ขออนุญาต จขกท เพิ่มเติมคำสั่งศาลครับ
ครั้งที่ ๕๙/๒๕๔๘
คำสั่งศาลปกครองสูงสุด
คำสั่งวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาคดีการแปรรูป กฟผ.
วันนี้ (๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๘) เวลา ๑๓.๓๐ น. ที่ห้องพิจารณาคดีที่ ๒ ศาลปกครองสูงสุด
ได้อ่านคำสั่งศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ ฟ.๑๔/๒๕๔๘ ระหว่าง
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ที่ ๑
นางสาวรสนา โตสิตระกูล ที่ ๒
นางสาวสายรุ้ง ทองปลอน ที่ ๓
นายสุริยะใส กตะศิลา ที่ ๔
นายศิริชัย ไม้งาม ที่ ๕
นางจิราภา จันทรักษ์ ที่ ๖
นางสาวศจินทร์ ประชาสันติ์ ที่ ๗
นางอินทิรา โรจวัฒนา ที่ ๘
พันโท หญิง กมลพรรณ ชีวพันธุศรี ที่ ๙
นาง ญ.หญิง สิตตะวิบุล ที่ ๑๐
และนายธนา วรพจน์ ที่ ๑๑ ผู้ฟ้องคดี
กับ นายกรัฐมนตรี ที่ ๑
สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่ ๓
กระทรวงพลังงาน ที่ ๔
และคณะรัฐมนตรี ที่ ๕
ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบเอ็ดฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทมูลนิธิโดยมี
วัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภค ผู้ฟ้องคดีที่ ๒ ถึงผู้ฟ้องคดีที่ ๑๑ เป็นประชาชนผู้ใช้ไฟฟ้า
ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเคยเป็นผู้ให้บริการ และบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ให้บริการต่อเนื่อง
ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบเอ็ดได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากการตราพระราชกฤษฎีกาสองฉบับ คือ พระราชกฤษฎีกา
กำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ และพระราชกฤษฎีกา
กำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๘ โดยไม่ชอบด้วย
กฎหมายหลายประการ ได้แก่ ก่อนการตราพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมิได้มีการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็น
ของประชาชนตามมาตรา ๑๙ (๙) แห่งพระราชบัญญัติทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๔๒ การตราพระราชกฤษฎีกา
ดังกล่าวทำให้ทรัพย์สินต่างๆ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยตกเป็นของบริษัท กฟผ. จำกัด
(มหาชน) ซึ่งขัดต่อประโยชน์ของประชาชนและเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
และการตราพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวทำให้ประชาชนโดยทั่วไปและผู้ฟ้องคดีขาดหลักประกันอันมั่นคงในการ
ได้รับบริการสาธารณะจากรัฐ ทั้งในการบริการ การเสียค่าบริการ การสูญเสียสิทธิในการตรวจสอบความโปร่งใส
ในการบริหารงาน เป็นต้น
ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้เพิกถอนพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของ
บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วย
การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๘
และมีคำขอให้ศาลกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา โดยมีคำสั่งให้ระงับการบังคับใช้
พระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับ และให้ระงับการดำเนินการใด ๆ ของบุคคลที่เกี่ยวข้องที่อาศัย
อำนาจตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง
เนื่องจากมีการดำเนินการนำหุ้นของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โดยได้ทำการเสนอขายหุ้นทั้งในและต่างประเทศ และจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อหุ้นในวันที่ ๑๖
ถึงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ไฟฟ้าและประชาชนที่ซื้อหุ้นดังกล่าว
ศาลพิจารณาคำขอกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาของผู้ฟ้องคดีแล้ว ในปัญหาที่ว่า
สมควรทุเลาการบังคับตามพระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ ของบริษัท กฟผ. จำกัด
(มหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมายว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๘ หรือไม่ เห็นว่า การพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกา
ทั้งสองฉบับดังกล่าวเป็นประเด็นหลักแห่งคดีที่ศาลต้องพิจารณาพิพากษาอีกทั้งมีขั้นตอนที่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง
จะต้องดำเนินการต่อไปตามพระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับดังกล่าว หากให้ระงับการบังคับใช้พระราชกฤษฎีกา
ดังกล่าวจะทำให้เกิดปัญหาในการดำเนินการตามกฎหมายต่อไป และเกิดปัญหาแก่การบริหารงานของ
บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ดังนั้น ศาลปกครองสูงสุดจึงเห็นว่า ยังไม่สมควรที่จะสั่งทุเลาการบังคับ
ใช้พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวตามคำขอของผู้ฟ้องคดีทั้งสิบเอ็ด
ในปัญหาว่า สมควรให้ระงับการดำเนินการต่างๆ เกี่ยวกับการขายหุ้นของบริษัท กฟผ. จำกัด
(มหาชน) ไว้ก่อนหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้มีมูลและมีเหตุที่ศาลจะรับคดีไว้พิจารณาได้ และบริษัท กฟผ. จำกัด
(มหาชน) กำลังดำเนินการเพื่อเสนอขายหุ้นให้แก่เอกชน โดยกำหนดให้ประชาชนจองซื้อหุ้นในวันที่ ๑๖
ถึงวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ หากให้มีการดำเนินการดังกล่าวและในภายหลังหากศาลพิพากษาให้เพิกถอน
พระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ ย่อมทำให้เกิด
ความเสียหายในวงกว้างแก่ประชาชนที่จองซื้อหุ้นซึ่งมีเป็นจำนวนมาก และยังมีผลกระทบต่อบุคคลและ
หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการดังกล่าวด้วย ซึ่งการที่จะให้ระงับการดำเนินการเพื่อเสนอขายหุ้น
ให้แก่ประชาชนไว้ก่อนศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีนั้น ไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินบริการสาธารณะ
ของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) เนื่องจากแม้ไม่มีการเสนอขายหรือขายหุ้นให้แก่ประชาชนในขณะนี้
บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ก็ยังคงดำเนินการบริการสาธารณะต่อไปได้ ส่วนข้ออ้างของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓
ที่ว่าจะมีผลกระทบต่อนโยบายของรัฐบาลนั้น การให้ระงับการเสนอขายหรือขายหุ้นไม่ได้มีผลกระทบต่อ
การแปรรูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแต่อย่างใด สำหรับข้ออ้างที่ว่า การระงับการเสนอขายหรือ
ขายหุ้นจะทำให้บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ขาดเงินทุนที่จะขยายการให้บริการแก่ประชาชนนั้น ไม่ปรากฏว่า
เป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องดำเนินการโดยรีบด่วนหรือเป็นเรื่องที่กระทบต่อการจัดทำบริการสาธารณะแต่อย่างใด
ส่วนที่อ้างว่า หากมีการระงับการเสนอขายหรือขายหุ้นจะก่อให้เกิดความไม่น่าเชื่อถือจากผู้ที่จะลงทุนซื้อหุ้น
ศาลเห็นว่า การระงับการเสนอขายหรือการดำเนินการใดๆ เพื่อขายหุ้นเกิดจากการที่ศาลมีคำสั่งกำหนด
วิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา มิใช่เกิดจากการดำเนินกิจการของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) จึงไม่น่า
จะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ดังนั้น ในชั้นนี้สมควรที่จะมีคำสั่งระงับการดำเนินการเพื่อเสนอขาย
หรือดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการขายหุ้นไว้ก่อนจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
จึงมีคำสั่งห้ามผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน)
เสนอขายหรือดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการขายหุ้นของบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) ไว้ก่อนจนกว่า
ศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ส่วนคำขอทุเลาการบังคับใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดอำนาจ สิทธิ และประโยชน์ของ
บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘ และพระราชกฤษฎีกากำหนดเงื่อนเวลายกเลิกกฎหมาย
ว่าด้วยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๘ นั้น ให้ยก
๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๘