แล้วกรณีคนร้ายขโมยรถล่ะครับ... เราออกมาจากตัวบ้าน แต่คนร้ายกำลังขับรถของเราหนี... ถ้าเรายิงทะลุกระจกหลังเข้ากลางกบาลโจร... จะมีความผิดเหมือนคนร้ายวิ่งหนีแล้วเรายังวิ่งตามไปยิงคนร้ายตายไหมครับ....
น่าคิด ครับ มารอ ฟังด้วยคนครับ
ก่อนอื่นขอบอกก่อนนะครับว่านี่เป็นความเห็นส่วนตัวของผม นักกฎหมายท่านอื่นอาจมีความเห็น
ต่างไปจากผมก็ได้ จึงไม่อาจยึดถือเป็นบรรทัดฐานได้ทั้งหมด
คำตอบนี้อาจเหมือนเป็นการชี้โพรงให้กระรอก แต่ผมได้พิจารณาแล้วเห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นเหตุ
การณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในชีวิตประจำวัน และน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนสมาชิกที่ยังลังเลในการ
ใช้อาวุธปืนเพื่อป้องกันทรัพย์สินในกรณีดังกล่าวอยู่ ถ้าเว็บมาสเตอร์เห็นว่าไม่เหมาะสมสามารถดำเนินการ
ตามที่เห็นสมควรได้เลยนะครับ
กรณีตามที่ท่านยกตัวอย่างมา การที่เราเห็นคนร้ายกำลังขับรถยนต์ของเราหลบหนีไปต่อหน้าต่อตา
ตามกฎหมายถือได้ว่าเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ยังคง
มีอยู่ ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงราคาของรถยนต์ในปัจจุบันแล้วถือได้ว่าเป็นทรัพย์ที่มีราคาสูง ทั้งเมื่อสูญหายไปแล้ว
โอกาสที่จะติดตามกลับคืนมาได้นั้นมีโอกาสน้อย ประกอบกับคนร้ายที่กระทำความผิดในลักษณะนี้มักจะทำ
กันเป็นขบวนการซึ่งยากแก่การจับกุมตัว ยังไม่นับกรณีที่คนร้ายอาจมีอาวุธปืน ( ซึ่งพวกที่ทำเป็นขบวนการ
อย่างนี้จากประสบการณ์ของผมส่วนมากจะมีอาวุธปืนติดตัวกันทั้งนั้น ) และเจ้าของรถต้องได้รับความเสียหาย
โดยต้องมานั่งผ่อนรถต่อในกรณีที่รถไม่มีประกันภัย หรือถึงมีประกันภัยเงินที่ได้ก็ไม่คุ้มอยู่ดี ตามความเห็นของ
ผมการที่ใช้อาวุธปืนยิงคนร้ายตายในกรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นการพอสมควรแก่เหตุครับ ขอแต่เพียงว่าเมื่อคนร้าย
หยุดแล้วอย่าตามเข้าไปยิงซ้ำแค่นั้นแหละ
อย่าเอากรณีนี้ไปเทียบกับการวิ่งไล่ติดตามคนร้ายนะครับ เพราะการที่คนร้ายประสงค์จะเข้ามาลักทรัพย์
ในบ้านเราแต่เรามาพบเห็นเสียก่อน คนร้ายจึงวิ่งหลบหนี เราจึงวิ่งติดตามไปยิงคนร้ายจนถึงแก่ความตาย กรณี
เช่นนี้ถือว่าภยันตรายจากการลักทรัพย์หมดไปแล้วนะครับ แถมคนร้ายยังไม่ได้ทรัพย์สินใด ๆ ไป ความเสียหาย
อันเนื่องจากทรัพย์สินสูญหายไปจึงไม่มี ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามจับกุมตัวคนร้ายจะดีกว่า
เว้นเสียแต่ว่าเห็นคนร้ายกำลังหอบกล่องเครื่องเพชรราคาสิบล้านวิ่งหนีต่อหน้าต่อตา ถ้าไม่ยิงคนร้ายต้องหลบ
หนีไปได้แน่นอน และไม่น่าจะติดตามตัวได้ อย่างนี้ค่อยว่ากันอีกที