ผมขอนำพุทธวิธีแก้ทุกข์ดีๆ มาให้พวกท่านอ่านครับ พอดีผมไม่ค่อยได้ทำประโยชน์ให้กับเวป
ถ่ายรูปก็ไม่เก่ง ลงรูปก็ไม่เป็น ก๊อปปี้ก็ไม่ถนัด แต่ผมจะพยายามทำแต่สิ่งดีๆให้เวป โดยไม่เอาเท้าราน้ำครับ
การตัดสินว่าใครดีหรือไม่ดี สำหรับคนส่วนมาก
มักจะเอาความพอใจส่วนตัว หรือผลประโยชน์
ส่วนตัวเป็นเครื่องวัด
เช่น สมศรี เห็นภุชงค์ หล่อเหลา สง่างาม และมี
น้ำใจไมตรีกับตนดี ก็ว่า ภุชงค์เป็นคนดี แม้ว่าใครๆ จะ
บอกว่า ภุชงค์ เป็นคนหลอกลวงต้มตุ๋นคนอื่นก็ตาม
ยาใจ ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจาก ครรชิต ผู้มีอาชีพ
ทางทุจริต ปล้นจี้ และค้าของเถื่อน มีคดีติดตัว ต้อง
หลบๆ ซ่อนๆ เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ใครๆ ก็คิดว่า
ครรชิต เป็นคนไม่ดี เเต่ยาใจก็ยังเห็นว่าสามีของตน
เป็นคนดี เพราะสามีเอาใจใส่ดูแล ให้เงินใช้ไม่
ขาดเเคลน
ถ้าเอาเพียงความชอบใจ พอใจ หรือผลประโยชน์
เป็นเครื่องตัดสิน คนชั่วกลายเป็นคนดี หรือคนดีๆ
ก็กลายเป็นคนชั่วได้ มาตรฐานวัดดี - ชั่วเช่นนี้ไม่แน่นอน เอาเป็นหลักไม่
ได้
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า คนดีนั้น ต้องวัดกันที่ "คนคน
นั้น" จริงๆมิใช่เอาความรู้สึกที่คนอื่นเห็นเกี่ยวกับคนนั้น
ทองคำธรรมชาตินั้น แม้ใครๆ จะแกล้งบอกว่า มัน
เป็นตะกั่วเป็นทองเเดง มันก็หากลายเป็นตะกั่วหรือ
ทองแดงตามคำพูดของคนไม่ ทองก็ยังคงเป็นทองอยู่
นั่นเอง เพราะเนื้อแท้ของมันคือทองแท้
คุณสมบัติของความเป็นคนดีมีอยู่ 7 ประการ
ใครมีเพียงสองสามอย่างก็ดีเพียงสองสามส่วน เเต่
ถ้ามีครบทั้ง 7 ประการเรียกว่าเป็นคนดีโดย
สมบูรณ์
คุณสมบัติทั้ง 7 ประการคือ
- รู้เหตุ
- รู้ผล
- รู้ตน
- รู้ประมาณ
- รู้กาล
- รู้ชุมชน
- รู้บุคคล
คนที่รู้เหตุ - ผล - ตน - ประมาณ - กาล - ชุมชน -
บุคคล ก็คือคนที่ "รู้กาลเทศะ" เเละวางตัวถูก
ต้องเหมาะสมกับกาลเทศะนั่นเอง คนเช่นนี้
แหละนับว่าเป็น "คนดี" ตามหลักพระพุทธศาสนา
จาก ศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต