ส่วนหนึ่งที่ คนไทยไม่สามารถทำงานเป็นทีมได้ น่าจะเริ่มจาก หัวหน้าหรือผู้นำไม่สามารถทำให้ผู้ตามทำงานให้ด้วยความเต็มใจ เต็มฝีมือได้ทุกคน ลูกน้องถูกแบ่งเป็นลูกรัก ลูกชัง โดยปริยาย และแน่นอนว่าลูกชังมากกว่าลูกรัก เกิดการแบ่งพรรคเล่นพวก อิจฉาริษยา เกิดการคิดเออเอาเอง ไม่สามัคคี ลูกน้องบางส่วนไม่มีพวกก็เข้าเกียร์ว่าง เกิดเป็นวงจรร้ายๆทำให้ประสิทธิภาพหน่วยงานลดลง
เรื่องความรู้การทำงานผมคิดว่า มันไม่เกินสิ่งที่เรียนมาเท่าไหร่ ในส่วนที่เป็นงานน้อยนักที่จะพบโจทย์ปัญหาที่ไม่มีทางแก้ แต่เรามักไม่มีใจที่จะนำเอามาใช้อย่างเต็มความสามารถ เนื่องด้วยขาดเป้าหรือแรงผลักและแรงดัน เช่น ลูกน้องมีความรู้สึกว่า ทำไปก็เท่านั้น ทำแล้วได้กับคนอื่น ทำแล้วไม่เห็นมีอะไร แต่ถ้าปรับเปลี่ยนว่าทำแล้วได้... ความเฉื่อยชาจะลดน้อยลงทันที
เรื่องโกหกเล็กๆน้อยๆ หรือไอเดียบรรเจิดเมื่อเพิ่งเลิกการประชุม หรือตอนเช้าเป็นลูกน้องตกเย็นเป็นผู้บริหาร(วงเหล้า) หรือเรื่องข้างบน
อันนี้จะเกิดกับพวกแก่พรรษาเท่านั้น และสิ่งที่สร้างพฤติกรรมพวกนี้ให้เขาต้องเข้า protect mode ตลอดเวลาที่พูดคุยกับผู้ใหญ่ ก็เพราะที่ผ่านมา หัวหน้ามักกลัวว่าจะมีอะไรผิด หรือบกพร่องตลอดเวลา ทำให้อารมณ์จะสลับ protect mode กับ judgment mode ตลอดเวลา ลูกน้องต้องรับคำพิพากษาแย่ๆจากหัวหน้าเสมอไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ (ยิ่งพูดจะกลายเป็นยิ่งเถียง)
จนเป็นสเตอริโอไทป์ของหัวหน้าฝังหัวไปโดยปริยาย ต่อให้เปลี่ยนหัวหน้าใหม่ก็ยากที่จะแก้ไข
ทุกคนมีไอเดียทั้งนั้น แต่เขาจะแสดงให้ดูเมื่อเขาไม่ต้องรับผิดชอบในไอเดียนั้น เช่น นอกห้องประชุม ในวงเหล้า พูดคุยกันเองในกลุ่ม ไม่เป็นทางการ