เพราะคนไทยติดนิสัยชอบเรียกร้องอะไรที่มันเป็นพิเศษจากผู้ให้บริการเสมอ หลายคนทำทุกครั้งที่ทำได้ โดยใช้คำว่า"น้ำใจ"มาเป็นข้อตัดพ้อ .... บางคนสันดานเลวมาก พอเอาเปรียบเค้าไม่สำเร็จก็มาพล่ามคำว่าน้ำใจ
เพราะคนไทยสมัยนี้"ไม่น่าไว้ใจ"เอาเสียเลย , ไม่รักษาคำพูด , เห็นแก่เศษเงินมากกว่าความถูกต้องเป็นธรรม....แท็กซี่ขอให้จ่ายเงินก่อน ผู้เขียนกล้าจ่ายให้ไหมละครับ? กล้าทิ้งทรัพย์สินไว้ในรถไหม?
ไม่ใช่พ่อใช่แม่ ไม่ใช่ครู/ญาติผู้ใหญ่ที่ผม"ต้อง"เคารพ ไม่ใช่คนที่ผมนับถือ ไม่ใช่คนที่รู้ว่าเค้าปราถนาดีกับผม/เป็นมิตรกับผม ผมไม่ยกมือไหว้เด็ดขาดครับ .... ผมเข้าใจพนง.พวกนี้ ที่ต้องซังกะตายยกมือไหว้คนไม่รู้จัก
คนเจ้าอารมณ์ และพอดีเป็นคนพอมีชื่อเสียงบ้าง เสียงบ่นเลยดัง และขมวดท้ายให้ดูดีอ้างธรรมะ คือหลอกด่าเขา และอ้างว่าเป็นการสั่งสอน
เรื่องแบบนี้หาฟังได้ทั่วไป เราก็บ่นเขาก็บ่น
ไม่เกี่ยวครับ ถ้าจะยกย่องครูบาอาจารย์ ก็เขียนกราบขอบพระคุณที่กรุณาสอนสั่งไว้ในคำนำสิครับ
ตราบใดที่ยังเขียนหนังสืออยู่ก็มีโอกาสให้แสดงความกตเวทิตาอีกเยอะแยะ ไม่ต้องเอามาพ่วงไว้กับชื่อตัวเองแบบนี้
ยังงี้เวลานายกร๊วกซักคนไปจ่ายค่าใบสั่ง มันคงได้เขียนชื่อรับข้อกล่าวหาว่า นายกร๊วก นามสกุลขี้เบ่ง น้องรัฐมนตรี,หลานอดีตประธานศาลฏีกา,ผู้กำกับจ.ชุมพร เพื่อนรองผกก.ป.สน.1เพื่อนอีกคนอยู่สน.2 บลาๆๆๆกันสนุกสนานแหละครับ?
ขอขยายความต่อสักนิด ถ้าบทความเป็นเรื่องส่งเสริมการสร้างสิ่งดีๆที่ได้รับต้นทุนทางวิชาจากอาจารย์ ควรแล้วที่จะกล่าวคำยกย่อง
แต่ถ้าเขียนหลอกด่าคนอื่น ก็ไม่ควรใส่ชื่ออาจารย์ เพราะเหมือนจะลากอาจารย์ลงมาเสี่ยงด้วย หรือมองอีกนัยหนึ่ง เพื่อป้องกันตนเองจากการถูกด่ากลับ มันก็แอบอิง ชัดๆ