เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
เมษายน 08, 2025, 05:06:50 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 3 4 5 [6] 7
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: หนังสือ/ภาพยนตร์ เด็กดู(สนุก)ดี ผู้ใหญ่ดูได้ (ความรู้)  (อ่าน 15266 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
bluebunny รักในหลวง
Full Member
***

คะแนน 144
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 235



« ตอบ #75 เมื่อ: กันยายน 12, 2010, 07:10:07 AM »

ขอบคุณทุกความเห็นค่า และจะพยายามจะหาอะไรใหม่ๆ มานำเสนอให้ถกกันนะคะ ส่วนหนังสือบางเล่มต้องขอโทษว่ายังไม่เคยอ่านค่ะ ไว้หาได้แล้วอ่านจบแล้วจะมาคุยนะคะ  ไหว้

สำหรับเรื่อง Angels and Demons ที่คุณซิกสุราษฎร์เสนอมานั้นไม่ใช่หนังสือ/ภาพยนตร์สำหรับเด็กนะคะ แม้อาจมีเด็กไปดูตามคุณพ่อคุณแม่ แต่ไหนๆ ก็เสนอมาแล้วก็จะขอพูดถึงหนังสือและภาพยนตร์เรื่องนี้สักเล็กน้อยนะคะ ในโอกาสที่เป็น 9/11 เมื่อวานนี้ และก็มีการพูดถึงความขัดแย้งทางศาสนาหลายที่ในโลก อ๋อย

หนังสือเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ Dan Brown ยังคงเขียนโดยอิงแนวนิยายผจญภัยประวัติศาสตร์ที่แฝงปรัชญาไว้ด้วย การเอาเรื่องของศาสนาคริสต์และตำนานของวาติกันมาผูกเป็นโครงในเรื่องนี้ก็ไม่ต่างกับเรื่อง Da Vinci Code เท่าไร โดยยังคงมีเป้าหมายให้คนอ่านนอกจากสนุกแล้ว ตั้งคำถามเกี่ยวกับศาสนาด้วย รวมทั้งสอดแทรกการวิจารณ์การบ้าศาสนาอย่างสุดขั้ว (Religious fanaticism) ด้วย โดยคนเขียนยังคงใช้วาติกันเป็นผู้ร้ายอยู่ เพียงแต่คราวนี้วิจารณ์ค่อนข้างตรงกว่าว่าวาติกันไม่ยอมปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการบรรยายถึงรูปแบบการตัดสินใจ การพยายามปกป้องหวงแหนชื่อเสียงสถาบันของวาติกัน ฯลฯ แต่คราวนี้ เปลี่ยนจากการที่วาติกันดูเหมือนไม่ยอมรับความเป็นมนุษย์ของพระเยซูใน Da Vinci Code (พระเยซูอาจมีครอบครัว) มาเป็นไม่ยอมรับความเป็นมนุษย์มีสิทธิมีความรัก มีลูก ของพระในวาติกันเอง (ที่หลวงพ่อผู้ร้ายเป็นลูกนอกสมรสอดีตพระเหมือนกัน) ในเรื่องนี้ ความบ้าคลั่งของหลวงพ่อผู้ร้ายอาจมองได้ด้วยอีกแง่ว่าเป็นการสะท้อนการงมงายเชื่อในศาสนาจนขาดความยั้งคิดและหลับหูหลับตา  และการไม่ยอมรับวิทยาการใหม่ๆ ทางวิทยาศาสตร์ ทั้งที่วิทยาศาสตร์กับศาสนาอยู่คู่กันได้ และเสริมกันและกัน ไม่ได้แปลว่าหากค้นพบสิ่งใดที่พิสูจน์ว่ามนุษย์สร้างโลกได้ แล้วพระเจ้าหรือความเชื่อในศาสนาจะยังไม่สำคัญต่อมนุษย์  Smiley

สำหรับ Dan Brown หากอ่านดูแล้วจะเห็นได้ว่า ศาสนาเป็นเรื่องที่เขาให้ความสำคัญ เพราะนอกจากจะเป็นบรรทัดฐานความดีความชั่วของมนุษย์แล้ว ยังเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวและเป็นตัวอย่างของการคิดการอ่าน การมองโลกของคนด้วย เพราะศาสนามีพระเจ้าอย่างศาสนาคริสต์นั้น การเชื่ออยู่ในตัวพระเจ้าและความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าถือเป็นแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ หากกลุ่มคน (วาติกัน) ที่ควรส่งเสริมความเชื่อมั่น ความหวังที่เกิดจากการศรัทธาว่าพระเจ้ามีอยู่จริง  ไม่เข้าใจพระเจ้า (พระเยซูในเรื่อง Da Vinci Code) ไม่เข้าใจการอยู่ร่วมกันของวิทยาศาสตร์กับพระเจ้า (การวิจัยของ CERN ใน Angels and Demons) แล้ว และเลือกไปส่งเสริมการเชื่ออย่างงมงาย ก็ย่อมเกิดวิกฤตต่อโลก Shocked


สิ่งที่อาจจะติได้ในเรื่องนี้ ก็คือตา Dan Brown ดูมีความเห็นที่ออกแนวต่อต้านสถาบันหน่อยๆ ( anti-establishment) ดังเช่นมุมมองที่มีต่อวาติกัน แต่อันนี้ดิฉันก็ยังไม่อยากฟันธงว่า ร้อยเปอร์เซ็นต์จนกว่าจะได้เห็นงานอื่นๆ ของแกต่อมาอีก  และก็ความน้ำเน่าพอควรในการเขียนพระเอกเสียเก่งเว่อร์ประมาณเจมส์บอนด์เวอร์ชั่นศาสตราจารย์ประวัติศาสตร์-ปรัชญา แถมมีนางเอกฉลาดและสวยหุ่นเก๋มาอีก ดูแล้วขัดหูขัดตามาก Tongue และบทผู้ร้ายยังไม่มีการพัฒนาภูมิหลังเพียงพอ (ยังไม่น่าเชื่อถือพอในเรื่องของความบ้าว่าจะมีที่มาที่ไปแค่นั้น)

สำหรับภาพยนตร์ นับว่าผู้กำกับฉลาดพอจะตัดฉากเว่อร์ๆ อภินิหารของพระเอกออกไปเยอะ (แอบดีใจ) และภาพยนตร์เรื่องนี้โชคดีที่มีทอม แฮงส์ ที่นับวันก็เล่นดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่งั้นตัวละคร Robert Langdon นี่ก็คงไม่น่าเชื่อถือ และจะดูเป็นภาพยนตร์ตลกไปแทน และจะเสียความเป็นปรัชญาของเรื่อง รวมทั้ง ผู้กำกับก็ไม่ได้พยายามทำให้ผู้ร้ายดูเป็นผู้ร้ายเกินไป แต่ถ้าจะหลอกลวงคนดูให้เนียนกว่านี้ ก็น่าจะหานักแสดงที่เด็กและเล่นสองบุคลิกได้ดีกว่ายวน แมคเกรเกอร์หน่อย อาทิ หล่อแบบร้ายๆ จะได้ดูสมบทบาทกว่านี้  Undecided  และควรปูพื้นอารมณ์ก่อนไปถึงฉากเผาตัวของผู้ร้ายเสียหน่อย การเปิดฉากที่ CERN ก็น่าจะปรับปรุงได้ เพราะดูแล้วอย่างกับไปถ่ายใต้ถุนสนามกีฬา เพราะท่อที่ใช้ส่งอะตอม (?) วิ่งไปชนจนเกิดบิ๊กแบงมันดูราคาถูกมาก (ของ CERN ที่เป็นข่าวและมีภาพข่าวเสนอทีหลังดูหน้าตาขึงขังกว่าเยอะ) ฉากการลงไปสืบสวนที่ใต้ถุนวาติกันก็ดูลึกลับน่ากลัวน้อยไป (ในหนังสือดูจะทะมึนกว่านี้) ส่วนฉากที่ต้องเห็นใจคือฉากเอาพระคนนึงไปถ่วงน้ำที่น้ำพุ ดูแล้วหากใครเคยไปโรมจะเห็นว่าไม่น่าเชื่อถือเลยเพราะพลาซ่าที่มีน้ำพุที่ว่านี้ (จำไม่ได้แล้วว่าชื่ออะไร) มันแสนจะพลุกพล่าน แต่อย่างไรก็ตาม หนังสือก็เขียนไว้อย่างนั้นจริงๆ ผู้กำกับก็เลยคงจนใจ  Smiley

บันทึกการเข้า

For King & For Country!
Don Quixote
Only God delivers the judgement, we only deliver the suspects.
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 987
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16169


,=,"--- X Santiago... !!


เว็บไซต์
« ตอบ #76 เมื่อ: กันยายน 12, 2010, 07:33:29 AM »

ในภาพยนต์ แองเจิลฯ ที่เอาคนไปถ่วงน้ำคือที่ Piazza de Navona ครับ สร้างตามกรอบพื้นที่สนามกีฬาโรมันเก่า รูปสลักหินอ่อนที่น้ำพุเป็นฝีมือของ เกียนลอเรนโซ แบนีนี ศิลปินเอกในศตวรรษที่ ๑๗
บันทึกการเข้า

Thou shalt have guns.
Thou shalt have tons of ammo.
Thou shalt shoot well.
Thou shalt not rely on help from the stranger.
newfoon
Hero Member
*****

คะแนน 2482
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 9264



« ตอบ #77 เมื่อ: กันยายน 12, 2010, 04:29:29 PM »

เรื่องนี้ได้ดูแล้วเหมือนกันค่ะ   Grin
บันทึกการเข้า

bluebunny รักในหลวง
Full Member
***

คะแนน 144
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 235



« ตอบ #78 เมื่อ: กันยายน 18, 2010, 06:45:29 PM »

หายไปนานหน่อย ต้องขออภัยค่ะ เพิ่งจะมีเวลานั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์  หัวเราะร่าน้ำตาริน

สำหรับหนังสือ/ภาพยนตร์วันนี้ ที่จะพูดถึงคือ Alice Adventures in the Wonderland หรือเรียกสั้นๆ ว่า Alice in Wonderland ของ Lewis Caroll นะคะ  Grin

หนังสือเรื่องนี้ พูดถึงการผจญภัยของเด็กผู้หญิงชื่ออลิส ซึ่งไล่ตามกระต่ายขาวจนตกลงไปในโลกใต้ดินที่เป็นโลกอันแปลกประหลาดเต็มไปด้วยการผจญภัยตื่นเต้น ภูมิหลังของเรื่อง ก็คือ Lewis Caroll หรือสาธุคุณ Robinson Duckworth (ชื่อจริงของ Lewis Caroll) เล่าว่า วันหนึ่งแกได้พาเด็กๆ กลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกของเพื่อน (? จำไม่ได้แล้ว) ของแกไปเที่ยว ระหว่างเที่ยวเล่นแกก็เล่านิทานที่กลายเป็นเรื่องนี้ (ในจำนวนเด็กๆ เหล่านี้ มีคนหนึ่งชื่ออลิส ด้วย) ว่ากันว่า เด็กๆ ชอบเรื่องที่สาธุคุณเล่ามากจึงขอให้เขียนเป็นนิทานให้ ซึ่งในที่สุดหลังจากสักพักแกก็ตกลงเขียนให้และวาดรูปประกอบให้ด้วย ต่อมา แกก็เลยตัดสินใจตีพิมพ์ด้วย หนังสือเล่มนี้ก็เลยดังระเบิดขึ้นมาเพราะว่าเป็นนิทาน/นิยายแฟนตาซีแบบที่ไม่มีมาก่อน และค่อนข้างจะแหวกแนวสนุกสนานเด็กๆ ก็ชอบที่จะได้จินตนาการและผู้ใหญ่ก็ชอบเพราะแปลกสนุกสนานดี  Smiley

ในแง่ของการวิเคราะห์ หนังสือเล่มนี้สร้างความปวดหัวให้แก่นักเรียนวิชาวรรณกรรมวิเคราะห์พอสมควร เพราะความเป็นแฟนตาซีของเรื่องนั้น หากพยายามตีความเป็นในแง่ของจิตวิทยาก็ตีความได้กว้างและหลากหลายมาก โดยหากมองว่าเป็นการเขียนอย่างแฝงแนวคิดด้านจิตวิทยา ก็จะพบว่า เรื่องของอลิสจริงๆ แล้วสะท้อนการรับมือของเด็กกับการโตเป็นผู้ใหญ่ การรับมือกับอารมณ์ของตัวเอง การรับมือกับอารมณ์ของคนอื่น ความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของตนเอง การเชื่อฟังสัญชาติญาณตัวเอง ฯลฯ นอกจากนั้น ก็เป็นการแสดงให้ผู้ใหญ่รู้ด้วยว่าเด็กๆ มองโลกของผู้ใหญ่อย่างไร ซึ่งสำหรับประเด็นหลังนี่ขอเล่าในตอนต่อไปนะคะ  Wink

- การรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย
นอกจากเรื่องที่อลิสมีปัญหากับการบังคับร่างกายให้เคลื่อนไหวอย่างใจแล้ว (ถ้าจำไม่ผิดมีปัญหาเรื่องเท้าไม่ยอมเคลื่อนไหวอย่างใจ  และอลิสต้องคุยกับเท้าของตัวเอง) นอกจากนั้น การที่อลิสทานขนม Eat me ในโลกใต้ดินแล้วตัวใหญ่ลง และพอดื่มน้ำในขวด Drink me แล้วตัวเล็กลง จะมองว่าเป็นการสะท้อนความฝันของเด็กในเรื่องของการอยากตัวเล็กตัวใหญ่ได้อย่างใจก็ได้ (ใครเคยอ่านโดราเอมอนคงจำได้ว่า การย่อขนาดขยายขนาดมีอยู่บ่อยมาก) หรือจะตีความให้ลึกกว่านั้น ก็หมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของเด็กในช่วงเป็นวัยรุ่นนั่นเอง   Shocked

การกินขนม Eat me และอื่นๆ ในเรื่อง ก็แฝงนัยว่า การทานอาหารจะทำให้ร่างกายเติบโต เอาชนะภัยต่างๆ ได้ (ควีนโพธิ์แดง) เรื่องอาหารนี้ถือว่าสำคัญค่ะ ลองนึกถึงการกินอาหารของเด็กดูนะคะ ว่า ไม่ใช่เด็กทุกคนชอบกินอาหารและคนที่ชอบกินก็ไม่ได้ชอบกินทุกอย่าง (พ่อแม่น้าอาทั้งหลายคงเคยมีประสบการณ์การหลอกล่อป้อนข้าว) ยิ่งเมื่อเริ่มโตเป็นวัยรุ่น เด็กผู้หญิงไม่ว่ายุควิคตอเรียนหรือยุคนี้ต่างก็พยายามลดน้ำหนัก เพราะกลัวไม่สวย (ตอนนี้ก็ยังมีข่าวนางแบบดารา ผอมขาดอาหารเป็นโรค anorexic)  Undecided ส่วนเค้กในตอนท้ายที่มีตัวละครอื่นๆ ปาใส่อลิส ซึ่งพอทานแล้วขนาดตัวลดลงก็ยิ่งย้ำว่า การกินอาหารจะทำให้ทุกอย่างกลับมาปกติดี สอดคล้องกับที่พูดไปแล้ว แต่การกินก็ต้องดูด้วยว่ากินให้พอดี เช่น ตอนที่อลิสไปบิเอาเห็ดมากัดแล้วตัวยืดไปมาอย่างแปลกประหลาด แต่มีเกร็ดให้น่าเสียดายว่า พอในยุค 60 คนวัยรุ่นฮิปปี้อังกฤษกลับนำเรื่องกินดื่ม เห็ดวิเศษ เค้ก (ยัดไส้กัญชา) และการโดดลงรูกระต่าย เป็นการพูดถึงอาการเมายา และพาลบอกว่าเป็นนิยายของขี้ยาไปเสียนี่  Tongue

ส่วนที่การดื่มทำให้ร่างกายเล็กลง ซึ่งหากมองให้ลึก  การดื่มในที่นี้ to drink ซึ่งในภาษาอังกฤษ หากใช้โดดๆ ก็มีความหมายรวมถึงการดื่มเหล้าได้อยู่แล้ว (ลองนึกถึงคำถามประเภท do you drink? ดูนะคะ ไม่ได้หมายความว่า ดื่มน้ำหรือเปล่า แต่หมายถึงดื่มเหล้า) การเล็กลงไม่ได้หมายถึงดื่มอะไรแล้วร่างกายหด แต่หมายถึงสติ และความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองจะลดลงหากดื่ม การดื่มเหล้าเมื่อดื่มแม้เล็กน้อยอาจปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระ (จากพันธะของโลกปัจจุบัน) ทำให้ท่องเที่ยวจินตนาการไปที่อื่นๆ ได้ (อลิสลอดประตูบานจิ๋วไปได้ เหมือนที่คนเมาบางคนเมาแล้วโม้สุดๆ หรือเดินเป๋ไปได้ทั่วซอย) แต่ก็ทำให้คนที่ดื่ม (อลิส) เปราะบางเสี่ยงต่ออันตรายต่างๆ ด้วย (ลองอ่านดูในช่วงที่อลิสตัวเล็กลงดูนะคะ คนอ่านจะรู้สึกลุ้นหนาวๆ ร้อนๆ แทน)  Lips Sealed

นอกจากนี้ การตัวใหญ่ขึ้น/เล็กลงก็เกี่ยวกับหัวใจของเรื่องที่เกี่ยวกับการเป็นวัยรุ่นด้วย เพราะหากใครยังจำได้ เมื่อเป็นวัยรุ่นแตกเนื้อหนุ่มเนื้อสาว ความสูงที่เพิ่มขึ้นรวดเร็ว ที่ขัดแย้งกับความมั่นใจในตัวเองที่หดหาย (จะด้วยสิวหรืออะไรก็ตามแต่) ก็เป็นสิ่งที่ว้าวุ่นในใจวัยรุ่นทุกคน ถ้าถามว่าทำไมอลิสถึงต้องกิน และดื่มให้ตัวขยาย/หด ทำไมไม่เป็นหวีผมหรือแปรงฟันแล้วตัวขยาย/หด นอกจากแนวอธิบายในข้างบนแล้ว ก็อาจจะด้วยว่า Lewis Caroll ด้วยความที่เป็นสาธุคุณก็อดไม่ได้ที่จะใช้เรื่องของการทานการดื่ม จากพิธีรับศีลมหาสนิท (Communion) เป็นสัญลักษณ์ของการพูดถึงการเปลี่ยนแปลง/การก้าวผ่านจากเด็กเป็นผู้ใหญ่  Smiley เพราะในศาสนาคริสต์ เด็กจะรับศีลมหาสนิท เพื่อยืนยันในการเชื่อในพระเจ้าตอนวัย 5-6 ขวบ (ทานขนมปังเสกซึ่งแทนร่างกายพระเยซู และในบางกรณีก็จิบไวน์ ซึ่งแทนพระโลหิตพระเยซู ถือเป็นการรับพระเจ้าเข้ามาสู่ในตัว) แสดงถึงการเติบโตทางจิตวิญญาณด้วย  Smiley

- การรู้จักตนเอง/การรับมือกับอารมณ์ของตนเอง
ในหนังสือเรื่องนี้ อารมณ์ที่อลิสแสดงจะเป็นอารมณ์/ความคิดที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา ซื่อบริสุทธิ์อยู่มากเหมือนเด็ก (ที่ยังไม่แก่นแก้วก๋ากั่นคลั่งไคล้เกาหลี) การร้องไห้ตอนเปิดฉากก็แสดงให้เห็นเหมือนกันถึงอารมณ์ความกลัว ความหวาดหวั่นในใจของเด็กที่ต้องเผชิญหน้ากับโลกข้างหน้าที่ไม่รู้จัก พอๆ กับว่าเป็นเรื่องธรรมดาของวัยรุ่นที่โตไปก็จิตใจอ่อนไหวหวั่นไหวไปมาง่าย
หนังสือเรื่องนี้ พูดถึงความสับสนในตัวตนของตัวเองบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นจากตอนที่อลิสพบกับหนอนยักษ์แล้วอลิสสารภาพว่าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร หรือการที่มีแมว (ดูเหมือนจะเป็นตัวแทนจิตใต้สำนึก/ สัญชาติญาณ ที่คอยปกป้องอลิสอยู่ห่างๆ ) เพราะหลายอย่างที่แมวพูดก็คือปรัชญาหรือสิ่งที่อลิสเหมือนจะรู้อยู่แล้วแต่ไม่แน่ใจ ประโยคที่ดิฉันพอจะจำได้ก็เช่นที่ อลิสบอกว่า "ฉันไม่รู้ว่าฉันจะเดินไปที่ไหน" และแมวเชสชาย ตอบว่า "หากเธอยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ เธอก็จะได้ไปถึงสักที่เองแหล่ะ" หรือที่อลิสพูดเองเมื่อเห็นรอยยิ้มของแมวเชสชายเหลือลอยอยู่ในอากาศแต่ตัวแมวหายไปแล้วว่า "ฉันไม่เคยเห็นแมวมีรอยยิ้ม แต่ก็ไม่เคยเห็นรอยยิ้มโดยไม่มีแมวให้เห็น" หากคิดให้ลึกหน่อย ประโยคสุดท้ายก็อาจหมายถึงว่า แมวตัวแรกในประโยคคือแมวในโลกความเป็นจริงที่ไม่เคยยิ้ม มีความเป็นส่วนตัวเอกเทศ คาดเดาไม่ถูก แต่เป็นตัวแทนของบ้านของโลกบนดินของอลิส (สังเกตได้เด็กๆ ไม่ว่าจะวัยใดก็จะติดสัตว์เลี้ยงมากเป็นพิเศษมากกว่าพ่อแม่หรือพี่น้อง) ส่วนแมวตัวที่สอง คือสัญชาติญาณของอสิลเองที่คอยเตือนตัวเองให้มีกำลังใจ ให้คิดวิเคราะห์เรื่องต่างๆ (แต่แน่นอนความคิดคนเราก็หลอกลวงตัวเองบ่อยครั้ง เหมือนแมวเชสชายเจ้าเล่ห์นั่นเอง)  Huh

จะเห็นได้ว่า อลิสพูดกับตัวเองบ่อยมาก (เหมือนวัยรุ่นชอบเขียนไดอารี่ หรือเดี๋ยวนี้ก็บันทึกเฟซบุ๊ค) แต่ในแง่วรรณกรรมการที่ตัวละครค่อยๆ คุยกับตัวเองค่อยๆ เจริญเติบโตทางความคิด ถือเป็นสิ่งที่แสดงคุณค่าของงานเขียนนั้นๆ อย่างมาก เหมือนตัวละครของเชคสเปียร์ ที่ทุกตัวชอบรำพึงรำพันกับตัวเอง (ยิ่งโรคจิตยิ่งรำพึงหนัก) แต่ในการรำพึงรำพันของตัวละคร เราจะเห็นสิ่งที่อยู่ในใจ และความคิดที่ค่อยๆ เปลี่ยนของตัวละคร เป็นความงาม/แง่คิดอย่างหนึ่งที่เราเอาไปวิเคราะห์ความคิดของเราเองก็ได้ (พูดง่ายๆ ก็เหมือนกับพอเราได้อ่านแล้วว่าความคิดแบบนี้ นำไปสู่การกระทำแบบที่ไม่ดีของตัวละคร เราเองก็จะได้ระวังความคิดของเราด้วย เพราะมนุษย์เรานั้น ความคิดเป็นสิ่งบงการการกระทำ)  Wink

- การมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ
การที่อลิสคอยพูดแต่ถึงแมวของตัวเอง จนกระทั่งทำให้สัตว์อื่นๆ ในโลกใต้ดินหนีไปก็แสดงถึงความหมกมุ่นสนใจแต่โลกส่วนตัวของเด็กกำลังเป็นวัยรุ่น ที่ไม่ค่อยสนใจว่าคนรอบตัวจะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่ตัวเองแสดงออกมาหรือสิ่งที่ตัวเองกระทำ  แต่เมื่ออ่านขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งอลิสเห็นนิสัยของผู้ใหญ่ การแสดงออกของผู้ใหญ่ที่สะท้อนออกมาเป็นความบ้าของตัวละครรอบๆ อลิสก็เริ่มเรียนรู้ที่จะเชื่อมั่นในตัวเอง และในที่สุดก็สามารถยืนหยัดต่อต้านสิ่งที่ตนเองเห็นว่าผิดพลาดไม่ยุติธรรมได้ เช่น ตอนที่อลิสลุกขึ้นทลายศาลของพระราชินีโพธิ์แดง หรือตอนท้ายที่อลิสมองว่า ทุกอย่างเป็นไพ่แค่กองเดียว ซึ่งในแง่ปรัชญาหากมองให้ลึกซึ้งก็คือ การที่ผู้เขียนสรุปว่า ในชีวิตโชคชะตาการโชคร้าย (ขึ้นศาล) การโชคดี (ผจญภัย) นั้น ก็คือเป็นเสมือนการพนันที่พอเลิกเล่น เลิกใส่ใจ หมกมุ่น ก็ไม่ได้มีความหมายพอที่จะกระทบกระเทือนจิตใจเราได้

หากใครพอจำภาพยนตร์เรื่อง Labyrinth ที่มี Jennifer Connelly ตอนเป็นสาวน้อยเล่นเป็นนางเอกได้ (ถ้าไม่มัวมองหน้านางเอกกันจนลืมดูเรื่องนะคะ) ตอนจบของเรื่องนี้ก็คล้ายกับอลิสในดินแดนมหัศจรรย์ โดยประโยคของ Jennifer Connelly ในเรื่องที่ว่า "you have no power over me" ทำให้โลกเวทย์มนตร์ที่น่ากลัวหายไปหมด ก็เหมือนกันกับการที่อลิสบอกว่า ทั้งหมดเป็นแค่ไพ่กองเดียว ซึ่งในแง่วรรณกรรมถือเป็นการแสดงถึงการก้าวผ่านของตัวละครเด็กไปสู่ผู้ใหญ่   เยี่ยม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 18, 2010, 07:19:50 PM โดย bluebunny รักในหลวง » บันทึกการเข้า

For King & For Country!
rute - รักในหลวง
Forgive , But not Forget .
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1960
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 22591


"ผลิดอกงามแตกกิ่งใบ..."


« ตอบ #79 เมื่อ: กันยายน 18, 2010, 09:46:32 PM »

ขออนุญาตเสริมคุณ bluebunny ครับ...

-โรคที่เบื่ออาหารแล้วอาเจียนหลังกินอาหารจนเกิดภาวะขาดอาหารชื่อ Anorexia nervosa ครับ...

-เรื่อง Labyrinth ที่น้อง เจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ เล่นเป็นหนังเก่ามากครับ...

ขนาดผมได้ดูสมัยมัธยมแน่ะครับ แต่น่ารักมากมายครับ... หลงรัก

บันทึกการเข้า
Don Quixote
Only God delivers the judgement, we only deliver the suspects.
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 987
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16169


,=,"--- X Santiago... !!


เว็บไซต์
« ตอบ #80 เมื่อ: กันยายน 19, 2010, 01:47:53 AM »

นางเอกสำหรับวัยรุ่นชายทั่วโลกซึ่งตอนนี้มีอายุ ๓๐-๔๕ ปีครับ อิ อิ หลงรัก

Labyrinth - As The World Falls Down (David Bowie)
บันทึกการเข้า

Thou shalt have guns.
Thou shalt have tons of ammo.
Thou shalt shoot well.
Thou shalt not rely on help from the stranger.
bluebunny รักในหลวง
Full Member
***

คะแนน 144
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 235



« ตอบ #81 เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 12:39:11 AM »

ขอบคุณคุณหมอรุจน์กับคุณ D. Quijote ค่ะ ที่มีเกร็ดมาเสริม แหมพอพูดถึง Jennifer Connelly นี่ รู้สึกจะมีท่านสมาชิกผู้ชายเข้ามาคอมเมนต์กันใหญ่เลยนะคะ อิอิ  Grin

 โอเค เรากระโดดลงโพรงกระต่ายอลิสมาแล้ว เราก็มาคุยกันต่อถึงการผจญภัยของอลิสในดินแดนมหัศจรรย์นะคะ

นอกจากการวิเคราะห์ในแง่เป็นงานเขียนที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงจากเด็กเป็นวัยรุ่นแล้ว หนังสือเรื่องนี้ พูดถึงมุมมองของเด็กต่อโลกผู้ใหญ่ ซึ่งแฝงไว้ด้วยการวิจารณ์เสียดสีนิดหน่อยของคนแต่ง เช่น ในเรื่องของธรรมเนียมการดื่มชา ซึ่งคนอังกฤษติดเป็นนิสัย และเป็นกิจกรรมทางสังคมของผู้ใหญ่ ที่ในสายตาของเด็กๆ ดูว่าบ้าบอและน่าเบื่อ มีทั้งคนพูดไม่รู้เรื่อง คนขำกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง คนพูดจาเป็นนัยลับลมคมใน (Mad Hatter ชอบถามคำถามลับสมองแปลกๆ) ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าเป็นกิจกรรมที่คนอื่นที่ไปร่วม หรือแม้แต่เด็กๆ จะสนุกด้วยสักเท่าไร (หรือแม้แต่ตัวละครหนูในงานเลี้ยงนี้ก็หลับตลอดศก)   Cheesy

แม้แต่เรื่องของกฎเกณฑ์ กฎระเบียบต่างๆ ในโลกผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเรื่องของการแสดงอำนาจ การละเล่น และการตัดสินว่าใครผิดใครถูก (ในช่วงที่อลิสพบกับพระราชินีโพธิ์แดง) ทั้งหมดนี้ ดูสับสน ดูไม่เป็นธรรม ดูวุ่นวายและไม่สมเหตุผล เหมือนกับว่าผู้ใหญ่บางครั้งก็ทำอะไรเพราะต้องทำ หรือเป็นขนบธรรมเนียมที่ทำกันมาจนลืมว่า ทำทำไม หรือมีเหตุผลหรือไม่ (เช่นเอานกฟลามิงโกไปตีลูกบอลที่เป็นตัวเม่น)  Shocked

ในแง่การวิจารณ์สังคมยุคที่หนังสือเขียนขึ้น ซึ่งก็คือยุควิคตอเรียน ก็จะพบว่า มุมมองของอลิสข้างต้นก็แอบวิจารณ์ความยึดติดธรรมเนียมของสังคมวิคตอเรียนพอควร เนื่องจากยุควิคตอเรียนเป็นยุคที่คนอังกฤษ บ้าธรรมเนียม บ้าความเป็นอังกฤษจ๋ากันสุดๆ ด้วยเป็นยุคที่อังกฤษกำลังอู้ฟู่ อิ่มตัว มีชีวิตสบายๆ คนรวยคนชั้นสูงมีกิจกรรมทางสังคมที่พักผ่อนหย่อนใจจำนวนมาก (แต่ไม่ได้มีสาระสักเท่าไร) เช่น แข่งม้า ตีครอเก็ต ดื่มชา ปลูกกุหลาบ ฯลฯ  ความหรูหราร่ำรวยนี้ยิ่งสนับสนุนการตีกรอบทางความคิด เพราะในยุคนี้ ชนชั้นสูงอังกฤษก็ได้พยายามวางตัวเป็นแบบอย่างในทุกเรื่อง นอกจากในเรื่องการทำตัวไฮโซแล้ว ก็ยังรวมถึงเรื่องการมีความคิดแบบอนุรักษ์นิยมจัดๆ ด้วย  Lips Sealed

ความอนุรักษ์นิยมของยุควิคตอเรียนนี้ค่อนข้างมากจนทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้ โดยคนอังกฤษก็เลยกลายเป็นพวกมีความเก็บกดแสวงหาทางออกผ่านทางงานเขียน งานวรรณกรรมแฟนตาซี ที่แปลกประหลาดกันเยอะ หนังสือเรื่องแดรกคูล่า ขายดีมากในยุควิคตอเรียน พอๆ กับนสพ.ข่าว Jack the Ripper และแน่นอน เรื่อง อลิสก็ขายดีด้วย เพราะเป็นทางออกให้คนจินตนาการได้มากมาย  Smiley นอกจากนั้น การแฝงแง่คิดเกี่ยวกับการเติบโตทางความคิดและจิตวิญญาณ (การที่อลิสตกน้ำตอนเปิดฉากเล่าเรื่องก็เปรียบเสมือนพิธีศีลจุ่ม (baptism) ก็สามารถสื่อถึงจิตใต้สำนึกคนอ่านที่เป็นอังกฤษและเป็นคริสต์ได้)
 




บันทึกการเข้า

For King & For Country!
bluebunny รักในหลวง
Full Member
***

คะแนน 144
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 235



« ตอบ #82 เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 12:52:15 AM »

ในแง่มุมของความเป็นศิลปะ อลิสในดินแดนมหัศจรรย์ มีคุณค่าต่อวงการวรรณกรรม เพราะถือเป็นหนังสือเล่มแรกๆ ของโลกที่เป็นนิยายแนวแฟนตาซีสมบูรณ์แบบ และเปิดประตูให้กับนิยายแนวแฟนตาซีอีกมากมายที่จะตามมา  Cheesy

นอกจากคนเขียนนอกจากจะใช้สัญลักษณ์แฝงไว้ตามจุดต่างๆ แล้ว (อารมณ์เป็น ดาวินชีโค๊ดให้คนอ่าน) แกก็ยังอุตส่าห์หาแรงบันดาลใจจากงานเขียนในโลกวรรณกรรมภาษาอังกฤษที่ดังๆ มาใช้อีก เช่น เรื่อง Inferno ของ Dante ที่บรรยายถึงการเดินทางไปในโลกสวรรค์ นรก และโลกกึ่งกลางที่วิญญาณล่องลอยเพื่อรอก้าวผ่านไปลงนรกหรือขึ้นสวรรค์ ภาพวาดประกอบเรื่องอลิสที่คุณ Lewis Carroll วาดเองในฉบับแรกๆ นั้น มีนักวิจารณ์หลายคนบอกว่าเหมือนภาพประกอบในหนังสือ Inferno ที่ว่าเลย ซึ่งก็ไม่แปลกหากแกจะอ่านเพราะว่า เป็นนิยายภาคบังคับของคนเป็นพระในศาสนาคริสต์  ไม่นับว่า ยังมีการยืมบุคลิก/คำพูดของควีนโพธิ์แดงจากตัวละครเชคสเปียร์ดังๆ มาอีก  Smiley

นอกจากนั้น หากท่านสมาชิกใด ได้อ่านเป็นภาษาอังกฤษของต้นฉบับจะเห็นได้ว่า คุณ Lewis Carroll เป็นคนที่ขยันเล่นกับสำนวนภาษาไปมามาก เช่น เรื่องของคำทายปัญหาของ Mad Hatter ที่ถามอลิสว่า อีกา กับโต๊ะทำงานเหมือนกันอย่างไร คำตอบก็คือ ทั้งสองอย่างมี ink quill ที่แปลว่า มีปากกาขนนกที่ใช้กับหมึกดำ หรือมีขนนกสีดำ และ ทั้งสองอย่างมี "bill and a few notes" ซึ่ง bill แปลว่า ใบเสร็จก็ได้ จงอยปากของนกก็ได้ ส่วน few notes จะแปลว่า เอกสารสองสามฉบับ หรือจะแปลว่า โน๊ตไม่กี่ตัว (เพราะอีกาเสียงไม่เพราะร้องเพลงได้ไม่กี่โน๊ต) ก็ได้ Grin

แรงบันดาลใจจากเรื่องนี้ คงจะเห็นได้จากการที่แม้ในปัจจุบัน ก็ยังมีการขอยืมภาพ/ความคิด concept ของเรื่องมาใช้ในการสร้างสรรค์งานศิลปะมากมาย ตั้งแต่ถ่ายแบบแฟชั่น (เพราะมันสวยดี) จนถึงอัลบั้มเพลงของคุณ G. Stefani  Smiley ที่วัย 20 ++ น่าจะเคยได้ฟังได้เห็น 

 
บันทึกการเข้า

For King & For Country!
bluebunny รักในหลวง
Full Member
***

คะแนน 144
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 235



« ตอบ #83 เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 01:19:48 AM »

เมื่อพูดถึงหนังสือจบแล้ว ก็ขอชวนคุยเรื่องของภาพยนตร์เรื่องอลิสในดินแดนมหัศจรรย์ที่เพิ่งทำเป็นภาพยนตร์โดยมี Tim Burton กำกับนะคะ

ก่อนอื่นต้องขอชมว่า เป็นการเลือกผู้กำกับได้เหมาะกับหนังมาก  หลงรัก เพราะหากเป็นผู้กำกับเพี้ยนน้อยกว่านี้ ก็คงไม่ได้ภาพที่สวยสมกับจินตนาการของหนังสือ และการเลือกตัวละครก็เลือกได้ดี ทั้งอลิส แมดแฮตเตอร์ ควีนโพธิ์แดง ทวิเดิ้ลดีทวิดเดิ้ลดัม และการที่เลือกเล่าเรื่องโดยพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของวัยรุ่นสู่วัยผู้ใหญ่ ก็เป็นการตีความที่ไม่ผิดจากแก่นเรื่องในหนังสือ โดยการทำให้อลิสหนีการแต่งงาน หรือมีความเห็นแตกต่างจากคนในสังคมผู้ใหญ่รอบๆ ก็ถูกต้อง และทำให้คนดูรู้สึกสงสารอลิส และเข้าใจเนื้อหาของเรื่องได้มากขึ้น การที่ผู้กำกับซื่อสัตย์ต่อประเด็นสำคัญๆ ที่เป็นจุดหักเหของเรื่อง เช่น การดื่ม/กินให้ตัวเล็กตัวใหญ่ การทำให้งานเลี้ยงน้ำชาวุ่นวายบ้าบอ การพบควีนโพธิ์แดงในสวนกุหลาบ ก็น่านับถือ การพยายามให้ตัวละครมีที่มาที่ไปก็ดี เช่น การสร้างประวัติให้แมดแฮตเตอร์ ก็ใช้ได้  Smiley

ข้อติ ก็คือความพยายามทำให้ภาพยนตร์มีช่วงขบขันมากไปนิด เลยดูเหวอๆ ไปบางตอน นอกจากนั้น เรื่องการไปพิฆาตมังกรร้ายก็ดูออกจะเป็นโจนออฟอาร์คไปนิด ไม่นับว่า มีเรื่องของควีนสีขาวอีก (ดูแล้วเหมือนยืมมาจากนิทานของฮันส์ คริสเตียน อันเดอร์สัน คนแต่งนางเงือกน้อย) แต่ก็เข้าใจว่าผู้กำกับต้องการให้เห็นชัดๆ ถึงความกล้าหาญของอลิส และการค้นพบตัวเองของอลิสในที่สุด พร้อมๆ กับไม่ให้ขัดกับแนวของหนังสือที่มีกลิ่นอายของศาสนา (การพิฆาตมังกรเป็นเรื่องที่ปรากฏในตำนานนักบุญคริสต์เยอะมาก)   Smiley

สำหรับประเด็นเรื่องของแมดแฮตเตอร์ดูเหมือนจะแอบชอบนางเอก แต่นางเอกไม่ชอบตอบนั้น ก็ไม่ถือว่าผิดเท่าไร เพราะว่า อันที่จริงแล้ว คุณ Carroll แกก็แต่งภาคต่อของอลิสในดินแดนมหัศจรรย์ไว้ด้วย ในภาคต่อ บรรยากาศของเรื่องจะดูอึมครึมกว่า เพราะอลิสเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว คนแต่งก็เขียนเหมือนกับแสดงความเสียดายความไร้เดียงสาของอลิสด้วย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ผู้กำกับของประทับใจเลยเอามาใส่ไว้ให้แมดแฮตเตอร์ด้วย   Huh

อย่างไรก็ตาม อลิสในดินแดนมหัศจรรย์เป็นนิยายแฟนตาซี ที่สนุกสนาน ไร้สาระแต่ไม่ไร้แก่นสาร สำหรับเด็กก็ใช้เป็นนิยายที่เสริมสร้างจินตนาการให้กว้างไกลได้ สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นพ่อแม่ก็ใช้บางประเด็นหยิบมาสอนได้  เช่น เรื่องของการใส่ใจความรู้สึกคนอื่น การไม่กลัวที่จะพูดเมื่อถึงเวลาที่จะพูด ฯลฯ สำหรับคนอ่านทุกเพศทุกวัย ใครจะไปรู้เราก็อาจจะได้แง่คิดน่าสนใจก็ได้ 


Tut, tut, child! Everything's got a moral, if only you can find it.
จุ๊จุ๊ เด็กน้อย! ทุกอย่างมีข้อคิดทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเธอจะหาเจอหรือไม่   เยาะเย้ย

บันทึกการเข้า

For King & For Country!
Don Quixote
Only God delivers the judgement, we only deliver the suspects.
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 987
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16169


,=,"--- X Santiago... !!


เว็บไซต์
« ตอบ #84 เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 02:09:24 AM »

ประโยคสุดท้ายนี่มาจากหนังสือฉบับเต็มใช่ไหมครับ?

บันทึกการเข้า

Thou shalt have guns.
Thou shalt have tons of ammo.
Thou shalt shoot well.
Thou shalt not rely on help from the stranger.
bluebunny รักในหลวง
Full Member
***

คะแนน 144
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 235



« ตอบ #85 เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 04:45:57 PM »

ใช่แล้วค่ะ เป็นบทพูดของดัชเชส เจ้าของแมวเชสชายค่ะ

ประโยคสุดท้ายนี่มาจากหนังสือฉบับเต็มใช่ไหมครับ?


บันทึกการเข้า

For King & For Country!
Don Quixote
Only God delivers the judgement, we only deliver the suspects.
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 987
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16169


,=,"--- X Santiago... !!


เว็บไซต์
« ตอบ #86 เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 05:03:56 PM »

นายกอังกฤษคนที่แล้วหน้าเหมือนแมวเชสไชน์ คิก คิก

แต่ยังไงก็สู้นายกสเปนไม่ได้ หน้าเหมือนดาราดัง ขำก๊าก

บันทึกการเข้า

Thou shalt have guns.
Thou shalt have tons of ammo.
Thou shalt shoot well.
Thou shalt not rely on help from the stranger.
rute - รักในหลวง
Forgive , But not Forget .
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1960
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 22591


"ผลิดอกงามแตกกิ่งใบ..."


« ตอบ #87 เมื่อ: กันยายน 20, 2010, 05:42:53 PM »

Mr. Bean หล่อกว่าครับ...ฮา... ขำก๊าก
บันทึกการเข้า
bluebunny รักในหลวง
Full Member
***

คะแนน 144
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 235



« ตอบ #88 เมื่อ: กันยายน 22, 2010, 05:05:03 AM »

แหม.. นายกสเปนเสียใจแย่เลยค่ะ  Grin คุณหมอ..คุณดอน..

โอเค พูดถึงหนังสือแนวแฟนตาซีอย่างอลิสในดินแดนมหัศจรรย์ ก็ขอพูดถึงงานวรรณกรรมแนวแฟนตาซีไทยๆ ดูบ้างนะคะ

งานวรรณกรรมไทยที่พอจะเป็นต้นฉบับของงานเขียนแนวแฟนตาซีจริงๆ ก็น่าจะไม่พ้น พระอภัยมณีของท่านกวีเอกสุนทรภู่ ละมั๊งคะ  ไหว้ เพราะน่าจะเป็นหนังสือเล่มแรกๆ ในภาษาไทย ที่เป็นความฝันจินตนาการไปได้ไกล และน่าชื่นชมว่า คนไทยในยุคตั้งไม่รู้กี่ร้อยปีมาแล้วช่างคิดได้ถึงขนาดท่านสุนทรภู่

จินตนาการของท่านสุนทรภู่ที่ดิฉันว่ายังคงโมเดิร์นพอที่ผู้ใหญ่ในยุค 2010 อย่างเราพอจะคิดสนุกๆ ตามไปได้ก็อย่างเช่น จินตนาการเรื่องเรือสำเภาเหาะ ที่ไม่ต่างกับเครื่องบินส่วนตัว (นางละเวงฯ ก็อาจจะออกแนวคุณนายเศรษฐีไฮโซมีตังค์ในยุคนี้ก็ได้) หรืออย่างแก้วราหูที่ท่านสุนทรภู่บรรยายว่า ให้ได้ทั้งความอบอุ่นเวลาอากาศหนาว ความเย็นสบายเวลาอากาศร้อน ใช้เห็นสายฟ้าฟาดป้องกันตัว และใช้สื่อสารมองไปที่อื่น ก็อาจจะเป็น Iphone generation รุ่นหลาน (ปี 2040?) ก็ได้ Grin ถ้าเมื่อปี 1975 มีคนบอกเราว่า จะมีโทรศัพท์มือถือขายให้ทุกคนได้ซื้อใช้ และเจ้ามือถือนี่ใช้ท่องเน็ต และถ่ายรูปได้ด้วย เราก็คงไม่เชื่อมังคะ ? แต่ถ้าโลกยังร้อนอยู่อีก ก็อาจจะอีกไม่นานหรอกค่ะ ที่ iphone ต้องมีเครื่องปรับอากาศ/ฮีตเตอร์ (และเผลอๆ ฟอกอากาศ)แถมให้ด้วย และถ้ายังมีพวกล้วงกระเป๋าหนักๆ เข้า iphone ในอนาคตอาจต้องผสมเครื่องช๊อตไฟฟ้าไว้กันขโมยด้วย  Grin ส่วนเรื่องม้านิลมังกรก็อาจจะเป็นหุ่นยนต์ม้าสำหรับเด็กในอนาคต (ตอนนี้หุ่นยนต์สุนัขสัตว์เลี้ยงก็มีแล้ว...)

สำหรับจินตนาการใกล้ตัวหน่อยก็อาจจะเป็นเรื่องของนางผีเสื้อสมุทร ที่เปรียบเหมือนภริยา ในคอนเซ็ปต์คุณผู้ชายไทยทั้งหลาย  เยาะเย้ย ที่อยู่ข้างนอกก็หวงกักตัว และไม่ค่อยจะยอมให้สามีได้ไปไหน (ปิดประตูถ้ำ) แต่พออยู่ด้วยกันก็แปลงร่างเป็นสาวสวย Grin ชวนให้ตายใจ หรือนางละเวงฯ ที่รูปลงอาคม เห็นแล้วหลงไหลไปหมด อาจจะเหมือนรูปนักร้องดาราเกาหลีที่คลั่งไคล้กันทั้งเมืองในตอนนี้  Grin

สำหรับเด็ก บทของม้านิลมังกร-สุดสาคร กับคำสอนของพระโยคีใช้ได้เสมอ (แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์..มันแสนสุดลึกล้ำเหนือกำหนด..ฯลฯ) เพราะจะนำภัยมาถึงตัวได้ง่าย ถ้าจะนำไปสอนลูกสอนหลาน ก็อาจเสริมเรื่องของการสอนให้ระมัดระวังเวลามีของมีค่าอยู่กับตัวก็ได้นะคะ  Cheesy น่าจะเห็นภาพได้ดี

นอกจากนี้เรื่องพระอภัยมณีก็ยังมีความไพเราะของภาษาด้วย ดิฉันเองเรียนภาษามาก็เยอะ งูๆ ปลาๆ บ้าง พอรู้เรื่องบ้าง ก็ขอบอกได้อย่างค่อนข้างจะมั่นใจและภูมิใจว่า มีคนไทยนี่แหละค่ะที่เป็นคนกลุ่มน้อยที่ฉลาดเล่นกับภาษาและคำมากๆ (ไม่เชื่อลองดูสิคะ ดิฉันขอท้าให้ไปหานิราศคำผวนในภาษาอะไรก้อได้ รับรองหาไม่เจอหรอกค่ะ   เยี่ยม Grin)

ท้ายนี้ สิ่งที่อยากจะชวนคุย ก็คือในเรื่องพระอภัยมณี มีการใช้ดนตรี(ปี่พระอภัย) เป็นสิ่งวิเศษ ที่กล่อม-โน้มน้าวจิตใจคนให้อ่อนลง หยุดการรบราฆ่าฟัน และหันมารักกัน เป็นการย้ำถึงคุณค่าของศิลปะ ที่สามารถขัดเกลาจิตใจคนได้  การพยายามสื่อถึงคุณค่าของศิลปะนี้ เป็นสิ่งที่งานเขียน/งานประพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกมักจะมีอยู่แฝงในเนื้อหาทั้งนั้น ไม่ว่าจะท่านสุนทรภู่ ท่านเซอร์วิลเลียม เชคสเปียร์ หรือแม้แต่จอห์น เลนนอน ค่ะ  Cheesy
บันทึกการเข้า

For King & For Country!
bluebunny รักในหลวง
Full Member
***

คะแนน 144
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 235



« ตอบ #89 เมื่อ: กันยายน 22, 2010, 05:53:17 PM »

มีคนเข้ามาทักหลังบอร์ด ขอให้คุยถึงภาพยนตร์ Labyrinth ก็เลยคงต้องวนกลับมาสักเล็กน้อยนะคะ   Smiley

ในเรื่องนี้ นางเอก เป็นเด็กสาวชื่อซาร่า กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่นช่างฝัน มีปัญหาเรียกร้องความสนใจ และน้อยใจพ่อและแม่เลี้ยง ที่ดูเหมือนจะสนใจน้องที่เป็นเด็กเบบี๋มากกว่า เธอก็เลยท่องคาถาจากนิทานเรื่องที่อ่านอยู่ พระราชา goblin (แสดงโดยเดวิด โบวี่) ก็เลยมาลักพาตัวน้องเธอไปจริงๆ เธอก็เลยต้องไปผจญภัยในเขาวงกตเพื่อเอาตัวน้องกลับมาให้ได้

ดิฉันเองก็ดูเมื่อนานมาแล้ว ก็เลยต้องฟื้นความทรงจำโดยการไปเอาแผ่นดีวีดีของคุณสามีมาเปิดดู (แอบซื้อมาไว้เมื่อไรก็ไม่รู้)   งอน

ภาพยนตร์เรื่องนี้ ดูแล้วเหมือนอลิสในดินแดนมหัศจรรย์ + พ่อมดออซ ที่ใช้นิทานปรัมปราเยอรมันเป็นฉาก ในเรื่องมีการยืมตัวละคร/คำพูดดังๆ มาพอควร เช่น "หากเธอเดินไปเรื่อยๆ เธอก็จะไปถึงเองแหละ" (มาจากแมวเชสชายในอลิส และในเรื่องนี้ ก็ให้ลุงแก่มีนกบนหมวกเป็นคนพูด) มีการให้นางเอกเดินตามตัวละครไปมา (ในอลิสใช้กระต่ายกับแมว ในเรื่องนี้ ใช้ตัวก๊อบบลินชื่อ ฮอกเกิ้ล) นอกจากนั้น ตัวละครสมุนนางเอกทั้งหมด 3 ตัวก็ค่อนข้างคลับคล้ายคลับคลา (เหมือนเพื่อน 3 คน ของโดโรธี ในพ่อมดอ๊อซ)  Wink

แก่นหัวใจของเรื่อง คือการที่นางเอกได้ค้นพบตัวตน และได้โตจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ โดยมีความรับผิดชอบ ฉลาด กล้าหาญ มีความเข้าใจโลกว่า บางครั้งโลกก็ไม่ยุติธรรม (นางเอกมีประโยคติดปากว่า It's not fair!) รวมทั้ง มีน้ำใจ เข้าใจ/เห็นใจคนอื่น  ฉากที่พูดถึงการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้พอจะชัดๆ ก็คือฉากตั้งแต่ที่นางเอกกัดลูกพีชแล้วเสียความทรงจำชั่วขณะ ลูกพีชก็มีนัยคล้ายกับแอปเปิลของอดัมกับอีฟที่กัดแล้วทำให้ชีวิตเปลี่ยนไป  เป็นคอนเซ็ปต์ฝรั่งเหมือน forbidden fruit นะค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 22, 2010, 07:05:06 PM โดย bluebunny รักในหลวง » บันทึกการเข้า

For King & For Country!
หน้า: 1 ... 3 4 5 [6] 7
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.163 วินาที กับ 22 คำสั่ง