เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 27, 2024, 03:50:29 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 ... 147 148 149 [150] 151 152 153 ... 158
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ทหารไทยปะทะเขมร เขาพระวิหาร ภูมะเขือ และแนวชายแดน สุรินทร์ บุรีรัมย์(4 ก.พ.54)  (อ่าน 341269 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 117 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
JUNGLE
ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
Hero Member
*****

คะแนน 1204
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17188


การต่อสู้คือชัยชนะ


« ตอบ #2235 เมื่อ: สิงหาคม 10, 2011, 05:01:44 PM »

เจ็บและตายกันบ่อย ๆ ก็ไม่ดีนะครับอาจารย์ ตกใจ  สงสัยต้องทำซีซาร์ลั่นสักนัดสองนัด ตกใจ

ปืนใหญ่ของเรา... ลั่นนัดเดียวก็พอแล้วครับ...





...แต่ต้องลั่นพร้อมๆ กันทั้งกรมนะครับ... ขำก๊าก ขำก๊าก ขำก๊าก

ไหว้

บันทึกการเข้า
พญาจงอาง +รักในหลวง+
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1870
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 10363



« ตอบ #2236 เมื่อ: กันยายน 20, 2011, 12:30:57 AM »

ถ้าข่าวนี้เป็นจริงก็ตามคาด หวังว่าเรานำอาวุธเหล่านี้กลับมาซ่อมบำรุงตามรอบปรกติ เศร้า ตกใจ
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000119477
บันทึกการเข้า

..The only thing neccessary for the triump of evil is for the good man to do nothing..
"สิ่งเดียวที่ทำให้คนชั่วได้รับชัยชนะ คือการที่คนดีๆนิ่งดูดาย "
INFANTRY - LONG LIVE THE KING
Full Member
***

คะแนน 121
ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #2237 เมื่อ: กันยายน 20, 2011, 09:18:37 AM »

ถ้าข่าวนี้เป็นจริงก็ตามคาด หวังว่าเรานำอาวุธเหล่านี้กลับมาซ่อมบำรุงตามรอบปรกติ เศร้า ตกใจ
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000119477

แหล่งข่าวที่ว่า...มั่วมากๆครับ

ในพื้นที่นี้...ไม่มีนาวิกโยธินแต่อย่างใด

กำลังทหารหลัก...ยังคงวางกำลังควบคุมพื้นที่อยู่ โดยเฉพาะพื้นที่ ๔.๖ ตร.กม.ครับ

ยังไม่มีการถอน หรือขยับแต่อย่างใด ยืนยันได้ครับ

ส่วนกำลังที่มีการขยับบางส่วน เป็นกำลังที่เตรียมไว้.....

และในสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันเป็นแบบนี้

ทหารจะทำอะไรได้ครับ...

เจ็บปวดใจ....
บันทึกการเข้า

" ขอรองบาท   ราชวงศ์   พงษ์จักรี
    จนชีวี          สูญสิ้น     ดินกลบกาย "

 " การป้องกันประเทศ  และพิทักษ์ราชบัลลังภ์
    จะต้องชนะหรือตายเท่านั้น  จะแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด"
Southlander
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 5711
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 48212



« ตอบ #2238 เมื่อ: กันยายน 20, 2011, 11:15:30 AM »

ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงนี่ ข่าว ผจก. สมควรโดนมั่งนะครับ มันเสียมเขาจริงๆตลอดหลายครั้งแล้ว

ถึงแม้เรื่องดีๆจะเคยมีมากมายแต่หลังๆนี้ เต้าข่าว เสียมเขา มันถี่ขึ้นๆๆๆ
บันทึกการเข้า

๏ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง  แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง
ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง   จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง
                      
                             โดย:นภาลัย สุวรรณธาดา พศ.๒๕๑๐
น้าเสก คนเดิม
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 712
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 14502


รับแขก...แจกเหล้า...เฝ้าสำนักงาน


« ตอบ #2239 เมื่อ: กันยายน 20, 2011, 11:26:40 AM »

ถ้าข่าวนี้เป็นจริงก็ตามคาด หวังว่าเรานำอาวุธเหล่านี้กลับมาซ่อมบำรุงตามรอบปรกติ เศร้า ตกใจ
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000119477

แหล่งข่าวที่ว่า...มั่วมากๆครับ

ในพื้นที่นี้...ไม่มีนาวิกโยธินแต่อย่างใด

กำลังทหารหลัก...ยังคงวางกำลังควบคุมพื้นที่อยู่ โดยเฉพาะพื้นที่ ๔.๖ ตร.กม.ครับ

ยังไม่มีการถอน หรือขยับแต่อย่างใด ยืนยันได้ครับ

ส่วนกำลังที่มีการขยับบางส่วน เป็นกำลังที่เตรียมไว้.....

และในสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันเป็นแบบนี้

ทหารจะทำอะไรได้ครับ...

เจ็บปวดใจ....

อยากจะ like สักพันครั้ง... เยี่ยม

ของจริงคือ...การสับเปลี่ยนกำลังครับ...ใครจะไปเตะบอลยังไง..ก็ชั่ง...ทหารก็คือทหารครับ...อันนี้อุ่นใจได้ เยี่ยม
บันทึกการเข้า

สหายเล็กน้อย
ความรักเป็นเรื่องตลก...อกหักเป็นเรื่องขำ ๆ
Hero Member
*****

คะแนน 2113
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 11510


...มีแต่ตัวกับหัวใจ... เธอจะรักฉันไหม ... !!!


« ตอบ #2240 เมื่อ: กันยายน 20, 2011, 11:51:18 AM »

...  เรื่องทหารไม่น่าเป็นห่วงหรอกครับ ... ทหารเขมรห่างกับเราหลายขุมนัก .........................ปะทะกันครั้งที่แล้ว ... ตายเป็นเบือ  จนต้องเกณฑ์เด็ก  เกณฑ์ชาวบ้าน มาเป็นทหาร .......................พี่ ๆ น้อง ๆ ทหาร ... ที่ไปสนามชายแดน ... บอกว่า ... ยิงจนขี้เกียจยิง  ยิงจนสงสาร ...  ถูกเขาเอาตัวมาเป็นเป้าเคลื่อนที่ ให้ยิงทิ้งเล่น ๆ ...ปล่าว ๆ ...  Grin Grin Grin
บันทึกการเข้า



...ล้มแล้วจงลุกใหม่...จนกว่าลูกแกะจะกลายเป็นราชสีห์...
โป้ง*กันบอย - รักในหลวง
YOU'LL NEVER WALK ALONE
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1629
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 16886


คนฮัก เต้าผืนหนัง........คนจัง เต้าผืนสาด


เว็บไซต์
« ตอบ #2241 เมื่อ: กันยายน 20, 2011, 11:54:36 AM »

 ไหว้ ไหว้ ไหว้
บันทึกการเข้า


ทิดเป้า
Hero Member
*****

คะแนน -1181
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 11916



« ตอบ #2242 เมื่อ: กันยายน 20, 2011, 04:40:25 PM »

ถ้าข่าวนี้เป็นจริงก็ตามคาด หวังว่าเรานำอาวุธเหล่านี้กลับมาซ่อมบำรุงตามรอบปรกติ เศร้า ตกใจ
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000119477

แหล่งข่าวที่ว่า...มั่วมากๆครับ

ในพื้นที่นี้...ไม่มีนาวิกโยธินแต่อย่างใด

กำลังทหารหลัก...ยังคงวางกำลังควบคุมพื้นที่อยู่ โดยเฉพาะพื้นที่ ๔.๖ ตร.กม.ครับ

ยังไม่มีการถอน หรือขยับแต่อย่างใด ยืนยันได้ครับ

ส่วนกำลังที่มีการขยับบางส่วน เป็นกำลังที่เตรียมไว้.....

และในสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันเป็นแบบนี้

ทหารจะทำอะไรได้ครับ...

เจ็บปวดใจ....
ไหว้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ยืนยันแล้วครับ...มั่นใจได้
บันทึกการเข้า

prawin -รักในหลวง-
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 273
ออฟไลน์

กระทู้: 1218



« ตอบ #2243 เมื่อ: กันยายน 20, 2011, 10:39:18 PM »

ถ้าข่าวนี้เป็นจริงก็ตามคาด หวังว่าเรานำอาวุธเหล่านี้กลับมาซ่อมบำรุงตามรอบปรกติ เศร้า ตกใจ
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000119477

แหล่งข่าวที่ว่า...มั่วมากๆครับ

ในพื้นที่นี้...ไม่มีนาวิกโยธินแต่อย่างใด

กำลังทหารหลัก...ยังคงวางกำลังควบคุมพื้นที่อยู่ โดยเฉพาะพื้นที่ ๔.๖ ตร.กม.ครับ

ยังไม่มีการถอน หรือขยับแต่อย่างใด ยืนยันได้ครับ

ส่วนกำลังที่มีการขยับบางส่วน เป็นกำลังที่เตรียมไว้.....

และในสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันเป็นแบบนี้

ทหารจะทำอะไรได้ครับ...

เจ็บปวดใจ....

ถ้าในแนวหน้าขาดเหลืออะไรบอกมาได้นะครับ    หลงรัก   http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=95237.1020
 
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000119839

รัฐบาลปูอย่าเพิ่งคันหู 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของไทย (อย่างเดียว)!?
 
 โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ 20 กันยายน 2554 16:03 น.
 
นับเป็นอีกครั้งในหลายครั้งที่กัมพูชายืนหยัดอย่างต่อเนื่องไม่เคยเปลี่ยนแปลงว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร เป็นของกัมพูชา โดยไม่เคยเรียกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน พื้นที่พิพาท หรือพื้นที่อื่นใด
       
       ในขณะประเทศไทยดูจะไม่มีความเชื่อมั่นและแสดงท่าทีอย่างอ่อนหัดอยู่ตลอดเวลาในเรื่องพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรมาโดยตลอด
       
       ภาคประชาชนในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกพื้นที่นี้ตามบรรพบุรุษไทยว่า “ดินแดนไทย”
       
       รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ในยามที่เป็นฝ่ายค้านจะเรียกพื้นที่บริเวณนี้ว่าเป็น “ดินแดนไทย” แต่เวลาเป็นรัฐบาลส่วนใหญ่จะเรียกพื้นที่นี้ว่า “พื้นที่พิพาท”
       
       ส่วนรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ดูจะสาหัสและอันตรายมากกว่านั้น เพราะวันที่ 16 กันยายน 2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นอกจากจะไม่กล้ายืนยันว่าเป็นของไทยแล้ว ยังให้ปฏิบัติตามคำสั่งและแนวทางของศาลโลก ต่อมาวันที่ 17 กันยายน 2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กแก้ไขสถานการณ์ยืนยันว่าเป็นของไทยแต่เนื่องจากต่างฝ่ายต่างอ้างจึงเรียกว่า “พื้นที่ทับซ้อน”
       
       ทั้งนี้ ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศ และทนายผู้ประสานงานคณะทนายฝ่ายไทยในคดีปราสาทพระวิหาร ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. 2502-2505 ได้เคยเขียนบทความ “4.6 ตารางกิโลเมตรไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน” เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554 ความตอนหนึ่งว่า:
       
       “เนื่องจากมีการกล่าวถึง “พื้นที่ทับซ้อน” ของไทย-กัมพูชาอย่างพร่ำเพรื่อและต่อเนื่อง ในฐานะที่ผมใกล้ชิดกับคดีปราสาทพระวิหารมาเป็นเวลากว่า 50 ปี ผมขอยืนยันว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรหาได้เป็นพื้นที่ทับซ้อน หรือพื้นที่พิพาทแต่ประการใด การกล่าวอ้างดังกล่าวจึงคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
       
       1. คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศปรากฏอย่างชัดเจนว่า กัมพูชาฟ้องเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารและพื้นที่ที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ แม้ต่อมากัมพูชาได้พยายามขยายคำฟ้องอีกหลายครั้งหลายหนให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องเขตแดนตามแผนที่ระวาง 1:200,000 ซึ่งเป็นแผนที่ที่กัมพูชาผนวกต่อท้ายคำฟ้อง แต่ศาลก็ได้ปฏิเสธทุกครั้งเนื่องจากศาลไม่มีอำนาจวินิจฉัยเกินคำฟ้องเดิม ถึงกระนั้นก็ตาม ผู้พิพากษารวม 4 ท่านได้มีคำวินิจฉัยอย่างชัดเจนในคำพิพากษาแย้งและคำพิพากษาเอกเทศว่าในบริเวณเขาพระวิหารนั้น เส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา (ฝรั่งเศสเดิม) อยู่ที่ขอบหน้าผาอันเป็นสันเขาที่ปันน้ำ
       
       2. ดังนั้น พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่อยู่ฝั่งไทยจึงเป็นของไทยโดยสิ้นเชิง รวมทั้งตัวปราสาทพระวิหารด้วย ส่วนอีกฟากฝั่งของเส้นสันปันน้ำ คือ เลยขอบหน้าผาไปเป็นเขมรต่ำ ศาลมิได้ชี้ขาดว่า ปราสาทพระวิหารมิได้อยู่ในฝั่งไทยของเส้นสันปันน้ำ ศาลเพียงแต่ลงมติเสียงข้างมากว่ากัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารตามหลักกฎหมายปิดปาก ซึ่งผมก็ได้เคยชี้แจงไว้แล้วว่า ศาลตัดสินผิดและไม่มีอำนาจบังคับคดี การที่ไทยยินยอมอนุญาตให้คนจากเขมรต่ำขึ้นมายังปราสาทพระวิหารโดยข้ามชายแดนไทยเข้ามานั้นเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของไทย แสดงว่าประเทศไทยมิได้เคยสละอำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารและยังคงสงวนอธิปไตยของไทยเสมอมา
       
       3. พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้น เป็นราชอาณาจักรไทยอยู่แล้ว ตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 เมื่อกัมพูชาพยายามขยายคำฟ้อง ศาลก็มิได้วินิจฉัยแต่ประการใด จึงไม่มีข้อสงสัยและไม่มีเหตุผลที่รัฐบาลไทยหรือผู้หนึ่งผู้ใดจะเข้าใจอย่างผิดพลาดว่า ส่วนหนึ่งส่วนใดของพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นพื้นที่พิพาทหรือพื้นที่ทับซ้อน หรือแม้แต่จะตั้งข้อสงสัยว่าเขมรมีส่วนเป็นเจ้าของซึ่งเท่ากับเป็นการหยิบยื่นอธิปไตยเหนือพื้นแผ่นดินไทยให้แก่กัมพูชา
       
       4. อนึ่ง พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้น เป็นของไทยโดยการปักปันเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว และบริเวณเขาพระวิหารเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาดงรัก (เขาบรรทัด) คณะกรรมการปักปันผสมไทย-ฝรั่งเศส ได้เห็นพ้องต้องกันว่าไม่ต้องมีการปักหลักเขต ทั้งนี้ เพราะแนวสันปันน้ำคือเส้นแบ่งเขตธรรมชาติที่ชัดเจน แน่นอน และถาวรตลอดไป”
       
       บทความที่กล่าวมาข้างต้นยังคงต้องนำมาใช้เตือนได้อีกหลายครั้ง เพราะนักการเมืองไทยเวลามาเป็นรัฐบาลมักจะไม่พยายามยืนยันหรือประกาศว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของประเทศไทย
       
       ในวันเดียวกันที่บทความของ ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล นี้ได้พิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2554 ก็ได้ปรากฏว่ากระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย ได้ออกแถลงการณ์กรณีธงกัมพูชาที่ปรากฏอยู่เหนือ “วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ” ความว่า:
       
       “ตามที่กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งราชอาณาจักรกัมพูชามีคำประกาศลงวันที่ 28 มกราคม 2554 เกี่ยวกับธงกัมพูชาที่ปรากฏอยู่เหนือ “วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ” นั้นกระทรวงการต่างประเทศขอแถลงดังนี้
       
       1. ตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543 (MOU 2543) อนุสัญญาและสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1904 และค.ศ. 1907 และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้สัญญาทั้งสองฉบับ ถือเป็นเอกสารทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการกำหนดเขตแดน ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่ยอมรับข้ออ้างของกัมพูชาว่าแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เป็นเอกสารที่จะกำหนดเขตแดน
       
       2. กัมพูชาได้ยอมรับในคำประกาศฉบับดังกล่าวว่า คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อปี 2505 (ค.ศ. 1962) มิได้ตัดสินในเรื่องเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา
       
       3. ประเทศไทยยืนยันว่า “วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ” ตั้งอยู่ในอาณาเขตไทย และเรียกร้องให้ประเทศกัมพูชารื้อถอนวัดแก้วฯ และปลดธงกัมพูชาที่ประดับเหนือวัดแก้วฯ ข้อเรียกร้องนี้เป็นการย้ำถึงการประท้วงหลายครั้งของไทยต่อกัมพูชาเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ในวัดแก้วฯ และบริเวณโดยรอบ ซึ่งล้วนเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย
       
       4. กระทรวงการต่างประเทศยืนยันอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นของไทยที่จะแก้ไขปัญหาเขตแดนกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยสันติวิธี ภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา การกำหนดเส้นเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารยังคงเป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างการเจรจาภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการฯ
       
       แถลงการณ์ดังกล่าวของกระทรวงการต่างประเทศ ถือเป็นแถลงการณ์แรก เป็นแถลงการณ์เดียว และเป็นแถลงการณ์สุดท้ายที่ยืนยันเส้นเขตแดนของประเทศไทยอย่างชัดเจนที่สุด
       
       แต่แถลงการณ์การยืนยันเส้นเขตแดนของประเทศไทยตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ไม่ถูกนำมาใช้ทั้งในเวทีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ อาเซียน หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอีกเลย นับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ไทยกลับเรื่อง MOU 2543 จนทำให้ฝ่ายไทยไม่ตอบโต้ใดๆ ได้อีก ดังนี้
       
       “1.อนุสัญญาปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ปี ค.ศ. 1907 ตั้งคณะกรรมการผสมปักปันเขตแดนระหว่างอินโด-จีนและสยาม คณะกรรมการฝรั่งเศส-สยามได้จัดทำแผนที่ 1:200,000 ขึ้นมาชุดหนึ่ง รวมถึงแผนที่ “ดงรัก” ซึ่งรวมปราสาทพระวิหาร ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอ้างถึงว่า แผนที่ “ผนวก 1”
       
       บันทึกความเข้าใจฯ ปี 2000 (MOU 2543) ข้อ 1 (ค) อ้างถึงอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 เช่นเดียวกันกับแผนที่ของงานจัดทำหลักเขตของคณะกรรมการผสมปักปันเขตแดนระหว่างอินโด-จีนและสยาม ที่ตั้งขึ้นภายใต้อนุสัญญาและสนธิสัญญาที่กล่าวถึง
       
       2. พื้นฐานคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ปี ค.ศ. 1962 ซึ่งโดยหลักการอาศัยแผนที่ “ผนวก 1” ได้ให้ความเห็นอย่างชัดเจน ดังต่อไปนี้:
       
       “ศาล อย่างไรก็ตาม เห็นว่าประเทศไทยในปี ค.ศ. 1908-1909 ได้รับยอมแผนที่ผนวก 1 ในฐานะเป็นผลงานของการปักปันเขตแดน และด้วยเหตุนี้จึงจดจำเส้นบนแผนที่นั้นในฐานะเป็นเส้นเขตแดน ผลคือวางพระวิหารในพื้นดินกัมพูชา” …
       
       “คู่ภาคี โดยการปฏิบัติ จดจำเส้นและด้วยเหตุนั้น เป็นผลเห็นชอบให้อ้างเส้นนั้นเป็นเส้นเขตแดน” …
       
       “อย่างไรก็ตาม ไม่มีเหตุผลที่จะคิดว่าคู่ภาคีได้แนบสิ่งสำคัญเป็นพิเศษใดลงไปยังเส้นสันปันน้ำ.. ศาล ด้วยเหตุนี้ รับรู้ขอบเขต ตามการตีความสนธิสัญญาที่จะประกาศความชอบของเส้นตามที่ลากไว้ในพื้นที่พิพาท”…ฯลฯ…
       
       ด้วยเหตุนี้ วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระตั้งอยู่บนพื้นดินกัมพูชาโดยชอบตามกฎหมาย และไม่มีเหตุผลใดที่กัมพูชาจะย้ายวัดนี้ไปไว้ที่อื่น และกัมพูชาจะยังคงปักธงชาติไว้ที่นั่น
       
       3. เป็นที่รับทราบอย่างดีในประเทศไทยว่า วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระสร้างโดยประชาชนของกัมพูชา ในปี ค.ศ. 1998 พร้อมธงของราชอาณาจักรกัมพูชาโบกเหนือวัดนี้นับแต่นั้น คำถามคือทำไมประเทศไทยเพิ่งจะเรียกร้องให้ปลดธงชาติกัมพูชาในเวลานี้ กระทั่งปัจจุบัน กัมพูชายังไม่เคยได้รับข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการจากประเทศไทย
       
       4. ความปรารถนาโดยบริสุทธิ์เพียงอย่างเดียวของกัมพูชา คือ การหาทางออกอย่างสันติกับประเทศไทยต่อการจัดทำหลักเขตแดนโดยยึดตามเอกสารทางกฎหมาย รวมถึงข้อตกลงของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) กัมพูชารักษาสิทธิที่จะปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของตนเอง ขณะที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ขู่จะประกาศสงครามต่อกัมพูชา”
       
       ความหมายแถลงการณ์ของกัมพูชาข้างต้นก็คือการใช้ “มูลฐาน” ของการตัดสินคดีปราสาทพระวิหารให้อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชานั้น มาจากการใช้กฎหมายปิดปากที่ไทยไม่ปฏิเสธแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 มาผนวกกับแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ซึ่งระบุเอาไว้ในข้อ 1 (ค) ตาม MOU 2543 ทำให้กัมพูชาถือว่าไทยต้องปฏิบัติตามแผนที่มาตรส่วน 1: 200,000 ในทุกระวาง
       
       ดังนั้นประเทศไทยจำเป็นต้องกำหนดยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนว่าจะเอาอย่างไรกับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในคดีการตีความหรือขยายความคำพิพากษาเมื่อปี พ.ศ. 2505 ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้และอาจจะตัดสินคดีในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ว่าจะเกิดประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน
       
       ถ้าเป็นคุณต่อประเทศไทย สูงสุดก็คือ “เสียดินแดนไม่เกินไปกว่าที่ได้สูญเสียไป”เมื่อปี พ.ศ. 2505
       
       ถ้าเป็นโทษต่อประเทศไทยก็คือการ “เสียดินแดนมากไปกว่าเดิม” เมื่อปี พ.ศ. 2505
       
       ภาษาการค้าก็คือมีแต่ “เจ๊งเท่าเดิม” หรือ “เจ๊งมากขึ้นกว่าเดิม”
       
       การที่รัฐบาลไทยได้เคยประท้วง คัดค้าน และสงวนสิทธิ์ต่อองค์การสหประชาชาติว่าจะทวงคืนปราสาทพระวิหาร เอาไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 นั้น เพราะไม่เห็นด้วยแม้กระทั่งมูลเหตุในการตัดสินคดีนี้ที่อ้างกฎหมายปิดปากในเรื่องแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 อันมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอยุติธรรมสนใจแต่เฉพาะกฎหมายปิดปากจน “ไม่พิจารณา” และ “ไม่กล่าวถึง” ประเด็นสำคัญที่ฝ่ายไทยได้ยกขึ้นต่อสู้ ในคำพิพากษาหลักเลย อันได้แก่
       
       1. สนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสระบุให้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน
       
       2. การเขียนแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ทำผิดพลาดในเรื่องสำคัญไม่สอดคล้องกับแนวสันปันน้ำที่แท้จริง
       
       3. ผลงานสำรวจและวิจัยทางวิทยาศาสตร์และธรณีวิทยาระบุอย่างชัดเจนว่าสันปันน้ำอยู่ที่ขอบหน้าผา
       
       4. บันทึกของฝรั่งเศสที่ระบุอย่างชัดเจนในการสำรวจว่า “สันปันน้ำอยู่ที่ขอบหน้าผามองเห็นได้จากตีนภูเขาดงรัก”
       
       ด้วยเหตุนี้ประเทศไทยจึงประท้วงและได้ตั้งข้อสงวนเอาไว้ อีกทั้งยังแสดงออกไม่เห็นด้วยกับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ โดยการไม่ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศโดยบังคับอีก นับตั้งแต่คดีปราสาทพระวิหารมาจนถึงปัจจุบันมากว่า 50 ปีมาแล้ว
       
       ดังนั้นหากประเทศไทยจะไปยอมรับอำนาจศาลโลกการตีความคำพิพากษาศาลโลกเมื่อปี พ.ศ. 2505 อีกครั้งในปี 2554-2555 โดยนิ่งเฉย ย่อมแสดงว่าประเทศไทย “กลับลำ” ไม่ปฏิเสธการที่ศาลโลกเคยใช้กฎหมายปิดปากกับประเทศไทยในกรณีแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 เป็นมูลฐานที่ใช้ตัดสินให้ไทยต้องพ่ายแพ้กับกัมพูชาทำให้ปราสาทพระวิหารตกอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาไปด้วย
       
       ซึ่งถือว่ามีสุ่มเสี่ยงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากปล่อยให้มีการตีความหมายคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่ว่า ให้ทหารไทยถอยออกจากพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทนั้นมีขอบเขตมากแค่ไหน!?
       
       ประเทศไทยจึงน่าจะเดินตามแนวทางของ ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล มากกว่าโดย “ไม่รับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ” โดยอ้าง “ข้อสงวนของประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2505” และ “ประเทศไทยไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับอำนาจศาลโลกโดยบังคับมาเกือบ 50 ปี” อีกทั้งการตีความครั้งนี้ถือเป็นการเปิดประเด็นใหม่เกินขอบเขตเดิม และไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาเดิมครบถ้วนแล้ว ดังนั้นประเทศไทยจึงไม่รับการตัดสินใดๆ เพิ่มเติมจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ประเทศไทยไม่เคยหยิบยกมาใช้เลยในการต่อสู้กับกัมพูชาในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ
       
       หรือรัฐบาลชุดนี้เชื่อเรื่องการใช้แนวทางเจรจาแบบสันติวิธี และยังคงรักษาอธิปไตยไทยได้ ก็จะต้องบรรลุเป้าหมาย 3 ประการแสดงให้ดูเป็นอย่างน้อยคือ
       
       1. ให้กัมพูชาถอนคดีปราสาทพระวิหารให้ออกจากการตีความที่ศาลโลก แล้วให้กลับมาเจรจากันใหม่โดยสองประเทศในกรอบเงื่อนไขใหม่
       
       2. ให้กัมพูชาถอนทะเบียนบัญชีปราสาทพระวิหารออกจากมรดกโลกและพื้นที่โดยรอบ (ซึ่งระบุว่าเป็นของกัมพูชาฝ่ายเดียว) แล้วจึงค่อยกลับมาเจรจากันใหม่ในเรื่องมรดกโลก
       
       3. ให้ชุมชนกัมพูชาถอยออกจากการรุกล้ำอธิปไตยในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร แล้วมาเจรจากันใหม่
       
       หากทำไม่ได้ตามนี้ก็แปลว่าสันติวิธีของรัฐบาลชุดนี้รักษาอธิปไตยไทยไว้ไม่ได้ หรือหากเสียดินแดนก็ถือว่าเป็นการสร้างสันติภาพโดยยกดินแดนให้ชาติอื่นเป็นของกำนัล
       
       ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เสียอธิปไตยเหนือดินแดนรอบปราสาทพระวิหาร “ในทางปฏิบัติ” ไปแล้ว ดังนั้นหากถึงขั้นเสียดินแดนในทางนิตินัยปีหน้าซ้ำอีก ก็ถือว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์และเพื่อไทยจะต้องรับผิดชอบทั้งคู่!

บันทึกการเข้า

คนดีไม่มีคำว่าเป็นกลาง เพราะคนดีแยกแยะความผิด ความชั่ว และความดีออกจากกันได้
เมื่อเราเป็นคนดี และเราเห็นอยู่แล้วว่าอะไรดี อะไรชั่ว  แล้วเราจะยืนอยู่เป็นกลางได้อย่างไร
การเป็นกลางในสภาวะที่แข่งกันระหว่างความดีและความชั่ว เรียกว่าความกลัวแห่งคนขี้ขลาด
หยุดกลัว หยุดขี้ขลาด

อ.เสรี วงษ์มณฑา 18/11/5
prawin -รักในหลวง-
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 273
ออฟไลน์

กระทู้: 1218



« ตอบ #2244 เมื่อ: กันยายน 24, 2011, 10:57:54 AM »

ถ้าข่าวนี้เป็นจริงก็ตามคาด หวังว่าเรานำอาวุธเหล่านี้กลับมาซ่อมบำรุงตามรอบปรกติ เศร้า ตกใจ
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000119477

แหล่งข่าวที่ว่า...มั่วมากๆครับ

ในพื้นที่นี้...ไม่มีนาวิกโยธินแต่อย่างใด

กำลังทหารหลัก...ยังคงวางกำลังควบคุมพื้นที่อยู่ โดยเฉพาะพื้นที่ ๔.๖ ตร.กม.ครับ

ยังไม่มีการถอน หรือขยับแต่อย่างใด ยืนยันได้ครับ

ส่วนกำลังที่มีการขยับบางส่วน เป็นกำลังที่เตรียมไว้.....

และในสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันเป็นแบบนี้

ทหารจะทำอะไรได้ครับ...

เจ็บปวดใจ....

อยากทราบว่า ตอนนี้รอบๆปราสาทพระวิหารเป็นอย่างไรบ้างครับ   ไหว้

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000121592

พื้นที่ 4.6 ตร.กม. เป็นของใคร ? ทำไมไทยถอนทหาร ? อยากรู้ความจริงให้ไปถาม “ผีอีเม้ย” !
 
 โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 24 กันยายน 2554 06:01 น
 
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-เชื่อแน่ว่าเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลายคนคงสับสนกับ “ตัวตน” ของนายกรัฐมนตรีประเทศไทย ระหว่าง “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ในทำเนียบรัฐบาล กับ “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ในเฟซบุ๊ก ที่มีความคิดความเห็นไม่ตรงกัน ว่าบุคคลทั้งสองจะเป็น “คนละคนเดียวกัน” หรือไม่
       
       แม้ว่าที่ผ่านมา ประชาชนจะมีความสับสนมากพออยู่แล้วว่า ใครกันแน่ที่เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับคนที่เร่ร่อนจรจัดอยู่นอกประเทศ หรือแม้กระทั่งรองนายกฯ บางคนที่ดูมีอำนาจคับประเทศอยู่ในขณะนี้
       
       ทั้งนี้ เรื่องของเรื่องสืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 16 ก.ย. ที่ผ่านมา หลังกลับจากเยือนกัมพูชา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาลถึงการหารือในประเด็นเขาพระวิหารและพื้นที่ทับซ้อนกับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่า ในส่วนของเขาพระวิหารไทยจะยึดแนวทางของจีบีซีตามแนวของศาลโลก ส่วนแนวของทหารนั้นจะมีการเสริมตำรวจเข้าไปแทนทหาร เพื่อที่จะมีกรรมการกลางในเรื่องของจีบีซีเข้ามาทำงานร่วมกัน ส่วนจะทำการถอนทหารเมื่อไหร่นั้น นายกฯ บอกว่า คงต้องให้หน่วยงานและคณะกรรมการทำการเจรจาจีบีซีทำงาน แต่โดยหลักการทางกัมพูชาก็เห็นชอบในเรื่องของการที่เขาจะปรับปรุงกำลังตามแนวชายแดนโดยปฏิบัติตามศาลโลก
       
       ทั้งนี้ เมื่อถามว่าในส่วนของพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร มีการเจรจากันอย่างไร นายกฯ ตอบว่า ยังไปถึงแค่หลักการตรงนี้ที่เหลือเรื่องก็อยู่ที่ศาลโลก ในส่วนของไทยเองก็ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง
       
       และเมื่อถามว่า ตกลงพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นของไทยหรือไม่ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ได้ตอบคำถามแบบ “กำกวม” คลุมเครือ ว่า...
       
       “ตรงนี้เรายังพูดไม่ได้ เพราะจะมีเรื่องของคณะกรรมการที่จะมีผลต่อศาลโลกในการให้ข้อมูล แต่เราเองก็จะทำหน้าที่ในการที่จะหารือกัน เพราะมีคณะกรรมการที่ตั้งไว้ในรัฐบาลที่แล้ว เราคงจะเดินหน้าต่อในการทำหน้าที่ และต้องมีผู้รู้ทางกฎหมายทำในเรื่องของการทำงานนี้ โดยยึดแนวการปกป้องรักษาอธิปไตยของประเทศไทย”
       
       ไม่รู้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ “โง่จริง” หรือแกล้งโง่ ที่ตอบคำถามไปในแนวทางที่ทำให้ประเทศไทยตกเป็นเบี้ยล่าง เป็นรอง และเสียเปรียบในเวทีระหว่างประเทศอย่างนี้ และแม้จะเป็นการตอบคำถามไปเรื่อยเปื่อย เป็นนกแก้วนกขุนทอง ตามแต่สติปัญญาและมันสมองของคนที่เป็นนายกฯ จะพึงมี แต่หากแปลไทยเป็นไทยก็คือ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไม่ยืนยันว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย พร้อมทั้งให้ยอมรับคำตัดสินของศาลโลกที่กำลังพิจารณาคำร้องของฝ่ายกัมพูชาที่เสนอให้ตีความคำพิพากษาของศาลโลกเมื่อปี 2505 ว่าครอบคลุมถึงพื้นที่ดังกล่าวด้วยหรือไม่
       
       แน่นอนว่างานนี้ ฝ่ายกัมพูชามีแต่กำไร ขณะที่ฝ่ายไทยมีแต่เสียเปรียบกับเสียเปรียบ และยิ่ง “นายกฯ ยิ่งลักษณ์” ไม่ยืนยันอธิปไตยและให้ยอมรับอำนาจศาลโลกมันก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ของฝ่ายไทยที่จะสูญเสียอธิปไตยมีสูงยิ่งขึ้นไปอีก แม้ว่าในวันรุ่งขึ้นจะมีการแก้ตัวผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยเขียนข้อความเสียงแข็งขึ้นมาว่า พื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นของไทย แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า “เป็นพื้นที่ทับซ้อน” ทั้งที่เป็นของไทยมาก่อน และไม่ยอมพูดถึงเรื่องศาลโลกตามที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ โปรดอ่านอีกครั้ง...
       
       “ในนามของหัวหน้ารัฐบาล ดิฉันขอยืนยันว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.เป็นดินแดนของไทย เนื่องจากไทยอ้างเป็นของไทย กัมพูชาอ้างเป็นของกัมพูชา ต่างคนต่างอ้างสิทธิ์ จึงเรียกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน รัฐบาลนี้จะแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนโดยวิถีทางการทูตตามหลักฐานและกฎหมายระหว่างประเทศ”
       
       แม้ว่า “น.ส.ยิ่งลักษณ์” ในเฟซบุ๊กจะออกมาแก้ตัวแทน “น.ส.ยิ่งลักษณ์” ในทำเนียบ ที่ปากเปราะพูดจาทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบเขมร แม้จะแก้ตัวเสียงแข็งอย่างไร มันก็กลายเป็นว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรของไทยโดยสมบูรณ์นั้น กลับต้องขึ้นอยู่กับการชี้ขาดของศาลโลกเท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีประเทศไหนให้เข้ามาตัดสินข้อพิพาทดินแดนระหว่างประเทศ ยกเว้นจะได้รับความยินยอมจากประเทศคู่กรณี ดังตัวอย่างกรณีปราสาทพระวิหาร ที่ไทยเสียรู้ให้กับประเทศมหาอำนาจเมื่อปี 2505 และอำนาจของศาลโลกในเรื่องดังกล่าวก็ได้สิ้นสุดลงไปแล้ว
       
       คำแก้ตัวผ่านเฟสบุ๊ก โดยอ้อมแอ้มว่าพื้นที่ 4.6 เป็นของไทยจริง แต่มันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะพลาดไปแล้ว หนำซ้ำยังยอมรับอำนาจของศาลโลกให้มาชี้ขาดอธิปไตยเหนือดินแดนดังกล่าว พูดจากใจจริง ไม่มีผู้นำที่ไหนเขาโง่แบบนี้
       
       ทั้งนี้ หากพิจารณาจากคำพูดของ “น.ส.ยิ่งลักษณ์” ในทำเนียบ ที่ไม่ยืนยันอธิปไตยของไทยในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร ความเคลื่อนไหวของทักษิณที่เดินทางไปเยือนกัมพูชา รวมถึงการที่ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ต่างชาติเข้าพบหารือกับผู้นำไทยที่ทำเนียบรัฐบาลในเวลาไล่เลี่ยกัน มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะถูกตั้งข้อสงสัยว่านี่คือ “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่ผี “อีเม้ย” เจาะปากให้ใครบางคนพูดแต่คำว่า “เป็นพื้นที่ทับซ้อน” ในแผนการ “ยกดินแดนให้” เพื่อแลกเปลี่ยน เป็นลักษณะ “ต่างตอบแทน” ไม่มีผิด!
       
       หากเป็นแบบนั้น ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าอัปยศอดสูยิ่งนัก เพราะนอกจากตัวผู้นำจะถูกปรามาสในเรื่องความ “ไร้กึ๋น” ไร้ฝีมือในการบริหาร อยู่ในชั้น “อนุบาล” ทางการเมืองแล้ว ยัง “ไร้จิตสำนึก” ยอมเป็นเครื่องมือให้กับกลุ่มผลประโยชน์ โดยไม่สนใจกับอธิปไตยของชาติ
       
       อย่างไรก็ตาม เรื่องพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร ได้กลายเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจ และเกิดความสงสัย เพราะมีรายงานข่าวว่า ในระหว่างการเดินทางเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 15 ก.ย.54 นายฮุนเซนได้ย้ำกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประเด็นพื้นที่ปราสาทพระวิหารในสองเรื่องหลัก คือ 1.พื้นที่ 4.6 ตร.กม. เป็นของกัมพูชา 2.ต้องถอนทหารออกจากเขตปลอดทหารตามกำหนดในมาตรการชั่วคราวของศาลโลก และรับผู้สังเกตการณ์อินโดนีเซียเข้าประจำพื้นที่ พร้อมเสนอให้สองฝ่ายใช้คำว่า “ปรับกำลัง” แทนการถอนทหาร
       
       ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประกาศิตของ “จิ้งจอกพนมเปญ” หรือไม่ ที่ทำให้หลังจากเสร็จกิจ สิ้นการเยือนกัมพูชา และเดินทางกลับถึงประเทศไทย “คนสวย” จึงได้ให้สัมภาษณ์แบบ “เง่าๆ” แต่ดันไปเข้าทางนายฮุนเซนพอดิบพอดี โดยตัวเธอไม่ยืนยันว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย พร้อมทั้งให้ยอมรับคำตัดสินของศาลโลกอีกต่างหาก แม้ในวันต่อมา อีกภาคของนายกฯ ในโลกออนไลน์จะรีบออกมาแก้ตัวผ่านเฟซบุ๊กก็ตามที
       
       แม้ว่า “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม จะออกโรงมา “สำทับ” อีกว่า...
       
       “ในวันนี้นายกรัฐมนตรีโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทย ผมก็ยืนยันตามนายกรัฐมนตรีพูด และขอยืนยันซ้ำว่าพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นพื้นที่ของประเทศไทย เรายังมีอธิปไตยเหนือดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร เพราะตอนนี้พื้นที่ดังกล่าวยังมีการวางกำลังทหารอยู่ ยังมีการปฏิบัติการของทหารไทยอย่างต่อเนื่อง เรายังไม่มีการถอนทหารออกจากพื้นที่”
       
       เหตุที่ นายกฯ เฟซบุ๊กและรมว.กลาโหม ต้องย้ำเรื่องพื้นที่ดังกล่าว ก็เนื่องจาก นายกฯ ในทำเนียบตอบคำถามเรื่องพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ไม่เคลียร์ หรือเรียกอีกอย่างว่า “ไม่เหมาะสม” นั่นแหละ
       นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเกี่ยวเนื่องที่ต้องจับตามองก็คือ ขณะที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ออกมายืนยันว่า กำลังทหารไทยยังคงอยู่ในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเพราะถือเป็นดินแดนไทย แต่ล่าสุดกลับมีรายงานข่าวว่า เมื่อกลางดึกวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา ทหารไทยได้ถอนกำลังรถถัง 17 คัน ที่รักษาอธิปไตยตามแนวชายแดนไทย- กัมพูชา บริเวณใกล้ปราสาทพระวิหาร ออกจากพื้นที่แล้ว โดยสื่อมวลชนถูกห้ามถ่ายภาพการถอนกำลังครั้งนี้อย่างเด็ดขาด
       
       ทั้งนี้ สำนักข่าวฟิฟทีนมูฟ เปิดเผยว่า แม้ “แม่ทัพภาค 2” และ “ รมว.กลาโหม” ยืนยันไม่ถอนทหารออกจากพื้นที่เขาพระวิหารหลังการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ตรงกันข้ามได้มีการถอนกำลังสนับสนุนออกจากพื้นที่รอบนอกทั้งหมด พร้อมจัดพิธีส่งที่กองร้อย ตชด. 224 ตกค่ำลอบส่งรถขนรถถัง-ปืนใหญ่ลำเลียงออกจากพื้นที่ร่วม 40 คัน เป็นการถอนกำลังหลักทั้งหมด คงหน่วยย่อยใน 4.6 แค่หย่อมเดียว
       
       โดยเมื่อค่ำวัน17 ก.ย.ที่ผ่านมา แหล่งข่าวฟิฟทีนมูฟในพื้นที่ใกล้ปราสาทพระวิหาร รายงานว่า ตลอดวัน ทหารไทยได้ถอนกำลังออกจากพื้นที่รอบนอกของเขาพระวิหาร โดยเมื่อเวลา 15.00น. ที่กองร้อย ตชด. 224 ซึ่งอยู่ติดกับกรมทหารพรานที่ 23 บ้านน้ำเย็น ได้มีการตั้งแถวและทำพิธีส่งทหาร พร้อมมีรถขนส่งทหารจำนวนมากรอลำเลียงทหารกลับหน่วยเดิม ซึ่งคาดว่า ณ ขณะที่รายงานมีการถอนกำลังออกทั้งหมดแล้ว และเมื่อเวลา 19.30 น. มีการนำรถขนรถถังขนาดใหญ่มากกว่า 10คัน เดินทางมุ่งหน้าขึ้นเขาพระวิหาร เพื่อลำเลียงรถถังกลับลงมา โดยเมื่อเวลา 20.30น. รถขนรถถังดังกล่าวได้ลำเลียงรถถังใหญ่ รถถังเล็ก และปืนใหญ่ชนิดต่าง ๆ ออกจากพื้นที่
       
       ทั้งนี้ แหล่งข่าวระบุว่า มีการลำเลียงรถถังลงมาประมาณ 30-40คัน ซึ่งเป็นทั้งหมดที่กองทัพส่งเข้าประจำการในพื้นที่ โดยระหว่างการลำเลียงชาวบ้านที่พักอาศัยห่างถนนสายกันทรลักษ์-เขาพระวิหาร ในรัศมี 1-2ก.ม. ต่างตื่นตกใจเนื่องจากแรงสั่นสะเทือนของพื้นถนนระหว่างการลำเลียง
       
       แหล่งข่าวยังรายงานด้วยว่า แม้การถอนทหารดังกล่าวเป็นการถอนกองสนับสนุนที่อยู่รอบนอก แต่กองกำลังสนับสนุนดังกล่าวเป็นกองกำลังหลักที่มีกำลังทหารมากสุด มีอาวุธยุทโธปกรณ์หนัก ทั้งรถถังและปืนใหญ่ประจำการ ขณะที่หน่วยทหารซึ่งประจำการอยู่ในบางส่วนของพื้นที่ 4.6 ตร.กม. และใกล้เคียงเป็นเพียงกองกำลังย่อยเท่านั้น
       
       สรุปว่าบ้านนี้เมืองนี้จะเชื่อใจใครได้หรือไม่ แม้แต่เรื่องการ “ถอนทหาร” ออกมาจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร ตอนแรก “ทหารกุนเชียง” พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาค 2 ที่คุมพื้นที่บอกว่า สถานการณ์ทุกอย่างยังเป็นปกติ ยังไม่มีการปรับหรือถอนกำลังทหารของทั้ง 2 ฝ่าย ออกจากแนวชายแดนเขาพระวิหารแต่อย่างใด ส่วนที่มีกระแสข่าวว่ามีการถอนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ออกจากพื้นที่นั้น เป็นเพียงแค่การสับเปลี่ยนกำลังพล และอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ที่เป็นอยู่เท่านั้น ไม่ได้มีการถอนกำลังหรืออาวุธยออกจากพื้นที่แนวชายแดนแต่อย่างใด
       
       ต่อมา ทาง ผบ.ทบ.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็สำทับยืนยันอีกแรงทำนองเดียวกันว่า เป็นแค่การเปลี่ยนกำลังให้ทหารได้พักฟื้นร่างกาย แต่ล่าสุดกลายเป็นมีข่าวจากกัมพูชายืนยันว่า ทั้งสองฝ่ายได้ถอนกำลังออกไปแล้ว และแม้แต่ รมว.กลาโหม พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ก็กล่าวว่าทางฝ่ายกัมพูชาได้เคลื่อนย้ายทหารที่เป็น “กองหนุน” พร้อมยุทโธปกรณ์ออกไปแล้ว ซึ่งนั่นก็ต้องหมายความว่าฝ่ายไทยก็ต้องถอยออกมาเช่นเดียวกัน
       
       ในสถานการณ์อย่างนี้ ผู้ที่เป็นความหวังและเป็นที่พึ่งหนึ่งเดียวที่จะพูดความจริงกับประชาชนก็คือนายกรัฐมนตรี แต่พอหันไปทาง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เธอกลับนิ่งเฉย และเมื่อผู้สื่อข่าวซักถามถึงความชัดเจนต่อข่าวไทยถอนทหารออกจากพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร เธอก็กล่าวเพียงสั้นๆว่า “ไม่ทราบค่ะ”
       
       และยิ่งเมื่อถามถึงการเดินทางไปกัมพูชาของ “นช.ทักษิณ” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ตอบเพียงสั้นๆ แต่มีความหมายเหมือนเดิมว่า “ไม่ทราบค่ะ ดิฉันก็ไม่ได้ทราบค่ะ”
       
       ต่อไปนี้ ถ้าประชาชนอยากรู้เรื่องอะไรก็ให้ไปถาม “ผีอีเม้ย” ก็แล้วกัน !

 
 
 
 
บันทึกการเข้า

คนดีไม่มีคำว่าเป็นกลาง เพราะคนดีแยกแยะความผิด ความชั่ว และความดีออกจากกันได้
เมื่อเราเป็นคนดี และเราเห็นอยู่แล้วว่าอะไรดี อะไรชั่ว  แล้วเราจะยืนอยู่เป็นกลางได้อย่างไร
การเป็นกลางในสภาวะที่แข่งกันระหว่างความดีและความชั่ว เรียกว่าความกลัวแห่งคนขี้ขลาด
หยุดกลัว หยุดขี้ขลาด

อ.เสรี วงษ์มณฑา 18/11/5
INFANTRY - LONG LIVE THE KING
Full Member
***

คะแนน 121
ออฟไลน์

กระทู้: 185


« ตอบ #2245 เมื่อ: กันยายน 24, 2011, 05:57:39 PM »

ทหารราบ...เป็นกำลังหลักที่ใช้ยึดควบคุมพื้นที่

ไม่ใช่...รถถังครับ(รถถัง หรือยานเกราะมักใช้ในภารกิจแบบไหน...ลองค้นดูซิครับ)

ส่วนการถอนทหาร....ถ้ามีคำสั่งจากรัฐบาล

รัฐบาลนั่นแหล่ะครับ...ต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะต้องตอบคำถามประชาชนคนไทยให้ได้


ปล. ตอนนี้ยังมีทหารราบอยู่ในพื้นที่๔.๖ตร.กม.ครับ(ไม่ใช่เป็นหย่อม หรือหยิบมือ)
       
       สำหรับเรื่องข่าว...ก็อยู่ที่ใครจะหยิบประเด็นไหนมาผูกโยงให้ตัวเองได้ประโยชน์ครับ
บันทึกการเข้า

" ขอรองบาท   ราชวงศ์   พงษ์จักรี
    จนชีวี          สูญสิ้น     ดินกลบกาย "

 " การป้องกันประเทศ  และพิทักษ์ราชบัลลังภ์
    จะต้องชนะหรือตายเท่านั้น  จะแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด"
prawin -รักในหลวง-
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 273
ออฟไลน์

กระทู้: 1218



« ตอบ #2246 เมื่อ: กันยายน 30, 2011, 08:27:20 PM »

สรุปถอนทหารออกจากพื้นที่แล้วจริงๆแล้ว ใช่หรือไม่ครับ
ดีแล้วครับเครียดมาหลายเดือนจะได้กลับไปพบหน้าลูกเมียบ้าง  ไหว้

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000124670

“มทภ.2” รับถอนทหารพ้น “เขาวิหาร” หลายพันนาย - อ้าง รบ.2 ประเทศสัมพันธ์ดี 
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 กันยายน 2554 16:34 น.
 
ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - “มทภ.2” รับ ไทย-กัมพูชา ถอนกำลังทหารออกจากชายแดนด้านเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ ไปมากแล้ว ระบุ เขมรถอนกำลัง 4,000 นาย ขณะฝ่ายไทยกว่า 2,000 นาย เหตุรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดี ยันจุดเขตปลอดทหารตามคำสั่งศาลโลก ยังมีกำลังอยู่ตามเดิม เผย “วัดธรรมกาย” จัดทำบุญตักบาตรพระ 3,000-4,000 รูป ร่วมเขมร ที่ ช่องสะงำ 9 ต.ค.นี้
       
       วันนี้ (30 ก.ย.) ที่สโมสรร่วมเริงไชย ภายในค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 อ.เมือง จ.นครราชสีมา พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 (มทภ.2) กล่าวถึงการปรับลดกำลังทหารตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน เขาพระวิหาร อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ว่า ที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาได้มีการปรับกำลังทหารออกจากพื้นที่ไปมาก เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไร หากรัฐบาลพูดคุยและเจรจากันได้ดี เพราะกำลังพลที่อยู่ตามแนวชายแดน อยู่กันเฉยๆ ก็ต้องใช้เงินงบประมาณ เราควรนำงบประมาณส่วนนี้ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นจะดีกว่า เช่น การปรับปรุงยุทโธปกรณ์ ให้ทันสมัยหรือดีขึ้น
       
       แต่ในจุด A, B, C, D ที่ศาลโลกกำหนดให้เป็นเขตปลอดทหารตามมาตรคุ้มครองชั่วคราวในคดีกัมพูชายื่นฟ้องให้ตีความคำพากษาคดีปราสาทพระวิหาร ปี 2505 ก็ยังอยู่เหมือนเดิมยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จนกว่าต่อเมื่อมีการประชุมหารือและตกลงกันให้เสร็จเรียบร้อยค่อยดำเนินการกันต่อไป คือ ต้องให้ทุกฝ่ายมีความเสมอภาคซึ่งกันและกัน หากยังมีการได้เปรียบเสียเปรียบกันอยู่ ก็คงต้องอยู่ด้วยกันต่อไปก่อน
       
       อย่างไรก็ตาม ขอยืนยันว่า แม้จะมีการปรับกำลังตอนนี้ก็ไม่มีอะไร เพราะปกติสิ้นปีงบประมาณพวกเก่าไปพวกใหม่ก็มาอยู่แล้ว ก็เป็นเรื่องปกติในส่วนนี้ จากรายงานทราบว่า ทางฝ่ายกัมพูชามีการปรับกำลังพลออกไปแล้วประมาณ 3,000-4,000 คน ส่วนฝ่ายไทยเรามีการปรับกำลังพลไม่มาก ประมาณกว่า 2,000 คน แต่ก็มีชุดใหม่เข้ามาเสริม เพราะการหมุนเวียนหน่วยต่างๆ ที่มาไกลก็ให้กลับไปหมุนเวียนและบางส่วนก็มีหมุนเวียนไปทางภาคใต้ ซึ่งเป็นวงรอบอยู่แล้ว
       
       พล.ท.ธวัชชัย กล่าวอีกว่า ส่วนการค้าขายตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เข้าสู่ภาวะปกติหมดแล้ว ประชาชนทั้ง 2 ประเทศ มีการค้าขายกันตามปกติไม่มีความหวาดวิตกแต่อย่างใด ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี และในเร็ว ๆ นี้จะมีการจัดกิจกรรมเชื่อมสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ที่บริเวณด่านผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา ช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ โดยจะมีการทำบุญตักบาตรพระ 3,000-4,000 รูป ในวันที่ 9 ต.ค.2554 นี้ จัดขึ้นโดยวัดพระธรรมกาย ซึ่งทางสาขาวัดเป็นผู้ดำเนินการ แต่ฝ่ายทหารเราได้อำนวยความสะดวกให้

 
 
 
 
บันทึกการเข้า

คนดีไม่มีคำว่าเป็นกลาง เพราะคนดีแยกแยะความผิด ความชั่ว และความดีออกจากกันได้
เมื่อเราเป็นคนดี และเราเห็นอยู่แล้วว่าอะไรดี อะไรชั่ว  แล้วเราจะยืนอยู่เป็นกลางได้อย่างไร
การเป็นกลางในสภาวะที่แข่งกันระหว่างความดีและความชั่ว เรียกว่าความกลัวแห่งคนขี้ขลาด
หยุดกลัว หยุดขี้ขลาด

อ.เสรี วงษ์มณฑา 18/11/5
Abbbb
Full Member
***

คะแนน 11
ออฟไลน์

กระทู้: 141


« ตอบ #2247 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2011, 04:18:46 PM »

อยู่ที่รัฐบาลครับว่าบริหารบ้านเมืองเป็นหรือเปล่า
บันทึกการเข้า
BalTaZA
อนาถจิตตลอด ศก.
Sr. Member
****

คะแนน 84
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 573


ปืนเมียเท่านั้น กำ...


« ตอบ #2248 เมื่อ: ธันวาคม 16, 2011, 01:16:43 PM »

ขุดขึ้นมา....
มันมาซ่ากับไทยอีกแล้ว

http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=105970.0
บันทึกการเข้า
prawin -รักในหลวง-
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 273
ออฟไลน์

กระทู้: 1218



« ตอบ #2249 เมื่อ: มิถุนายน 29, 2012, 04:43:01 PM »

พื้นที่ในทะเลหมู่เกาะสแปรตลีย์ หมู่เกาะพาราเซล ประเทศเพื่อนบ้านเราเค้ายังกล้ามีเสียงกับจีน แต่...ประเทศสารขันธ์มีปราสาทอยู่บนหน้าผา แต่โดนประเทศด้อยพัฒนาปีนมายึดครอง เฮ้อ!!! Huh

http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9550000079609

เผยอุโมงค์เรือดำน้ำจีน ย่อง 20 นาที ถึงทะเลจีนใต้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   29 มิถุนายน 2555 08:28 น



Uploaded with ImageShack.us
เรือดำน้ำ 'ฉางเฉิง 218' ของนาวีจีน ที่ชิงเต่า มณฑลซันตง (แฟ้มภาพ เอเอฟพี)



ASTVผู้จัดการออนไลน์—ขณะอุณหภูมิศึกชิงเกาะ ข้อพิพาทกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนหมู่เกาะสแปรตลีย์แห่งทะเลจีนใต้กำลังระอุไม่เบา โดยเฉพาะระหว่างจีนและเวียดนาม ในวันพุธ(27 มิ.ย.) กลุ่มสื่อจีนอ้างแหล่งข่าวกรองการทหารกระทรวงกลาโหมแห่งสหรัฐอเมริกา หรือเพนทากอน ระบุจีนได้จัดตั้งระบบติดตามในทะเลครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางแบบใหม่ ประกอบด้วยเครือข่ายเสียงโซนาร์ดักฟังใต้น้ำ รวมทั้งระบบเรดาร์ที่ฐานนาวีใต้ทะเลและบนพื้นดิน
       
       ระบบฯดังกล่าวจะเพิ่มอุปสรรค์ต่อกองเรือพิทักษ์เรือดำน้ำและการติดตามเรือดำน้ำจีนของสหรัฐฯ
       
       ทั้งนี้ จีนมีประวัติศาสตร์ยาวนานในการสร้างเรือดำน้ำ จากปีค.ศ.1952 จีนได้จัดตั้งฐานเรือดำน้ำแห่งแรกที่เกาะชิงเต่า มณฑลซันตงแห่งชายฝั่งตะวันออกของจีน จากแหล่งข่าวสื่อต่างประเทศ ขณะนี้จีนได้ใช้เกณฑ์บทบาทและประเภทของเรือดำน้ำในการวางแผนจัดตั้งฐานทัพเรือดำน้ำต่างๆ ได้แก่ ฐานทัพเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ 2 แห่ง ฐานทัพเรือดำน้ำพลังงานดีเซลและไฟฟ้า 5 แห่ง และฐานฝึกซ้อม 1 แห่ง
       
       ในจำนวนนี้ มีฐานทัพเรือดำน้ำที่มีชื่อเสียง 4 แห่ง ได้แก่ ฐานทัพที่เกาะเสี่ยวผิง เมืองต้าเหลียน มณฑลเหลียวหนิง ฐานทัพฯเจียงเก๋อจวง เกาะชิงเต่า มณฑลซันตง ฐานทัพที่ย่าหลงวัน เมืองซันย่า มณฑลไห่หนันและฐานทัพแห่งใหม่ล่าสุดที่อี๋ว์หลิน มณฑลไห่หนัน (หรือ ไหหลำ)
       
       สำหรับฐานทัพนาวีอี๋ว์หลินยังเป็นท่าเรือใหญ่ (home port) แห่งที่สอง ของเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ 094 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด
       
       สื่ออังกฤษ Jane's Defence Weekly อ้างภาพถ่ายดาวเทียม ‘กูเกิล เวิร์ลด์’ ระบุว่าฐานทัพนาวีอี๋ว์หลิน มีอุโมงค์เรือดำน้ำ 11 แห่ง อุโมงค์แต่ละแห่งพุ่งตรงไปยังเขตป่าลึก นักวิเคราะห์ในเพนทากอนชี้ว่า อุโมงค์เรือดำน้ำทอดยาวจากเขตป่าดงอันสลับซับซ้อนไปยังใต้ทะเลในทะเลจีนใต้ ใช้เวลาเพียง 20 นาที ก็ดำลึกถึงเขตชั้นในของทะเลจีนใต้
       
       เรือดำน้ำยุทธสาสตร์ของจีนสามารถกบดานอยู่ใต้น้ำโดยที่ไม่โผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำเลย สามารถออกจากอู่ในเขตป่าดง ตรงดิ่ง เพียง 20 นาที ก็ถึงบริเวณชั้นในของทะเลจีนใต้ ทำให้การติดตามเรือดำน้ำพลังนิวเคลียร์ของจีนทางอากาศเป็นไปได้ยากลำบากขึ้น
       
       ทั้งนี้ ศึกพิพาทกรรมสิทธิ์เหนือดินแดนเกาะในทะเลจีนใต้ ได้แก่ หมู่เกาะสแปรตลีย์ หมู่เกาะพาราเซล และแนวปะการังต่างๆ ซึ่งเชื่อกันว่าอุดมไปด้วยทรัพยากรก๊าซธรรมชาติ มีคู่กรณี ได้แก่ จีน,เวียดนาม,มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, บรูไน, ฟิลิปปินส์ รวมทั้งไต้หวัน .



Uploaded with ImageShack.us
แผนที่แสดงหมู่เกาะพิพาทในทะเลจีนใต้ ได้แก่ หมู่เกาะสแปรตลีย์ หมู่เกาะพาราเซล ที่มีชาติเพื่อนบ้านเอเชียอ้างกรรมสิทธิ์ ได้แก่ จีน,เวียดนาม,มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, บรูไน, ฟิลิปปินส์, ไต้หวัน

บันทึกการเข้า

คนดีไม่มีคำว่าเป็นกลาง เพราะคนดีแยกแยะความผิด ความชั่ว และความดีออกจากกันได้
เมื่อเราเป็นคนดี และเราเห็นอยู่แล้วว่าอะไรดี อะไรชั่ว  แล้วเราจะยืนอยู่เป็นกลางได้อย่างไร
การเป็นกลางในสภาวะที่แข่งกันระหว่างความดีและความชั่ว เรียกว่าความกลัวแห่งคนขี้ขลาด
หยุดกลัว หยุดขี้ขลาด

อ.เสรี วงษ์มณฑา 18/11/5
หน้า: 1 ... 147 148 149 [150] 151 152 153 ... 158
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.253 วินาที กับ 22 คำสั่ง