โดยหลักแล้วกฎหมายห้ามมิให้ค้นในที่สาธารณสถาน เว้นแต่เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าบุคคล
นั้นมีสิ่งของเพื่อใช้ในการกระทำความผิด ได้มาโดยการกระทำผิด หรือมีไว้เป็นความผิด ซึ่งเป็นข้อ
ยกเว้น เพียงแต่คำว่าเหตุอันควรสงสัยนั้นมีความหมายกว้างมาก จนดูเหมือนกับว่าให้อยู่ในดุลพินิจ
ของเจ้าพนักงานว่าจะตรวจค้นหรือไม่ก็ได้ แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาในทางปฏิบัติเนื่องจากถ้าเจ้าหน้าที่
ตรวจค้นไม่เจออะไรก็ปล่อยผ่านไป ประชาชนก็ไม่ได้ติดใจอะไรเพราะถือว่าเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่
ตามปกติ แต่ถ้าตรวจค้นแล้วเจอของผิดกฎหมายขึ้นก็ถูกจับกุมดำเนินคดีไป ซึ่งก็สมกับที่เจ้าพนักงาน
สงสัยว่าในรถยนต์คันนี้มีสิ่งของผิดกฎหมาย เว้นเสียแต่ในกรณีที่เจ้าพนักงานคนนั้นมีสาเหตุโกรธเคือง
กับเจ้าของรถมาก่อน เจอรถคันนี้ทีไรก็แกล้งค้นอย่างละเอียดทุกทีโดยไม่มีเหตุหรือพฤติการณ์อะไรอัน
ควรสงสัยเป็นพิเศษ อย่างนี้ก็อาจมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบได้เช่นกัน ซึ่ง
ต้องว่ากันอีกที แต่ในกรณีที่ท่านถูกเรียกตรวจค้นตามปกติถ้าท่านบริสุทธิ์ใจจริงก็ไม่มีเหตุอันใดที่จะปฏิ
เสธเพราะเจ้าพนักงานก็ทำไปตามหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ไม่แน่ว่าอาวุธปืน
เถื่อนที่ตำรวจตรวจค้นได้จากเด็กวัยรุ่นก่อนหน้านี้อาจจะเป็นอาวุธปืนที่เตรียมเอาไปเพื่อใช้ยิงคนที่ท่านรัก
ก็เป็นได้
เท่าที่คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเค้าก็มีวิธีสังเกตุอยู่เหมือนกันว่ารถประเภทที่ต้องสงสัยเป็นพิเศษ
ไม่ใช่ว่าจะค้นดะไปทุกคัน เพียงแต่ไม่อาจนำมาเปิดเผยได้เพราะอาจกลายเป็นการชี้โพรงให้กระรอก
และโดยส่วนตัวผมแล้วเมื่อถูกเรียกตรวจค้นก็จะให้ความร่วมมือด้วยการปิดไฟหน้ารถและเปิดไฟภายใน
รถเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ โดยที่ผมไม่เคยใช้ตำแหน่งหน้าที่หรือแสดงตัวว่าเป็นใครในลักษณะที่เบ่งทับ
อยากตรวจตรงไหนก็ตรวจเพราะถือว่าเค้าทำตามหน้าที่ แต่ถ้าจะตรวจละเอียดก็ต้องแสดงเหตุผลเป็น
พิเศษ ถ้าแสดงเหตุผลให้ผมพอใจได้ผมก็ยินยอมให้ตรวจค้น แต่ส่วนมากก็แค่ชะโงกหน้าเข้ามาดูในรถ
แล้วก็ปล่อยผ่านไป อาจเป็นเพราะเห็นว่าหน้าตาผมเจี๋ยมเจี๊ยมไม่น่าจะเป็นพิษเป็นภัยกับคนอื่นก็เป็นได้
แต่ถ้าเป็นประเภทจ้องจะหาเรื่องลูกเดียวโดยผมไม่ได้ทำอะไรผิดผมก็จะใช้วิธีแสดงใบขับขี่พร้อม
แสดงตำแหน่งอย่างสุภาพ เป็นการปรามไปในตัวว่าข้าไม่ผิด แต่ถ้าเอ็งคิดว่าข้าผิด ก็คงต้องรบกันยาว
หน่อย