เรื่องสามีและภริยาถือว่าเป็นบุคคลเดียวกันนั้น เคยให้ความเห็นไว้ก่อนแล้ว จึงขออนุญาตหยิบยกมาประกอบในกรณีนี้ด้วย
ที่นี่ครับ สามี + ภรรยา ถือเป็นบุคคล คนเดียวกันไม่ใช่หรือ ----->
http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=83126.0ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่มีมาตราไหนกำหนดไว้ว่า ให้สามีและภรรยาถือว่าเ็ป็นบุคคลคนเดียวกันครับ
เพียงแต่ระบุความสัมพันธ์ระหว่างสามีและภริยาไว้ว่า สามีและภริยาต้องอยู่กินด้วยกัน อุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน และต้องจัดการทรัพย์สินที่เป็นสินสมรสร่วมกัน
และในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปก่อหนี้อันใดที่เป็นเรื่องของครอบครัว เช่น กู้ยืมเงินไปสร้างบ้าน ลงทุนธุรกิจครอบครัว
กฎหมายให้ถือว่าคู่สมรสอีกฝ่ายต้องร่วมรับผิดและผูกพันในหนี้นั้นด้วย
โดยหลักทั่วไป การทำนิติกรรมใดๆคู่สมรสฝ่ายหนึ่งสามารถทำได้เองโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายก่อน
เว้นแต่ นิติกรรมดังกล่าวเป็นประเภทตามที่กฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะว่าจะต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสก่อน คู่สมรสฝ่ายนั้นจะต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายครับ มิฉะนั้นแล้วคู่สมรสอีกฝ่ายสามารถฟ้องเพิกถอนนิติกรรมที่ทำไปได้ภายในอายุความครับ นิติกรรมดังที่ว่ามานั้น มีดังต่อไปนี้ครับ
มาตรา ๑๔๗๖ สามีและภริยา ต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือ โอนสิทธิจำนองซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้
(๒) ก่อตั้งหรือกระทำให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์
(๓) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี
(๔) ให้กู้ยืมเงิน
(๕) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา
(๖) ประนีประนอมยอมความ
(๗) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
(๘) นำทรัพย์สินไปเป็นประกัน หรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล
การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยา จัดการได้มิต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งเหตุที่นิติกรรมทั้ง ๘ ประเภทนี้จะต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายก่อน ก็เพราะนิติกรรมทั้ง ๘ ถือว่าเป็นการก่อภาระให้กับสินสมรส
เมื่อสินสมรส ถือว่าคู่สมรสมีสิทธิเท่าๆกัน การปล่อยให้คู่สมรสอีกฝ่ายสามารถจำหน่าย จ่ายโอน หรือก่อภาระกับทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสได้สะดวก
จึงเป็นอันตรายอย่างยิ่งและอาจก่อให้เกิดปัญหาครอบครัวต่อไปได้
แต่อย่างไรก็ดี ทางแก้ของคู่สมรสอีกฝ่ายที่มิได้ยินยอม ก็สามารถฟ้องขอต่อศาลเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้ภายใน ๑ ปี หรือ ๑๐ ปีแล้วแต่กรณี ดังนี้ครับ
มาตรา ๑๔๘๐ การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับ ความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตาม มาตรา ๑๔๗๖ ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่ สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรม นั้นได้ เว้นแต่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือ ในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน
การฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง ห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้น หนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รู้เหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนหรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่ วันที่ได้ทำนิติกรรมนั้นจากที่ยกมาซะเยอะ จะเห็นได้ว่า ความเป็นบุคคลตามกฎหมายไม่ว่าในทางแพ่งหรือทางอาญาของสามี ภริยา นั้น สามารถแยกกันเป็นเอกเทศได้ไม่ถือว่าเป็นบุคคลคนเดียวกัน เพียงแต่มีภาระผูกพันบางอย่างที่ต้องทำร่วมกัน และต้องร่วมรับผิดในหนี้ที่เป็นลูกหนี้ร่วมกัน หรือ หนี้ที่สามี หรือภริยาก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรสตามที่กฎหมายกำหนด
ดังนั้น ที่ว่ากฎหมายแพ่ง กับกฎหมายอาญาค้านกันเองในเรื่องความเป็นบุคคลคนเดียวหรือไม่ ผมเห็นว่าไม่ค้านกันครับ