เด็กกับความรุนแรง...ยุวอาชญากรเยาวชนเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีค่ายิ่งของประเทศ ประเทศจะมีการพัฒนาเจริญก้าวหน้าได้เพราะมีเยาวชนที่ดีมีคุณภาพ ปัจจุบันยังปรากฏว่ามีเยาวชนส่วนหนึ่งอยู่ในสภาวะลำบาก ถูกละเมิดสิทธิและถูกกระทำทารุณกรรมทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น ถูกกดขี่แรงงาน หรือถูกบังคับให้เป็นโสเภณี เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเด็กและเยาวชนบางกลุ่มที่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสมถูกละเลยทอดทิ้ง และถูกบีบคั้นจากครอบครัวประกอบกับสภาพปัญหาเศรษฐกิจ และสังคมที่รุมเร้า จึงส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจและพฤติกรรม กลายเป็นคนก้าวร้าวต่อต้านสังคม หันไปใช้สิ่งเสพย์ติดและกระทำผิดกฎหมายในที่สุด กลุ่มเยาวชนที่มีพฤติกรรมที่เป็นปัญหาระดับรุนแรงที่สุดคือ กลุ่มยุวอาชญากร
ปัญหาการกระทำผิดของเยาวชน นับเป็นปัญหาใหญ่ที่มีความสำคัญยิ่ง เพราะการที่เยาวชนกระทำผิดกฎหมาย หรือกลายเป็นอาชญากรไปนั้นถือได้ว่าเป็นการสูญเสียอย่างใหญ่หลวงของทรัพยากรอันประเมินค่าไม่ได้ รัฐต้องใช้กำลังมหาศาลไปเพื่อการปราบปราบอาชญากร รวมทั้งกำลังเจ้าหน้าที่และงบประมาณที่เพิ่มขึ้นทุกปีแทนที่จะได้นำไปพัฒนาประเทศด้านอื่น ๆ
"วิกฤตเยาวชนไทยในยุคปัจจุบัน" โดยนายสมพงษ์ จิตระดับ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งกล่าวว่า สถานการณ์เด็กและเยาวชนไทยจะแย่ลงเรื่อยๆ ซึ่งในอีก 10-15 ปีข้างหน้า ปัญหาหนักจนถึงขั้นวิกฤต เนื่องจากปัญหาหลัก 3 ด้าน คือ
1.ปัจจุบันเด็กและเยาวชน ร้อยละ 90 มีคุณลักษณะหรือคาแรคเตอร์ ก้าวร้าว หมกมุ่นเรื่องเพศ และติดเกม ทำให้เด็กมีคุณภาพ คุณธรรม จริยธรรมลดลง
2.เด็กที่ศึกษาในระดับมัธยมมีการเปลี่ยนแปลงในทางแย่มากขึ้น คือ เล่นกีฬา ช่วยงานบ้าน ไปเที่ยวกับครอบครัวและไปวัดน้อยลง ขณะที่เด็กเหล่านี้มีความต้องการที่จะเล่นอินเตอร์เน็ต ดูเว็บโป๊ ทำศัลยกรรม เที่ยวกลางคืน เล่นหวย คุยโทรศัพท์ และติดเพื่อนเพิ่มมากขึ้น
3.เด็กไทยจะเป็นเด็กที่มีวัฒนธรรมหลากหลาย โดยเฉพาะวัฒนธรรม K-Pop คือ วัฒนธรรมของนักร้อง ดาราเกาหลี ซึ่งวัยรุ่นเกาหลี ร้อยละ 30 ทำศัลยกรรมทั้งสิ้น และ J-Pop วัฒนธรรมดารา นักร้องญี่ปุ่น จึงทำให้กลืนความเป็นไทย วัฒนธรรมดีๆ ของไทยลดน้อยลงเหลือประมาณร้อยละ 30 เท่านั้น คือเหลือเพียง รู้จักการไหว้ พูดภาษาไทย และใช้เงินไทยเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังพบว่าเด็กที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ เด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา มีมากถึงร้อยละ 4 ของเด็กในวัยเรียนทั้งหมด หรือประมาณ 2-3 แสนคนทั่วประเทศ จากทั้งหมด 175 เขตการศึกษา เฉลี่ยมีเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา เขตการศึกษาละ 1,000-1,200 คน เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ มีเด็กกลุ่มนี้เฉลี่ยชุมชนละ 15-20 คน สาเหตุที่ทำให้เด็กไม่ได้เรียนหนังสือมาจากการอพยพย้ายถิ่นที่ทำงานตามพ่อแม่ และปัญหาความยากจน เด็กเหล่านี้เมื่อไม่ได้เรียนหนังสือก็จะกลายเป็นแรงงานไร้ฝีมือ มักจะทำงานรับช่วงต่อจากพ่อแม่ โดยเด็กผู้หญิงมักจะไปทำงานเป็นสาวโรงงาน สาวห้าง หรือเด็กเสิร์ฟ สุดท้ายก็ถูกหิ้ว ถูกออฟ ส่วนเด็กผู้ชายก็จะหันไปขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง และเมื่อรายได้ไม่พอใช้ก็จะอพยพเข้าเมือง แต่ปัญหาก็ไม่จบเพราะชีวิตในเมืองอ้างว้าง โดดเดี่ยว ทำให้ต้องรีบหาคู่มีครอบครัวซึ่งวงจรชีวิตของลูกหลานของเขา ก็จะโคจรเหมือนพ่อแม่ เป็นปัญหาที่ไม่สิ้นสุด จากการศึกษากลุ่มตัวอย่างพบว่าคนที่อายุเพียง 28 ปี ก็เป็นย่า เป็นยายคนได้
จากการติดตามพฤติกรรมเด็กพบเรื่องที่น่าตกใจคือ ว่าเด็กเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นยุวอาชญากรสูงมาก ยิ่งหากมีปัญหายาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเด็กก็จะพัฒนากลายเป็นโจรได้ง่ายขึ้น มีการตบทรัพย์จากเด็กด้วยกัน หรือไปจับกลุ่มตามห้างสรรพสินค้า อยู่ในซอก จุดอับ เพื่อขู่กรรโชกทรัพย์จากคนที่มาเดินห้าง ในอนาคตปัญหาเหล่านี้จะเพิ่มมากขึ้น ทั้งหมดมาจากปัญหาการศึกษาเข้ามาถึงคนกลุ่มนี้
สังคมไทยจำเป็นต้องเข้าใจปัญหาการใช้ความรุนแรงของเด็กในสังคมไทยให้แจ่มชัดมากขึ้น เพราะการใช้ความรุนแรงในการดำเนินชีวิตได้คืบคลานเข้ามาอยู่กับเด็กไทยทุกขณะแล้ว
กระแสการต่อต้านเกมส์ที่เน้นความรุนแรงและรัฐได้ปราบไม่ให้ร้านเกมส์มีเกมส์ประเภทความรุนแรงบริการเด็ก อันเนื่องมาจากกรณีเด็กนักเรียนอายุ ๑๖ ปล้นฆ่าแท็กซี่โดยยอมรับว่าได้รับอิทธิพลจากเกมส์ที่มีความรุนแรงเป็นสาระหลัก แม้ว่าการปราบปรามด้วยการใช้อำนาจรัฐเป็นเรื่องที่ควรจะทำ แต่สังคมไทยไม่ควรจะนิ่งนอนใจหรือพึงพอใจว่าได้ขจัดต้นตอการใช้ความรุนแรงไปได้แล้ว เพราะในความเป็นจริงนั้น การใช้ความรุนแรงของเด็กมีเงื่อนไขอื่นมากำหนดอีกมากมาย
ตัวอย่างการก่ออาชญากรรมของเด็กวัยรุ่นที่กระทำต่อแท็กซี่และคนทั่วไปที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการเล่นเกมส์มีมากมาย เช่น เด็กจี้แท็กซี่เพราะต้องการเอาเงินไปเที่ยวกลางคืน การตี ฆ่า ข่มขืน ของเด็กแซ็บ เด็กแว้นท์ (เด็กกวนเมือง) ที่เกิดขึ้นทุกหัวระแหงของสังคมไทย หรือ เด็กผู้หญิงตบตีกันแล้วถ่านคลิปเอาไว้ โชว์พาว ข่มขู่เด็กอื่นๆ
ตัวอย่างมากมายเช่นนี้ชี้ให้ตั้งคำถามได้ทันทีว่า เกมส์เป็นต้นตอความรุนแรงจริงหรือ หรือว่า เกมส์จะเป็นเพียงเงื่อนไขการกระตุ้นสำนึกของการใช้ความรุนแรงในการดำเนินชีวิตที่ฝังในเด็กวัยรุ่นไปเรียบร้อยแล้ว
ผู้ใหญ่ในสังคมไทยมักจะอธิบายปัญหาของเด็กวัยรุ่นต่างๆอย่างมักง่ายตลอดมา โดยส่วนใหญ่จะเริ่มต้นด้วยการโทษครอบครัวว่าครอบครัวแตกแยกหรือครอบครัวไม่มีเวลาให้แก่ลูกหลาน (ซึ่งตรงกับสำนวนไทยว่า พ่อแม่ไม่สั่งสอน นั่นเอง) จากนั้นก็ชี้นิ้วกล่าวโทษไปที่โรงเรียนว่าไม่เอาใจใส่ และเลื่อนนิ้วไปชี้ที่เพื่อนว่าเกิดจากการคบเพื่อนแล้ว และท้ายที่สุดก็มักจะโทษที่ปัจจัยภายนอกที่ท่านทั้งหลายเชื่อว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดปัญหาในเด็กวัยรุ่น อันได้แก่ การเล่นเกมส์หรือการรับวัฒนธรรมตะวันตก
การอธิบายแบบมักง่ายไร้ปัญญาของผู้ใหญ่ไทยได้ทำให้เกิดแบบแผนของการทำความเข้าใจความรุนแรงของเด็กวัยรุ่นที่ตื้นเขินขึ้นมา แต่น่าประหลาดใจอย่างยิ่งที่ คำอธิบายเช่นนี้กลับมีอิทธิพลอย่างมาก และขยายตัวออกไปจนทั้งสังคมไทยเชื่อว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆไปแล้ว
การอธิบายเช่นนี้วางอยู่บนพื้นฐานทางความคิดที่มองไม่เห็นหรือไม่ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงของสังคม โดยท่านเหล่านี้ยังคงเชื่ออย่างหักปักหัวปำว่าว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรมที่ดียิ่ง แต่ที่เกิดปัญหาก็เพราะว่าคนหรือเด็กวัยรุ่นลืม วัฒนธรรมไทย หันไปหลงใหลบางสิ่งบางอย่างนอกวัฒนธรรมไทยชั่วคราวเท่านั้น ดังนั้น การแก้ปัญหาเหล่านี้ ก็คือ การรณรงค์ให้เด็กวัยรุ่นหันกลับมาหา วัฒนธรรมไทย
การอธิบายเช่นนี้ ไม่ได้นำไปสู่แนวทางการแก้ปัญหาใดๆ ที่มีประสิทธิภาพแต่ประการใด ดังที่เราจะพบเห็นปัญหาอย่างนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดมาหลายสิบปี นอกจากจะทำให้เกิดความภาคภูมิใจปลอมๆว่าได้ทำการแก้ไขปัญหาที่สำคัญยิ่งนี้ได้ด้วยการรณรงค์ความเป็นไทย
การกล่าวโทษถึงการรับ วัฒนธรรมตะวันตก ยิ่งเป็นการกล่าวอ้างที่ไร้สาระที่สุด เพราะเราสามารถชี้ได้ในทุกปัญหาว่าเกิดจากการรับ วัฒนธรรมตะวันตก ประเด็นที่จำเป็นต้องสังวรให้มากก็คือ อะไรที่อธิบายได้ทุกอย่างก็มีความหมายเท่ากับไม่ได้อธิบายอะไรเลย
ดังนั้น หากเราต้องการที่จะเข้าใจปัญหาเด็กวัยรุ่นจำเป็นต้องลืมหรือก้าวข้ามกรอบการอธิบายมักง่ายเช่นที่ผ่านมา
คำถามหลักที่ต้องถามกันก่อนก็คือ การใช้ความรุนแรงในชีวิตประจำวันของเด็กวัยรุ่นที่เพิ่มมากขึ้นกลายมาเป็น บรรทัดฐาน ของความสัมพันธ์ทางสังคมของเด็กวัยรุ่นไทยนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร คำถามนี้เป็นคำถามใหม่ที่ถามขึ้นโดยเน้นที่จะทำความเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลทำให้เกิด บรรทัดฐาน ซึ่งหมายความว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อความหมายของการดำเนินชีวิตทีเดียว
เราจำเป็นต้องตั้งคำถามกันใหม่เพราะการตั้งคำถามลักษณะนี้จะเอื้ออำนวยให้เราแสวงหาคำตอบที่จะอธิบายให้สังคมไทยเข้าใจทั้งความเปลี่ยนแปลงในระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของเด็กวัยรุ่นที่เป็นผลมาจากความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย
การตั้งคำถามเช่นนี้จะนำไปสู่ความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโครงสร้างความสัมพันธ์ทั้งหมดของสังคม และความเข้าใจความเปลี่ยนแปลงนี้จะทำให้เราสามารถมาองหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาได้กว้างขวางและมีประสิทธิภาพมากกว่าการแก้ปัญหาด้วยการประณามแบบเดิม
สังคมไทยในวันนี้ไม่ใช่สังคมไทยแบบที่คนรุ่นอายุสี่สิบปีคุ้นเคย การอธิบายสังคมด้วยกรอบความคิดแบบเก่ารังแต่จะทำให้สังคมไทยงุ่มง่ามและไร้พลังในการแก้ไขปัญหา สังคมไทยจะเผชิญปัญหาใหม่ได้อย่างมีพลังก็เมื่อกล้าที่ตั้งคำถามใหม่ที่อาจจะท้าทายกรอบความคิดเดิม
อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ : เด็กกับความรุนแรงในสังคมไทย
กลับไปที่
www.oknation.net