เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
เมษายน 06, 2025, 01:35:09 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: อวป. มีจำหน่ายที่ สนามยิงปืนราชนาวี/สนามยิงปืนบางบัวทอง/สนามยิงปืนศรภ./
/สนามยิงปืนทอ./
สิงห์ทองไฟร์อาร์ม
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: หนังสือ/ภาพยนตร์ เด็กดู(สนุก)ดี ผู้ใหญ่ดูได้ (ความรู้)  (อ่าน 15265 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
bluebunny รักในหลวง
Full Member
***

คะแนน 144
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 235



« ตอบ #45 เมื่อ: กันยายน 03, 2010, 06:33:48 PM »

โอเค พูดถึงบ้านเล็กในป่าใหญ่ ลัดคิวไปแล้ว ตอนนี้ ขอกลับไปแฮรี่พอตเตอร์ต่อนะคะ...

Harry Potter and the Order of Phoenix

หนังสือภาคนี้ เหมือนเป็นบทนำ หรือ prelude ของเหตุการณ์ในตอนท้ายๆ ของเรื่องมากกว่า จะจบในตอน เหมือนเล่ม 1-3 โดยในภาคนี้ หนังสือพูดถึงช่วงรอยต่อของวัยรุ่นเช่นเคย แต่เป็นช่วงรอยต่อตอนที่เด็กเริ่มจะเป็นผู้ใหญ่และก้าวเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่จริงๆ

เรื่องในภาคนี้แสดงให้เห็นแฮรี่ที่กำลังเป็นวัยรุ่นแตกเนื้อหนุ่ม เริ่มมีแฟนจริงๆ เริ่มว้าวุ่นใจต่างๆ นาๆ ตามประสาวัยรุ่นที่จะเป็นเด็กก็ยังไม่ใช่ ผู้ใหญ่ก็ยังไม่เชิง แต่ท้ายที่สุดจากเหตุการณ์ต่างๆ ในหนังสือ แฮรี่ก็ต้องถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องโตเป็นผู้ใหญ่ ต้องเผชิญหน้ากับภาระในการต่อสู้กับโวลเดอร์มอร์ และต้องรับมือกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียสิ่งยึดเหนี่ยวในจิตใจ/การปกป้องคุ้มครองของผู้ปกครอง ซึ่งก็คือSirius ที่ตายไปนั่นเอง (JK Rowling เป็นนักเขียนที่ชอบกำจัดตัวละครทิ้งทุกภาคจริงๆ)  Tongue นอกจากนั้น เรื่องในภาคนี้ก็แสดงถึงความซับซ้อนของโลกผู้ใหญ่ให้เด็กได้เห็นด้วย ไม่ว่าจะความไม่ลงรอยแต่ทำงานด้วยกันของสมาชิกของ Order หรือความเป็นห่วงความรักแบบผู้ใหญ่ของสามีภริยาวีสลีย์

เรื่องราวในภาคนี้ สื่อถึงความอดทน และการใช้กำลังใจต่อสู้ยืนหยัดสิ่งที่ถูกต้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นการที่แฮรี่ยอมผิดระเบียบโลกเวทย์มนตร์ เพื่อช่วยดัดลีย์ ญาติที่ชอบแกล้งเขา หรือการที่แฮรี่อดทนต่อการลงโทษร้ายกาจและไม่เป็นธรรมของคุณครูอัมบริดจ์ หรือการที่ต้องต่อสู้กับข่าวชั่วร้ายในนสพ. (สงสัยคนแต่งคงเกลียด tabloid อังกฤษเสียจริงๆ เพราะต้องแอบแขวะสื่อนสพ.พวกนี้ในแทบทุกภาคเลย)  Grin
นอกจากนั้น ภาคนี้ ก็ยังคงแฝงด้วยการเตือนวัยรุ่นในเรื่องการใช้อารมณ์ก่อนเหตุผล และเรื่องการไม่รังเกียจดูถูกผู้ที่ด้อยกว่า โดยเฉพาะในเรื่องของ Kreacher ซึ่งน่าจะเตือนใจได้ว่า การดูถูกว่าคนที่ต่ำต้อยกว่า ไม่มีความรู้สึกหรืออารมณ์หรือสามารถทำอะไรร้ายๆ ได้ นั้น นอกจากจะเป็นสิ่งที่ไม่ดี และผิด แล้ว ยังเป็นสิ่งที่สามารถนำภัยมาสู่ตัวเราได้ด้วย





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 03, 2010, 07:10:41 PM โดย bluebunny รักในหลวง » บันทึกการเข้า

For King & For Country!
bluebunny รักในหลวง
Full Member
***

คะแนน 144
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 235



« ตอบ #46 เมื่อ: กันยายน 03, 2010, 06:57:52 PM »

นอกจากนั้น ในส่วนของเรื่องราวในหนังสือ ตัวละคร Luna Lovegood ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ใช้สอนเด็กๆ ได้ดี ความสัมพันธ์ระหว่างแฮรี่กับลูน่า จึงน่าจะช่วยให้แง่คิดแก่เด็กๆ ให้เป็นคนจิตใจดี มีเมตตาและไม่ตัดสินคนจากรูปลักษณ์ภายนอก โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น เด็กมักจะหลงลืมไป เพราะสำหรับวัยรุ่นแล้ว ความเห็นของเพื่อนคนอื่นๆ มีอิทธิพลมากต่อความคิดของเขา มากกว่าสิ่งที่เขารู้สึกเองเสียด้วยซ้ำ

การไม่ดูถูก ไม่ล้อเลียน และเห็นใจคนที่แปลกกว่าตัวเอง เห็นได้ชัดจากอีกตอนที่พูดถึงตอนแฮรี่ไปโรงพยาบาล St. Mungo และได้รู้เรื่องพ่อแม่ของ Neville Longbottom เพื่อนนร.ที่เป็นเด็กขาดความมั่นใจแต่เป็นคนดี จิตใจอ่อนโยน สำหรับผู้ใหญ่ บทนี้น่าจะใช้สอนเด็กๆ ในเรื่องของการทำความเข้าใจไม่ดูถูกคนที่ไม่สมประกอบ ว่า เขาอาจมีที่มาที่ไป เช่นอาจเคยทำความดีมาก่อนแต่โชคร้าย เช่นพ่อแม่เนวิลล์ที่เคยต่อสู้โวลเดอร์มอร์จนโดนคำสาปทำให้เสียสติ รวมทั้งเห็นใจเพื่อนที่มีพ่อแม่ญาติโยมอย่างนี้ด้วย ไม่ให้ไปล้อเลียนเขา 

สำหรับภาพยนตร์ ตอน Order of the Phoenix นี้ ก็ต้องบอกว่ากำกับศิลป์ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะฉากต่อสู้กัน (ตอนอ่านก็นึกสงสัยอยู่ว่าจะทำอย่างไร) ไม่ว่าจะตอนฝึกซ้อมของกลุ่ม DA หรือตอนท้ายในห้องคำพยากรณ์ แต่หนังอ้อยอิ่งไปนิดกับเรื่องของความรักของแฮรี่ ซึ่งนักแสดงตัวเอกทั้งแฮรี่ทั้งโช ก็ยังเล่นไม่ค่อยอินหรือชัดเจนพอจะให้คนดูคล้อยตามหรือรู้สึกมีส่วนร่วม

สำหรับตัวละครที่น่าจะเล่นได้ดีที่สุด ก็น่าจะเป็นมิสซิสอัมบริดจ์ที่เล่นได้ร้ายสมกับหนังสือมากจนน่าประทับใจ (หนังจบแล้ว ยังจำได้อยู่เลย) ซึ่งคงเพราะหนังสือเขียนไว้ค่อนข้างดี (ความเป็นคุณป้าบ้าแมว หรือความชอบเครื่องประดับวับๆ แวบๆ และดูบ้าความเป็นระเบียบมากๆ ก็พอจะนึกภาพออกได้ เพราะในอังกฤษก็มีคุณป้าที่ดูเหมือนจะเป็นแนวนี้ เดินถนนให้เห็นอยู่บ้าง)

ส่วนลอร์ดโวลเดมอร์ ของราลฟ์ ไฟนส์ก็ใช้ได้ ดูน่ากลัวเหมือนในหนังสือ (เสียดายความหล่อจริงๆ ไม่น่าเลย..  หัวเราะร่าน้ำตาริน)  อันที่จริงบทโวล์เดอมอร์ มีความยากซ่อนอยู่ตรงที่ว่า เป็นตัวละครที่ไม่มีการบรรยายการพูดการเดิน กิริยา หรืออารมณ์ (เบื้องหลังคำพูด) ไว้สักเท่าไร ถ้าไม่นับว่ามีประวัติวัยเด็กเก็บกดยืดยาวแล้ว ก็แทบจะไม่มีมิติเลย เพราะมีเพียงอารมณ์แค่สองอารมณ์คือ เกลียด (ในดีกรีต่างๆ กันตามสถานการณ์)และยะโส เท่านั้น สำหรับราลฟ์ ไฟนส์ คงถือว่าบทนี้ไม่ยาก เพราะแกก็เคยเล่นเป็นตัวละครที่มีความแรงในเรื่องอารมณ์บ่อยๆ ไม่ว่าจะใน Schindler's list หรือ Red Dragon เพียงแต่เดาว่า ที่แกไม่ได้เล่นให้แรงกว่านี้ (แบบ Meryll Streep ใน the devil's wear prada ที่แม้ไม่อยู่ในฉาก คนดูยังรู้สึกกลัวแทนตัวละครอื่นๆ) เพราะผู้กำกับคงไม่อยากให้กลบแฮรี่เกินไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 03, 2010, 07:16:50 PM โดย bluebunny รักในหลวง » บันทึกการเข้า

For King & For Country!
bluebunny รักในหลวง
Full Member
***

คะแนน 144
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 235



« ตอบ #47 เมื่อ: กันยายน 03, 2010, 07:02:44 PM »

สำหรับฉากที่ชอบที่สุดในหนังภาคนี้ ก็คือ ฉากที่ป้ายประกาศระเบียบข้อห้ามต่างๆ ของคุณครูอัมบริดจ์ พังทลายลงมาจากฝีมือพี่น้องวีสลีย์ ดูแล้วเป็นสัญลักษณ์ดีค่ะ แม้จะดูมิวสิกวีดีโอเพลงร็อคไปเล็กน้อย  Grin

ส่วนช็อตตอนตอกตะปูแรงๆ จนผนังสะเทือน นั้นไม่ค่อยชอบเท่าไรเพราะดูออกจะแนวอิงนิยายประวัติศาสตร์ พวกตอกตะปูตรึงไม้กางเขนมากไปนิด  Grin แต่ก็เข้าใจเพราะผู้กำกับจะเล่นมุขว่า เสียงตอกตะปูมันสะท้อนเข้าไปในหัวใจเด็กๆ ที่ก็แค่อยากใช้ชีวิตมีความสุขร่าเริงเป็นนักเรียนตามปกติเท่านั้นเอง
บันทึกการเข้า

For King & For Country!
newfoon
Hero Member
*****

คะแนน 2482
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 9264



« ตอบ #48 เมื่อ: กันยายน 03, 2010, 08:35:10 PM »

สวัสดีค่ะ  ไหว้  ชอบหนังสือเหมือนกันค่ะ  Grin  สำหรับเรื่องแฮร์รี่  พอตเตอร์  ชอบพี่น้องฝาแฝดวิสลีย์  ดูเค้าไม่เคยทุกข์ใจกับเรื่องอะไรเลย  มีความสุขได้ตลอด  Grin

เท่าที่ตามกระทู้มา  น่าสนใจทั้งนั้นเลยค่ะ  บางเรื่องอ่านแล้ว  บางเรื่องยังไม่เคยอ่าน  แต่จะต้องไปหามาอ่านซะแล้วล่ะค่ะ  Grin

อีกเรื่องที่เป็นนิยายเรื่องโปรด  ชุด หัวใจน้ำหมึก  ทั้งสามเล่มค่ะ     Grin  ใครอ่านแล้ว  คิดเห็นอย่างไร  แบ่งปันบ้างนะคะ  ไหว้
บันทึกการเข้า

m120
Full Member
***

คะแนน 11
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 253


« ตอบ #49 เมื่อ: กันยายน 04, 2010, 07:33:58 PM »

มาตามอ่านอีกคนครับ..  Grin
บันทึกการเข้า
bluebunny รักในหลวง
Full Member
***

คะแนน 144
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 235



« ตอบ #50 เมื่อ: กันยายน 09, 2010, 05:44:19 AM »

หายไปสักพัก ขออภัยค่ะ  Grin ช่วงนี้มีงานเยอะค่ะ  ขอขอบคุณทุกๆ  ไหว้ ท่านที่สนใจติดตามอ่านและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นนะคะ ไว้จะทะยอยติดตามคุยเรื่องที่ท่านสมาชิกอื่นๆ เสนอมานะคะ  Cheesy

ขอกลับไปถกเรื่อง harry potter ให้จบซีรีส์ก่อนนะคะ

Harry Potter and the Half Blood Prince

นิยายภาคนี้เป็นภาคที่อ่านจบแล้วออกจะกวนใจคนอ่าน เพราะดันไม่ยอมเล่าให้จบ  ตกใจ และแถมยังทำให้ครูใหญ่ของแฮรี่ที่เป็นตัวละครเดินเรื่องที่สำคัญตายเสียอีก แต่ในแง่โครงสร้างของเรื่องทั้งหมด ภาคนี้ถือว่าสำคํญ เพราะพูดถึงที่มาที่ไปของตัวละครเด่นๆ และเป็นการปูพื้นไปยังภาคสุดท้ายที่เนื้อเรื่องอัดแน่นเข้มข้นเข้าไปอีก สิ่งที่น่าเสียดายก็คือเหมือนคนแต่งพยายามรีบเล่าเรื่องมากไปหน่อย (คงกลัวใครว่าหนังสือหนาอีก) ทำให้หลายๆ ตอนที่อ่านๆ แล้วจะรู้สึกว่าตัดฉากเร็วจริง อย่างไรก็ตาม โดยรวมก็นับว่า สนุกดี และเป็นภาคที่ภาษาที่ใช้ก็เขียนดีขึ้นเยอะ

ภาคนี้ชื่อว่า Half-blood prince หรือเจ้าชายลูกครึ่งพ่อมด-คนธรรมดา บรรยายถึงครูสเนป  โดยให้เห็นว่า ตัวละครครูสเนปจริงแล้วมีความดีซ่อนไว้อย่างไร และเป็นคนที่น่าสงสารในวัยเด็ก ที่โดนรังแก ล้อเลียน และมีเพียงแม่ของแฮรี่ที่เป็นเพื่อนที่มีเมตตามีมิตรภาพยื่นให้เขา กลายเป็นว่ามิตรภาพของแม่ของแฮรี่เป็นสิ่งที่ทำให้ครูสเนป (หรือความแอบรักของครูสเนป) ทำให้เขาไม่ออกนอกลู่นอกทางและยังมีความดีในใจพอจะไม่หลงละเมอไปกับโวลเดอร์มอร์ ซึงก็เป็นการพูดถึงตัวละครอย่างลึกซึ้งมากขึ้น และทำให้เด็กๆ ที่อ่านน่าจะรู้สึกมีความเข้าใจตัวละครตัวนี้ และในที่สุด เมื่อถึงเล่มสุดท้ายก็จะเข้าใจและเห็นใจว่าทำไมแฮรี่ถึงกลับกลายเป็นชื่นชมครูสเนปที่แสนจะเกลียดมาก่อน

นอกจากนั้น ภาคนี้ก็บรรยายถึงความชั่วร้ายที่สั่งสมตามวัยของโวลเดอร์มอร์ นอกจากภาคที่ผ่านๆ มาที่แสดงให้เห็นแล้วว่า มีวัยเด็กที่ประหลาดโรคจิต (รังแกสัตว์ตัวเล็กๆ ทำร้ายแกล้งเด็กอื่นๆ ตอนเป็นเด็กกำพร้า หรือ มักใหญ่ใฝ่สูงกระหายอำนาจด้านมืดตอนเป็นวัยรุ่น ในภาค 2) ในภาคนี้ก็เห็นว่าแม้แต่เป็นผู้ใหญ่โวลเดอร์มอร์ก็ไม่คิดจะปรับปรุงจิตใจ โดยยังคงเดินหน้าทำชั่วต่อไปเรื่อยๆ และคิดค้นหาทางจะทำชั่วได้นานๆ อีกตะหาก แถมในภาคนี้ โวลเดอร์มอร์ยังทำตัวเหมือนคนที่มีปมเขื่องต้องการลบอดีตยากจนลำบากในวัยเด็กด้วยการพยายามไปปลุกเสกสิ่งของๆ คนดังๆ ประมาณว่าขอรัศมีบารมีคนดังมาทาบนั่นเอง  (รู้สึกคุ้นๆ เหมือนนักการเมืองไทยหลายคน...)

ภาคนี้ เรื่องที่เด่นน่าสนใจคือเรื่องของการทำความชั่วว่า ทำแล้วมีผลต่อจิตใจ วิญญาณ และความเป็นตัวตนของเราอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องของเวทย์มนตร์ Horcrux หรือการถอดดวงใจ (แบบทศกัณฐ์ในรามเกียรติ์) ซึ่งในท้องเรื่องบรรยายว่า จะถอดวิญญาณให้ตัวเองไม่ตายได้ หากทำความชั่วมากๆ ซ้ำๆ ไปมาจนหัวใจ/วิญญาณแตกเป็นเสี้ยวเล็กๆ ในแง่จิตวิทยาก็คงคล้ายกับการทำความชั่วจนเห็นว่าความชั่วเป็นเรื่องธรรมดา จนจิตใจแข็งกระด้างไม่เจ็บ ไม่รู้สึก เย็นชา และเมื่อไม่รู้สึกอะไรเลยก็เท่ากับเหมือนหัวใจตายไป หรือไม่มีหัวใจในร่างนั่นเอง ซึ่งคนแต่งก็เหมือนต้องการให้ผู้ใหญ่และเด็กเห็นว่า หากจิตใจเราเป็นมนุษย์ปกติไม่ได้เคยทำอะไรชั่วร้ายมากๆ แค่พยายามจะทำ เราก็ทุกข์ทรมานแล้ว  ไม่ว่าจะเรื่องที่ดราโก มัลฟอย คู่อริแฮรี่ ที่ถูกสั่งให้ฆ่าครูใหญ่แฮรี่ หรือ RAB น้องชายของซีริอุส ที่โดนโวลเดอร์มอร์ หลอกให้ทำชั่วจนทนไม่ได้ เลยขอตายแบบประท้วงๆ ด้วยการทิ้งกับดักไว้จัดการกับโวลเดอร์มอร์ทีหลัง

ในส่วนของเรื่องโรงเรียน สิ่งที่ค่อนข้างจะเป็นมุข คือเรื่องของการโกงวิชา potions ซึ่งแฮรี่ลอกเอามาจากตำราเรียนเล่มเก่าของสเนป แล้วก็โดนจับได้ คุณพ่อคุณแม่จะเอาไว้สอนลูกก็ได้นะคะว่าอย่าลอกการบ้านเพื่อน เพราะคุณครูส่วนใหญ่ย่อมรู้อยู่ดี   ยิ้มีเลศนัย

บันทึกการเข้า

For King & For Country!
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #51 เมื่อ: กันยายน 09, 2010, 02:08:07 PM »

ขอบคุณมากครับ คุณ bluebunny รักในหลวง  ชอบมาก กับบทวิจารณ์ ทีหาอ่านจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว 

ยิ่งกับเรื่อง Harry Potter   ทำให้เข้าใจ หนังสือที่อ่านมากขึ้น  ตอนนี้ จำได้แต่เค้าโครงเรื่อง

คาดว่า คราวออกท่องเที่ยวต้นปี  จะนำกลับมาอ่านซ้ำอีกทั้ง ๗ เล่ม   Cheesy
บันทึกการเข้า

bluebunny รักในหลวง
Full Member
***

คะแนน 144
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 235



« ตอบ #52 เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 02:41:43 AM »

ขอบคุณค่ะคุณ Ro@d ดีใจจังค่ะ มีคนตามอ่านด้วย เย้  ไหว้ ไหว้

ด้วยมีกำลังใจจากคนอ่านกระทู้ ก็ขอชวนคุยถึง Harry Potter and the Deathly Hallows ภาคสุดท้ายแล้วกันนะคะ เพราะเป็นภาคที่มีอะไรน่าสนใจพอสมควร

ภาคนี้ เป็นตอนที่แฮรี่เป็นผู้ใหญ่ที่ต้องต่อสู้ในโลกเวทย์มนตร์ตามลำพังแล้ว พอขาดครูใหญ่ดัมเบิลดอร์ ขาดซีริอุส แม้กระทั่งนกฮูกเฮ็ดจ์วิคก็จากไป (คนแต่งนี่ก็ขยันกำจัดตัวละครจริงๆ) ในภาคนี้ เนื้อเรื่องรวดเร็วมากและมีการผจญภัยตื่นเต้นมากที่สุดในทุกภาค มีทั้งการตามล่า ไล่ล่า ทั้งในโลกมนุษย์และโลกเวทย์มนตร์ โดย JK Rowling บรรยายฉากสถานที่ต่างๆ ได้สมจริงมากขึ้นเยอะ (คงจะรู้แล้วว่าต้องสร้างเป็นภาพยนตร์เลยต้องทำให้ละเอียดๆ ) ภาคนี้ จะรู้สึกได้เมื่ออ่านว่า แฮรี่เป็นวัยรุ่นที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากพอสมควร และมีความเป็นผู้นำ เข้มแข็ง กล้าหาญ โดยยังคงความดีในจิตใจไว้ได้  Smiley

สิ่งที่เด่นในเรื่องนี้คือ  Deathly Hallows ซึ่งเป็นนิทานปรัมปราในโลกเวทย์มนตร์ที่กล่าวถึงของวิเศษสามอย่างของพ่อมดสามพี่น้อง (ที่ต่อมาก็พบว่ามีอยู่จริงๆ) นิทานเล่าว่า มีพ่อมดสามพี่น้องที่วันหนึ่งไปเจอพญามัจจุราชและสามารถเอาชนะได้ พญามัจจุราชก็เลยบอกให้ขอของแลกเปลี่ยนได้ คนนึงขอคทาวิเศษให้เอาชนะทุกอย่างได้ เพราะคิดว่าสามารถจะเอาชนะความตายได้หากต้องเจอกันอีก แต่ก็กลายเป็นว่า คทานั้นมีชื่อเสียงมากทำให้คนมาลอบฆ่าเขาเพื่อชิงคทา คนต่อมาขอสิ่งที่ชุบชีวิตความตายได้ เพราะคิดว่าสามารถจะเอาชนะความตายได้เช่นกัน ความตายก็เลยให้หินวิเศษ หรือ Sorcerer's stone (ภาคแรกของแฮรี่ พอตเตอร์) แต่เมื่อพยายามชุบชีวิตหญิงคนรักก็พบว่า เมื่อเธอฟื้นกลับมาเธอก็ไม่ได้มีชีวิตชีวาเหมือนเดิมแล้ว ท้ายที่สุดตัวเองก็เศร้าหมองและตายไปในที่สุด ความตายก็เอาเขาไปได้อยู่ดี คนสุดท้ายฉลาดที่สุด ขอสิ่งที่ทำให้ตัวเองล่องหน ก็เลยได้ผ้าคลุมวิเศษล่องหน (ของมรดกตกทอดของแฮรี่นั่นเอง) เพราะขอเสี่ยงหลบไปหลบมาจากความตายดีกว่า ปรากฏว่าคนสุดท้ายคือคนที่ใช้ชีวิตคุ้มค่าที่สุด ได้ท่องเที่ยวผจญภัยมากที่สุด และสามารถใช้ชีวิตได้นานจนกระทั่งพอใจ เมื่อเขารู้สึกว่าใช้ชีวิตคุ้มค่าแล้ว จึงได้เก็บผ้าวิเศษและกอดคอเฮฮาเดินไปกับพญามัจจุราช เมื่อความตายมาเยือน  Wink

นิทานเรื่องนี้ น่าจะสื่อถึงหัวใจของหนังสือชุดแฮรี่ พอตเตอร์ ได้ใกล้ที่สุด โดยเป็นการพูดถึงการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า คทาในนิทานเป็นเรื่องของอำนาจ ซึ่งคนที่แสวงหาโดยคิดว่าจะทำให้ตัวเองได้ใช้ชีวิตอยู่ได้นานๆ อย่างมีความสุข แต่ที่จริงแล้วอำนาจก็เป็นสิ่งที่นำภัยมาให้ตนเอง หากใช้ในทางที่ผิด (คทานี้กลายเป็นของดัมบัลดอร์ในที่สุด ก็เลยสงบลงไม่ได้นำภัยมาให้ผู้ใช้อีก)  หินวิเศษชุบชีวิตก็คือ การพยายามจะอยู่กับอดีต การยึดติด ไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ช่วยนำความสุขมาให้เราอยู่ดี แต่จะนำมาซึ่งความโศกเศร้า เพราะสิ่งที่เสียไปแล้วก็ไม่มีใครนำกลับมาให้ได้เหมือนเดิม ดังนั้น ผ้าคลุมวิเศษ ซึ่งทำให้คนเราเป็นอิสระ จะไปไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องยึดติดกับอะไร ไม่ต้องเป็นคนสำคัญโด่งดังพิเศษ (ล่องหนในแง่งานวรรณกรรมมักมีนัยหมายถึง การไม่มีตัวตนทางสังคม เหมือนเรื่อง The Invisible Man ของ Ralph Elison นักเขียนอเมริกันยุค 1952)
การผจญภัย การไปค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตคุ้มค่าที่สุดแล้ว
 เยี่ยม

ตัวละครอย่างแฮรี่และโวลเดอร์มอร์ ก็มองนิทานเรื่องนี้ต่างกัน (ตามบุคลิกที่ต่างกัน) แฮรี่กับเพื่อนๆ ประทับใจเรื่องของผ้าคลุมวิเศษ และรู้ได้เองว่า ครูใหญ่ดัมเบิลดอร์อยากให้ตนตามหาของวิเศษชิ้นไหนในนิทานเรื่องนี้ ในขณะที่โวลเดอร์มอร์ ซึ่งอยากดังอยากชั่วร้ายแต่เด็ก ก็พุ่งหาทั้งหินวิเศษ และทั้งคทาวิเศษ เพราะผ้าคลุมวิเศษที่ทำให้ตนล่องหนนั้น ไม่เจ๋งพอกับอัตตาตัวเอง (ก็นึกถึงนักการเมืองไทยใครสักคนอีกนะแหละว่าไหมคะ อิอิ)  Grin จุดจบของตัวละครทั้งสองเป็นอย่างไร คงจะไม่เล่า (เผื่อท่านสมาชิกยังไม่ได้อ่าน) แต่ก็คงบอกได้ว่า นอกจากความดีในใจจะทำให้แฮรี่ประสบความสำเร็จแล้ว การมองโลกและความเข้าใจโลกของแฮรี่ ก็สำคัญด้วย  Wink

นอกจากนั้น หัวใจของหนังสือภาคนี้อีกอย่างคือเรื่องของการเสียสละ ไม่ว่าจะเป็นดัมบัลดอร์ ครูในโรงเรียนเวทย์มนตร์ หรือ ตัวละครใน order of phoenix หรือแฮรี่ ต่างก็ต้องเสียสละไม่มากก็น้อยในการต่อสู้กับความชั่วร้าย แฮรี่เองถือเป็นตัวละครที่เสียสละมากที่สุด โดยยอมตาย เพื่อจะได้สามารถสังหารโวลเดอร์มอร์ (แม้ฉากต่อสู้ตอนนี้จะบรรยายเหตุผลได้งงๆ หน่อย) ซึ่งอารมณ์ตอนนี้เหมือนกับการที่คนเราตระหนักถึงความรับผิดชอบของเราอย่างแท้จริง และมีความกล้าหาญในใจมากพอที่จะเผชิญหน้ากับความรับผิดชอบที่มีอยู่ โดยไม่กลัว ไม่หวั่นสิ่งใดแม้กระทั่งความตาย (โดยส่วนตัว ดิฉันอ่านดูแล้วก็เกือบจะรู้สึกได้ว่า  JK Rowling อาจไปแอบนั่งสมาธิแบบพุทธมาจนเกิดความสงบ และปลงชีวิตได้จนเอาอารมณ์การปล่อยวางมาเขียนให้แฮรี่ในตอนนี้ได้) ความกล้าหาญเช่นนี้ น่าจะเป็นแรงบันดาลใจที่ดีได้ทั้งสำหรับเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่อ่าน  แม้ว่าศัตรูของเราจะไม่ใช่พ่อมดโวลเดอร์มอร์ก็ตาม

นอกจากนี้ ในภาคนี้ ก็มีแง่มุมมองที่น่าสนใจในเรื่องความแตกต่างของพี่น้อง ซีริอุสกับ RAB ที่แม้จะบุคลิกต่างกัน มีมุมมองการเมืองที่ต่างกัน (คนละขั้วประมาณพรรคมารกับพรรคธรรมะ) แต่เนื้อเรื่องก็แสดงให้เห็นว่า ความแตกต่างไม่ได้ทำให้มีใครเป็นผู้ร้ายเต็มตัวจนคบไม่ได้ เพราะอย่าง RAB แม้จะไปหลงไหลกับโวลเดอร์มอร์ในตอนแรก แต่ก็เป็นคนที่มีเมตตากับ Kreacher ในบ้าน หรือเป็นลูกที่รักพ่อรักแม่ (เป็นความดีอย่างหนึ่งก็ว่าได้) ต่างกับซีริอุสที่เห็นว่า Kreacher ไม่มีหัวใจ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ต้องปฏิบัติดีด้วย แม้จะเป็นคนดีที่ชื่นชมศรัทธาในสิ่งที่ดีแม้จะไม่มีใครในบ้านเห็นด้วยเลย Smiley บทที่พูดถึงความเมตตาที่แฮรี่มีต่อ Kreacher ก็สำคัญ เพราะน่าจะใช้สอนเด็กๆ และผู้ใหญ่ที่อ่านได้ว่า การเป็นฝ่ายหยิบยื่นความเมตตาให้กับคนอื่นก่อน ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย และอาจทำให้ใครสักคนปฏิบัติต่อเราดีขึ้นด้วย และการทำดีต่อเนื่องย่อมดีกับเรา เช่นตอนที่แฮรี่ฝังศพ Dobby และเป็นที่ประทับใจของพวก goblins จนยอมให้ความช่วยเหลือแฮรี่  Smiley (เป็นการบอกว่า ความเมตตา ความดี เอาชนะใจศัตรูได้)

สำหรับดิฉันแล้ว ภาคนี้มีเนื้อหาอัดแน่นดี บทบางช่วงเยิ่นเย้อไปหน่อย เช่นตอนที่แฮรี่กับเพื่อนๆ หลงทางไปมาไม่รู้เรื่องในโลกเวทย์มนตร์เลย แต่รวมๆ แล้วก็ตื่นเต้นดี และถ้าให้เดาคนเขียนคงอยากเขียนเป็นเล่ม 7 และ 8 มากกว่า เพราะเนื้อหาเยอะเหลือเกิน ทำให้พอเข้าใจว่าทำไมภาพยนตร์ถึงต้องแบ่งเป็นสองช่วง

สำหรับเรื่อง locket ที่เก็บเสี้ยววิญญาณของโวลเดอร์มอร์ไว้ ก็เป็นสิ่งที่น่าจะให้แง่คิดในเรื่องของการปล่อยให้ความพยาบาทหรือความขุ่นเคืองใจ ขังอยู่ในใจนานๆ ว่า นอกจากจะทำให้จิตใจเศร้าหมองแล้ว จะทำให้เรากลายเป็นคนโกรธเกรี้ยว และร้ายกาจกับคนอื่นด้วย

โดยส่วนตัวแล้ว ดิฉันชอบบทส่งท้ายของเรื่องนี้พอสมควร เพราะไม่มากไม่น้อยเกินไปกำลังพอดี แม้จะออกร่าเริงไปนิด (เหมือนจะกะให้คนดูภาพยนตร์ยิ้มกับจอ) เนื้อหาเป็นอย่างไรไม่พูดถึงแล้วกันนะคะ เดี๋ยวจะทำให้หมดสนุกตอนภาพยนตร์เข้าโรงค่ะ  Grin
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 10, 2010, 04:30:58 PM โดย bluebunny รักในหลวง » บันทึกการเข้า

For King & For Country!
SingCring
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #53 เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 07:00:33 AM »

อ่านบทวิจารณ์ในภาคสุดท้ายแล้ว อยากทราบจริงๆว่าเรื่องนี้จะจบลงในรูปแบบใด 
แต่จะไปหยิบมาอ่านตอนนี้ คงไม่ไหวแล้ว ต้องรอชมในรูปแบบภาพยนต์อยู่ดี  คิก คิก
ขอบคุณมากครับ  เยี่ยม Cheesy
บันทึกการเข้า
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #54 เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 12:18:37 PM »

อ่านบทวิจารณ์ แล้ว ทำให้อยากไปอ่านเล่ม ๗ แบบอ่านเก็บรายละเอียดใหม่ อีกครั้ง..

ความเป็นอิสระ คือการได้ท่องเที่ยวแบบไร้ตัวตนที่เป็นอยู่ 
เป็นเช่นบุรุษคนหนึ่ง ที่ท่องไปในโลกกว้าง ถึงห่างไกลบ้านเกิด แต่ได้อยู่ใกล้กับสิ่งที่ตนเองรัก

"ผ้าคลุมวิเศษ ซึ่งทำให้คนเราเป็นอิสระ จะไปไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องยึดติดกับอะไร"  เป็นเหมือนดั่ง บุรุษท่านนั้น  Cheesy

ขอบคุณมาก นะครับ คุณbluebunny รักในหลวง  Cheesy
บันทึกการเข้า

submachine -รักในหลวง-
คนกินเหล้า อย่าให้เหล้ากินคน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6127
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 55373


Let us go..!


« ตอบ #55 เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 12:55:19 PM »

อิ  อิ
ระหว่างรอแฮรี่ พ็อตเตอร์จบ
ผมขอเสนอ "ฟ้าบ่กั้น" ของปราชญ์อีสาน  ลาว คำหอม(คำสิงห์ สีนอก)
เป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นสะท้อนการปกครองของรัฐในยุคลัทธิการปกครองร้อนระอุได้งดงามมาก
ความโง่เขลาของคนบ้านนอก และความฉลาดแพรวพราวของนักการเมือง เอามาผสมได้ลงตัว
และน่ารักดี


เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่เชื่อว่า คนอายุเท่าๆผมหรือมากกว่าผมขึ้นไปต้องเคยอ่าน
ได้รับการแปลเป็นหลายภาษาด้วย


"ห่างกันสุดขอบฟ้าเขาเขียว เสมออยู่หอแห่งเดียวร่วมห้อง"
บันทึกการเข้า

อย่าเห็นเป็น ความดี เล็กน้อย แล้วไม่กระทำ
อย่าเห็นเป็น ความชั่ว เล็กน้อย แล้วจึงกระทำ

Thanut Wansuk

Southlander
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 5711
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 48212



« ตอบ #56 เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 01:03:19 PM »

เรื่องลูกอีสาน ก็เป็นหนังสือที่ดีอีกเล่มค่ะ นานๆ ทีจะมีหนังสือให้เด็กอ่านที่ผู้ใหญ่อ่านได้และมีกลิ่นอายความเป็นไทย สักเล่มผ่านมา ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นหนังสือที่เขียนในมุมมองเด็กเมืองกรุงเสียเยอะ

เรื่องลูกอีสานก็เป็นประสบการณ์การใช้ชีวิตจริงของคนแต่ง ซึ่งก็เล่าเรื่องจากมุมมองการใช้ชีวิตธรรมดาๆ แต่ละวัน หนังสือไม่ได้พยายามสื่ออะไรเป็นพิเศษ แต่เขียนด้วยภาษาที่ดี อ่านง่าย เข้าใจง่าย นอกจากนี้ สิ่งที่ผู้อ่านน่าจะสัมผัสได้ในแง่ของเนื้อหา ก็คือความรู้สึกภูมิใจของเด็กอีสานในชีวิตและความเป็นตัวตนของเขา สำหรับคนที่ไม่ใช่ลูกอีสาน หนังสือเล่มนี้น่าจะช่วยให้เข้าใจมุมมองและวิถีชีวิตเรียบง่ายของคนอีสานพื้นบ้านได้ โดยเฉพาะเรื่องการหาอาหารกิน การช่วยเหลือกัน และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติของคนอีสาน ซึ่งบ่อยครั้ง เราคนกรุงก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร

 หนังสือเล่มนี้มีแปลเป็นภาษาอังกฤษด้วยเจ้านายผมที่ปลดเกษียณแล้วไปซื้อมาอ่านเพราะแกชอบศึกษาเรื่องราวต่างๆของเมืองไทย
เสร็จแล้วพูดกับผมยิ้มๆ ว่า  ทั้งเรื่องมีแต่ของกิน คิก คิก คิก คิก
บันทึกการเข้า

๏ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง  แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง   จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง
                      
                             โดย:นภาลัย สุวรรณธาดา พศ.๒๕๑๐
Ro@d - รักในหลวง
รักเธอ.. ประเทศไทย
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 4088
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 20186


1 คัน 1 ชีวิตที่อิสระ มี G23 กาแฟอีก 1 เป็นเพื่อน


« ตอบ #57 เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 01:43:56 PM »

เรื่องลูกอีสาน ก็เป็นหนังสือที่ดีอีกเล่มค่ะ นานๆ ทีจะมีหนังสือให้เด็กอ่านที่ผู้ใหญ่อ่านได้และมีกลิ่นอายความเป็นไทย สักเล่มผ่านมา ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นหนังสือที่เขียนในมุมมองเด็กเมืองกรุงเสียเยอะ

เรื่องลูกอีสานก็เป็นประสบการณ์การใช้ชีวิตจริงของคนแต่ง ซึ่งก็เล่าเรื่องจากมุมมองการใช้ชีวิตธรรมดาๆ แต่ละวัน หนังสือไม่ได้พยายามสื่ออะไรเป็นพิเศษ แต่เขียนด้วยภาษาที่ดี อ่านง่าย เข้าใจง่าย นอกจากนี้ สิ่งที่ผู้อ่านน่าจะสัมผัสได้ในแง่ของเนื้อหา ก็คือความรู้สึกภูมิใจของเด็กอีสานในชีวิตและความเป็นตัวตนของเขา สำหรับคนที่ไม่ใช่ลูกอีสาน หนังสือเล่มนี้น่าจะช่วยให้เข้าใจมุมมองและวิถีชีวิตเรียบง่ายของคนอีสานพื้นบ้านได้ โดยเฉพาะเรื่องการหาอาหารกิน การช่วยเหลือกัน และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติของคนอีสาน ซึ่งบ่อยครั้ง เราคนกรุงก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร



ลูกอีสาน เป็นวิถีชาวอีสาน ที่ต้องต่อสู้ หากิน เพื่อปากท้อง ไปวัน ๆ .. ผมอ่านจบเป็นครั้งที่ ๒ เมื่อสัก ๒ เดือนมานี้ ทิ้งห่างกันไว้ ๕ ปี จากครั้งแรก  Cheesy
บันทึกการเข้า

Southlander
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 5711
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 48212



« ตอบ #58 เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 01:46:38 PM »

เรื่องลูกอีสาน ก็เป็นหนังสือที่ดีอีกเล่มค่ะ นานๆ ทีจะมีหนังสือให้เด็กอ่านที่ผู้ใหญ่อ่านได้และมีกลิ่นอายความเป็นไทย สักเล่มผ่านมา ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นหนังสือที่เขียนในมุมมองเด็กเมืองกรุงเสียเยอะ

เรื่องลูกอีสานก็เป็นประสบการณ์การใช้ชีวิตจริงของคนแต่ง ซึ่งก็เล่าเรื่องจากมุมมองการใช้ชีวิตธรรมดาๆ แต่ละวัน หนังสือไม่ได้พยายามสื่ออะไรเป็นพิเศษ แต่เขียนด้วยภาษาที่ดี อ่านง่าย เข้าใจง่าย นอกจากนี้ สิ่งที่ผู้อ่านน่าจะสัมผัสได้ในแง่ของเนื้อหา ก็คือความรู้สึกภูมิใจของเด็กอีสานในชีวิตและความเป็นตัวตนของเขา สำหรับคนที่ไม่ใช่ลูกอีสาน หนังสือเล่มนี้น่าจะช่วยให้เข้าใจมุมมองและวิถีชีวิตเรียบง่ายของคนอีสานพื้นบ้านได้ โดยเฉพาะเรื่องการหาอาหารกิน การช่วยเหลือกัน และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติของคนอีสาน ซึ่งบ่อยครั้ง เราคนกรุงก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร



ลูกอีสาน เป็นวิถีชาวอีสาน ที่ต้องต่อสู้ หากิน เพื่อปากท้อง ไปวัน ๆ .. ผมอ่านจบเป็นครั้งที่ ๒ เมื่อสัก ๒ เดือนมานี้ ทิ้งห่างกันไว้ ๕ ปี จากครั้งแรก  Cheesy

 ได้เมนูไข่มดแดงไปเยอะไม๊ครับพี่ Grin Grin

 ผมเคยอ่านตอน ม.ต้น เพราะเป็นหนังสือนอกเวลาบังคับอ่านของวิชาภาษาไทยสนุกดีครับ แต่เลือนๆไปแล้ว อาจต้องหามาซ้ำอีกรอบ
บันทึกการเข้า

๏ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง  แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง   จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง
                      
                             โดย:นภาลัย สุวรรณธาดา พศ.๒๕๑๐
submachine -รักในหลวง-
คนกินเหล้า อย่าให้เหล้ากินคน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6127
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 55373


Let us go..!


« ตอบ #59 เมื่อ: กันยายน 10, 2010, 01:48:34 PM »

หนังสือไทยๆที่มีแต่ของกินจริงๆน่าจะเป็น"เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก"ของทิพย์วาณี สนิทวงศ์มากกว่าครับ
แต่เจ้านายพี่อาจยังไม่ได้อ่าน เพราะอาจไม่ได้รับการแปล

ผมจำได้ตอนหนึ่งว่า ตอนที่เก็บมะขามสุกมาปอกเปลือกเก็บไว้เป็นมะขามเปียก เวลานั้นจะเอาเมล็ดมะขามออก
และเก็บเมล็ดไว้ด้วย เพราะเวลาฤดูอื่นๆนอกฤดูฝน อยากกินยอดมะขามอ่อนต้มกะทิปลาเค็ม
ก็เอากระด้งมาปูผ้าที่แช่น้ำมาจนชุ่ม เอาเมล็ดมะขามมาใส่ แล้วใช้กระด้งอีกอันมาปิด
ผ่านไป4-5วัน เปิดมาอีกที เมล็ดมะขามจะงอก เด็ดเอายอดที่งอกมาเป็นยอดมะขามประกอบอาหารได้
(จำได้ราวๆนี้นะครับ)






บันทึกการเข้า

อย่าเห็นเป็น ความดี เล็กน้อย แล้วไม่กระทำ
อย่าเห็นเป็น ความชั่ว เล็กน้อย แล้วจึงกระทำ

Thanut Wansuk

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.182 วินาที กับ 21 คำสั่ง