เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ตุลาคม 29, 2024, 03:27:21 AM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 2 [3]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: อยากทราบว่าเจ้าหน้าที่มีสิทธิ์ทำแบบนี้ไหมครับ  (อ่าน 6150 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 6 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sa-ea-ba-รักในหลวง
FREEDOM
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 45
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 977


ความไม่แน่นอนคือสิ่งที่แน่นอน


« ตอบ #30 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2010, 10:58:50 PM »

ขอถามเพิ่มเติมจากท่านผู้รู้หน่อยครับ ถ้าในกรณีเจ้าของกระทู้ทำงานในสวนนี้ซึ่งพิจรณาดูแล้วว่าน่าจะเป็นที่ดินส่วนบุคลแต่ได้พกพาอาวุธปืนที่ไม่ใช่ของตนเองแต่เป็นของเจ้าของที่หรือเป็นผุ้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับที่ดินส่วนนั้น นำมาใช้พกพาจะเข้าข่ายปืนผิดมือหรือไม่ครับ(ปืนมีทะเบียนครับ ไหว้)

เมื่อปืนมาอยู่ในความครอบของตน และตนเจตนาครอบครองอาวุธปืนนั้น
แม้ว่าการครอบครองจะอยู่ในที่ดินของเอกชนก็ตาม และจะเป็นอาวุธปืนของเจ้าของที่ดินก็ตาม
ยังเป็นความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเป็นอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมาย
 ตามมาตรา ๗ มาตรา ๘ มาตรา ๗๒ วรรคสอง และมาตรา ๗๒ ทวิครับ
เอ่.....แล้วอย่างนี้ทางเจ้าหน้าที่เขาจะพออนุโลมหรือพูดคุยกันได้หรือไม่ครับว่าเจ้าของสวนหรือเจ้าของที่ดินเขาให้เอาไว้ติดตัวไว้เฝ้าสวนใช้ในพื้นที่เฉพาะบริเวณนั้นเพราะ จขกท. ก็ทำงานเป็นคนดูแลสวน แล้วอีกกรณียามเฝ้าธนาคารหรือพวกรับจ้างขนเงินแบบนั้นจะเข้าข่ายผิดหรือไม่ครับ ไหว้
บันทึกการเข้า

สู้เพื่อความถูกต้อง อย่าหวั่นไหวต่อโชคชะตา อย่าหยาบช้ากับคนรอบตัว
SingCring
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #31 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2010, 11:36:32 PM »

เรื่องนี้ ไม่ใช่จะจับกุมกันง่ายๆครับ เหตุผลคือ ลูกจ้างแม้ดูแลสวนโดยใช้อาวุธปืนของนายจ้างก็ตาม ก็อยู่ในที่ดินเอกชน อันเป็นที่รโหฐาน ซึ่งไม่ใช่เป็นที่สาธารณสถาน
งานนี้ต้องพิจารณาหลักการจับกุมในที่รโหฐานพอสมควรครับ เว้นแต่ไม่สนกฎหมาย ไม่สนใจใคร ไม่แคร์สื่อ ก็ว่ากันไปอีกเรื่องครับ

แต่อย่างไรก็ดี หากมองด้วยความสุจริตและเหตุผลแล้ว ความเข้าใจในหน้าที่การงาน ที่จำเป็นต้องมีอาวุธปืน
ตรงนี้ย่อมมีมากกว่า พวกที่มีปืนไว้ แสดงอำนาจ และมีไว้เพื่อข่มเหงคนอื่น อย่างแน่นอนครับ  Wink
บันทึกการเข้า
purit
Jr. Member
**

คะแนน 2
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 23



« ตอบ #32 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2010, 12:24:13 AM »

ขออนุญาตให้ความเห็นแย้ง นะครับ
1.รับทราบจากข้อเท็จจริง ทางสาธารณะได้มาโดยผลของกฏหมายไม่ใช่การโต้แย้งหรือเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ "[รอบสวนจึงเป็นหมู่บ้านอยู่รอบๆสวน ถนนหนทางชาวบ้านจึงใช้กันอย่างเสรี คล้ายทางสาธารณะ " ผมจึงตีความว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์ มิได้แสดงเจตนาหวงกั้น,ทักท้วงหรือยินยอม ไม่ให้ประชาชนเข้าใช้ทาง หากเกินกว่า 10ปี จึงเป็นกันได้มาตามผลของกฏหมาย กรณีนี้กรรมสิทธิ์ยังคงเดิมครับ แต่เพิ่มภาระติดพันที่ดินที่เรียกว่าทางสาธารณะเข้าไป ไม่ต้องจดทะเบียนก็เกิดสิทธิครับ หากเจ้าของโต้แย้งหรือปิดกั้นทาง สามารถฟ้องเปิดทางโดยถือคำพิพากษาของศาลแทนการ เพื่อจดทะเบียนฯอันนี้กรรมสิทธิยังคงเดิมนะครับ
2. กรณีที่ว่า "ภายในสวนแบ่งเป็นแปลงย่อยๆมีถนนมากมายภายในสวน" หากจัดแบ่งเกินกว่า10 แปลงถือเป็นที่ดินจัดสรรฯตามกฏหมายแล้วครับ ดังนั้นหากถนนพวกนี้ไม่ได้ทักท้วงหวงกั้น ก็กลายเป็นทางสาธารณะจากเหตุและผลข้างต้น
จึงเชื่อว่าเป็นทางสาธารณะและเป็นการตรวจค้นจับกุมโดยชอบครับ
ขออนุญาตแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนะครับ ด้วยความเคารพ
บันทึกการเข้า
SingCring
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #33 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2010, 01:08:59 AM »

การนำเหตุผลทางกฎหมาย มาวิเคราะห์แลกเปลี่ยนกัน ในรูปแบบสัมนาทางกฎหมายแบบนี้ ชอบครับ
ทำให้นึกถึงบรรยากาศสมัยเรียน ที่ต่างฝ่ายนำเหตุผลมาโต้แย้งกัน แต่ไม่ขัดแย้ง
ส่งผลให้ผู้ร่วมสนทนาเข้าใจหลักกฎหมายในเรื่องนั้นๆดียิ่งขึ้นครับ  ขอบคุณครับ Wink
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 05, 2010, 05:12:54 PM โดย นายสิงห์กลิ้ง » บันทึกการเข้า
smitxx2005'รักในหลวง'
Full Member
***

คะแนน 17
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 250



« ตอบ #34 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2010, 09:06:38 AM »

แล้วถ้าทำป้ายปิดประกาศว่าเป็นที่ส่วนบุคคลโดยรอบ มีเจตนาเพื่อให้รับทราบ(แต่ไม่ได้บังคับห้ามผ่าน)ประมาณว่าบอกแจ้งแล้วมีป้ายเป็นหลักฐานแต่เขาไม่เชื่อฟัง
บันทึกการเข้า
c.tong - รักในหลวง
Hero Member
*****

คะแนน 205
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2739


ป่าต้นน้ำ คือ ชีวิต


« ตอบ #35 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2010, 09:30:13 AM »

ผมว่านะ ทางฝ่ายผู้บริหารระดับสูงคงรู้อยู่แล้วแหละ ว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจปฎิบัติหน้าที่อยู่ในเขตสวนของบริษัท หรืออาจทางบริษัทอนุญาตแล้วก็ได้

ซึ่งเป็นการดีเสียอีกที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยสอดส่อง เป็นหูเป็นตาให้อีกทาง ถ้าคนของบริษัทถูกจับในสวนเอง บริษัทเคลียร์ให้อยู่แล้ว แต่ถ้าคนนอกถูกจับก็จะเป็นหนทางหนึ่งในการกีดกันครับ
บันทึกการเข้า

" ไม่มีความสุขใด ดีไปกว่าการใช้ชีวิต อย่างพอประมาณ "

รวมพล คนคบ .38 SUPER
http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=61789.0
จอยฮันเตอร์
พระรามเก้า 15-28 E23 LLL
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 10195
ออฟไลน์

กระทู้: 47057


M85.ss


« ตอบ #36 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2010, 10:50:54 AM »

ตามความคิดผม ที่ 15,000.-ไร่ อาจจะมีพื้นที่บางส่วนติดทางสาธารณประโยชน์ ตรงจุดนี้อาจจะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านได้
บันทึกการเข้า

Yoshiki_Silencer - รักในหลวง
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 278
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 597


ลูกศิษย์ครูหมู (ด้วยอีกคน)


« ตอบ #37 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2010, 03:47:02 PM »

ขออนุญาตให้ความเห็นแย้ง นะครับ
1.รับทราบจากข้อเท็จจริง ทางสาธารณะได้มาโดยผลของกฏหมายไม่ใช่การโต้แย้งหรือเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ "[รอบสวนจึงเป็นหมู่บ้านอยู่รอบๆสวน ถนนหนทางชาวบ้านจึงใช้กันอย่างเสรี คล้ายทางสาธารณะ " ผมจึงตีความว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์ มิได้แสดงเจตนาหวงกั้น,ทักท้วงหรือยินยอม ไม่ให้ประชาชนเข้าใช้ทาง หากเกินกว่า 10ปี จึงเป็นกันได้มาตามผลของกฏหมาย กรณีนี้กรรมสิทธิ์ยังคงเดิมครับ แต่เพิ่มภาระติดพันที่ดินที่เรียกว่าทางสาธารณะเข้าไป ไม่ต้องจดทะเบียนก็เกิดสิทธิครับ หากเจ้าของโต้แย้งหรือปิดกั้นทาง สามารถฟ้องเปิดทางโดยถือคำพิพากษาของศาลแทนการ เพื่อจดทะเบียนฯอันนี้กรรมสิทธิยังคงเดิมนะครับ
2. กรณีที่ว่า "ภายในสวนแบ่งเป็นแปลงย่อยๆมีถนนมากมายภายในสวน" หากจัดแบ่งเกินกว่า10 แปลงถือเป็นที่ดินจัดสรรฯตามกฏหมายแล้วครับ ดังนั้นหากถนนพวกนี้ไม่ได้ทักท้วงหวงกั้น ก็กลายเป็นทางสาธารณะจากเหตุและผลข้างต้น
จึงเชื่อว่าเป็นทางสาธารณะและเป็นการตรวจค้นจับกุมโดยชอบครับ
ขออนุญาตแลกเปลี่ยนความคิดเห็นนะครับ ด้วยความเคารพ

          ยินดีที่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นครับจะได้ถือโอกาสเคาะสนิมกฎหมายแพ่งไปในตัว  อาจจะหน้าแตกเสียผู้เสียคนคราวนี้ก็เป็นได้  Cheesy

         ก่อนอื่นขออ้างอิงหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องก่อนนะครับ  

         ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  

         มาตรา  ๑๓๘๒  บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบ

ครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี  ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร์ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์

          มาตรา  ๑๓๘๗  อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน
 
หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้น  เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น

          มาตรา  ๑๔๐๑  ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ  ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ  ๓  แห่งบรรพนี้

มาใช้บังคับโดยอนุโลม
  

          ข้อ  ๑.  ผมอ่านแล้วเข้าใจว่าภาระติดพันที่คุณ purit  หมายถึงในทีนี้คือภาระจำยอมใช่ไหมครับ  ก่อนอื่นขออธิบายให้ สมช.ท่านอื่นที่ไม่ได้

เรียนกฎหมายมาเข้าใจก่อนนะครับว่าในกรณีที่เราครอบครองที่ดินของคนอื่นเป็นไปตามเงื่อนไขตามมาตรา  ๑๓๘๒  ข้างต้น  จะทำให้ผู้ครอบครอง

ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว  ซึ่งภาษากฎหมายเรียกว่าครอบครองปรปักษ์  อันเป็นการได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยผลของกฎหมาย  

          ส่วนภาระจำยอมตามกฎหมายนิยามก็เป็นไปตามมาตรา  ๑๓๘๗  ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่นมีที่ดินอยู่สองแปลง  เจ้าของที่ดินแปลงแรกเดินผ่าน

ที่ดินแปลงที่สองเป็นเวลานานเกินกว่าสิบปีแล้ว  อย่างนี้เมื่อครบสิบปีแล้วเจ้าของที่ดินแปลงแรกก็มีสิทธิเดินผ่านที่ดินแปลงที่สองได้โดยเจ้าของที่

ดินแปลงที่สองไม่มีสิทธิหวงห้ามอีกต่อไป  อันเป็นการได้ภาระจำยอมโดยอายุความตามมาตรา  ๑๔๐๑  ประกอบมาตรา  ๑๓๘๒  แต่กรรมสิทธิ์ยังคง

เป็นของเจ้าของที่ดินแปลงที่สองอยู่  ซึ่งการได้ภาระจำยอมโดยอายุความนั้นกฎหมายให้เอาเรื่องครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา  ๑๓๘๒  มาใช้บังคับ

โดยอนุโลม

          ทีนี้ก็ขอลงรายละเอียดในมาตรา  ๑๓๘๒  ซึ่งนำมาใช้ในเรื่องภาระจำยอมด้วยโดยอนุโลมนะครับ  ซึ่งเงื่อนไขหนึ่งที่สำคัญก็คือต้องครอบครอง

ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  คำว่าเป็นเจตนาเป็นเจ้าของในทีนี้ก็คือการครอบครองในลักษณะที่เข้ายึดเอาเพื่อตนเองโดยไม่สนใจในกรรมสิทธิ์ของเจ้าของ

ที่ดิน  แต่ตามข้อเท็จจริงตามกระทู้ผมมองว่าเป็นการที่บริษัทเจ้าของสวนเปิดให้ใช้ทางเพื่อประโยชน์ของประชาชนมากกว่า  และประชาชนก็ใช้ในทาง

โดยรับรู้ว่าบริษัทเป็นเจ้าของทางดังกล่าวอันเป็นการรับรู้สิทธิของบริษัท  จึงขาดองค์ประกอบในข้อที่ว่าครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ  ถ้าเป็นกรณี

เช่นนี้แม้ใช้ทางนานเท่าใดก็ไม่ได้ภาระจำยอม  ซึ่งเคยมีตัวอย่างจากคำพิพากษาฎีกาที่คล้าย ๆ กันก็คือที่ดินที่อยู่ด้านในเดินผ่านที่ดินแปลงด้านนอก

เป็นเวลานานกว่าสิบปี  โดยเจ้าของที่ดินแปลงด้านนอกก็รับรู้ตลอดแต่ไม่ได้หวงห้ามอะไร  ซึ่งในชนบทก็มักถือปฏิบัติกันเช่นนี้เนื่องจากมีที่ดินติดต่อกัน

โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าในกรณีนี้เจ้าของที่ดินแปลงด้านในเดินผ่านที่ดินโดยรับรู้ในสิทธิความเป็นเจ้าของของที่ดินแปลงด้านนอก  จึงขาดเจตนาเป็น

เจ้าของจึงไม่ได้ภาระจำยอมโดยอายุความครับ


         ข้อ  ๒.  ผมเห็นว่าการที่ตัดถนนเป็นสายย่อย ๆ มากมายภายในสวนก็เพื่อความสะดวกของเจ้าของสวนเอง  โดยที่โฉนดก็ยังเป็นแปลงเดียวกัน

เจ้าของก็ยังเป็นคนเดียวกัน  และไม่ได้เป็นการแบ่งเพื่อจัดสรรให้แก่บุคคลอื่น  จึงไม่เป็นการจัดสรรที่ดินตามกฎหมายครับ  ทางที่แบ่งจึงไม่ใช่ทาง

สาธารณะ  ผมขอย้อนถามด้วยคำถามง่ายสมมุติท่านปลูกสวนยางพาราสักร้อยไร่  ท่านจึงตัดถนนเพื่อสะดวกในการบำรุงรักษา  หรือขนย้ายยางพารา

เช่นนี้ผมถามว่าถนนที่ท่านตัดเพื่อใช้เพื่อประโยชน์ของท่านเอง  หากมีคนที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกันใช้ถนนดังกล่าวด้วยก็เป็นเรื่องผลพลอยได้และ

เป็นเรื่องน้ำใจของบ้านใกล้เรือนเคียงมากกว่า  ท่านว่าที่ดินที่ท่านอุตส่าห์เก็บหอมรอบริบซื้อมาอย่างยากลำบากหากต้องกลายเป็นทางสาธารณะ

เพราะความมีน้ำใจของท่านเองมันสมควรหรือไม่ครับ         
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 05, 2010, 03:49:34 PM โดย Yoshiki_Silencer - รักในหลวง » บันทึกการเข้า

ไม่ว่าจะเกลียดขี้หน้าใครขนาดไหน... แต่ตราบใดที่เขายังถูกต้องตามหลักการ ก็จะต้องปกป้องเขา เพราะสิ่งที่ปกป้องมันมากกว่า บุคคล แต่มันคือหลักการที่จะทำให้ระบบดำเนินต่อไปได้
ค..ควาย...ใส่ชฎา
Hero Member
*****

คะแนน -15856
ออฟไลน์

กระทู้: 13569


No justice No peace


« ตอบ #38 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2010, 04:00:38 PM »

Ha Ha ขอบคุณท่าน Yoshiki_Silencer  อ่ะคร๊า ฮา
บันทึกการเข้า

หัว...ฆรวย

หัวโขนมิวางออก              เจ้าหลงครอบไปทุกที่
อ่าองค์ว่าโสภี                  นฤดีปริ่มเปรมใจ
ลืมไปว่าที่ครอบ                ต้องวางออกนหทัย
สวมครอบตัวตนไว้             ก็แค่ควายใส่ชฎา
mat031
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 37
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 968



« ตอบ #39 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2010, 09:08:49 PM »

ใช่สหฟาร์มหรือเปล่าครับ
บันทึกการเข้า

ปืนเป็นอุปกรณ์ ไม่ใช่อาวุธ
ของชิ้นหนึ่งจะเป็นอาวุธหรือไม่ ผู้ใช้เป็นคนกำหนดให้มันเป็น
หน้า: 1 2 [3]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.053 วินาที กับ 22 คำสั่ง