วงใย เมื่อดูแล้ว ลุงโฮบอกว่าตายังแห้งอยู่นะ ไม่ต้องร้องเพลงก็ได้ ให้พักผ่อนก่อน
"คิดว่าความเรียบง่ายของลุงโฮยิ่งใหญ่จริง ๆ ตราบเท่าทุกวันนี้ก็จำกลิ่นบุหรี่ของลุงโฮได้ และจำนิ้วของลุงโฮที่เปิดดูเปลือกตาได้" นี่คือความประทับใจที่คุณเตื่อง วี ไม่เคยลืมเลือน
ช่วงสุดท้ายของงานนี้ ปิดท้ายรายการด้วยเสียงเพลงอันไพเราะของคุณเตื่อง วี ในบทเพลงที่ลุงโฮเคยบอกเธอว่า "เพลงนี้จะดังและอยู่ไปยาวนาน"
( ประชาชาติธุรกิจ ) http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1277359008&grpid=&catid=02
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 50462
|
|
« ตอบ #5 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2010, 07:58:32 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 50462
|
|
« ตอบ #6 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2010, 08:10:40 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
yod - รักในหลวง ครับ
ความรัก - เริ่ม - จากความรู้สึก หรือ ความคิด กันแน่นะ ..... ประวัติศาสตร์อาจจะย้อนรอยเดิม แต่คนไม่อาจย้อนอดีตได้
Hero Member
คะแนน 1628
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 18173
|
|
« ตอบ #7 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2010, 08:34:41 PM » |
|
ขอบคุณครับ พี่ เบิ้ม
หลาย ๆครั้ง ก็ต้องมีภาพนี้ ปรากฎ อยู่เสมอ ๆ
อยากทราบ ลำดับเหตุการณ์ ในช่วงนี้ ด้วยครับ
ขอบคุณครับ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
..สิ่งสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า...วันนี้เขาอยู่หรือจากไป สำคัญที่ว่า...ช่วงที่เรามีเวลาอยู่ด้วยกัน ขอให้มีความทรงจำที่ดี...ก็เพียงพอแล้ว อย่างน้อย เราก็ยังมีอะไรดีดีให้นึกถึง และยิ้มให้ความทรงจำนั้นได้ ...
..กรอบใดกักขังแค่กาย แต่ใจอย่าหมายกั้นได้ โซ่ตรวนรัดรึงตรึงไว้ แต่ใจนั้นใฝ่เสรี..
|
|
|
pscn
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #8 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2010, 08:42:05 PM » |
|
ขอบคุณครับลุงเบิ้ม......
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 50462
|
|
« ตอบ #9 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2010, 08:43:55 PM » |
|
สาเหตุของสงครามเวียดนาม
กำเนิดขบวนการใต้ดิน
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ขบวนการเวียดมินห์ ได้ถือกำเนิดขึ้น โดย โฮจิมินห์ เป็นผู้นำ ระยะแรก การดำเนินการนั้น เพียงเพื่อหวังว่าจะขับไล่ญี่ปุ่นออกจากประเทศไปเท่านั้น แต่ครั้นในปี ค.ศ. 1944 พวกเวียดมินห์ได้ตั้งกองบัญชาการกองโจรขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนกำลังและอาวุธจากสหรัฐอเมริกา แต่กำลังการรบของเวียดมินห์นั้นยังเป็นกองกำลังเล็กๆ ยังไม่สามารถที่จะไปต่อต้านพวกญี่ปุ่นได้ ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไป คือ ญี่ปุ่นได้ปลดอาวุธและขังทหารฝรั่งเศสประจำอินโดจีน จึงเป็นเหตุทำให้ฝรั่งเศสนั้นเสียศักดิ์ศรีไปมาก เพราะขณะเกิดเรื่องนี้ ญี่ปุ่นกำลังจะแพ้สงคราม ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวเวียดนามกลุ่มต่างๆ ที่ดิ้นรนเพื่อเป็นเอกราช ได้เริ่มดำเนินการทันที ซึ่งผู้นำนั้นก็คือ เบาไต๋ ซึ่งเคยเป็นจักรพรรดิแคว้นอันนัม ได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็น "จักรพรรดิแห่งเวียดนาม" และต่อมาทำให้กลุ่มของเบาไต๋ มีความหวังยิ่งขึ้น คือ นายพลเดอโกลล์ ได้กล่าวคลุมเครือว่าอยากให้เวียดนามปกครองตนเอง ซึ่งทำให้พวกชาตินิยมในเวียดนามต่างก็มีความหวังในเรื่องเอกราชโดยสันติวิธียิ่งขึ้นไปอีก แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาได้ทำลายความหวังลงไป เพราะกลุ่มเวียดมินห์ได้สั่งให้ประชาชนต่อต้านญี่ปุ่น แต่คำสั่งนี้มีเจตนาแอบแฝง ไว้เพื่อหวังผลอีกทางหนึ่ง โดยมีเจตนาหาทางป้องกันไม่ให้ฝรั่งเศสกลับมามีอำนาจในเวียดนามอีก
ประกาศเอกราชในเวียดนาม
ซึ่งการที่กลุ่มเวียดมินห์นั้นได้สั่งให้ประชาชนต่อต้านญี่ปุ่น ได้ผลดีมากในทางภาคเหนือของประเทศ จักรพรรดิเบาไต๋ได้สละตำแหน่งประมุขของประเทศแล้วจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้น แล้วประกาศเอกราชในเวลาต่อมา ความสำเร็จในการยึดอำนาจครั้งนี้ ทำให้พวกคอมมิวนิสต์ที่ปะปนอยู่ในหมู่ชาตินิยมเวียดนามสามารถตั้งตนในหมู่คณะชั้นนำของขบวนการปฏิวัติได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 50462
|
|
« ตอบ #10 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2010, 08:45:55 PM » |
|
ต่างชาติเข้าแทรกแซง
ฝรั่งเศสยังมีความพยายามที่จะยึดครองเวียดนามอยู่ แต่โอกาสยังไม่อำนวยเพราะขาดกำลังทหารและพาหนะลำเลียง แต่เวียดนามก็ยังคงตกอยู่ในสภาพดังเดิม เพราะมหาอำนาจฝ่ายพันธมิตรผู้ชนะสงครามได้เข้ามายึดครองแทน โดยมีอังกฤษเข้ายึดครองภาคใต้ของเวียดนาม จีนคณะชาติยึดครองทางภาคเหนือของเวียดนาม ชาวเมืองต่างไม่พอใจในการกระทำของอังกฤษ นายพลเกรซี่ย์ ผู้บัญชาการกองทัพอังกฤษในเวียดนาม ได้ประกาศกฎอัยการศึกในเขตที่ยึดครอง สำหรับฝรั่งเศสมีทหารจำนวนเล็กน้อยได้มาถึงไซง่อนแล้ว ไปยึดตึกที่ทำการของรัฐบาล รื้อฟื้นอำนาจของฝรั่งเศสใหม่
ขบวนการผู้รักชาติ
โฮจิมินห์เริ่มเล็งเห็นถึงความเสียเปรียบ พยายามที่จะเอาชนะฝรั่งเศส ซึ่งกระทำได้ก็โดยการรวบรวมชาวเวียดนามที่มีหัวชาตินิยมไปเป็นพวก และเพื่อเป็นการปกปิดการหนุนหลังคอมมิวนิสต์ พร้อมกับแสดงให้ประชาชนเห็นว่าเป็น ขบวนการผู้รักชาติ โดยสั่งยุบพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย และจัดตั้ง แนวแห่งชาติ ขึ้นแทน ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์นั้นได้กลายเป็นองค์กรใต้ดิน ดำเนินการอย่างลับๆต่อมาเป็นเวลานาน
ข้อตกลงระหว่างจีนคณะชาติกับฝรั่งเศส
ภาคเหนือของเวียดนาม เป็นที่มั่นของขบวนการเวียดมินห์แต่มีกองทัพจีนคณะชาติอยู่ ฝรั่งเศสอยากให้จีนคณะชาติถอนตัวไปเพื่อจะได้ปราบพวกเวียดมินห์ และยึดภาคเหนือคืนได้สะดวกขึ้น ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1946 ฝรั่งเศสจึงได้ตกลงกับเจียงไคเซ็ค ยอมยกเลิกสิทธพิเศษในจีนเพื่อแลกกับการถอนทหารจีนออกไปจากภาคเหนือของเวียดนาม โฮจิมินห์พอเข้าใจถึงผลจากข้อตกลงนี้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้ต้องปะทะกับฝรั่งเศสและจีน จึงต้องยอมให้ฝรั่งเศสยึดที่มั่นบางแห่งในภาคกลางและภาคเหนือ เพราะขณะนี้ โฮจิมินห์ ยังไม่พร้อมที่จะรบหรือต่อต้านกับชาติใดๆทั้งสิ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 50462
|
|
« ตอบ #11 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2010, 08:47:58 PM » |
|
พยายามแสวงหาสันติภาพฝรั่งเศสและเวียดมินห์ต่างก็พยายามจะตกลงกันโดยสันติวิธีโดยโฮจิมินห์ยอมให้ฝรั่งเศสเคลื่อนกำลังเข้ายังฮานอยและไฮฟอง ส่วนฝรั่งเศสก็ตอบแทนด้วยการรับปากว่าจะให้เวียดนามเป็น ประเทศเสรี แต่ผลที่ได้รับจากการตกลงดังกล่าว ได้กลายเป็นสาเหตุแห่งความยุ่งยากร้ายแรงในเวลาต่อมา กล่าวคือ การประชุมเจรจากันระหว่าง 2 ประเทศนั้นไม่ลงรอยกันมากขึ้น เพราะการประชุมส่วนใหญ่เกี่ยวกับปัญหาทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไม่ได้กล่าวถึงเสรีภาพเลย ฝรั่งเศสมุ่งที่จะยึดครองด้วยกำลังทหาร ในช่วงเวลานี้ได้เกิดเหตุร้ายในไฮฟองหลายครั้ง ฝรั่งเศสระดมยิงหมู่บ้านไฮฟองเสียหายมากมาย ผลจากการกระทำดังกล่าว ทำให้ฝ่ายเวียดมินห์เห็นว่า การตกลงโดยสันติวิธีกับฝรั่งเศสคงไม่เป็นผล ดังนั้นจึงได้สั่งเคลื่อนกำลังพลโจมตีกองทหารฝรั่งเศสทั่วประเทศทันทีในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ. 1946
ปัญหาระหว่างฝรั่งเศส - เวียดมินห์ เอกราชของเวียดมินห์ที่ชาวเวียดนามแสวงหา กลายเป็นปัญหาสำคัญทางการเมืองที่สำคัญที่สุด และเป็นผลทำให้ชาวเวียดนามที่มีหัวปานกลางที่สังกัดกลุ่มชาตินิยม ซึ่งในระยะแรกคิดจะปรองดองกับฝรั่งเศส โดยจะยอมรับการปกครองของฝรั่งเศสแบบใดแบบหนึ่ง แล้วต้องสัญญาให้เอกราชที่สมบูรณ์ในภายหลัง แต่ฝรั่งเศสไม่สนใจ จึ่งทำให้พวกชาตินิยมกลุ่มนี้พยายามจัดตั้ง แนวสหภาพชาตินิยม เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1947 และได้กลายเป็นพลังการต่อต้านที่สำคัญในเวลาต่อมา
ด้วยเหตุดังกล่าว ฝรั่งเศสจึงได้กลายเป็นที่เกลียดชังของพวกชาตินิยมชาวเวียดนาม แม้แต่พวกไม่เคยต่อต้านฝรั่งเศสและนักการเมืองก็ต้องให้ความร่วมมือกับพวกปฏิวัติ หรือหนีไปนอกประเทศ ต่อมาในภายหลังฝรั่งเศสได้เสนอต่อเวียดนาม ให้มีเสรีภาพในวงกรอบแห่งสหภาพฝรั่งเศส แต่ก็ไม่ให้ความแน่ชัดในทางปฏิบัติ จึงเป็นเหตุให้พวกเวียดมินห์ที่ไม่พอใจฝรั่งเศส ทำการกวาดล้างชาวเวียดนามด้วยกันเองที่สนับสนุนข้อเสนอดังกล่าวของฝรั่งเศส
ปี ค.ศ. 1948 โงดินห์เตียมได้เสนอให้ฝรั่งเศสยกฐานะเวียดนามขึ้นเป็นประเทศในเครือจักรภพ แต่ฝรั่งเศสไม่ยอมรับ แต่อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสก็พยายามที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดของตนด้วยการเชิญเบาไต๋ ขึ้นเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล แต่ก็ไม่เกิดผลดีแก่ฝรั่งเศสแต่อย่างใด เพราะฝ่ายชาตินิยมหมดความไว้วางใจในฝรั่งเศสเสียแล้ว นอกจากนี้พวกคอมมิวนิสต์เวียดมินห์ ได้ควบคุมความเคลื่อนไหวของพวกชาตินิยมโดยสิ้นเชิง และเบาไต๋ก็ไม่ได้เป็นที่นิยมของประชาชน
การมองข้ามความสำคัญของพลังความรู้สึกทางชาตินิยมของชาวเวียดนาม และการไม่แสวงหาสันติภาพด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นความผิดพลางขั้นแรกของฝรั่งเศส ตลอดจนไม่นึกถึงความสำคัญของความร่วมมือสนับสนุนจากประชาชน ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยให้ข้าศึกสามารถรวมตัวกันได้เป็นปึกแผ่นและรวดเร็วยิ่งขึ้น
สหรัฐอเมริกา ได้เริ่มเข้าช่วยฝรั่งเศสในการรบกับเวียดมินห์ เมื่อปี ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาได้เข้าไปพัวพันกับเวียดนามมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในด้านการทหาร เศรษฐกิจก็เพิ่มขึ้นด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 50462
|
|
« ตอบ #12 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2010, 08:54:33 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
เบิ้ม
"ชีวิตคนนั้นแสนสั้น ความดีนั้นจักคงทน"
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 6424
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 50462
|
|
« ตอบ #13 เมื่อ: มิถุนายน 24, 2010, 09:05:11 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"ศรัทธาของท่าน ความเชื่อของท่าน ก็เป็นของท่าน ความเชื่อของเรา ศรัทธาของเรา ก็เป็นของเรา"
|
|
|
แจ็ค
"กำบ่มีอย่าไปอู้...กำบ่ฮู้อย่าได้จ๋า"
ชาว อวป.
Hero Member
คะแนน 461
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 7529
|
|
« ตอบ #14 เมื่อ: มิถุนายน 26, 2010, 03:49:05 PM » |
|
... คนบ้านเราเดี๋ยวนี้ยังข้ามไปดูอนุสรณ์สถานของท่านโฮ และยังกล่าวขานถึงวีรกรรมของท่านกันไม่ขาดปาก แต่ถ้าได้ศึกษาที่มาของเรื่องราวแล้ว มันไม่ง่ายเยี่ยงนั้นเลย .... การต่อสู้ของคนสมัยก่อนนั้น ต้องมีความตั้งมั่น และศัรัทธาที่แรงกล้าเป็นที่สุด ....
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
... เมื่อความกลัวถึงขีดสุด มันจะเกิดเป็นความกล้าที่บ้าบิ่น ...
|
|
|
|