เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 28, 2024, 02:49:51 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.ยินดีต้อนรับสุภาพชนทุกท่าน กรุณาใช้คำสุภาพด้วยครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 4 5 6 [7] 8 9 10 ... 20
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไมชาวนาไทยยังยากจน  (อ่าน 56477 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 16 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Bird
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 600
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1743


Ordinary Man on Earth


« ตอบ #90 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 06:37:18 PM »

หึ หึ .. กระทู้นี้ ใครหวังจะลากไปประเด็นการเมือง คงต้องผิดหวังอยู่สักหน่อยนะครับ ...


ในขณะที่ปัจจุบัน ยังไม่มีวี่แววว่าใครจะรื้อโครงสร้างการเพาะปลูก/การแปรรูป ไปจนถึงระบบการรับซื้อและการกระจายสู่ตลาดได้ทั้งกระบวนการ ในระยะเวลาอันใกล้ (จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม) ...  ชาวนาคงยังต้องพึ่งตนเองให้มาก เพื่อให้อยู่รอดได้  เรียนรู้ที่จะลดต้นทุน พร้อมทั้งเปิดรับแนวคิดการจัดการใหม่ๆมาปรับใช้กับกิจกรรมของตน


สิ่งที่อยากให้นำมาขบคิดเพิ่มเติมอย่างจริงจัง คือ

- การทำนาเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถสร้างรายได้มากพอที่จะเลี้ยงครอบครัว(ขยาย)แบบดั้งเดิมได้ เพราะค่าใช้จ่ายและสิ่งแวดล้อมยั่วยวนชวนเสียเงินมีมากขึ้น  ซึ่งในอดีตพวกเขาต่างช่วยกันปลูกเอง เลี้ยงเอา กินเอง ไม่ต้องเสียเงิน

- ลูกหลาน/เด็กรุ่นใหม่จำนวนมาก พากันเมินการทำนาทำเกษตรที่จริงจัง ไม่เหมือนรุ่นก่อน เพราะมันเหนื่อย มันร้อน .. กระแสวัฒนธรรมเมืองใหญ่ถาโถมเข้าสู่พวกเขาอย่างรวดเร็ว เด็กรุ่นใหม่อยากมีอย่างใช้ตามกระแสทุนนิยม ในขณะที่ตัวพวกเขาเองยังไม่มีพื้นฐานความรู้ หรือโอกาสศึกษา หรือใส่ใจการศึกษามากพอที่จะพัฒนาศักยภาพตนเองไปสู่โลกธุรกิจทุนนิยมได้ ...
   เด็กพวกนี้เลยไปครึ่งๆกลางๆ ถอยหลังก็ไม่ได้ เดินหน้าก็ไม่ไหว วงจรชีวิตเลยวนเวียนระหว่าง  "เกษตรกรจำใจ - แรงงานไร้ฝีมือ - คนว่างงาน"  สุดท้ายนอกจากไม่สามารถเจือจุนพ่อแม่ตายายได้แล้ว ยังกลับเป็นภาระเสียอีก

- แม้ในอนาคต จะได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างดี (ไม่รู้จะอีกนานแค่ไหน)  ก็ไม่อาจคาดหวังความร่ำรวยหรูหราจากอาชีพการทำนานี้ได้  เพราะอัตราผลกำไรต่อการลงทุนของการทำนา ไม่ได้มากมายถึงขั้นนั้น ... การลงทุนนี้รวมถึงปัจจัย/ทรัพยากรที่ต้องมี ค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูก และเวลาที่เสียไป(ช่วงเวลาคืนผลตอบแทน)
   ชาวนาครอบครัวหนึ่งถ้าทำนาได้ดี ไม่มีอุปสรรค ไม่มีศัตรูพืชหรือภัยธรรมชาติ เมื่อขายข้าวได้ก็จะได้เงินมาก้อนหนึ่ง เก็บจำนวนหนึ่งไว้เป็นต้นทุนในการเพาะปลูกรอบต่อไป  เงินส่วนที่เหลือคือกำไรนำมาใช้จ่ายภายในครอบครัว ถ้าทำนาได้ 3 รอบต่อปี เงินนั้นก็ต้องใช้ให้พอใน 4 เดือน ดังนั้นรายได้ต่อเดือนต้องหารด้วยสี่ ... ถ้าทำเลไม่ดีทำนาได้แค่รอบเดียว เงินก้อนที่เหลือต้องหารด้วย12  จึงจะเป็นผลตอบแทนจากการทำนาต่อเดือน
   ถ้ามีคนตั้งข้อสังเกตว่าโรงสีข้าวมักร่ำรวย  ถ้าชาวนาสีข้าวได้เอง ขายเอง แล้วจะรวยไหม ...  ผมตอบไม่แน่   รู้แต่ว่าไม่รวยเท่าเขาแน่ เพราะโรงสีเป็นชุมทางข้าวในพื้นที่ เขารวยจาก 2 ปัจจัยคือ กำไรต่อหน่วยที่โรงสีได้(จากการบีบซื้อถูก/ขายแพง)  กับ ปริมาณข้าวที่ไหลผ่านโรงสี ...
   ดังนั้น แม้จะบีบให้โรงสีรับซื้อข้าวในราคาที่เป็นธรรม  ชาวนาแต่ละรายก็ไม่รวย เพราะปริมาณข้าวของแต่ละครอบครัวปลูกได้มันไม่มากพอที่จะสร้างเม็ดเงินขนาดนั้น ... คงเป็นเพียงแค่หายใจหายคอได้คล่องขึ้น


   อยากให้หันกลับมาดูครับ ว่าจริงๆแล้วอะไรที่จะทำให้พ้นความยากจนได้โดยเร็ว ... นั่งรอ หรือขยับตัวเสียวเดี๋ยวนี้ อะไรทำได้ทำเลย อย่าหวังทำนาเพียงอย่างเดียว  อย่าหวังทำงานเสริมเพียงเพื่อฆ่าเวลารอกลับไปเก็บเกี่ยวหว่านไถ แต่ต้องทำงานอื่นอย่างจริงจังด้วย    ถ้าเห็นว่ามีงานอื่น หรือเพาะปลูกอื่นที่ได้ผลดีกว่าทำนา ก็หาทางขยับไปทำเสีย .. ลูกหลานที่นั่งนอนกองอยู่บ้านก็ต้องไล่ให้ไปทำงานหาเลี้ยงตน ให้ใช้จ่ายอย่างรู้คุณค่า ...  ถึงแม้ไม่รวย ก็ไม่น่าจะจนครับ

.. ฟังเพื่อนสมาชิกกล่าวถึงชาวนาหลายท่าน ที่ควรเอาอย่างทั้งในเรื่องความเพียรอุตสาหะ และเรื่องการปรับตัวให้หลากหลาย ..  ผมขอร่วมแสดงความยินดีและยกย่องชาวนาเหล่านั้นด้วยครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 29, 2010, 06:44:54 PM โดย Bird » บันทึกการเข้า

สู้กับผู้อื่นให้น้อยลง ......สู้กับจิตตนให้มากขึ้น
dignitua-รักในหลวง
เราจะสู้เพื่อในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1414
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8341


จะมีพรุ่งนี้ ได้อีกกี่วัน...


« ตอบ #91 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 10:05:23 PM »

หึ หึ .. กระทู้นี้ ใครหวังจะลากไปประเด็นการเมือง คงต้องผิดหวังอยู่สักหน่อยนะครับ ...


ในขณะที่ปัจจุบัน ยังไม่มีวี่แววว่าใครจะรื้อโครงสร้างการเพาะปลูก/การแปรรูป ไปจนถึงระบบการรับซื้อและการกระจายสู่ตลาดได้ทั้งกระบวนการ ในระยะเวลาอันใกล้ (จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม) ...  ชาวนาคงยังต้องพึ่งตนเองให้มาก เพื่อให้อยู่รอดได้  เรียนรู้ที่จะลดต้นทุน พร้อมทั้งเปิดรับแนวคิดการจัดการใหม่ๆมาปรับใช้กับกิจกรรมของตน


สิ่งที่อยากให้นำมาขบคิดเพิ่มเติมอย่างจริงจัง คือ

- การทำนาเพียงอย่างเดียวนั้น ไม่สามารถสร้างรายได้มากพอที่จะเลี้ยงครอบครัว(ขยาย)แบบดั้งเดิมได้ เพราะค่าใช้จ่ายและสิ่งแวดล้อมยั่วยวนชวนเสียเงินมีมากขึ้น  ซึ่งในอดีตพวกเขาต่างช่วยกันปลูกเอง เลี้ยงเอา กินเอง ไม่ต้องเสียเงิน

- ลูกหลาน/เด็กรุ่นใหม่จำนวนมาก พากันเมินการทำนาทำเกษตรที่จริงจัง ไม่เหมือนรุ่นก่อน เพราะมันเหนื่อย มันร้อน .. กระแสวัฒนธรรมเมืองใหญ่ถาโถมเข้าสู่พวกเขาอย่างรวดเร็ว เด็กรุ่นใหม่อยากมีอย่างใช้ตามกระแสทุนนิยม ในขณะที่ตัวพวกเขาเองยังไม่มีพื้นฐานความรู้ หรือโอกาสศึกษา หรือใส่ใจการศึกษามากพอที่จะพัฒนาศักยภาพตนเองไปสู่โลกธุรกิจทุนนิยมได้ ...
   เด็กพวกนี้เลยไปครึ่งๆกลางๆ ถอยหลังก็ไม่ได้ เดินหน้าก็ไม่ไหว วงจรชีวิตเลยวนเวียนระหว่าง  "เกษตรกรจำใจ - แรงงานไร้ฝีมือ - คนว่างงาน"  สุดท้ายนอกจากไม่สามารถเจือจุนพ่อแม่ตายายได้แล้ว ยังกลับเป็นภาระเสียอีก

- แม้ในอนาคต จะได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างดี (ไม่รู้จะอีกนานแค่ไหน)  ก็ไม่อาจคาดหวังความร่ำรวยหรูหราจากอาชีพการทำนานี้ได้  เพราะอัตราผลกำไรต่อการลงทุนของการทำนา ไม่ได้มากมายถึงขั้นนั้น ... การลงทุนนี้รวมถึงปัจจัย/ทรัพยากรที่ต้องมี ค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูก และเวลาที่เสียไป(ช่วงเวลาคืนผลตอบแทน)
   ชาวนาครอบครัวหนึ่งถ้าทำนาได้ดี ไม่มีอุปสรรค ไม่มีศัตรูพืชหรือภัยธรรมชาติ เมื่อขายข้าวได้ก็จะได้เงินมาก้อนหนึ่ง เก็บจำนวนหนึ่งไว้เป็นต้นทุนในการเพาะปลูกรอบต่อไป  เงินส่วนที่เหลือคือกำไรนำมาใช้จ่ายภายในครอบครัว ถ้าทำนาได้ 3 รอบต่อปี เงินนั้นก็ต้องใช้ให้พอใน 4 เดือน ดังนั้นรายได้ต่อเดือนต้องหารด้วยสี่ ... ถ้าทำเลไม่ดีทำนาได้แค่รอบเดียว เงินก้อนที่เหลือต้องหารด้วย12  จึงจะเป็นผลตอบแทนจากการทำนาต่อเดือน
   ถ้ามีคนตั้งข้อสังเกตว่าโรงสีข้าวมักร่ำรวย  ถ้าชาวนาสีข้าวได้เอง ขายเอง แล้วจะรวยไหม ...  ผมตอบไม่แน่   รู้แต่ว่าไม่รวยเท่าเขาแน่ เพราะโรงสีเป็นชุมทางข้าวในพื้นที่ เขารวยจาก 2 ปัจจัยคือ กำไรต่อหน่วยที่โรงสีได้(จากการบีบซื้อถูก/ขายแพง)  กับ ปริมาณข้าวที่ไหลผ่านโรงสี ...
   ดังนั้น แม้จะบีบให้โรงสีรับซื้อข้าวในราคาที่เป็นธรรม  ชาวนาแต่ละรายก็ไม่รวย เพราะปริมาณข้าวของแต่ละครอบครัวปลูกได้มันไม่มากพอที่จะสร้างเม็ดเงินขนาดนั้น ... คงเป็นเพียงแค่หายใจหายคอได้คล่องขึ้น


   อยากให้หันกลับมาดูครับ ว่าจริงๆแล้วอะไรที่จะทำให้พ้นความยากจนได้โดยเร็ว ... นั่งรอ หรือขยับตัวเสียวเดี๋ยวนี้ อะไรทำได้ทำเลย อย่าหวังทำนาเพียงอย่างเดียว  อย่าหวังทำงานเสริมเพียงเพื่อฆ่าเวลารอกลับไปเก็บเกี่ยวหว่านไถ แต่ต้องทำงานอื่นอย่างจริงจังด้วย    ถ้าเห็นว่ามีงานอื่น หรือเพาะปลูกอื่นที่ได้ผลดีกว่าทำนา ก็หาทางขยับไปทำเสีย .. ลูกหลานที่นั่งนอนกองอยู่บ้านก็ต้องไล่ให้ไปทำงานหาเลี้ยงตน ให้ใช้จ่ายอย่างรู้คุณค่า ...  ถึงแม้ไม่รวย ก็ไม่น่าจะจนครับ

.. ฟังเพื่อนสมาชิกกล่าวถึงชาวนาหลายท่าน ที่ควรเอาอย่างทั้งในเรื่องความเพียรอุตสาหะ และเรื่องการปรับตัวให้หลากหลาย ..  ผมขอร่วมแสดงความยินดีและยกย่องชาวนาเหล่านั้นด้วยครับ

(",)(,")..?!?! ไหนๆ.. ไม่เห็นมีนี่ที่ตัวหนังสือสีแดงๆน่ะพี่เบิร์ด... Huh







... Grin Grin ไหว้
บันทึกการเข้า

กรรมกร
+แล้วนะคับ ... อย่าลืมทอนด้วยนะคับ 555
Hero Member
*****

คะแนน -964
ออฟไลน์

กระทู้: 1293



« ตอบ #92 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 10:17:53 PM »

................ จริงครับ เห็นด้วย เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการเมืองตรงไหนเลย

มันคือ "ปัญหาเศรษฐกิจและสังคม"

ที่เกิดจากการขาดผู้นำและผู้บริหารที่ทำเพื่อส่วนรวมอย่างจริงใจ

........  หัวเราะร่าน้ำตาริน
บันทึกการเข้า

ไร้คำกล่าว............................................
สหายแป๋ง คนดง
ถึงตัวเจ้าจะจากไปแต่ชื่อและความดีของเจ้าจะอยู่ในใจพี่เสมอ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2284
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 53136


ป่าสร้างคนแต่คนกลับสร้างป่า ด้วยลมปาก


« ตอบ #93 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 11:41:20 PM »

  อย่างอื่นผมไม่ขอแสดงความคิดเห็น  สมช.เวบอวป.หลายๆท่านอาจจะรู้จักกับผม  แต่ผมขอเถอะครับการแสดงความคิดเห็นในแง่ลบของท่านที่มีต่อชาวนา
บางสิ่งบางอย่างบางคำพูดท่านกำลังปฎิบัติสวนกระแสพระราชตำริพ่อหลวงของเราอยู่นะครับ  ผมไม่ได้เอ่ยนามว่าเป็นใคร  แต่ท่านใดร้อนตัวอยากจะชนกันผม
  ผมบอกได้คำเดียวว่า"ด้วยความยินดีครับ"  บ้านเราเมืองเราพ่อเอ้ย.........เมืองเกษตรกร....
  สมัยก่อน 100 กว่าปีที่แล้วชาวนามีที่ดิน 100 ไร่  ในความครอบครองของเจ้าของที่ดินดันมีลูก 10 คน  พ่อแม่ตายไปแบ่งใหลูกๆ 10 คนๆละ 10 ไร่จาก 100 ไร่  ทำนายังไงจะให้รวยพ่อคุณเอ้ย  คิดง่ายๆกันเป็นหรือเปล่า  ถ้าวันใดวันหนึ่งราคาที่ดินของชาวนามีราคาเท่ากับที่ดินแถวสีลมล่ะพ่อเอ๊ยคิดกันมั่งหรือเปล่า
ใครมันจะรวยกว่าใคร  พ่อจะหันไปเลียป๊อกใครมิทราบ คิก คิก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 29, 2010, 11:52:37 PM โดย สหายแป๋ง คนดง » บันทึกการเข้า

รักชาติ  ศาสน์  กษัตริย์ 
ยืนหยัดในความเป็นไทย


  เกิดเป็นเซื้อซาดแฮ้ง  อย่าเหม็นสาบกุยกัน.......
  ข้าราษฎรประจำไทยควรคำนึง
http://www.youtube.com/watch?v=gM1D0xIwLVo
ต้นคระกูลไทย
http://www.youtube.com/watch?v=
แจ็ค
"กำบ่มีอย่าไปอู้...กำบ่ฮู้อย่าได้จ๋า"
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 461
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 7529


« ตอบ #94 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2010, 11:54:34 PM »



...... เศรษฐกิจพอเพียง ,,,, ลด ละ เลิก สิ่งฟุ่มเฟือยต่าง ๆ โดยเฉพาะอบายมุข ทดลองทำบัญชีครัวเรือน เพื่อทราบรายจ่ายที่ไม่จำเป็น และหาแนวทางลดค่าใช้จ่ายเหล่านั้น ,
บันทึกการเข้า

... เมื่อความกลัวถึงขีดสุด  มันจะเกิดเป็นความกล้าที่บ้าบิ่น ...
Bird
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 600
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1743


Ordinary Man on Earth


« ตอบ #95 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2010, 12:10:10 AM »

แล้วผมจะร้อนตัวเกินไปไหมครับ ถ้าผมเข้าใจว่าลุงกำลังหมายถึงผม  Undecided   ... ถ้าไม่ใช่ก็ขออภัยนะครับ  ไหว้

... เห็นด้วยกับลุงแป๋งครับ  ที่บอกว่าชาวนารุ่นปู่ย่ามีที่ 100 ไร่  แบ่งให้รุ่นพ่อ 10 คน ได้คนละ 10 ไร่  พ่อมีลูก 5 เลยได้คนละ 2 ไร่ ... ทำนาอย่างไรจะให้รวยได้
นี่เป็นเหตุผลที่ผมบอกว่า ถ้าหวังจะรวยจากอาชีพทำนาอย่างเดียว คงจะไม่สำเร็จ  ต้องทำอย่างอื่นไปด้วย ..
จะหมุนเวียนเพาะปลูกอย่างอื่น  จะค้าขาย  จะทำงานเชิงช่างใดๆก็คงต้องทำ

พระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อหลวงทรงแนะไว้ ... ปลูกพืชหมุนเวียน ทำเกษตรเชิงผสม มุ่งศึกษาหาความชำนาญอื่นๆที่กระทำได้ เริ่มจากท้องถิ่นฐานตนเองก่อนตามภูมิปัญญาท้องถิ่น ...
ภูมิปัญญาท้องถิ่นนี้ ความหมายกว้างครับ .. หมายถึงงานเกษตร(อื่นๆ)ก็ได้ หมายถึงงานฝีมือก็ได้  
รวมทั้งการฝึกปรือความรู้ความชำนาญจากถิ่นอื่นจนเชี่ยวชาญ แล้วนำกลับมาทำมาหากิน และพัฒนาท้องถิ่นตน
อันนี้ต้องการความจริงจัง .. ลูกหลานที่ไม่อยากทำนาทำเกษตร ก็ต้องติดปีกออกไปสู่โลกกว้าง เรียนรู้อย่างจริงจัง ให้หลุดพ้นคำว่าแรงงานไร้ฝีมือ  จึงจะกลับมาเจือจานครอบครัว และพัฒนาบ้านเกิดตนได้

ความหมายจึงเป็นดังนั้น ครับ ...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 30, 2010, 12:22:59 AM โดย Bird » บันทึกการเข้า

สู้กับผู้อื่นให้น้อยลง ......สู้กับจิตตนให้มากขึ้น
สหายแป๋ง คนดง
ถึงตัวเจ้าจะจากไปแต่ชื่อและความดีของเจ้าจะอยู่ในใจพี่เสมอ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2284
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 53136


ป่าสร้างคนแต่คนกลับสร้างป่า ด้วยลมปาก


« ตอบ #96 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2010, 01:04:43 AM »

  ท่านเบิร์ดมองอะไรผมผิดไปหรือเปล่าครับ  ที่ผมพูดไปผมไม่ได้เอ่ยชื่อใคร  เพราะผมให้เกียรติสมช.ทุกท่าน  แต่ที่ผมแสดงความคิดเห็นเพราะผมไม่อยากให้เราเอาความรู้สึกเราหรือสิ่งที่เราเห็นในอาชีพนี้เพียงส่วนน้อยออกมาพูดมาวิพากย์วิจารณ์ในเชิงเอาความคิดส่วนตัวมาสอดแทรกกัน  ผมว่ามันไม่แฟร์ครับในเวบนี้มีคนที่รับราชการ ครู 3 ระดับ 8 (ปัจจุบันเรียกกัน คศ.2-คศ.3)อะไรก็ว่ากันไป  ที่เป็นลูกชาวนาและก็ยังคงทำนาอยู่  เมื่อไม่นานมานี้มีครูท่านหนึ่งโดนขโมยกวดข้าวไปทั้งยุ้งสาเหตุเพราะรับราชการกันทั้งบ้านไม่มีใครเฝ้าดูแล  แม่เขาซื่งเป็นครูเหมือนกันยังนั่งร้องไห้เพราะเสียดายน้ำพักน้ำแรงที่ทำมา  ถามว่ามีใครอยากจะจน  มีใครอยากจะทนทำนาทั้งๆที่ทำแล้วไม่รวย  แต่ที่เขาทำเขาเพราะช่วยอุดหนุนจุนเจือครอบครัวเป็นประหยัดเงืนที่จะนำมาซื้อข้าวประทังชีวิตคนในครอบครัว  มันผิดด้วยหรือที่เขาทำแบบนั้น  แต่พอมีสมช.คนมีอันจะกินมีเงินซื้อปืน(ซึ่งผมก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคนๆนั้น)ออกมาพูดเชิงดูถูกเหยีบยหย่ำชาวนา  และคนอย่างผม"สหายแป๋ง"ผู้ซึ่งไม่เคยก้มหัวให้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง  ออกมาเตือนสติถ้าผมจะถูกมองในแง่ลบ  ผมยืดอกรับได้เลยครับว่า"ผมไม่สน"  ผมเป็นแฟนหนังสือ"นิตยสารการกีฬาและวิชาการปืนมา"ตั้งแต่สมัยป๋าตระกลูยังหนุ่มๆ...เมื่อวานเจอท่านที่สนามเป้าบินหัวหมากก็ยังหนุ่มอยู่เหมือนเดิม  ผมพิมพ์แล้วพิมพ์อีกพร้อมกับลบแล้วลบอีก  เพียงเพื่อบางครั้งบางทีผมก็อยากรักษามิตรภาพ+มารยาทในเวบไว้  พอมาอ่านเจอมีพูดถึงชื่อผม  จำเป็นครับที่ผมจำต้องออกมาอรรถาธิบาย  ไม่ว่ากันนะครับ เยี่ยม
  ตามข้อความสีแดงบุคคลที่ผมเคารพรักและเอ่ยนามท่าน  ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ผมอยากจะแสดงให้ทุกท่านเห็นว่าเราคนไทยมีความกตัญญูต่อบรรพรุษ  สิ่งใดที่ชาวนาทำมาจนได้ชื่อว่า"กระดูกสันหลังของชาติ"  ขอให้ท่านอย่าได้นำมาด่ามาว่าเล่นกันอีกเลย  เจตนาท่านจขกท.คือหาข้อยุติ-หาตำตอบว่าทำไมคนชาวนาถึงไม่รวย  ไม่ใช่ให้ท่านมาหาสาเหตุที่นำพาไปสู่ความหายนะทางความคิดอย่างที่เป็นอยู่
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 30, 2010, 01:13:18 AM โดย สหายแป๋ง คนดง » บันทึกการเข้า

รักชาติ  ศาสน์  กษัตริย์ 
ยืนหยัดในความเป็นไทย


  เกิดเป็นเซื้อซาดแฮ้ง  อย่าเหม็นสาบกุยกัน.......
  ข้าราษฎรประจำไทยควรคำนึง
http://www.youtube.com/watch?v=gM1D0xIwLVo
ต้นคระกูลไทย
http://www.youtube.com/watch?v=
Bird
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 600
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1743


Ordinary Man on Earth


« ตอบ #97 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2010, 01:23:46 AM »

ขอบคุณครับ ลุงแป๋ง ที่มาไขความกระจ่าง  .. และขอโทษอีกครั้งครับ ที่เข้าใจผิด  ไหว้


นับถือลุงแป๋งเหมือนเดิมครับ ...




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 30, 2010, 01:31:22 PM โดย Bird » บันทึกการเข้า

สู้กับผู้อื่นให้น้อยลง ......สู้กับจิตตนให้มากขึ้น
สหายแป๋ง คนดง
ถึงตัวเจ้าจะจากไปแต่ชื่อและความดีของเจ้าจะอยู่ในใจพี่เสมอ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 2284
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 53136


ป่าสร้างคนแต่คนกลับสร้างป่า ด้วยลมปาก


« ตอบ #98 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2010, 01:27:08 AM »

   ผมจำท่านเบิรด์ได้มิเคยลืมเลือน  เรามีแนวคิดและอุดมการณ์หลายๆอย่างไปในทิศทางเดียวกันครับ เยี่ยม
บันทึกการเข้า

รักชาติ  ศาสน์  กษัตริย์ 
ยืนหยัดในความเป็นไทย


  เกิดเป็นเซื้อซาดแฮ้ง  อย่าเหม็นสาบกุยกัน.......
  ข้าราษฎรประจำไทยควรคำนึง
http://www.youtube.com/watch?v=gM1D0xIwLVo
ต้นคระกูลไทย
http://www.youtube.com/watch?v=
JUNGLE
ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
Hero Member
*****

คะแนน 1204
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17188


การต่อสู้คือชัยชนะ


« ตอบ #99 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2010, 05:07:01 AM »

  ท่านเบิร์ดมองอะไรผมผิดไปหรือเปล่าครับ  ที่ผมพูดไปผมไม่ได้เอ่ยชื่อใคร  เพราะผมให้เกียรติสมช.ทุกท่าน  แต่ที่ผมแสดงความคิดเห็นเพราะผมไม่อยากให้เราเอาความรู้สึกเราหรือสิ่งที่เราเห็นในอาชีพนี้เพียงส่วนน้อยออกมาพูดมาวิพากย์วิจารณ์ในเชิงเอาความคิดส่วนตัวมาสอดแทรกกัน  ผมว่ามันไม่แฟร์ครับในเวบนี้มีคนที่รับราชการ ครู 3 ระดับ 8 (ปัจจุบันเรียกกัน คศ.2-คศ.3)อะไรก็ว่ากันไป  ที่เป็นลูกชาวนาและก็ยังคงทำนาอยู่  เมื่อไม่นานมานี้มีครูท่านหนึ่งโดนขโมยกวดข้าวไปทั้งยุ้งสาเหตุเพราะรับราชการกันทั้งบ้านไม่มีใครเฝ้าดูแล  แม่เขาซื่งเป็นครูเหมือนกันยังนั่งร้องไห้เพราะเสียดายน้ำพักน้ำแรงที่ทำมา  ถามว่ามีใครอยากจะจน  มีใครอยากจะทนทำนาทั้งๆที่ทำแล้วไม่รวย  แต่ที่เขาทำเขาเพราะช่วยอุดหนุนจุนเจือครอบครัวเป็นประหยัดเงืนที่จะนำมาซื้อข้าวประทังชีวิตคนในครอบครัว  มันผิดด้วยหรือที่เขาทำแบบนั้น  แต่พอมีสมช.คนมีอันจะกินมีเงินซื้อปืน(ซึ่งผมก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคนๆนั้น)ออกมาพูดเชิงดูถูกเหยีบยหย่ำชาวนา  และคนอย่างผม"สหายแป๋ง"ผู้ซึ่งไม่เคยก้มหัวให้สิ่งที่ไม่ถูกต้อง  ออกมาเตือนสติถ้าผมจะถูกมองในแง่ลบ  ผมยืดอกรับได้เลยครับว่า"ผมไม่สน"  ผมเป็นแฟนหนังสือ"นิตยสารการกีฬาและวิชาการปืนมา"ตั้งแต่สมัยป๋าตระกลูยังหนุ่มๆ...เมื่อวานเจอท่านที่สนามเป้าบินหัวหมากก็ยังหนุ่มอยู่เหมือนเดิม  ผมพิมพ์แล้วพิมพ์อีกพร้อมกับลบแล้วลบอีก  เพียงเพื่อบางครั้งบางทีผมก็อยากรักษามิตรภาพ+มารยาทในเวบไว้  พอมาอ่านเจอมีพูดถึงชื่อผม  จำเป็นครับที่ผมจำต้องออกมาอรรถาธิบาย  ไม่ว่ากันนะครับ เยี่ยม
  ตามข้อความสีแดงบุคคลที่ผมเคารพรักและเอ่ยนามท่าน  ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ผมอยากจะแสดงให้ทุกท่านเห็นว่าเราคนไทยมีความกตัญญูต่อบรรพรุษ  สิ่งใดที่ชาวนาทำมาจนได้ชื่อว่า"กระดูกสันหลังของชาติ"  ขอให้ท่านอย่าได้นำมาด่ามาว่าเล่นกันอีกเลย  เจตนาท่านจขกท.คือหาข้อยุติ-หาตำตอบว่าทำไมคนชาวนาถึงไม่รวย  ไม่ใช่ให้ท่านมาหาสาเหตุที่นำพาไปสู่ความหายนะทางความคิดอย่างที่เป็นอยู่

...เอาไปไม่หมดครับ... เหลือให้ดูต่างหน้าอยู่สี่ถุง... หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน



 ไหว้

บันทึกการเข้า
submachine -รักในหลวง-
คนกินเหล้า อย่าให้เหล้ากินคน
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 6127
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 55373


Let us go..!


« ตอบ #100 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2010, 07:53:26 AM »

จริงๆแล้วปัญหานี้แก้ไขได้ครับ... ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ คือการตัดวงจรอุบาตถ์ออกไป...

โดยการตั้งโรงสีเองจากภาครัฐบาลกระจายตามพื้นที่ต่างๆตามความหนาแน่นของพื้นที่ทำนา เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงได้ง่าย จากนั้นก็ใช้ราคาขายของตลาด ณ.วันนั้น ลบกับค่าไฟ ค่าเครื่องจักร ค่าแรง ในการสีข้าว และเก็บข้าว แล้วจ่ายค่าผลผลิตที่คงเหลือสุทธิให้ชาวนาตามจริง จะหักภาษี ณ.ที่จ่ายหรืออะไรค่อยว่ากันอีกที... คือผลิตข้าวสารขายหน่วยงานรัฐบาล และรัฐบาลค่อยนำข้าวเข้าระบบจำหน่ายทั้งในพื้นที่ ในประเทศ และส่งขายต่างชาติ...

เกษตรกรจะได้เลือกได้ว่าจะขายข้าวเปลือกให้ใคร ราคาที่ได้ก็ตามความต้องการซื้อ ไม่มีการประกันราคา ที่เหลือก็แล้วแต่การบริหารจัดการในการระบายข้าวอย่างไรของหน่วยงานนั้นๆ...

ระบบอุปถัมภ์บ้านเรามันหยั่งรากมานาน จนกลายเป็นวงจรอุบาตถ์... แต่ถ้าใครคิดจะทำ ทำไมจะทำไม่ได้ ท่านจะได้คะแนนเสียงจากเกษตรกรไทยอีกเยอะครับ... (การเมืองป่าวเนี่ย... Huh )

ทำแบบนี้ เกษตรกรอิ่ม นักการเมืองไม่อิ่มครับ (เรื่องใหญ่นา)

อ้อ...อุบาทว์ครับ ไม่ใช่อุบาตถ์
บันทึกการเข้า

อย่าเห็นเป็น ความดี เล็กน้อย แล้วไม่กระทำ
อย่าเห็นเป็น ความชั่ว เล็กน้อย แล้วจึงกระทำ

Thanut Wansuk

กรรมกร
+แล้วนะคับ ... อย่าลืมทอนด้วยนะคับ 555
Hero Member
*****

คะแนน -964
ออฟไลน์

กระทู้: 1293



« ตอบ #101 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2010, 08:17:44 AM »

ปัญหาแบบนี้ใครไม่เคยเจอ ไม่เคย "โดน" ไม่มีวันรู้หรอกว่าเป็นอย่างไร

... ถามว่าคนทำนากี่คน ที่จะรู้ราคาล่วงหน้า ว่าตอนเก็บเกี่ยว ตัวเองจะขายได้ราคาเท่าไหร่

โน่น "พ่อค้าส่งออก" โน่น ... เค้ามียอดสั่งซื้อกันมาข้ามปีแล้ว

... คนทำสวนยางกี่คน ที่จะรู้ราคาล่วงหน้า อย่างเก่งก็ประมาณเอา ว่าจะขึ้นหรือจะลง

... เกษตรกรกี่คน ที่รู้จัก "ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า" ...

... สวนปาล์มบ้านแฟนผม ปลูกมาจนจะโค่นทิ้งแล้ว ต้องลุ้นทุกครั้งว่าราคาจะได้เท่าไหร่

ถึงจะราคาตกจนไม่คุ้มค่าปุ๋ย ค่าตัดหญ้า ...... แต่ก็ต้องขายพ่อค้า ไม่มีทางเลือก

ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนขึ้นอยู่กับ "พ่อค้า" ..... แล้วแต่จะกำหนด

.......... ถามแค่นี้พอ ... ใครควรรับผิดชอบ ?
บันทึกการเข้า

ไร้คำกล่าว............................................
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #102 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2010, 08:36:56 AM »


วันที่ จันทร์ มิถุนายน 2552
 
 พิมพ์หน้านี้  |  ดูบล๊อกอื่นๆ ที่ OKnation 
 

ก่อนชาวนา..ที่นา..จะหมดจากชาติไทย



       

  ชาวนาคือผู้ทำนาปลูกข้าว  เลี้ยงเรามาจนเป็นหนุ่มสาวยันเราเฒ่าแก่ชรา


แต่เหตุไฉน ชาวนาไทยอับจนเรื่อยมา   เผชิญดินนำลมฟ้าเผชิญปัญหาชะตากรรม


ถามคุณพ่อแม่ ปู่ย่าตายายของเรา   ลองกระซิบท่านเบาๆท่านโตด้วยข้าวมือใคร


ตอนเราเป็นเด็ก เราได้ดื่มน้ำนมมากมาย  นมจากเต้าเอามาจากใหน ไช่หรือไม่เหงื่อใคลชาวนา........


     จากเพลง "หำเฮี้ยน" ของวงคาราบาว ซึ่งเป็นบทเพลงหนึ่งที่ถือว่าให้สาระและตรงกับสภาพความเป็นจริงของชาวนาไทยเป็นที่สุด จากกระแสข่าว


     กรณีกลุ่มทุนอาหรับ 6 ชาติ แสดงความสนใจเข้ามาทำนา และทำฟารมเลี้ยงสัตว์ในประเทศไทย


    ทำให้อดที่จะคิดและเขียนถึงชาวนาไทยไม่ได้ เพราะเราก็เติบโตมาข้าวในนาเหมือนกัน จากบรรพบุรุษมาสู่ปัจจุบันชาวนาไทย มากกว่า 3.7 ล้านครอบครัวหรือประมาณ 20ล้านคน ยังประกอบอาชีพทำงาน ซึ่งประมาณร้อยละ 90 เป็นการทำนาตามฤดูกาลหรือเรียกว่านาปี คือปลูกข้าวปีละครั้งที่เหลืออีกร้อยละ10% จะทำนาปรังด้วยซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตชลประทานซึ่งทำนาได้สองครั้งต่อปี   


    ข้าวที่ผลิตและเหลือบริโภคในประเทศจะส่งออกในปริมาณร้อยละ 45 นำรายได้เข้าสู่ประเทศประมาณปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท


     การที่กลุ่มทุนต่างชาติสนใจจะมาลงทุนโดยเช่าที่นาเพื่อทำนา และเลี้ยงสัตว์ มองไปที่อนาคตของชาวนา ถ้าหากให้กลุ่มทุนพวกนี้เข้ามาจริงๆโดยที่มาเช่าที่นาแล้วจ้างคนไทยให้ทำนาให้แล้วเอาเทคโนโลยี่เข้ามาช่วย อนาคตชาวนาอาจจะจำเป็นต้องซื้อข้าวกินเองแน่นอน


   เพราะอะไรกลุ่มทุนอาหรับ 6 ชาติ ถึงต้องการมาเช่าที่นาเพื่อทำนา


      พื้นที่เพาะปลูกทางประเทศเขาไม่มี ใต้ดินมีแต่นำมัน อนาคตข้างหน้ากลุ่มอาหรับพวกนี้ ต้องคิดแน่นอนว่าเมื่อมีพลังงานทดแทนราคาน้ำมันก็จะลดลงหรือไม่ในอนาคตโอกาสน้ำมันที่จะหมดไป ก็มีมาก แต่ความต้องการอาหารของคนในโลกยังมีอยู่เพราะฉนั้นในอนาคต กลุ่มพลังงานด้านอาหารจึงเป็นปัจจัยสำคัญของพลเมืองในโลก ขาดน้ำมันเราอยู่ได้ แต่เมื่อใดขาดอาหารของกิน เราอยู่ไม่ได้ แน่นอน และที่มองข้ามไม่ได้คือการเชิญชวนของอดีตนายกทักษิณ ในสมัยที่ผ่านมา ที่ต้องการให้กลุ่มนายทุนพวกนี้เข้ามาถือกรรมสิทธิ์ในการเช่าระยะยาว


       การครอบครองโดยการเช่าจะไม่เหมือนกับการครอบครองโดยการซื้อก็จริงอยู่แต่ว่าสัญญาเช่าระยะยาวมันก็ไม่ต่างอะไรกับการครอบครองโดยการซื้อ หรือว่าการถือสิทธิ์โดยการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้วถือหุ้นโดยนอมินี ก็เหมือนกับ เป้นการใช้ช่องว่างทางกฏหมายเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการครอบครอง แล้วชาวนาไทยจะเหลืออะไรใว้ให้ลูกหลาน


        ในสมัยจอมพลป. พิบูลสงคราม ยกย่องชาวนาว่า ชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ  จนมาถึงปัจจุบัน ข้าวและชาวนามความผูกพันธ์และสำคัญต่อชาติไทย เพราะเป็นรากฐานของขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมที่สืบทอดมาหลายศตวรรษ มันฝังเข้ากระดูกดำของชาวนาไทยไปแล้ว
      ในเมือ  ชาวนาคือผู้ทำนาปลูกข้าวเลี้ยงเรามาจนเป็นหนุ่มสาวยันเราเฒ่าแก่ชรา ตามคำร้องจากเพลงแล้ว ถ้าเอาที่นาไปขายหรือให้คนอื่นเช่าแล้ว ชาวนาไทยจะเอาที่ใหนทำนา ซึ่งเป็นจุดที่น่าเป็นห่วงมากๆในอนาคต


       รัฐบาลน่าที่จะปลุกกระแส ชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ รักและหวงอาชีพชาวนา ดูแลประคับประคองชาวนาให้ยืนอยู่ได้กับอาชีพทำนา   ก่อนชาวนา และที่นา หมดไปจากประเทศไทย   


 
โดย ณสยาม

 
 
 
กลับไปที่ www.oknation.net   
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
jane1
Full Member
***

คะแนน 42
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 406



« ตอบ #103 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2010, 09:59:17 AM »

สอบถามแบบผู้ไม่รู้นะครับว่า
ทำไมชาวนา 1.ไม่รวมกลุ่มกันจัดตั้งเป็นสหกรณ์ เพื่อจะมีอำนาจต่อรองกับพ่อค้าคนกลาง
                  2. การปกครองส่วนท้องถิ่นน่าจะช่วยชาวนาในการจัดตั้งรวมกลุ่ม และคอยสนับสนุน
                      ในเรื่องความรู้ กลไกการตลาด วิทยาการใหม่ๆ จัดต้องกองทุน มีรถเกี่ยว รถดำนา เครื่องสูบน้ำ
                      ให้เช่าในราคาที่ถูกกว่าปัจจุบัน (ปัจจุบันราคารถเกี่ยวคิดที่ประมาณ 700-800 บาท/ไร่)
                       ซึ่งโครงการนี้สามารถร่างในเทศบัญญัติการปกครองส่วนท้องถิ่นได้
                  3.ทำไมชาวนาไม่ทดลองทำเกษตรปราณีตบ้าง ปัจจุบันทำแต่เกษตรเชิงเดี่ยว
ที่ผมถามนี้ไม่ได้ประชดใครแต่เป็นปัญหาที่ผมเคยถาม คุณอาผมที่เป็นชาวนา แต่แกก็ไม่สามารถตอบได้
เคยคิดจะเพราะปลูกอย่างอื่นก็สามาถปลูกได้ครับ พอปลูกแล้วดันไม่มีตลาดรองรับ
            และชาวนาส่วนใหญ่แถวบ้านผม อยุธยา-อ่างทอง ขายที่นาให้กับนายทุนกันไปเกือบหมดแล้ว
และสุดท้ายก็ต้องไปเช่านาที่เคยเป็นของตัวเองกับนายทุน ทำให้ราคาต้นทุนต่อไร่สูงขึน ครับ

บันทึกการเข้า

ตึกยังรู้พัง
สตางค์ยังรู้หมด
แต่ไมตรีอันสวยสด
ไม่มีหมดเหมือนสตางค์
กรรมกร
+แล้วนะคับ ... อย่าลืมทอนด้วยนะคับ 555
Hero Member
*****

คะแนน -964
ออฟไลน์

กระทู้: 1293



« ตอบ #104 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2010, 10:50:57 AM »

อย่างที่บอกล่ะครับ ... วิธีการ ผมว่า หลายๆท่านก็มีความรู้ ความสามารถ จะคิดได้

...... สหกรณ์เป็นเรื่องดี หลายประเทศที่เจริญแล้ว สหกรณ์เข้มแข็งมาก รัฐดูแลสนับสนุนอย่างเต็มที่



ยกตัวอย่างให้อันนึง ...

เทศบาลแห่งนึง ได้นายกฯที่เป็นคนชอบเล่นกีฬา สมัยนั้น

มีการจัดแข่งขันกีฬาทุกปี สนามหญ้ามีคนดูแลตัดหญ้า

เด็กๆมาเตะฟุตบอล เล่นกีฬากันทุกเย็น

... พอหมดสมัย เปลี่ยนนายกฯ บังเอิญคนนี้ ไม่ค่อยนิยมกีฬากลางแจ้ง นิยม "กีฬาทางน้ำในร่ม"

สนามหญ้าก็กลายเป็นทุ่งเลี้ยงวัว กีฬาที่เคยจัดประจำทุกปี ก็ค่อยๆเลิกไปทีละอย่างสองอย่าง

........ เอวัง  หัวเราะร่าน้ำตาริน



ในความเห็นผม ประเทศนี้มีปัญหาที่ "คน" และผู้นำในการ "พัฒนาคน"

จริงครับที่ว่าทุกอย่างให้เริ่มที่ตัวเองก่อน ... แต่ถ้าภาคส่วนใหญ่ในสังคม ไม่มีเจ้าภาพหรือผู้นำ

แล้วเมื่อไหร่จะเกิดความเป็นเอกภาพ ......... ต้องรอนานแค่ไหน  หัวเราะร่าน้ำตาริน
บันทึกการเข้า

ไร้คำกล่าว............................................
หน้า: 1 ... 4 5 6 [7] 8 9 10 ... 20
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.114 วินาที กับ 22 คำสั่ง