เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
กันยายน 22, 2024, 09:24:03 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 2 3 4 [5] 6 7 8
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ชูชก  (อ่าน 18497 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 18 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
-จ่าตะพาบน้ำ- * รักในหลวง*
Full Member
***

คะแนน 21
ออฟไลน์

กระทู้: 281


« ตอบ #60 เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 09:50:31 PM »

คนโง่ในประเทศไทยยังมีอยู่แยะครับ, คนพวกนี้บอกอะไรให้ฟังไม่ได้ หากขัดกับความคิดของพวกมัน มันก็โมโหใส่ เจ้าอารมณ์... เวลาคนมันโง่ มันโง่จริงๆ แบบที่ไม่คิดว่ามันจะโง่ได้แบบนี้ครับ, สิ่งที่ควรคิดไม่รู้จักคิด แต่ไปพยายามคิดแบบโง่ โดยหวังให้ได้รับผล(ที่คิดไปเอง)ว่าฉลาด...

บางท่านก็ว่าความเชื่อของคนอื่นไม่ทำอะไรให้เราเดือดร้อน มันก็ใช่ครับ, แต่ถ้าคิดให้ดีมันทำเราเดือดร้อนทางอ้อมครับ... ก็คือกลายเป็นส่งเสริมให้นิยม+บูชาสิ่งไร้เหตุผล เพื่อหวังผลในสิ่งที่เลื่อนลอย, ในสังคมก็จะมีแต่คนโง่เป็นส่วนใหญ่ ในที่สุดมันก็ลากกันลงเหว ลากกันไปเผาเมือง... เฮ้อ...

 เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม

ผมว่าเราไม่ได้ตามหลังประเทศทางตะวันตกแค่ 50 ปี อย่างที่เข้าใจแล้วล่ะครับ
เพราะยุคมืดของยุโรปเขาผ่านมาร่วม 400 ปีแล้วนะครับ  หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน
เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคมืดจริงๆ เหรอครับนี่
บันทึกการเข้า
-จ่าตะพาบน้ำ- * รักในหลวง*
Full Member
***

คะแนน 21
ออฟไลน์

กระทู้: 281


« ตอบ #61 เมื่อ: ตุลาคม 14, 2010, 09:57:30 PM »

ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคนไทยเราสมัยนี้หันกลับมาบูชา ชูชก ทั้งๆที่ตามตำนาน ชูชกเป็นสัญลักษณ์ของความตะกละ เป็นสัญลักษณ์ของความโหดร้าย ใจร้าย  ความโลภ ความไม่รู้จักพอและยังมีลักษณะ บุรุษโทษ 18 ประการอีกด้วย งงจริงๆ

ชูชกยังเลวน้อยกว่าเวสสันดรครับ  ยี๊

เข้าใจสิ่งที่ท่านกำลังจะสื่อครับ  แต่เกรงว่าถ้อยคำจะรุนแรงไปหรือไม่ครับ
เดี๋ยวพวกที่บูชาชูชกมาอ่านเข้ามันจะไปกันใหญ่น่ะครับ   Grin
อ่อ..  นิดหนึ่งครับ บางเรื่องผมเห็นว่าถ้าเราก็คิดว่าเรายังสงสัยอยู่ หรือยังไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
หากเราจะไปด่วนตัดสินว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด ทั้งที่เราก้รู้อยู่แล้วว่าเราไม่เข้าใจนั้น
ผมว่าก็สุ่มเสี่ยงอยู่เหมือนกันนะครับ
ด้วยความเคารพครับ  ไหว้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 14, 2010, 10:03:44 PM โดย -k-13 * รักในหลวง* » บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #62 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 08:38:38 AM »


 เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม

ผมว่าเราไม่ได้ตามหลังประเทศทางตะวันตกแค่ 50 ปี อย่างที่เข้าใจแล้วล่ะครับ
เพราะยุคมืดของยุโรปเขาผ่านมาร่วม 400 ปีแล้วนะครับ  หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน
เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคมืดจริงๆ เหรอครับนี่

เรื่องใครตามหลังใครนี่นายสมชายไม่แน่ใจครับ แต่เรื่องที่ว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศยังโง่อยู่นี่นายสมชายแน่ใจครับ... มันเริ่มโง่กันตั้งแต่มีประโยค"อมตะ"(แห่งความเลว)ว่า"โกงมั่งไม่เป็นไร แต่ขอให้ทำงาน"...
ตรงนี้มันแปลว่าเรายอมรับคนขี้โกงออก"นอกหน้า"ครับ และทำให้รู้สึกกันไปว่า"ไม่มีคนที่ทำงานและไม่โกงอีกแล้วในประเทศไทย"... ผลลัพธ์คือผู้คนทุกระดับจะพยายามสร้างสมดุลย์ระหว่าง"ความโกงกับผลงาน"...

จุดนี้วิธีคิดของผู้คนในสังคมจะเปลี่ยนไป แทนที่จะคิดหาวิธีดำเนินชีวิตแบบ"ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน"จะกลายเป็น"ให้คนอื่นเดือดร้อนแต่ไม่เกิดเรื่อง"... แต่ปัญหาคือเส้นแบ่งระหว่างเดือดร้อนหรือไม่เดือดร้อนของแต่ละคนไม่เท่ากัน, ผลลัพธ์คือคนในสังคมจะทะเลาะกันเป็นจุดๆ หย่อมๆ เพราะคนไม่เกรงใจกัน...

แล้วมันก็จะหมดเวลาไปกับความเคียดแค้น เจ้าอารมณ์ น้อยเนื้อต่ำใจ โทษสิ่งโน้นสิ่งนี้รอบข้าง โทษโชคชะตา โทษว่าจน โทษว่าเรียนน้อย ฯลฯ... แทนที่จะมีจิตใจสงบ มีสติแล้วเกิดปัญญาฯ, แล้วเมื่อไหร่มันจะได้อะไรดีขึ้นมากับชีวิตเล่าครับ...

คนที่นิยมชูชกนี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคน"ขี้ขอ"ไงครับ... เหมือนชูชกชอบขอ ไม่ชอบทำงาน...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 15, 2010, 08:40:17 AM โดย นายสมชาย(ฮา) - รักในหลวง » บันทึกการเข้า
naisomchai
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #63 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 08:48:11 AM »

เข้าใจสิ่งที่ท่านกำลังจะสื่อครับ  แต่เกรงว่าถ้อยคำจะรุนแรงไปหรือไม่ครับ
เดี๋ยวพวกที่บูชาชูชกมาอ่านเข้ามันจะไปกันใหญ่น่ะครับ   Grin
อ่อ..  นิดหนึ่งครับ บางเรื่องผมเห็นว่าถ้าเราก็คิดว่าเรายังสงสัยอยู่ หรือยังไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
หากเราจะไปด่วนตัดสินว่าสิ่งใดถูก สิ่งใดผิด ทั้งที่เราก้รู้อยู่แล้วว่าเราไม่เข้าใจนั้น
ผมว่าก็สุ่มเสี่ยงอยู่เหมือนกันนะครับ
ด้วยความเคารพครับ  ไหว้

เอาเฉพาะตรงบูชาชูชกนะครับ... ส่วนเรื่องพระเวสสันดรนั่นนายสมชายมีความเห็นไปแล้วว่าเกิดเรื่องเนื่องจากตำราสอนเด็กนักเรียนไม่มีคำอธิบายเอาไว้...
คนที่บูชาชูชกไม่เหมือนคนที่บูชาพระครับ... เส้นแบ่งคือคนที่บูชาพระ จะระลึกถึงศีล สมาธิ ปัญญา, แต่คนที่บูชาชูชกมุ่งสู่อำนาจเหนือธรรมชาติให้ใครโดนชูชกขอ แล้วต้องยกให้ชูชกหมด...

คนที่บูชาชูชกจะเป็นเช่นนั้นแหละครับ ขี้โมโห เจ้าอารมณ์ น้อยเนื้อต่ำใจ โทษว่าจน โทษว่าเรียนน้อย... เรื่องเรียนน้อยนี่นายสมชายเองเรียนมาทางหนึ่งแต่ทำมาหากินอีกทางหนึ่ง ไม่เห็นได้ใช้อะไรในห้องเรียนทำมาหากินเป็นชิ้นเป็นอันเลย, สิ่งที่ได้จากในห้องเรียนมีแค่ความอึด ความสู้ไม่ยอมแพ้ และตรรกะสำหรับคิดหาทางสู้(ซึ่งมันก็คือศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง)...
บันทึกการเข้า
ภูปทุม-รักในหลวง
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 89
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 914



« ตอบ #64 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 09:15:51 AM »

จงทำกับเพื่อนมนุษย์โดยคิดว่า...
เขาเป็นเพื่อน เกิด แก่เจ็บ ตาย ของเรา.
เขาเป็นเพื่อน เวียนว่ายอยู่ในวัฎฎสงสารด้วยกันกะเรา.
เขาก็ตกอยู่ใต้ อำนาจกิเลส เหมือนเรา ย่อมพลั้งเผลอไปบ้าง.
เขาก็มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่น้อยไปกว่าเรา.
เขาย่อมพลั้งเผลอบางคราว เหมือนเรา.
เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เหมือนเรา ไม่รู้จักนิพพานเหมือนเรา.
เขาโง่ในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยโง่.
เขาก็ตามใจ ตัวเองในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยกระทำ.
เขาก็อยากดี เหมือนเรา ที่อยาก ดี-เด่น-ดัง.
เขาก็มักจะกอบโกย และ เอาเปรียบ เมื่อมีโอกาสเหมือนเรา.
เขามีสิทธิที่จะบ้า ดี-เมาดี-หลงดี-จมดี เหมือนเรา.
เขาเป็น คนธรรมดา ที่ยึดมั่น ถือมั่น อะไรต่างๆ เหมือนเรา.
เขาไม่มี หน้าที่ ที่จะเป็นทุกข์ หรือตายแทนเรา.
เขาเป็น เพื่อน ร่วมชาติ ร่วมศาสนา กะเรา.
เขาก็ ทำอะไร ด้วย ความคิดชั่วแล่น และ ผลุนผลัน เหมือนเรา.
เขามี หน้าที่ รับผิดชอบ ต่อครอบครัวของเขา มิใช่ของเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะมีรสนิยม ตามพอใจของเขา.
เขามีสิทธิ ที่จะเลือก ( แม้ศาสนา ) ตามพอใจของเขา.
เขามีสิทธิ ที่จะใช้ สมบัติ สาธารณะ เท่ากันกับเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นโรคประสาท หรือเป็นบ้า เท่ากับเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะขอความช่วย เหลือ เห็นอกเห็นใจ จากเรา.
เขามีสิทธิ ที่จะได้รับอภัย จากเรา ตามควรแก่กรณี.
เขามีสิทธิ ที่จะเป็นสังคมนิยม หรือ เสรีนิยม ตามใจเขา.
เขามีสิทธิ ที่จะเห็นแก่ตัว ก่อนเห็นแก่ผู้อื่น.
เขามีสิทธิ แห่งมนุษย์ชน เท่ากัน กับเรา , สำหรับจะอยู่ในใลก.
....ถ้าเราคิดกันอย่างนี้ จะไม่มีการ ขัดแย้งใดๆเกิดขึ้น.

   พุทธทาส อินทปัญโญ
  สวนโมกขพลาราม ไชยา
   22 เมษายน 2531

บันทึกการเข้า

จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
.
-จ่าตะพาบน้ำ- * รักในหลวง*
Full Member
***

คะแนน 21
ออฟไลน์

กระทู้: 281


« ตอบ #65 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 10:27:22 AM »


 เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม

ผมว่าเราไม่ได้ตามหลังประเทศทางตะวันตกแค่ 50 ปี อย่างที่เข้าใจแล้วล่ะครับ
เพราะยุคมืดของยุโรปเขาผ่านมาร่วม 400 ปีแล้วนะครับ  หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน
เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคมืดจริงๆ เหรอครับนี่

เรื่องใครตามหลังใครนี่นายสมชายไม่แน่ใจครับ แต่เรื่องที่ว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศยังโง่อยู่นี่นายสมชายแน่ใจครับ... มันเริ่มโง่กันตั้งแต่มีประโยค"อมตะ"(แห่งความเลว)ว่า"โกงมั่งไม่เป็นไร แต่ขอให้ทำงาน"...
ตรงนี้มันแปลว่าเรายอมรับคนขี้โกงออก"นอกหน้า"ครับ และทำให้รู้สึกกันไปว่า"ไม่มีคนที่ทำงานและไม่โกงอีกแล้วในประเทศไทย"... ผลลัพธ์คือผู้คนทุกระดับจะพยายามสร้างสมดุลย์ระหว่าง"ความโกงกับผลงาน"...

จุดนี้วิธีคิดของผู้คนในสังคมจะเปลี่ยนไป แทนที่จะคิดหาวิธีดำเนินชีวิตแบบ"ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน"จะกลายเป็น"ให้คนอื่นเดือดร้อนแต่ไม่เกิดเรื่อง"... แต่ปัญหาคือเส้นแบ่งระหว่างเดือดร้อนหรือไม่เดือดร้อนของแต่ละคนไม่เท่ากัน, ผลลัพธ์คือคนในสังคมจะทะเลาะกันเป็นจุดๆ หย่อมๆ เพราะคนไม่เกรงใจกัน...

แล้วมันก็จะหมดเวลาไปกับความเคียดแค้น เจ้าอารมณ์ น้อยเนื้อต่ำใจ โทษสิ่งโน้นสิ่งนี้รอบข้าง โทษโชคชะตา โทษว่าจน โทษว่าเรียนน้อย ฯลฯ... แทนที่จะมีจิตใจสงบ มีสติแล้วเกิดปัญญาฯ, แล้วเมื่อไหร่มันจะได้อะไรดีขึ้นมากับชีวิตเล่าครับ...

คนที่นิยมชูชกนี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคน"ขี้ขอ"ไงครับ... เหมือนชูชกชอบขอ ไม่ชอบทำงาน...

ชอบครับ  Grin Grin
+1 ด้วยครับ
บันทึกการเข้า
RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #66 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2010, 09:11:45 PM »

จตุคาม  ครับ เยี่ยม

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 16, 2010, 10:50:46 PM โดย พรุ่งนี้ก็ดีเอง » บันทึกการเข้า
jula-รักในหลวง
เป็นวีระบุรุษของครอบครัว ดีกว่าเป็นวีระบุรุษของสังคม
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 486
ออฟไลน์

กระทู้: 467


« ตอบ #67 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2010, 10:08:06 PM »

 ไหว้สวสดีครับ ท่าน สมช.ทุกท่านผมขอร่วมออกความเห็นด้วยคนครับ เพราะผมเป็นคนหนึ่งที่มีฃูฃกใว้ในครอบครอง หรือมีใว้บูชานั่นหล่ะครับและผมยังมี รูปปั้นขุนช้าง  จตุคาม  นกสาริกาแกะสลักจากเครือเขาหลง   นกคุ้มทำจากไม้คูณ  รวมถึงตระกรุดและพระเครื่องพระบูชาปางค่างอีกมาก  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะงมงายหรือโง่หรือหล้าสมัยหรอกนะครับผมเป็นชาวพุทธครับที่กราบใหว้บูชาก็หาใช่รูปลักษณ์ของสิ่งนั้นไม่ แต่บูชาพุทธคุณที่ยรรจุอยู่ภายในต่างหากหล่ะครับ เพราะผมคิดว่าสิ่งที่อยู่ข้างในล้วนแล้วแต่เป็นพุทธคุณทิ้งสิ้น  แล้วแต่ว่าผู้สร้างต้องการจะให้มีคุณไปทางด้านไหนเท่านั้นเอง   ด้วยความเคารพครับผมไม่ได้ว่าใครนะครับ แต่เป็นความเชื่อส่วนบุคคลครับ ไหว้
บันทึกการเข้า


มีเกิดขึ้น  ตั้งอยู่  และดับไป
อนัตตา
หนักแค่ไหนก็ไม่ทุกข์ สุขเพียงใดก็ไม่พลั้ง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1616
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8201


เมื่อเจ้ายืนอยู่บนยอดภูผา อย่าลืมว่าเจ้ามาจากที่ใด


« ตอบ #68 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2010, 10:25:47 PM »

เรื่องความเชื่อเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เชื่อไม่เชื่อ ชอบไม่ชอบ มิกล้าออกความเห็น ขออ่านอย่างเดียวครับ Grin
บันทึกการเข้า

winthai ยาวแค่ไหน ก็ต้องมีปลายสุดเสมอ
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 214
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 739


ไม่มีความคิด ใดๆ ในโลกนี้ ที่สมบูรณ์แบบ


« ตอบ #69 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2010, 04:07:58 AM »

คนเราต่างความคิดนะครับ คนหนึ่งคิดอย่าง อีกคนคิดอย่าง การเีลี้ยงดู และปลูกฝังต่างกัน สภาพแวดล้อมก็ต่างกัน บางคนมีศรัทธา บางคนไม่มีศรัทธา  ต่างมุมมอง ต่างแง่คิด ต่างความเข้าใจ เขาถึงได้มีคำนี้ขึ้นมา "คนเหมือนคน แต่คนไม่เหมือนกัน"
บันทึกการเข้า

ทุกสิ่งทุกอย่างปรับเปลี่ยนได้ด้วยความคิดของเราเอง

มองโลกให้เป็นอย่างที่เราเห็น อย่ามองโลกให้เป็นอย่างที่เราหวัง
แปจีหล่อ
Hero Member
*****

คะแนน 6324
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8251



« ตอบ #70 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2010, 02:03:01 PM »

อย่างปลัดขิกนี่ทีแรกผมเข้าใจว่ามาจากความเชื่อในในการบูชาศิวลึงค์ แต่ว่าพอมาเจอปลัดขิกบางอันทำให้ดูเหมือนออกมาจากหว่างขาของสัตว์มิหนำซํ้าบางอันฝังมุกผมเลยชักไม่แน่ใจว่าตกลงที่หลายๆท่านบูชาเป็นศิวลึงค์หรือไอ้นั่นของสัตว์กันแน่ ขำก๊าก ขำก๊าก ขำก๊าก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 17, 2010, 03:22:29 PM โดย ူူ္สุดประจิมที่ริมเมย » บันทึกการเข้า

สีกากีเป็นสีของดิน ข้าราชการควรต้องติดดิน ออกพื้นที่รับฟังปัญหาของชาวบ้าน ข้าราชการคือ ข้าที่ทำกิจการต่างๆให้กับพระราชา เครื่องแบบข้าราชการสีกากีคือสีแห่งข้ารับใช้แผ่นดิน
RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #71 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2010, 02:06:44 PM »

ไหว้สวสดีครับ ท่าน สมช.ทุกท่านผมขอร่วมออกความเห็นด้วยคนครับ เพราะผมเป็นคนหนึ่งที่มีฃูฃกใว้ในครอบครอง หรือมีใว้บูชานั่นหล่ะครับและผมยังมี รูปปั้นขุนช้าง  จตุคาม  นกสาริกาแกะสลักจากเครือเขาหลง   นกคุ้มทำจากไม้คูณ  รวมถึงตระกรุดและพระเครื่องพระบูชาปางค่างอีกมาก  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะงมงายหรือโง่หรือหล้าสมัยหรอกนะครับผมเป็นชาวพุทธครับที่กราบใหว้บูชาก็หาใช่รูปลักษณ์ของสิ่งนั้นไม่ แต่บูชาพุทธคุณที่ยรรจุอยู่ภายในต่างหากหล่ะครับ เพราะผมคิดว่าสิ่งที่อยู่ข้างในล้วนแล้วแต่เป็นพุทธคุณทิ้งสิ้น  แล้วแต่ว่าผู้สร้างต้องการจะให้มีคุณไปทางด้านไหนเท่านั้นเอง   ด้วยความเคารพครับผมไม่ได้ว่าใครนะครับ แต่เป็นความเชื่อส่วนบุคคลครับ ไหว้
ขออภัย ครับ หากผม ล่วงเกิน ครับ  ไหว้  เศร้า
บันทึกการเข้า
RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #72 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2010, 02:11:03 PM »

อย่างปลัดขิกนี่ทีแรกผมเข้าใจว่ามาจากความเชื่อในในการบูชาศิวลึงค์ แต่ว่าพอมาเจอปลัดขิกบางอันทำออกมาจากหว่างขาของหมามิหนำซํ้าบางอันฝังมุกผมเลยชักไม่แน่ใจว่าตกลงที่หลายๆท่านบูชาเป็นศิวลึงค์หรือไอ้นั่นของหมากันแน่ ขำก๊าก ขำก๊าก ขำก๊าก
วัดไหนเค้าสร้างกันล่ะครับท่าน
ของบางอาจารย์ ใช้ ไม้พญางิ้วดำ ใช้ ไม้มงคล หรือของ อาจารย์เล็กใช้กะลาปังหา 
บางอาจารย์ก็หล่อมาจากโลหะ   ท่านพูดแบบนี้ผมว่าไม่ค่อยเหมาะนะครับ. Smiley
บันทึกการเข้า
RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #73 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2010, 02:15:12 PM »

ในบรรดาเครื่องรางของขลัง ที่โบราณาจารย์นิยมจัดสร้างขึ้น มีเครื่องรางประเภทหนึ่ง มีลักษณะรูปร่างแปลกตาไปจากวัตถุมงคลประเภทอื่น กล่าวคือ จะมีสัณฐานเป็นรูป "ลึงค์" หรืออวัยวะเพศชาย โดยจัดสร้างขึ้นมามากมาย หลายขนาด ตั้งแต่เล็กจิ๋วกว่าปลายนิ้วก้อย ไปจนถึงขนาดเท่าของจริง และขนาดใหญ่โตมโหฬาร สูงท่วมหัว

เครื่องรางชนิดนี้ได้รับความนิยมพกติดตัว ตลอดจนเคารพบูชากันเป็นที่เอิกเกริก ซึ่งเรารู้จักกันในชื่อของ "ปลัดขิก"

ด้วยความนิยมใช้ปลัดขิก ถึงขนาดที่ว่ามีการท่องไล่เลียง "ของดี" หรือของสุดยอดของเครื่องราง ที่คู่ควรสะสมไว้ว่า

"ปลัดขิก หลวงพ่อเหลือ เสือหลวงพ่อป่าน หนุมานหลวงพ่อสุ่น วัวปั้นหุ่นวัดศรีษะทอง เบี้ยแก้กันวัดนายโรง ตะกรุดหลวงปู่เอี่ยมวัดสะพานสูง"

ความเป็นมา ของ "ปลัดขิก" ค่อนข้างเกี่ยวพันกับคติความเชื่อดั้งเดิมในเรื่องความอุดมสมบูรณ์ โดยเชื่อว่า "ลึงค์" หรืออวัยวะเพศชาย เป็นบ่อเกิดแห่งสรรพสิ่งมีชีวิตในจักรวาล อันเป็นรากฐานมาจากคติการบูชา "ศิวลึงค์" หรือลึงค์ของพระศิวะ ในลัทธิไศวนิยาย ที่บูชาพระศิวะเป็นใหญ่ อันเป็นที่มาของการเรียก "ลึงค์" ว่า "เจ้าโลก"

ซึ่งแตกต่างจากอีก นิกายหนึ่งในศาสนาฮินดูที่เคารพบูชา "โยนี" หรือ อวัยวะเพศหญิง ในลัทธิศักติ ที่เชื่อว่าสรรพสิ่งต่างๆ จะเกิดขึ้นได้ต้องประกอบด้วยโยนี

การ บูชาลึงค์ค่อยๆ เผยแพร่ในสยามประเทศ เนื่องมาจากขอมเคยมีอิทธิพลอยู่ในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระยะเวลา หนึ่ง ซึ่งไทยเราก็รับคติดังกล่าวมาประยุกต์ดัดแปลงและกำหนดเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้น

มีบางคนตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดความเชื่อของฮินดูจึงเข้ามาผูกพันกับพุทธศาสนา โดยเฉพาะในกรณีของปลัดขิก สาเหตุก็คือพุทธศาสนานั้นได้ปรับเปลี่ยนและดัดแปลงเอาความเชื่อดั้งเดิมใน วิถีชีวิตมนุษย์ตลอดจนความศรัทธาอื่นๆ เข้ามาด้วยกัน เพื่อประโยชน์ในการเข้าถึงรากเหง้าดั้งเดิม ตลอดจนเป็นกุศโลบายในการเผยแพร่ศรัทธาที่ไม่ขัดแย้งกับความเชื่ออื่นๆ เช่น

ประเพณีบุญบั้งไฟของชาวอีสาน เพื่อเป็นการบูชาแถนขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล เหมือนกับการแห่นางแมวของคนภาคกลาง

สอง พิธีกรรมที่อยู่คนละภาคนี้ มีความคล้ายคลึงกันในเรื่องของสัญลักษณ์ที่ใช้ส่อไปทางเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้ไม้มาแกะสลักเป็นอวัยวะเพศชาย เรียกว่า "บักแบ้น" หรือ "ปลัดขิก" ในอีสาน หรือ "ขุนเพ็ด"

ประเพณีแห่ผีตาโขน ของชาว อ.ด่านซ้าย จ.เลย ผีทุกตัวจะถืออาวุธในมือ ซึ่งทำด้วยทางมะพร้าว โดยทำด้ามเป็นลักษณะเหมือนปลัดขิก นอกจากนี้แล้ว ปลัดขิกยังถูกนำไปใช้เป็นเครื่องรางป้องกันอาถรรพณ์อีกหลายอย่าง เช่น ในช่วง ๔-๕ ปี ที่ผ่านมา ชาวบ้านร้อยเอ็ด กลัว ผีแม่ม่าย จะมาเอาชีวิต ผู้ชายในหมู่บ้านจึงแก้เคล็ดด้วยการ ทำปลัดขิกขนาดใหญ่ ติดหน้าบ้านของผู้ชายที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร "ส" และ "ย" อันเป็นเป้าหมายของผีแม่ม่าย

ส่วนการนำปลัดขิกมาใช้เป็นเครื่องราง สำหรับพกพาติดตัวนั้น จากหลักฐานที่ปรากฏ จะพบว่า ปลัดขิกยุคเริ่มแรก สร้างจากแก่นไม้ที่มีสรรพคุณทางรักษา และป้องกันโรค เช่น แก่นของต้นคูณ ซึ่งมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า "CASSIAFISTULA, LINN" ผู้คนพกพาติดตัวเดินทางไกล เมื่อจะกินน้ำตามห้วยหนองคลองบึงต่างๆ ก็จะใช้ปลัดขิกฝนผสมเข้าไป เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่สะสมอยู่ในน้ำ

ต่อ มาเมื่อกิตติศัพท์ทางแคล้วคลาดรอดพ้นจากโรคภัยและอันตรายต่างๆ ขจรขจายออกไป ก็เกิดความนิยมในการเสาะแสวงหา บรรดาพระเกจิอาจารย์ต่างๆ จึงพากันจัดสร้างปลัดขิกตามตำรับของตน จนเป็นที่แพร่หลายในเวลาต่อมา

เมื่อ พระเกจิอาจารย์เริ่มสร้างปลัดขิก ท่านก็รวบรวมเอาความรู้ต่างๆ ดำเนินการปลุกเสก และจัดสร้าง มีการเลือกไม้หรือวัสดุอันเป็นมงคลตลอด จนจดจารพระคาถา เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นใจให้ผู้คนมากยิ่งขึ้น ดังนั้นอานุภาพของปลัดขิกจึงมิได้จำกัดอยู่เพียงการรักษาป้องกันโรคแต่เพียง อย่างเดียว หากแต่ได้กลายสภาพเป็นเครื่องรางของขลัง (Charm and Talismans) โดยมีความเชื่อว่ามีอานุภาพทางด้านป้องกันอันตราย มีเสน่ห์เมตตามหานิยม โชคลาภ การทำมาค้าขาย หรืออื่นๆ อีกด้วย

ในความเป็นจริงแล้ว ปลัดขิกถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของเพศชายมาแต่โบราณ ปลัดขิกดอกน้อยๆ จะถูกผูกไว้ที่สะเอวของเด็กเพศชาย ซึ่งนอกจากความเชื่อในด้านป้องกันอันตรายแล้ว ยังเป็นเครื่องมือที่บ่งชี้ในเรื่องเพศอย่างเด่นชัด

อย่างไรก็ตาม มีผู้คนสงสัยมากมาย ถึงชื่อและความหมายของ "ปลัดขิก" บางคนก็ถามแบบยั่วโทสะว่า ทำไมไม่เรียก "นายอำเภอขิก" หรือ "ผู้ว่าขิก" บางท่านสันนิษฐานว่า คนแขวนคนแรกคงเป็นปลัดขิก ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นการพ้องเสียงมาจากคำว่า "ปราศวะ" ในภาษาสันสกฤษ ซึ่งแปลว่า "เคียงข้าง" ในขณะที่ภาษาไทยเราจะเรียกผู้อยู่เคียงข้างนายอำเภอว่า "ปลัดอำเภอ" ผู้อยู่เคียงข้างผู้ว่าราชการจังหวัดว่า "ปลัดจังหวัด"

เหตุ ที่ให้ความหมายว่าเคียงข้าง หรือผู้อยู่เคียงข้าง เนื่องจากเวลาแขวนปลัดขิกนั้น ผู้ใช้ไม่ได้คล้องคอ หากแต่ผูกอยู่ที่สะเอว หรือบริเวณสีข้าง เรียกว่าไปไหนไปด้วยกัน และสมัยก่อนก็นิยมแขวนให้ห้อยออกมานอกร่มผ้า เมื่อสาวแก่แม่ม่ายเห็นรูปอวัยวะเพศชายห้อยออกมา ก็พากันหัวเราะหัวใคร่ "คิกคิกคักคัก" กันเป็นที่สนุกสนาน ผู้คนก็เลยเรียกกันว่า "ปลัดคิก" ก่อนจะเพี้ยนมาเป็น "ปลัดขิก" ในปัจจุบัน

โบราณาจารย์ในสยามประเทศ นิยมสร้างเครื่องรางชนิดนี้กันอย่างแพร่หลาย บ้างก็ลงอักขระเลขยันต์ เช่น อะ อุ มะ หรือ โอม อันเป็นการสรรเสริญ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ ในศาสนาฮินดู บ้างก็จารจารึกอักขระอื่นๆ พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงทางด้านการสร้างปลัดขิกก็คือ หลวงพ่อเหลือ วัดสาวชะโงก จ.ฉะเชิงเทรา หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ จ.ชลบุรี เป็นต้น

ปัจจุบัน แม้โลกจะเจริญก้าวหน้าด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ผู้คนก็ยังนิยมบูชาเครื่องรางที่เรียกว่า "ปลัดขิก" กันอย่างแพร่หลาย ตามกระเป๋าพ่อค้าแม่ขายจะใส่ปลัดขิกดอกน้อยไว้เพื่อให้ทำมาค้าขึ้น บางคนก็ตั้งไว้หน้าร้าน ปิดทองอย่างสวยงาม

นัยได้ว่า "ปลัดขิก" กลับแหวกกระแสของความเจริญเข้ามาอยู่ในความศรัทธาของสังคมไทย และก้าวไปพร้อมความเจริญ โดยมิได้ตกยุคตกสมัยแต่อย่างไร

http://www.maameu.ath.cx/forum/index.php?topic=7777.0
บันทึกการเข้า
แปจีหล่อ
Hero Member
*****

คะแนน 6324
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8251



« ตอบ #74 เมื่อ: ตุลาคม 17, 2010, 02:17:57 PM »

อย่างปลัดขิกนี่ทีแรกผมเข้าใจว่ามาจากความเชื่อในในการบูชาศิวลึงค์ แต่ว่าพอมาเจอปลัดขิกบางอันทำออกมาจากหว่างขาของหมามิหนำซํ้าบางอันฝังมุกผมเลยชักไม่แน่ใจว่าตกลงที่หลายๆท่านบูชาเป็นศิวลึงค์หรือไอ้นั่นของหมากันแน่ ขำก๊าก ขำก๊าก ขำก๊าก
วัดไหนเค้าสร้างกันล่ะครับท่าน
ของบางอาจารย์ ใช้ ไม้พญางิ้วดำ ใช้ ไม้มงคล หรือของ อาจารย์เล็กใช้กะลาปังหา 
บางอาจารย์ก็หล่อมาจากโลหะ   ท่านพูดแบบนี้ผมว่าไม่ค่อยเหมาะนะครับ. Smiley

ไม่ได้เหมารวมครับเคยเห็นครับแต่ผมไม่มีของพวกนี้ไว้บูชาหรอกครับก็เลยไม่รู้ว่าวัดไหนแต่เดี๋ยวจะหารูปมาลงครับลงไม่เป็นครับแต่ท่านลงพิมพ์คำว่าปลัดขิกในกูเกิลดูสิครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 17, 2010, 02:20:58 PM โดย ူူ္สุดประจิมที่ริมเมย » บันทึกการเข้า

สีกากีเป็นสีของดิน ข้าราชการควรต้องติดดิน ออกพื้นที่รับฟังปัญหาของชาวบ้าน ข้าราชการคือ ข้าที่ทำกิจการต่างๆให้กับพระราชา เครื่องแบบข้าราชการสีกากีคือสีแห่งข้ารับใช้แผ่นดิน
หน้า: 1 2 3 4 [5] 6 7 8
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.113 วินาที กับ 22 คำสั่ง