แหล่งข่าวที่ว่า...มั่วมากๆครับ
ในพื้นที่นี้...ไม่มีนาวิกโยธินแต่อย่างใด
กำลังทหารหลัก...ยังคงวางกำลังควบคุมพื้นที่อยู่ โดยเฉพาะพื้นที่ ๔.๖ ตร.กม.ครับ
ยังไม่มีการถอน หรือขยับแต่อย่างใด ยืนยันได้ครับ
ส่วนกำลังที่มีการขยับบางส่วน เป็นกำลังที่เตรียมไว้.....
และในสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันเป็นแบบนี้
ทหารจะทำอะไรได้ครับ...
เจ็บปวดใจ....
ถ้าในแนวหน้าขาดเหลืออะไรบอกมาได้นะครับ
http://www.gunsandgames.com/smf/index.php?topic=95237.1020 http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000119839รัฐบาลปูอย่าเพิ่งคันหู 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของไทย (อย่างเดียว)!?
โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ 20 กันยายน 2554 16:03 น.
นับเป็นอีกครั้งในหลายครั้งที่กัมพูชายืนหยัดอย่างต่อเนื่องไม่เคยเปลี่ยนแปลงว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหาร เป็นของกัมพูชา โดยไม่เคยเรียกว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน พื้นที่พิพาท หรือพื้นที่อื่นใด
ในขณะประเทศไทยดูจะไม่มีความเชื่อมั่นและแสดงท่าทีอย่างอ่อนหัดอยู่ตลอดเวลาในเรื่องพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรมาโดยตลอด
ภาคประชาชนในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเรียกพื้นที่นี้ตามบรรพบุรุษไทยว่า ดินแดนไทย
รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ในยามที่เป็นฝ่ายค้านจะเรียกพื้นที่บริเวณนี้ว่าเป็น ดินแดนไทย แต่เวลาเป็นรัฐบาลส่วนใหญ่จะเรียกพื้นที่นี้ว่า พื้นที่พิพาท
ส่วนรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ดูจะสาหัสและอันตรายมากกว่านั้น เพราะวันที่ 16 กันยายน 2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นอกจากจะไม่กล้ายืนยันว่าเป็นของไทยแล้ว ยังให้ปฏิบัติตามคำสั่งและแนวทางของศาลโลก ต่อมาวันที่ 17 กันยายน 2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มาโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กแก้ไขสถานการณ์ยืนยันว่าเป็นของไทยแต่เนื่องจากต่างฝ่ายต่างอ้างจึงเรียกว่า พื้นที่ทับซ้อน
ทั้งนี้ ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศ และทนายผู้ประสานงานคณะทนายฝ่ายไทยในคดีปราสาทพระวิหาร ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. 2502-2505 ได้เคยเขียนบทความ 4.6 ตารางกิโลเมตรไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อน เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2554 ความตอนหนึ่งว่า:
เนื่องจากมีการกล่าวถึง พื้นที่ทับซ้อน ของไทย-กัมพูชาอย่างพร่ำเพรื่อและต่อเนื่อง ในฐานะที่ผมใกล้ชิดกับคดีปราสาทพระวิหารมาเป็นเวลากว่า 50 ปี ผมขอยืนยันว่าพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรหาได้เป็นพื้นที่ทับซ้อน หรือพื้นที่พิพาทแต่ประการใด การกล่าวอ้างดังกล่าวจึงคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
1. คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศปรากฏอย่างชัดเจนว่า กัมพูชาฟ้องเฉพาะตัวปราสาทพระวิหารและพื้นที่ที่ปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ แม้ต่อมากัมพูชาได้พยายามขยายคำฟ้องอีกหลายครั้งหลายหนให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเรื่องเขตแดนตามแผนที่ระวาง 1:200,000 ซึ่งเป็นแผนที่ที่กัมพูชาผนวกต่อท้ายคำฟ้อง แต่ศาลก็ได้ปฏิเสธทุกครั้งเนื่องจากศาลไม่มีอำนาจวินิจฉัยเกินคำฟ้องเดิม ถึงกระนั้นก็ตาม ผู้พิพากษารวม 4 ท่านได้มีคำวินิจฉัยอย่างชัดเจนในคำพิพากษาแย้งและคำพิพากษาเอกเทศว่าในบริเวณเขาพระวิหารนั้น เส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา (ฝรั่งเศสเดิม) อยู่ที่ขอบหน้าผาอันเป็นสันเขาที่ปันน้ำ
2. ดังนั้น พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่อยู่ฝั่งไทยจึงเป็นของไทยโดยสิ้นเชิง รวมทั้งตัวปราสาทพระวิหารด้วย ส่วนอีกฟากฝั่งของเส้นสันปันน้ำ คือ เลยขอบหน้าผาไปเป็นเขมรต่ำ ศาลมิได้ชี้ขาดว่า ปราสาทพระวิหารมิได้อยู่ในฝั่งไทยของเส้นสันปันน้ำ ศาลเพียงแต่ลงมติเสียงข้างมากว่ากัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารตามหลักกฎหมายปิดปาก ซึ่งผมก็ได้เคยชี้แจงไว้แล้วว่า ศาลตัดสินผิดและไม่มีอำนาจบังคับคดี การที่ไทยยินยอมอนุญาตให้คนจากเขมรต่ำขึ้นมายังปราสาทพระวิหารโดยข้ามชายแดนไทยเข้ามานั้นเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยของไทย แสดงว่าประเทศไทยมิได้เคยสละอำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารและยังคงสงวนอธิปไตยของไทยเสมอมา
3. พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้น เป็นราชอาณาจักรไทยอยู่แล้ว ตามอนุสัญญา ค.ศ. 1904 เมื่อกัมพูชาพยายามขยายคำฟ้อง ศาลก็มิได้วินิจฉัยแต่ประการใด จึงไม่มีข้อสงสัยและไม่มีเหตุผลที่รัฐบาลไทยหรือผู้หนึ่งผู้ใดจะเข้าใจอย่างผิดพลาดว่า ส่วนหนึ่งส่วนใดของพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นพื้นที่พิพาทหรือพื้นที่ทับซ้อน หรือแม้แต่จะตั้งข้อสงสัยว่าเขมรมีส่วนเป็นเจ้าของซึ่งเท่ากับเป็นการหยิบยื่นอธิปไตยเหนือพื้นแผ่นดินไทยให้แก่กัมพูชา
4. อนึ่ง พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้น เป็นของไทยโดยการปักปันเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว และบริเวณเขาพระวิหารเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาดงรัก (เขาบรรทัด) คณะกรรมการปักปันผสมไทย-ฝรั่งเศส ได้เห็นพ้องต้องกันว่าไม่ต้องมีการปักหลักเขต ทั้งนี้ เพราะแนวสันปันน้ำคือเส้นแบ่งเขตธรรมชาติที่ชัดเจน แน่นอน และถาวรตลอดไป
บทความที่กล่าวมาข้างต้นยังคงต้องนำมาใช้เตือนได้อีกหลายครั้ง เพราะนักการเมืองไทยเวลามาเป็นรัฐบาลมักจะไม่พยายามยืนยันหรือประกาศว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็นของประเทศไทย
ในวันเดียวกันที่บทความของ ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล นี้ได้พิมพ์เผยแพร่เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2554 ก็ได้ปรากฏว่ากระทรวงการต่างประเทศแห่งราชอาณาจักรไทย ได้ออกแถลงการณ์กรณีธงกัมพูชาที่ปรากฏอยู่เหนือ วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ความว่า:
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศและความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งราชอาณาจักรกัมพูชามีคำประกาศลงวันที่ 28 มกราคม 2554 เกี่ยวกับธงกัมพูชาที่ปรากฏอยู่เหนือ วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ นั้นกระทรวงการต่างประเทศขอแถลงดังนี้
1. ตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี 2543 (MOU 2543) อนุสัญญาและสนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ปี ค.ศ. 1904 และค.ศ. 1907 และเอกสารอื่นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้สัญญาทั้งสองฉบับ ถือเป็นเอกสารทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการกำหนดเขตแดน ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่ยอมรับข้ออ้างของกัมพูชาว่าแผนที่ 1 ต่อ 200,000 เป็นเอกสารที่จะกำหนดเขตแดน
2. กัมพูชาได้ยอมรับในคำประกาศฉบับดังกล่าวว่า คำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ เมื่อปี 2505 (ค.ศ. 1962) มิได้ตัดสินในเรื่องเส้นเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชา
3. ประเทศไทยยืนยันว่า วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ตั้งอยู่ในอาณาเขตไทย และเรียกร้องให้ประเทศกัมพูชารื้อถอนวัดแก้วฯ และปลดธงกัมพูชาที่ประดับเหนือวัดแก้วฯ ข้อเรียกร้องนี้เป็นการย้ำถึงการประท้วงหลายครั้งของไทยต่อกัมพูชาเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ในวัดแก้วฯ และบริเวณโดยรอบ ซึ่งล้วนเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย
4. กระทรวงการต่างประเทศยืนยันอีกครั้งถึงความมุ่งมั่นของไทยที่จะแก้ไขปัญหาเขตแดนกับกัมพูชาตามกฎหมายระหว่างประเทศโดยสันติวิธี ภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา การกำหนดเส้นเขตแดนบริเวณปราสาทพระวิหารยังคงเป็นเรื่องที่อยู่ระหว่างการเจรจาภายใต้กรอบของคณะกรรมาธิการฯ
แถลงการณ์ดังกล่าวของกระทรวงการต่างประเทศ ถือเป็นแถลงการณ์แรก เป็นแถลงการณ์เดียว และเป็นแถลงการณ์สุดท้ายที่ยืนยันเส้นเขตแดนของประเทศไทยอย่างชัดเจนที่สุด
แต่แถลงการณ์การยืนยันเส้นเขตแดนของประเทศไทยตามที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ไม่ถูกนำมาใช้ทั้งในเวทีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ อาเซียน หรือศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอีกเลย นับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ซึ่งกัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้ไทยกลับเรื่อง MOU 2543 จนทำให้ฝ่ายไทยไม่ตอบโต้ใดๆ ได้อีก ดังนี้
1.อนุสัญญาปี ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ปี ค.ศ. 1907 ตั้งคณะกรรมการผสมปักปันเขตแดนระหว่างอินโด-จีนและสยาม คณะกรรมการฝรั่งเศส-สยามได้จัดทำแผนที่ 1:200,000 ขึ้นมาชุดหนึ่ง รวมถึงแผนที่ ดงรัก ซึ่งรวมปราสาทพระวิหาร ที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอ้างถึงว่า แผนที่ ผนวก 1
บันทึกความเข้าใจฯ ปี 2000 (MOU 2543) ข้อ 1 (ค) อ้างถึงอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 เช่นเดียวกันกับแผนที่ของงานจัดทำหลักเขตของคณะกรรมการผสมปักปันเขตแดนระหว่างอินโด-จีนและสยาม ที่ตั้งขึ้นภายใต้อนุสัญญาและสนธิสัญญาที่กล่าวถึง
2. พื้นฐานคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ปี ค.ศ. 1962 ซึ่งโดยหลักการอาศัยแผนที่ ผนวก 1 ได้ให้ความเห็นอย่างชัดเจน ดังต่อไปนี้:
ศาล อย่างไรก็ตาม เห็นว่าประเทศไทยในปี ค.ศ. 1908-1909 ได้รับยอมแผนที่ผนวก 1 ในฐานะเป็นผลงานของการปักปันเขตแดน และด้วยเหตุนี้จึงจดจำเส้นบนแผนที่นั้นในฐานะเป็นเส้นเขตแดน ผลคือวางพระวิหารในพื้นดินกัมพูชา
คู่ภาคี โดยการปฏิบัติ จดจำเส้นและด้วยเหตุนั้น เป็นผลเห็นชอบให้อ้างเส้นนั้นเป็นเส้นเขตแดน
อย่างไรก็ตาม ไม่มีเหตุผลที่จะคิดว่าคู่ภาคีได้แนบสิ่งสำคัญเป็นพิเศษใดลงไปยังเส้นสันปันน้ำ.. ศาล ด้วยเหตุนี้ รับรู้ขอบเขต ตามการตีความสนธิสัญญาที่จะประกาศความชอบของเส้นตามที่ลากไว้ในพื้นที่พิพาท
ฯลฯ
ด้วยเหตุนี้ วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระตั้งอยู่บนพื้นดินกัมพูชาโดยชอบตามกฎหมาย และไม่มีเหตุผลใดที่กัมพูชาจะย้ายวัดนี้ไปไว้ที่อื่น และกัมพูชาจะยังคงปักธงชาติไว้ที่นั่น
3. เป็นที่รับทราบอย่างดีในประเทศไทยว่า วัดแก้วสิกขาคีรีสวาระสร้างโดยประชาชนของกัมพูชา ในปี ค.ศ. 1998 พร้อมธงของราชอาณาจักรกัมพูชาโบกเหนือวัดนี้นับแต่นั้น คำถามคือทำไมประเทศไทยเพิ่งจะเรียกร้องให้ปลดธงชาติกัมพูชาในเวลานี้ กระทั่งปัจจุบัน กัมพูชายังไม่เคยได้รับข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการจากประเทศไทย
4. ความปรารถนาโดยบริสุทธิ์เพียงอย่างเดียวของกัมพูชา คือ การหาทางออกอย่างสันติกับประเทศไทยต่อการจัดทำหลักเขตแดนโดยยึดตามเอกสารทางกฎหมาย รวมถึงข้อตกลงของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) กัมพูชารักษาสิทธิที่จะปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนของตนเอง ขณะที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ขู่จะประกาศสงครามต่อกัมพูชา
ความหมายแถลงการณ์ของกัมพูชาข้างต้นก็คือการใช้ มูลฐาน ของการตัดสินคดีปราสาทพระวิหารให้อยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชานั้น มาจากการใช้กฎหมายปิดปากที่ไทยไม่ปฏิเสธแผนที่มาตราส่วน 1:200,000 มาผนวกกับแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ซึ่งระบุเอาไว้ในข้อ 1 (ค) ตาม MOU 2543 ทำให้กัมพูชาถือว่าไทยต้องปฏิบัติตามแผนที่มาตรส่วน 1: 200,000 ในทุกระวาง
ดังนั้นประเทศไทยจำเป็นต้องกำหนดยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนว่าจะเอาอย่างไรกับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ในคดีการตีความหรือขยายความคำพิพากษาเมื่อปี พ.ศ. 2505 ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้และอาจจะตัดสินคดีในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ว่าจะเกิดประโยชน์หรือโทษมากกว่ากัน
ถ้าเป็นคุณต่อประเทศไทย สูงสุดก็คือ เสียดินแดนไม่เกินไปกว่าที่ได้สูญเสียไปเมื่อปี พ.ศ. 2505
ถ้าเป็นโทษต่อประเทศไทยก็คือการ เสียดินแดนมากไปกว่าเดิม เมื่อปี พ.ศ. 2505
ภาษาการค้าก็คือมีแต่ เจ๊งเท่าเดิม หรือ เจ๊งมากขึ้นกว่าเดิม
การที่รัฐบาลไทยได้เคยประท้วง คัดค้าน และสงวนสิทธิ์ต่อองค์การสหประชาชาติว่าจะทวงคืนปราสาทพระวิหาร เอาไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 นั้น เพราะไม่เห็นด้วยแม้กระทั่งมูลเหตุในการตัดสินคดีนี้ที่อ้างกฎหมายปิดปากในเรื่องแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 อันมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอยุติธรรมสนใจแต่เฉพาะกฎหมายปิดปากจน ไม่พิจารณา และ ไม่กล่าวถึง ประเด็นสำคัญที่ฝ่ายไทยได้ยกขึ้นต่อสู้ ในคำพิพากษาหลักเลย อันได้แก่
1. สนธิสัญญาระหว่างสยามกับฝรั่งเศสระบุให้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นเขตแดน
2. การเขียนแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 ทำผิดพลาดในเรื่องสำคัญไม่สอดคล้องกับแนวสันปันน้ำที่แท้จริง
3. ผลงานสำรวจและวิจัยทางวิทยาศาสตร์และธรณีวิทยาระบุอย่างชัดเจนว่าสันปันน้ำอยู่ที่ขอบหน้าผา
4. บันทึกของฝรั่งเศสที่ระบุอย่างชัดเจนในการสำรวจว่า สันปันน้ำอยู่ที่ขอบหน้าผามองเห็นได้จากตีนภูเขาดงรัก
ด้วยเหตุนี้ประเทศไทยจึงประท้วงและได้ตั้งข้อสงวนเอาไว้ อีกทั้งยังแสดงออกไม่เห็นด้วยกับศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ โดยการไม่ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศโดยบังคับอีก นับตั้งแต่คดีปราสาทพระวิหารมาจนถึงปัจจุบันมากว่า 50 ปีมาแล้ว
ดังนั้นหากประเทศไทยจะไปยอมรับอำนาจศาลโลกการตีความคำพิพากษาศาลโลกเมื่อปี พ.ศ. 2505 อีกครั้งในปี 2554-2555 โดยนิ่งเฉย ย่อมแสดงว่าประเทศไทย กลับลำ ไม่ปฏิเสธการที่ศาลโลกเคยใช้กฎหมายปิดปากกับประเทศไทยในกรณีแผนที่มาตราส่วน 1: 200,000 เป็นมูลฐานที่ใช้ตัดสินให้ไทยต้องพ่ายแพ้กับกัมพูชาทำให้ปราสาทพระวิหารตกอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชาไปด้วย
ซึ่งถือว่ามีสุ่มเสี่ยงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากปล่อยให้มีการตีความหมายคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศที่ว่า ให้ทหารไทยถอยออกจากพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทนั้นมีขอบเขตมากแค่ไหน!?
ประเทศไทยจึงน่าจะเดินตามแนวทางของ ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล มากกว่าโดย ไม่รับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ โดยอ้าง ข้อสงวนของประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2505 และ ประเทศไทยไม่ได้ต่ออายุปฏิญญาการยอมรับอำนาจศาลโลกโดยบังคับมาเกือบ 50 ปี อีกทั้งการตีความครั้งนี้ถือเป็นการเปิดประเด็นใหม่เกินขอบเขตเดิม และไทยได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาเดิมครบถ้วนแล้ว ดังนั้นประเทศไทยจึงไม่รับการตัดสินใดๆ เพิ่มเติมจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ประเทศไทยไม่เคยหยิบยกมาใช้เลยในการต่อสู้กับกัมพูชาในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ
หรือรัฐบาลชุดนี้เชื่อเรื่องการใช้แนวทางเจรจาแบบสันติวิธี และยังคงรักษาอธิปไตยไทยได้ ก็จะต้องบรรลุเป้าหมาย 3 ประการแสดงให้ดูเป็นอย่างน้อยคือ
1. ให้กัมพูชาถอนคดีปราสาทพระวิหารให้ออกจากการตีความที่ศาลโลก แล้วให้กลับมาเจรจากันใหม่โดยสองประเทศในกรอบเงื่อนไขใหม่
2. ให้กัมพูชาถอนทะเบียนบัญชีปราสาทพระวิหารออกจากมรดกโลกและพื้นที่โดยรอบ (ซึ่งระบุว่าเป็นของกัมพูชาฝ่ายเดียว) แล้วจึงค่อยกลับมาเจรจากันใหม่ในเรื่องมรดกโลก
3. ให้ชุมชนกัมพูชาถอยออกจากการรุกล้ำอธิปไตยในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร แล้วมาเจรจากันใหม่
หากทำไม่ได้ตามนี้ก็แปลว่าสันติวิธีของรัฐบาลชุดนี้รักษาอธิปไตยไทยไว้ไม่ได้ หรือหากเสียดินแดนก็ถือว่าเป็นการสร้างสันติภาพโดยยกดินแดนให้ชาติอื่นเป็นของกำนัล
ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้เสียอธิปไตยเหนือดินแดนรอบปราสาทพระวิหาร ในทางปฏิบัติ ไปแล้ว ดังนั้นหากถึงขั้นเสียดินแดนในทางนิตินัยปีหน้าซ้ำอีก ก็ถือว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์และเพื่อไทยจะต้องรับผิดชอบทั้งคู่!