นายสมชายตอบเรื่องวิธีคิดของสุรชาติ บำรุงสุขนั้นไม่ถูกต้อง, แต่บอกไม่ได้ว่าข้อมูลข้างในนั้นถูกหรือผิด(โดยเฉพาะเรื่องกระบวนการปักปันเขตแดนในอดีต) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วหากวิธีคิดไม่ถูกต้อง การสรุปตรรกะจะเป๋ครับ...
เอาเรื่องวิธีคิดในกรอบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ(ด้วยภาษาบ้านๆ)เสียก่อน ตรงนี้ต้องขออธิบายเสียก่อนที่จะคิดไปไกล เดี๋ยวท่านอื่นจะงงไปใหญ่ครับ...
คือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ 2 ประเทศนั้น จะเริ่มจากข้อ 1 ไปจนข้อสุดท้ายตามข้างล่าง...
1) มีผลประโยชน์แห่งชาติเป็นที่ตั้ง... จะคิดยังไงก็ได้ ไม่ว่าจะอ้างความชอบธรรมตามศาสนา ความเชื่อ หรือความถูกต้องของกฎหมายหรือสัญญาข้อตกลงใดๆก็ตาม... ในที่สุดจะต้องรองรับผลประโยชน์แห่งชาติ,
2) ประเทศที่มีศักยภาพจะเสียงดังกว่า... โดยที่ศักยภาพของประเทศนั้นได้แก่แสนยานุภาพทางทหาร ความแข็งแกร่งของระบบเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี จำนวนประชากร ความสามัคคีของคนในชาติ ฯลฯ หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้ชาติอื่นต้องง้อ
3) ประเทศที่เสียงดังกว่า จะขอเปิดเจรจาตกลงได้ในทุกเรื่อง หากไม่ยอมเปิดเจรจา จะมีกระบวนการเรียงร้องความสนใจ...
4) กระบวนการเรียกร้องความสนใจมีได้ตั้งแต่ด้านเศรษฐกิจเช่น - โครงความช่วยเหลือ หรือบอยคอต, ด้านการเมือง - รวมเป็นแพคเช่นอาเซี่ยน, หรือแม้แต่ส่งทหารปะทะตามชายแดน - เช่นเขมรทำอยู่...
5) เมื่อได้รับความสนใจ ก็จะขอเปิดเจรจาตกลงกันใหม่ โดยสิ่งที่จะตกลงกันนั้นจะอยู่บนพื้นฐานว่า ใครง้อใคร - ฝ่ายนั้นเสียเปรียบ...
ดังนั้นสิ่งที่สุรชาติ บำรุงสุขพูดมาทั้งหมดนั้น ตัดเอาเฉพาะแค่บางส่วนแล้วเปิดเป็นประเด็นย่อยๆ ตั้ง 11 ประเด็น แต่ประเด็นทั้งหมดจะอยู่บนพื้นฐาน 5 ข้อที่นายสมชายยกมาข้างบนทั้งสิ้นครับ... และอยู่บนกฎธรรมชาติว่าใครง้อใคร ไทยง้อเขมร หรือเขมรง้อไทย...
แล้วเรื่องปราสาทพระวิหารเนี่ย มันแค่จิ๊กซอว์ส่วนเดียว โดยจิ๊กซอว์ส่วนใหญ่คือทรัพยากรในอ่าวไทยที่อยู่ในพื้นที่ทับซ้อน... ตรงนี้แหละที่เป็นสาเหตุให้เสียงของเขมรดังแรงเอาช่วงเวลานี้ ทั้งที่เขมรเงียบมานานเป็นศตวรรษแล้ว...
นายสมชายสรุปสุรชาติ บำรุงสุขมาได้เป็นเรื่องหลักๆคือ... ข้อ 1 ข้อ 5 เป็นเรื่องสัญญาความตกลงว่าจะแบ่งเขตแดนกันตรงไหน ระหว่างการใช้สันปันน้ำ หรือการใช้สัญญาที่อ้างว่ามีกรรมการผสมไทยฝรั่งเศสตกลงกัน, ข้อ 6 8 เป็นเรื่องที่ศาลโลกตัดสินแล้วว่าเขมรได้ปราสาท ไทยได้แผ่นดิน โดย ครม.ลากเส้นสำหรับบริหารจัดการปราสาทเอาไว้(ตรงนี้ไม่ใช่เขตแดนประเทศไทย), ข้อ 9 นอกเรื่องไปไกล, ข้อ 10 บอกว่า MOU 43 ยังใช้อยู่, ข้อ 11 บอกว่าเลือกไม่ถูกว่าจะแผนที่ตามข้อ 1 5 ฉบับไหนดีหว่า...
นายสมชายว่าสุรชาติ บำรุงสุข แยกประเด็นให้ชวนงง (ตามสูตรนักวิชาการที่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไร) แล้วชวนให้คนที่อ่านคิดตามจะหลงทางเลอะเทอะไปไกลครับ... หากใครคิดตามโดยไม่สรุปขมวดประเด็น ก็จะเปิดประเด็นใหม่เถียงกันแตกรากแก้วรากแขนงรากฝอยไปเรื่องไม่รู้จบ คนที่เข้ามาอ่านใหม่ก็ยิ่งงงไปใหญ่ ในที่สุดก็เบื่อเพราะเข้าใจยาก ผู้คนก็เลยปล่อยให้คนที่ เข้าใจว่ารู้ ลากลงคลองไปเลย...
พอโดนลากลงคลองไปแล้วก็มักจะสายไปครับ... แก้ไขไม่ได้ เลยปล่อยเลยตามเลย ยอมรับความซวยไปเลย... โหย มันโหดน่ะ...
ความเห็นนายสมชายว่าสิ่งที่รัฐบาลไทยสมควรทำ(เข้าใจว่ากำลังทำในทางลับ)ก็คือ...
1) เร่งประเมินศักยภาพของไทยเทียบกับของเขมร... รวมทั้งเรื่องพันธมิตรของเขมรที่มันอุตส่าห์เคาะกะลา เคาะชามข้าวด้วยการเปิดแนวยิงใส่ไทยเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาด้วย(มันเช็คดูว่ามีใครเข้าข้างมันมั่ง)...
2) ประเมินแล้วพิจารณาว่าใครง้อใครระหว่างไทยกับเขมร... ใครเสียงดังกว่า ฝ่ายที่เสียงค่อยกว่าจะต้องง้อ...
3) เมื่อประเมินแล้วพบว่าเขมรง้อไทย... ทุกเรื่องสามารถเจรจาได้ทั้งสิ้นครับ แม้แต่เส้นเขตแดนที่แผนที่ไม่ว่าจะสัญญาฉบับไหนบอกเอาไว้ แผนที่ฉบับไหนบอกเอาไว้ ไม่ว่าใครจะตกลงกับใคร หากเสียงดังกว่าตกลงใหม่ได้ทั้งสิ้น...
เรื่องสนธิสัญญา เรื่องความเชื่อ เรื่องอุดมการณ์ เรื่องความไม่พอใจ หรือที่เคยตกลงเอาไว้ทั้งหลายนั้น เป็นเรื่องอธิบายให้สวยเท่านั้น โดยตาม Realistic แล้วมันขอแก้ไขใหม่ได้ทั้งสิ้นครับ... ของจริงมันคือใครง้อใคร...
ประเทศไทยเหนือกว่าเขมรในทุกด้าน โดยประเด็นที่เขมรมาเสียงดังเอาเวลานี้ก็เพราะจาก 2 สาเหตุคือ 1) เขมรมีแหล่งทรัพยากรสำหรับเคาะกะลาเรียกพวก(ไทยก็มี), 2) เมืองไทยการเมืองไม่นิ่ง ไม่มีใครเป็นตัวยืนสำหรับพาประเทศไทยฝ่ามรสุมครับ(เขมรมันนิ่งกว่า)...
ภาพรวมมันเป็นแบบนี้ครับ...