เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 15, 2024, 10:57:15 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ข่าวความรุนแรงของการใช้อาวุธปืนจากเวปผู้จัดการ  (อ่าน 4684 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ChongKo
Hero Member
*****

คะแนน -1176
ออฟไลน์

กระทู้: 1428


« เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 07:57:09 AM »

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000159076

ปืน’ ความปลอดภัย - ความขัดแย้ง = ความรุนแรงในสังคมไทย 
 
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 10 พฤศจิกายน 2553 18:15 น.
 
 
 ไม่นานมานี้ ข่าวของนักเรียน ม.3 ที่เผลอทำปืนลั่นใส่เพื่อน จนทำให้เพื่อนเสียชีวิต ได้ตีพิมพ์หราอยู่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ ต่อมาอีกไม่กี่วัน ก็มีข่าว ครูฟิตเนสย่านปิ่นเกล้าโดนยิงตัดขั้วหัวใจ จากระยะไกล ก็กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ทับซ้อนขึ้นมา
       
       ข่าวความรุนแรงจากอาวุธปืนเหล่านี้ แต่เดิมนั้น มักจะเดินทางมาจากประเทศอีกฝั่งของโลก อย่างอเมริกามากกว่า
       
       แต่จะว่าไปแล้ว หากย้อนมองลงไป เรื่องราวคดีอาชญากรรมของบ้านเรา ล้วนแต่มีเรื่องของอาวุธปืนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในฐานะของเครื่องมือกระทำความผิดทั้งนั้น เอาเฉพาะแค่ช่วงสัปดาห์เดียว ก็มีทั้งกรณีดาบตำรวจยิงพวงสวรรค์พ่อค้าไก่ทอดที่กาญจนบุรี (30 ต.ค.), ทหารหญิงโดนแฟนตำรวจยิงที่ย่านเตาปูน (2 พ.ย.), สองมือปืนยิงเซียนไฮโลที่สุราฎร์ฯ ฯลฯ
       
       สถานการณ์ความรุนแรงจากปืนเหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นถี่แต่เฉพาะในปัจจุบัน เพราะจากสถิติของสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นโอดีซี) พบว่าบ้านเราในช่วงปี 2541-2543 นั้น เป็นประเทศที่มีคดีฆาตกรรมโดยการใช้ปืนมากถึง 79.58% ซึ่งถือว่าสูงมาก หากเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ในโลก
       
       หรือว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากอาวุธปืนในบ้านเรา กำลังก้าวตามสหรัฐอเมริกามาแบบหายใจรดต้นคอ
       
       ดังนั้น ก็พอจะอนุมานได้ว่า คนไทยจำนวนไม่น้อย เป็นคนที่มีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง และในบางครั้ง คนเหล่านั้นก็เลือกที่จะใช้ปืนในมือเป็นเครื่องมือยุติความขัดแย้ง
       
       อาวุธปืนมาจากไหน
       
       ที่ผ่านมา สถิติอาวุธปืนที่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนตั้งแต่ปี 2503-2546 นั้น มีจำนวนมากกว่าล้านกระบอกทั่วประเทศ แต่ในปัจจุบันเมืองไทยมีการครอบครองอาวุธปืนสูงถึงกว่า 4 ล้านกระบอกแล้ว (สถิติจากบทความของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้) จำนวนที่ว่านั้น หมายถึงปืนที่มีกันแบบถูกกฎหมายเท่านั้น ยังไม่นับปืนเถื่อนที่หาซื้อกันได้ไม่ยากในตลาดมืด
       
       “การซื้อขายปืนนั้น จะจำหน่ายได้ตามใบอนุญาตขอซื้อปืนเท่านั้น คือผู้ซื้อต้องมีใบอนุญาต ข3. ซึ่งนายทะเบียนท้องที่เป็นผู้พิจารณาออกให้ แต่โดยส่วนมากแล้วข้าราชการจะซื้อในโครงการสวัสดิการของเขามากกว่า ส่วนประชาชนทั่วไปก็จะซื้อไว้เพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน แต่ก็ต้องมีใบอนุญาตเหมือนกันนะ
       
       พิชัย ถนอมทรัพย์ เจ้าของร้านปืนดำริ และนายกสมาคมผู้ประกอบอาวุธปืนแห่งประเทศไทย กล่าวถึงวิธีการได้มาของปืนแบบถูกกฎหมาย หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘ปืนมีทะเบียน’
       
       แล้วสำหรับปืนที่ไม่มีทะเบียน ซึ่งเป็นเครื่องมือในการก่ออาชญากรรมของบรรดาอาชญากรล่ะ?
       
       “โอ้ย! เมื่อก่อนกับสมัยนี้ก็หาได้ง่ายพอๆ กันนะ แค่มีเงินก็พรรคพวกนิดหน่อยก็สามารถมีได้แล้ว”
       
       นั่นเป็นคำตอบของ น้อย (ขอสงวนนามจริง) ข้าราชการภูธร ที่เมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น เขาก็เป็นคนหนึ่งที่มีปืนเถื่อนไว้ในครอบครอง แต่โชคดีที่เขายังไม่มีโอกาสได้ลองใช้มัน
       
       “คือปืนเถื่อนนี่ ส่วนใหญ่แล้วมันก็จะเข้ามา 2 ทาง คือจากพม่า เดินทางเข้ามาแถวๆ เมืองกาญจน์ ก็อย่างที่รู้กันว่า ต้องเป็นคนมีสีบางคน หรือเป็นคนที่มีแบ็กดีๆ เอาเข้ามา เพราะไม่อย่างนั้นก็ยาก ไม่มีหรอกที่เป็นตาสีสาตาไปเอามาขาย ส่วนอีกทางก็มาจากภาคใต้ผ่านทางจังหวัดชายแดน แถวๆ นั้นปืนนี่หาได้ง่ายมากแล้วก็ซื้อขายกันอิสระ เพราะมันไม่ต้องใช้เอกสารอะไร และจากสองแหล่งนี้มันก็ถูกส่งต่อไปทั่วประเทศ
       
       “ก็สมัยก่อนนั้นก็ซื้อกันแค่ 2-3 พันบาทเท่านั้น แต่สมัยนี้มันก็แพงขึ้น ที่นิยมกันมากก็จะเป็น 9 ม.ม. แบบกระสุน 7 นัด ราคาก็อยู่ราวๆ 6 - 8 พันบาท ส่วนพวกปืนอีโบ๊ะที่ใส่กระสุนลูกซองนั้นได้นัดเดียวนั้น จะเป็นปืนไทยประดิษฐ์ หรือไม่ก็มาจากทางจีน ซึ่งมันไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่”
       
       และเมื่อถามว่าทุกวันนี้ยังมีปืนเถื่อนอยู่ในครอบครองหรือไม่ น้อยก็บอกว่าไม่มีปืนเถื่อนไว้ในครอบครองแล้ว
       
       “ผมมีแต่ของถูกกฎหมายเก็บไว้เอง เป็นปืน 9 มม. แบบกระสุน 10 นัด ซึ่งเอาพวกเอกสารหลักฐานไปซื้อมาจากย่านวังบูรพา ส่วนราคานี่ก็เลยครึ่งแสนไปนิดหนึ่ง นี่ขนาดว่ามีส่วนลดแล้วนะ ส่วนเรื่องของความรุนแรงนี่ผมว่าไม่เกี่ยวเท่าไหร่ มันอยู่ที่ว่าเราจะใช้มันรึเปล่า ถ้าคิดจะใช้ คนมีมีดมันก็ใช้ฆ่าคนได้เหมือนกัน”
       
       ปืน = ความรุนแรง
       
       ซึ่งประเด็นอาวุธปืนกับความรุนแรงในสังคมไทยนั้น ในสายตาของ งามศุกร์ รัตนเสถียร อาจารย์ประจำศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล มองว่า ปัจจุบันมีการใช้ปืนเพื่อตอบโต้และแก้ไขปัญหามากขึ้น คำถามก็คือปืนเหล่านี้ไปอยู่ในมือของพลเรือนได้อย่างไร
       
       “เข้าใจว่าในช่วงปี 2546 มีความพยายามจะออกกฎหมายเพื่อควบคุมการถือครองอาวุธปืน แต่ถึงที่สุดแล้วก็ไม่ใช่คำตอบ เพราะแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐจะสามารถใช้อาวุธขณะปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น แต่เราก็จะเห็นหลายๆ กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเองยังพกปืนเวลาไปเที่ยวผับ แล้วเราจะมีวิธีป้องกันได้อย่างไร”
       
       เพราะทุกวันนี้ แม้จะมีการควบคุมโควตาอาวุธปืนสำหรับร้านขายอาวุธปืน แต่ในทางปฏิบัติก็ยังมีปืนสวัสดิการของกระทรวงมหาดไทยอีกจำนวนมาก ยิ่งเมื่อมีเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยิ่งทำให้ปืนส่วนนี้แพร่ระบาด มิพักต้องพูดถึงว่า ปืนจำนวนนี้เล็ดลอดออกไปเป็นปืนเถื่อนอีกแค่ไหน
       
       กลายเป็นว่าปืนกำลังเป็นทางออกของปัญหาสังคมไทย ซึ่งสะท้อนถึงความล้มเหลวของรัฐในการสร้างสังคมที่ปลอดภัย
       
       “พอคุณมีอาวุธปืนอยู่ในมือ มันก็ง่ายที่เวลาคุณมีปัญหาอะไรก็จะใช้ปืนจัดการกับคู่กรณี เราเองก็ต้องกลับมาถามว่าสภาพสังคมไทยเป็นอย่างไร มันคงเชื่อมโยงกับบริบทอื่นๆ ว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้
       
       “เรามักจะคิดว่าการมีอาวุธปืนคือความปลอดภัย แต่ไม่ได้คิดถึงว่าสิ่งที่คนคนหนึ่งทำอาจจะผิด แต่ถึงกับสมควรตายหรือไม่ ดิฉันมีคำถามว่าการตายของบุคคลหนึ่งๆ มันช่วยแก้ปัญหาโครงสร้างสังคมไทยยังไง หรือแม้แต่การเชื่อว่าปืนคือทางออก และสร้างความปลอดภัย มันเท่ากับว่ารัฐไม่ต้องรับผิดชอบ ปล่อยให้จัดการกันเอง แล้วเด็กก็เติบโตกันมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ และเดี๋ยวนี้ก็หาง่าย ไม่สามารถตรวจสอบได้”
       
       การแพร่ระบาดและใช้ความรุนแรงจากอาวุธปืน นอกจากจะบ่งชี้ความหละหลวมของรัฐในการสร้างความปลอดภัยแก่ประชาชนแล้ว อีกด้านหนึ่ง มันเป็นสัญญาณเตือนภัยว่า กลไกต่างๆ ทางสังคม วัฒนธรรม กฎหมาย หรือศีลธรรม ที่คอยควบคุมความรุนแรงและเยียวยาความขัดแย้งกำลังไม่ทำงานอย่างที่ควรจะเป็น
       
       ..........
       
       แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะถ้าให้มองดูจริงๆ แล้ว กลไกที่มาช่วยลดความขัดแย้งและสร้างความปลอดภัยให้แก่คนในสังคมรูปแบบอื่นๆ มันก็แทบจะใช้ไม่ได้จริงแล้วนี่นา ดังนั้น อาวุธปืน อาจจะเป็นคำตอบสุดท้ายที่ใช้จัดการความขัดแย้งและสร้างความปลอดภัยให้แก่สังคมที่ไม่มีทางเลือกจริงๆ
       
 
 
บันทึกการเข้า
ChongKo
Hero Member
*****

คะแนน -1176
ออฟไลน์

กระทู้: 1428


« ตอบ #1 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 08:03:23 AM »

ส่วนตัวผม  มีปืนแล้วใจเย็นลงเยอะครับ  ก่อนมีปืนก็ใจเย็นลงกว่าแต่ก่อนมากอยู่แล้ว  เหตุผลหนึ่งเพราะตระหนักว่าเรามีอาวุธในมือ  ถ้าใจร้อนผลเสียย่อมตามมาทั้งต่อตัวเรา  คู่กรณี  ผู้คนประชาชนที่อาจโดนลูกหลง  ครอบครัว ฯลฯ

เหตุผลที่หาปืนมาใช้ก็เพราะนับวันบ้านเมืองจะเต็มไปด้วยภัยอันตราย  โจรผู้ร้ายชุกชุม  แถวบ้านผมมีทั้งขี้ยาลักเล็กขโมยน้อย  แขกขาวอาละวาดงัดบ้าน  ฉุดเด็กวัยรุ่นไปรุมโทรม  มั่วสุมเสพยา ซิ่งรถ  ไม่เกรงใจใคร  ชาวบ้านแจ้งตำรวจก็ช่วยได้ไม่มาก

บันทึกการเข้า
NOOM 19 รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 495
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3733


อดอย่างเสือ ดีกว่าอิ่มอย่างหมา


« ตอบ #2 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 08:10:44 AM »

ว่ากันไป ก็ว่ากันไป
บันทึกการเข้า

"นี้ไรเฟิลของฉัน"
"มีเหมือนกันหลายกระบอก,แต่กระบอกนี้เป็นของฉัน"
"ถ้าไม่มีไรเฟิล.ฉันก็ไม่มีอะไร"
"ถ้าไม่มีฉัน.ไรเฟิลก็ไม่มีค่าอะไร"

เสียตังค์ทำรถ ..ดีกว่าหมดกับโคโยตี
ห ม า ย จั น ท ร์
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 563
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6222



« ตอบ #3 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 08:19:38 AM »

สำหรับข่าวก็คือข่าว ค่าตอบแทนแปรผันไปตามจำนวนตัวหนังสือและบรรทัด Grin
บันทึกการเข้า

กรรมกร
+แล้วนะคับ ... อย่าลืมทอนด้วยนะคับ 555
Hero Member
*****

คะแนน -964
ออฟไลน์

กระทู้: 1293



« ตอบ #4 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 08:33:56 AM »

ปืน ... เป็นจำเลยอีกตามเคย

......... ปัญหาสังคมตัวต้นเหตุ ไม่เคยมีใครคิดแก้ไข

ชอบจะแก้ปัญหาปลายเหตุกันเนอะ ...
บันทึกการเข้า

ไร้คำกล่าว............................................
GUNS N' ROSES
SERIES 70
Full Member
***

คะแนน 6
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 121


ปืนที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ


« ตอบ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 08:42:03 AM »

ว่ากันไป ก็ว่ากันไป


ว่าต่อๆกันไป
บันทึกการเข้า

37 ปี ผ่านไป แต่ความสวยของเธอ ไม่เคยลดลงเลย แม่ม้าใหญ่ ไกขาว
a lone wolf
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 290
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2064



« ตอบ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 08:47:28 AM »

 Grin
ปี 47-53 มีอาวุธปืนเพิ่มขึ้นจากเดิม 1 ล้านกระบอก เป็น 4 ล้านกระบอก
เจ็ดปีเพิ่มขึ้น 3 ล้านกระบอก
สมมติร้านปืนแถววังบูรพาได้กำไรกระบอกละ หนึ่งหมื่นบาท เจ็ดปีฟาดกำไร สามหมื่นล้านบาท เท่ากับกำไรปีละเกือบสี่พันสามร้อยล้านบาท
แบ่งกันในหมู่ร้านปืนแถวนั้น

ผมไปเซ้งใบอนุญาตจำหน่ายอาวุธปืนดีกว่าวุ้ย

ยกตัวเลขสถิติมาจั่วก็ทำให้บทความเริ่มไม่น่าเชื่อถือแล้วล่ะครับ
บันทึกการเข้า

It's not the years in your life but the life in your years, that counts
JUNGLE
ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
Hero Member
*****

คะแนน 1204
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17188


การต่อสู้คือชัยชนะ


« ตอบ #7 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 09:34:24 AM »

ขอคุณท่านเจ้าของกระทูครับ... ที่นำบทความมาให้ได้อ่านกัน... จากบทความจะเห็นได้ว่า... ผู้คนจำนวนมาก... ยังมีอคติกับอาวุธปืนอยู่เช่นเดิม...


...หากปืนมันไม่มีคนจับขึ้นมายิง... ผมไม่เคยเห็นปืนมันเหาะขึ้นมาไล่ยิงคนเลย... มีแต่คนยิงเท่านั้นที่สั่งให้กระสุนวิ่งออกจากปากกระบอก...

...ในบทความผมเห็นด้วยอย่างเดียว... คือ...ประโยคที่ว่า... "ส่วนเรื่องของความรุนแรงนี่ผมว่าไม่เกี่ยวเท่าไหร่ มันอยู่ที่ว่าเราจะใช้มันรึเปล่า ถ้าคิดจะใช้ คนมีมีดมันก็ใช้ฆ่าคนได้เหมือนกัน"

...อีกนิด.. ผมสงสัยว่าแบบ "ข.3" คืออะไร... สำนักพิมพ์เขาผิมพ์ผิด... หรือผู้เขียนบทความเข้าใจผิด... ยังดีที่ไม่กล่าวว่า... "ป.๓ มีอายุ ๖ เดือน ระหว่างนี้จะซื้อปืนกี่กระบอกก็ได้... " เหมือนในบทความปืนสี่ล้านกระบอกที่เขาอ้างถึง... คิก คิก คิก คิก คิก คิก

ไหว้


บันทึกการเข้า
จอมใจ 53
Full Member
***

คะแนน 8
ออฟไลน์

กระทู้: 127


« ตอบ #8 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 10:08:38 AM »

ส่วนตัวผม  มีปืนแล้วใจเย็นลงเยอะครับ  ก่อนมีปืนก็ใจเย็นลงกว่าแต่ก่อนมากอยู่แล้ว  เหตุผลหนึ่งเพราะตระหนักว่าเรามีอาวุธในมือ  ถ้าใจร้อนผลเสียย่อมตามมาทั้งต่อตัวเรา  คู่กรณี  ผู้คนประชาชนที่อาจโดนลูกหลง  ครอบครัว ฯลฯ

เหตุผลที่หาปืนมาใช้ก็เพราะนับวันบ้านเมืองจะเต็มไปด้วยภัยอันตราย  โจรผู้ร้ายชุกชุม  แถวบ้านผมมีทั้งขี้ยาลักเล็กขโมยน้อย  แขกขาวอาละวาดงัดบ้าน  ฉุดเด็กวัยรุ่นไปรุมโทรม  มั่วสุมเสพยา ซิ่งรถ  ไม่เกรงใจใคร  ชาวบ้านแจ้งตำรวจก็ช่วยได้ไม่มาก


เช่นกันครับ  ส่วนตัวผมน่ะครับก่อนมีปืน มีอะไร เอะอะ ! ก็จะพูดทำนองว่า เดี๋ยวถ้ากูมีปืน กูจะยิงมันใส้แตกเลย.. ยี๊ ทำอะไรพูดอะไร ทำนองแบบนี้ครับ  แต่พอมีปืนแล้ว รู้อะไรหลายๆ อย่าง คำพูดแบบข้างบน แทบจะไม่กล้าพูดด้วยซ้ำ!  จากใจร้อน กลับใจเย็นลงมากๆๆ  แม้กระทั่งเคยมีครั้งหนึ่งครับ  พกปืนที่เอว พูดคุยตกลงกับผู้รับเหมา  อ้ายผู้รับเหมาพูดกวนมากๆๆ  สมมุติถ้าเป็นเมื่อก่อนควักออกมาตบหน้าแล้ว..  แต่ก็อดครับ ใจเย็นครับ..  ผมว่าแปลกดีครับ.(คงรู้ว่าจะป่วยน่ะ ไอ แย้ว คุก คุก คุก) Grin
บันทึกการเข้า
cadet38 -รักในหลวง-
God of games
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 54
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 571


I believe I can fly.


« ตอบ #9 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 10:36:51 AM »

เอาเข้าไป
บันทึกการเข้า

I love Doraemon.
chew - รักในหลวง
VOTE NO = ไม่เลือกควายตัวไหน และ สัตว์คอกใด ทั้งสิ้น
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1892
ออฟไลน์

กระทู้: 10589


เอาแผ่นดินของพ่อหลวงคืนมา เอาคนโกงชาติเข้าคุกไป


« ตอบ #10 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 10:49:02 AM »

แต่ละปี จำนวนปืนที่ถูกกฏหมายถูกนำมาใช้ในการก่อเหตุที่ทำให้คนตายและเจ็บน้อยกว่า ไอ้จู่ของคนเป็นกามโรค - เอดส์ เยอะมาก  เราควรจะกล่าวโทษ  ไอ้จู่หรือเจ้าของดีล่ะครับ   
บันทึกการเข้า
gogoh-รักในหลวง-
Sr. Member
****

คะแนน 39
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 559



« ตอบ #11 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 11:07:34 AM »

มีปืนต้องมีสติ..ประมาณเมื่อไรหายนะจะเกิดกับตัวท่านหรือคนรอบข้างท่านเอง
การที่เด็กหยิบปืนมาเล่นแล้วปืนลั่นใส่เพื่อนแล้วตายเกิดมาจากความประมาณของผู้ใหญ่..อยู่กับบ้านแท้ๆกลับเอาลูกใส่ปืนไว้ไม่ยอมแยกลูกออกหรือไม่ใส่ในที่เก็บดีๆแล้วล็อกกุญแจทำให้เด็กหญิบออกมาแล้ว
บันทึกการเข้า
powerboy
ชาว อวป.
Full Member
****

คะแนน 52
ออฟไลน์

กระทู้: 412


« ตอบ #12 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 11:30:30 AM »

http://manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9530000159076

ลองติดตามกันครับ  เศร้า
บันทึกการเข้า
Zeus-รักในหลวง
อะฮู้.....ไฮยีน่าก็เป็นแมวนะคราบบบ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 817
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10983


I'm going to make him an offer that he can't refus


« ตอบ #13 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 11:45:38 AM »

อ่านแล้ว ขำครับ คือ 2 ใน 3 ของคนที่ให้สัมภาษนี่มั่วนิ่มเลย 5555+ ขำก๊าก
บันทึกการเข้า

“A fear of weapons is a sign of retarded sexual and
emotional maturity.”
- Sigmund Freud

“ความกลัวอาวุธคือสัญญาณของความถดถอยทางเพศและวุฒิภาวะทางอารมณ์”
- ซิกมุนด์ ฟรอยด์
มะเอ็ม
Hero Member
*****

คะแนน 348
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4749


"ปักษ์ใต้บ้านเรามันเหงาจังไม่มีคนนั่งแลหนังโนราห์"


« ตอบ #14 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2010, 11:46:36 AM »

ไม่นานมานี้ ข่าวของนักเรียน ม.3 ที่เผลอทำปืนลั่นใส่เพื่อน จนทำให้เพื่อนเสียชีวิต ได้ตีพิมพ์หราอยู่บนหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ ต่อมาอีกไม่กี่วัน ก็มีข่าว ครูฟิตเนสย่านปิ่นเกล้าโดนยิงตัดขั้วหัวใจ จากระยะไกล ก็กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ทับซ้อนขึ้นมา
       
       ข่าวความรุนแรงจากอาวุธปืนเหล่านี้ แต่เดิมนั้น มักจะเดินทางมาจากประเทศอีกฝั่งของโลก อย่างอเมริกามากกว่า
       
       แต่จะว่าไปแล้ว หากย้อนมองลงไป เรื่องราวคดีอาชญากรรมของบ้านเรา ล้วนแต่มีเรื่องของอาวุธปืนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยในฐานะของเครื่องมือกระทำความผิดทั้งนั้น เอาเฉพาะแค่ช่วงสัปดาห์เดียว ก็มีทั้งกรณีดาบตำรวจยิงพวงสวรรค์พ่อค้าไก่ทอดที่กาญจนบุรี (30 ต.ค.), ทหารหญิงโดนแฟนตำรวจยิงที่ย่านเตาปูน (2 พ.ย.), สองมือปืนยิงเซียนไฮโลที่สุราฎร์ฯ ฯลฯ
       
       สถานการณ์ความรุนแรงจากปืนเหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นถี่แต่เฉพาะในปัจจุบัน เพราะจากสถิติของสำนักงานยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นโอดีซี) พบว่าบ้านเราในช่วงปี 2541-2543 นั้น เป็นประเทศที่มีคดีฆาตกรรมโดยการใช้ปืนมากถึง 79.58% ซึ่งถือว่าสูงมาก หากเปรียบเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ในโลก
       
       หรือว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากอาวุธปืนในบ้านเรา กำลังก้าวตามสหรัฐอเมริกามาแบบหายใจรดต้นคอ
       
       ดังนั้น ก็พอจะอนุมานได้ว่า คนไทยจำนวนไม่น้อย เป็นคนที่มีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง และในบางครั้ง คนเหล่านั้นก็เลือกที่จะใช้ปืนในมือเป็นเครื่องมือยุติความขัดแย้ง
       
       อาวุธปืนมาจากไหน
       
       ที่ผ่านมา สถิติอาวุธปืนที่ได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนตั้งแต่ปี 2503-2546 นั้น มีจำนวนมากกว่าล้านกระบอกทั่วประเทศ แต่ในปัจจุบันเมืองไทยมีการครอบครองอาวุธปืนสูงถึงกว่า 4 ล้านกระบอกแล้ว (สถิติจากบทความของศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้) จำนวนที่ว่านั้น หมายถึงปืนที่มีกันแบบถูกกฎหมายเท่านั้น ยังไม่นับปืนเถื่อนที่หาซื้อกันได้ไม่ยากในตลาดมืด
       
      “การซื้อขายปืนนั้น จะจำหน่ายได้ตามใบอนุญาตขอซื้อปืนเท่านั้น คือผู้ซื้อต้องมีใบอนุญาต ข3. ซึ่งนายทะเบียนท้องที่เป็นผู้พิจารณาออกให้ แต่โดยส่วนมากแล้วข้าราชการจะซื้อในโครงการสวัสดิการของเขามากกว่า ส่วนประชาชนทั่วไปก็จะซื้อไว้เพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน แต่ก็ต้องมีใบอนุญาตเหมือนกันนะ
       
       พิชัย ถนอมทรัพย์ เจ้าของร้านปืนดำริ และนายกสมาคมผู้ประกอบอาวุธปืนแห่งประเทศไทย กล่าวถึงวิธีการได้มาของปืนแบบถูกกฎหมาย หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ‘ปืนมีทะเบียน’
       
       แล้วสำหรับปืนที่ไม่มีทะเบียน ซึ่งเป็นเครื่องมือในการก่ออาชญากรรมของบรรดาอาชญากรล่ะ?
       
       “โอ้ย! เมื่อก่อนกับสมัยนี้ก็หาได้ง่ายพอๆ กันนะ แค่มีเงินก็พรรคพวกนิดหน่อยก็สามารถมีได้แล้ว”
       
       นั่นเป็นคำตอบของ น้อย (ขอสงวนนามจริง) ข้าราชการภูธร ที่เมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่น เขาก็เป็นคนหนึ่งที่มีปืนเถื่อนไว้ในครอบครอง แต่โชคดีที่เขายังไม่มีโอกาสได้ลองใช้มัน
       
       “คือปืนเถื่อนนี่ ส่วนใหญ่แล้วมันก็จะเข้ามา 2 ทาง คือจากพม่า เดินทางเข้ามาแถวๆ เมืองกาญจน์ ก็อย่างที่รู้กันว่า ต้องเป็นคนมีสีบางคน หรือเป็นคนที่มีแบ็กดีๆ เอาเข้ามา เพราะไม่อย่างนั้นก็ยาก ไม่มีหรอกที่เป็นตาสีสาตาไปเอามาขาย ส่วนอีกทางก็มาจากภาคใต้ผ่านทางจังหวัดชายแดน แถวๆ นั้นปืนนี่หาได้ง่ายมากแล้วก็ซื้อขายกันอิสระ เพราะมันไม่ต้องใช้เอกสารอะไร และจากสองแหล่งนี้มันก็ถูกส่งต่อไปทั่วประเทศ
       
       “ก็สมัยก่อนนั้นก็ซื้อกันแค่ 2-3 พันบาทเท่านั้น แต่สมัยนี้มันก็แพงขึ้น ที่นิยมกันมากก็จะเป็น 9 ม.ม. แบบกระสุน 7 นัด ราคาก็อยู่ราวๆ 6 - 8 พันบาท ส่วนพวกปืนอีโบ๊ะที่ใส่กระสุนลูกซองนั้นได้นัดเดียวนั้น จะเป็นปืนไทยประดิษฐ์ หรือไม่ก็มาจากทางจีน ซึ่งมันไม่เป็นที่นิยมเท่าไหร่”
       
       และเมื่อถามว่าทุกวันนี้ยังมีปืนเถื่อนอยู่ในครอบครองหรือไม่ น้อยก็บอกว่าไม่มีปืนเถื่อนไว้ในครอบครองแล้ว
       
       “ผมมีแต่ของถูกกฎหมายเก็บไว้เอง เป็นปืน 9 มม. แบบกระสุน 10 นัด ซึ่งเอาพวกเอกสารหลักฐานไปซื้อมาจากย่านวังบูรพา ส่วนราคานี่ก็เลยครึ่งแสนไปนิดหนึ่ง นี่ขนาดว่ามีส่วนลดแล้วนะ ส่วนเรื่องของความรุนแรงนี่ผมว่าไม่เกี่ยวเท่าไหร่ มันอยู่ที่ว่าเราจะใช้มันรึเปล่า ถ้าคิดจะใช้ คนมีมีดมันก็ใช้ฆ่าคนได้เหมือนกัน”
       
       ปืน = ความรุนแรง       
       ซึ่งประเด็นอาวุธปืนกับความรุนแรงในสังคมไทยนั้น ในสายตาของ งามศุกร์ รัตนเสถียร อาจารย์ประจำศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล มองว่า ปัจจุบันมีการใช้ปืนเพื่อตอบโต้และแก้ไขปัญหามากขึ้น คำถามก็คือปืนเหล่านี้ไปอยู่ในมือของพลเรือนได้อย่างไร
       
       “เข้าใจว่าในช่วงปี 2546 มีความพยายามจะออกกฎหมายเพื่อควบคุมการถือครองอาวุธปืน แต่ถึงที่สุดแล้วก็ไม่ใช่คำตอบ เพราะแม้แต่เจ้าหน้าที่รัฐจะสามารถใช้อาวุธขณะปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น แต่เราก็จะเห็นหลายๆ กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเองยังพกปืนเวลาไปเที่ยวผับ แล้วเราจะมีวิธีป้องกันได้อย่างไร”
       
       เพราะทุกวันนี้ แม้จะมีการควบคุมโควตาอาวุธปืนสำหรับร้านขายอาวุธปืน แต่ในทางปฏิบัติก็ยังมีปืนสวัสดิการของกระทรวงมหาดไทยอีกจำนวนมาก ยิ่งเมื่อมีเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ยิ่งทำให้ปืนส่วนนี้แพร่ระบาด มิพักต้องพูดถึงว่า ปืนจำนวนนี้เล็ดลอดออกไปเป็นปืนเถื่อนอีกแค่ไหน
       
       กลายเป็นว่าปืนกำลังเป็นทางออกของปัญหาสังคมไทย ซึ่งสะท้อนถึงความล้มเหลวของรัฐในการสร้างสังคมที่ปลอดภัย
       
       “พอคุณมีอาวุธปืนอยู่ในมือ มันก็ง่ายที่เวลาคุณมีปัญหาอะไรก็จะใช้ปืนจัดการกับคู่กรณี เราเองก็ต้องกลับมาถามว่าสภาพสังคมไทยเป็นอย่างไร มันคงเชื่อมโยงกับบริบทอื่นๆ ว่าทำไมจึงเป็นแบบนี้       
       “เรามักจะคิดว่าการมีอาวุธปืนคือความปลอดภัย แต่ไม่ได้คิดถึงว่าสิ่งที่คนคนหนึ่งทำอาจจะผิด แต่ถึงกับสมควรตายหรือไม่ ดิฉันมีคำถามว่าการตายของบุคคลหนึ่งๆ มันช่วยแก้ปัญหาโครงสร้างสังคมไทยยังไง หรือแม้แต่การเชื่อว่าปืนคือทางออก และสร้างความปลอดภัย มันเท่ากับว่ารัฐไม่ต้องรับผิดชอบ ปล่อยให้จัดการกันเอง แล้วเด็กก็เติบโตกันมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ และเดี๋ยวนี้ก็หาง่าย ไม่สามารถตรวจสอบได้”
       
       การแพร่ระบาดและใช้ความรุนแรงจากอาวุธปืน นอกจากจะบ่งชี้ความหละหลวมของรัฐในการสร้างความปลอดภัยแก่ประชาชนแล้ว อีกด้านหนึ่ง มันเป็นสัญญาณเตือนภัยว่า กลไกต่างๆ ทางสังคม วัฒนธรรม กฎหมาย หรือศีลธรรม ที่คอยควบคุมความรุนแรงและเยียวยาความขัดแย้งกำลังไม่ทำงานอย่างที่ควรจะเป็น
       
       ..........
       
       แต่จะทำอย่างไรได้ เพราะถ้าให้มองดูจริงๆ แล้ว กลไกที่มาช่วยลดความขัดแย้งและสร้างความปลอดภัยให้แก่คนในสังคมรูปแบบอื่นๆ มันก็แทบจะใช้ไม่ได้จริงแล้วนี่นา ดังนั้น อาวุธปืน อาจจะเป็นคำตอบสุดท้ายที่ใช้จัดการความขัดแย้งและสร้างความปลอดภัยให้แก่สังคมที่ไม่มีทางเลือกจริงๆ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ขึ้นอยู่ที่ตัวบุคคลครับ..... เศร้า เศร้า เศร้า
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.09 วินาที กับ 22 คำสั่ง