เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
พฤศจิกายน 19, 2024, 06:29:26 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 [2] 3 4
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: @@@@ FWB P70 เอาไปโมแข่ง FT @@@@  (อ่าน 26335 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 15 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ดร.ธนาสิทธิ์
Full Member
***

คะแนน 117
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 313


« ตอบ #15 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 05:58:17 AM »

เห็นอาจารย์ในรูปแล้วทำให้สงสัยเพิ่มไปอีกว่า อาจารย์ทำฟิตเนสบ้างหรือเปล่าครับ
แล้วการฟิตเนสที่เหมาะกับการยิงปืน จะต้องฟิตเนสส่วนไหนบ้าง แล้วควรหลีกเลี่ยงฟิตเนสส่วนไหนบ้างครับ



เป็นคำถามที่ดีครับ  ปกติผมจะเล่นเท็นนิสตอนเช้าทุกวัน ๆ ละ 2 ชม. สำหรับวันอาทิตย์ก็ 3 ชม. ไม่ว่าอากาศจะหนาวหรือร้อนแค่ไหน ถ้าฝนตกและเพิ่งหยุด ผมก็จะนำอุปกรณ์ไปทำให้แห้งซึ่งมักจะใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าเล่น ๆ อยู่แล้วฝนเกิดตก ก็จะเล่นต่อจนกว่าน้ำจะมากจนลูกไม่เด้ง เคยเล่นอยู่และหิมะปรอยลงมา ก็เล่นต่อจนหิมะตกหนักและมองอะไรไม่เห็น มีอยู่หลายครั้งที่หิมะตกไม่เกิน 1 นิ้ว วันรุ่งขึ้นผมจะนำอุปกรณ์ไปขูดหิมะออก ซึ่งอาจใช้เวลานานถึง 2 ชม. ถึงจะเล่นได้ ผมคิดว่ากีฬาเท็นนิสนั้นจะต้องใช้ทั้งสายตา แขน ขา และความคิดที่สัมพันธ์กัน และจะต้องมีการตัดสินใจอีกทั้งการวางแผนที่ดี  แต่ที่สำคัญที่สุดคือการฝึกฝนจน “กล้ามเนื้อมีความจำ” และสามารถทำงานได้กึ่งอัตโนมัติโดยสมองไม่ต้องสั่งงาน แต่ทำไปโดยการสนองตอบต่อสิ่งอื่น คล้าย ๆ กับเป็นสัณชาติญาณ  ผมไม่เล่นยกน้ำหนักแต่ต้องยกของหนัก ๆ เป็นประจำอยู่แล้ว คือการไปซื้อของเข้าร้านและต้องยกทั้งตอนเอาขึ้นรถและเอาลงห้องเก็บใต้ดินที่ร้าน  ของพวกนี้ได้แก่ น้ำตาลทราย, ข้าวสาร, เกลือ, กุ้ง, น้ายาทำความสะอาด ฯลฯ แบบที่เป็นกล่องหรือถุงใหญ่ ๆ น้ำหนักก็ตกราว 20 ถึง 45 กก. ขนมาแต่ละครั้งก็เต็มท้ายรถ  ครั้งหนึ่งคุณแม่ผมเคยมาเยี่ยม ผมพาไปซื้อของ ท่านเห็นผมยกของเอง ตกใจใหญ่ บอกว่าทำไมไม่เอาคนใช้จากเมืองไทยมาสัก 2-3 คน ให้มาช่วยทำงานหนักแบบนี้  คนที่อยู่เมืองไทยไม่เข้าใจหรอกครับว่า คนไทยในอเมริกาทำงานหนักขนาดไหน ผมเองที่เคยทำมานอกจากการสอนหนังสือก็คือ ขับรถเอาสมุดโทรศัพท์ไปตระเวนส่ง, เป็นช่างไม้ ช่างไฟ ช่างปูน ช่างประปา, ซ่อมรถ และซ่อมอุปกรณ์ไฟฟ้า, ติดตั้งจานดาวเทียมทีวี, ตัดหญ้า, ตัดต้นไม้ แต่ที่ไม่เคยลืมคือเมื่อไปถึงอเมริกาวันแรก ทำงานล้างจานซึ่งผมจดเอาไว้หมดว่าวันนั้นต้องล้างจานกี่ใบ ช้อนกี่คัน ถ้วย, กระทะ, ที่เขี่ยบุหรี่อย่างละเท่าไหร่ รวมเป็นกี่ร้อยชิ้น เพราะตอนอยู่เมืองไทยไม่เคยล้างจานแม้แต่ใบเดียว..

นอกจากนี้ผมยังใช้การดำรงชีพในทุก ๆ วันมาประยุกต์ใช้เป็นการฝึกฝนสำหรับการแข่งขันยิงปืน เช่น เวลาเปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถ ตอนเทน้ำมัน ผมจับกระป๋องน้ำมันให้มั่นและรินให้น้ำมันไหลสม่ำเสมอ ไม่หยดหกเลอะเทอะ  บางครั้งผมซื้อเหล้าขวดใหญ่มาขาย ต้องแบ่งรินใส่ขวดเล็กเพื่อบ๋อยจะได้รินใส่แก้วได้สะดวก ผมก็จะใช้วิธีเดียวกันกับตอนเปลี่ยนน้ำมันเครื่องรถ อีกอย่างเคยปล่อยให้คนงานทำกันเอง แม้จะใช้กรวยก็ยังทำกันหกเสียของไปเปล่า ๆ บางทีดูทีวีก็ยกนิ้วขึ้นมาเล็งที่จอ ติดตามไปยังจุดหนึ่งจุดใด  หรือตอนไปนั่งรอหมอ ผมก็จะทำการประส่านมือ “ให้แน่น” โดยยื่นเฉพาะนิ้วชี้ทั้งสองข้างไปข้างหน้า และพยายามเกร็งไว้ โดยไม่มองให้ปลายนิ้วชี้ที่อ้าเอาไว้ไม่กลับมาติดกัน  ผมเคยมีเพื่อนที่พ่อเขาเป็นนักกีฬายิงปืนสั้น 10 เมตรทีมชาติ วันหนึ่งเขาบอกพ่อเขาว่าเขาอยากหัดยิงปืน  พ่อเขายื่นเตารีดให้ แล้วบอกว่าพรุ่งนี้ให้ตื่นแต่เช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ยกเตารีดด้วยมือเดียวแล้วเล็งไปที่ดวงอาทิตย์ กะให้ตรงตามไปเรื่อย ๆ ให้นานที่สุด

อีกอย่างที่ไม่ควรมองข้ามคือต้องพักผ่อนให้เพียงพอ โดยเฉพาะก่อนวันแข่งขัน  และถ้าต้องขับรถไป ก็ต้องไปก่อนเวลาอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง  บางคนตระเวณขับรถไปแข่งบ่อย ๆ ก็ควรหานักแข่งที่อาจร่วมไปเป็นเพื่อนและช่วยผลัดกันขับรถได้ เรียกว่า Buddy System ซึ่งฝรั่งนิยมกันมาก เพราะยังช่วยกันปรึกษาเรื่องต่าง ๆได้อีกด้วย

ประการสุดท้ายคือ การใช้สติในการแข่งขัน เพราะนอกจากเราจะต้องมองภาพสนามการแข่งขันและจดบันทึกมันลงไปในสมองแล้ว เวลายิงแข่งขัน ในโลกนี้ เวลานั้นจะมีเพียง “เรากับเป้า” เท่านั้น  สิ่งอื่น ๆ รอบด้านจะถูกบล็อคออกไป ไม่รู้ไม่เห็น เหมือนตกอยู่ในภวังค์  เพราะหลายต่อหลายครั้ง ณ.วินาทีนั้นผมจะไม่ได้ยิน ไม่เห็น โลกรอบข้างเลย  ผมเคยลองใช้ที่บังตาด้านข้าง แต่สติเราบังได้ดีกว่าครับ

เอ๊ะ....ผมได้บอกหรือยังครับว่า ไม่มีอะไรมาทดแทนการฝึกซ้อมได้...
บันทึกการเข้า
tui086
Hero Member
*****

คะแนน 1083
ออฟไลน์

กระทู้: 6255



« ตอบ #16 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 08:18:17 AM »

ขอบพระคุณมากครับ....ได้ความรู้ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน หลายอย่างเลยครับ...
บันทึกการเข้า
AJ_6080
พระราม2 กทม.
Hero Member
*****

คะแนน 1600
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 5415


บารมี-มีได้เพราะความดี...


« ตอบ #17 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 09:05:22 AM »

 ไหว้ ขอบคุณมากมายเลยครับอาจารย์ เคล็ดลับเล็กๆน้อยๆที่มองข้ามไปหลายอย่างในชีวิตประจำวันก็สามารถนำมาฝึกฝนกับการยิงปืนได้ดีเลย

ผมชอบตอนถ่ายน้ำมันเครื่องครับ...กับยกเตารีด...ครับ.. Grin Grin
บันทึกการเข้า

  ผมรักในหลวง...ครับ
ดร.ธนาสิทธิ์
Full Member
***

คะแนน 117
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 313


« ตอบ #18 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 12:31:21 PM »

ผมลืมบอกถึงการควบคุมการหายใจในระหว่างการเล็งจวบจนถึงจุดกดไก
วิธีฝึกก็คือ ตั้งกล้องที่กำลังขยายสูงสุด เล็งไปที่เป้า แล้วลองกำหนดระบบหรือจังหวะการหายใจดูว่า
ช่วงไหนควรหายใจช้า ๆ ช่วงไหนควรสูดลมให้เต็มปอด และช่วงในควรผ่อนลมอย่างไร
จนกระทั่งช่วงที่ควรจะ"หยุด" การหายใจ ซึ่งมักจะเกิดก่อนการกดไกประมาณ 1/??? วินาที
ไม่ต้องยิงจริงก็ได้ แต่ดูว่ากากะบาดมันแกว่งไกว มากน้อยแตกต่างกันอย่างไร เมื่อใช้จังหวะการหายใจแบบต่าง ๆ
แต่ละคนอาจไม่เหมือนกันทีเดียว  เราต้องหาจังหวะที่เราใช้ได้ผลมากที่สุด

ผมมักตั้งไกให้มี first stage travel หรือระยะที่เราสามารถ "ลากไก" จากจุดเริ่มต้น โดยไม่ลั่นไกให้น้อยที่สุด
แต่จะไม่มีเสียเลยก็ไม่ได้ เพราะจะเผลอไกลั่นได้
หลายคนมาลองยิงปืนของผม นัดแรกมักจะลั่นก่อนตั้งใจเสมอ
แต่เชื่อเถอะครับ ว่าผมรู้ของผมว่ามันจะลั่นเมื่อผมกดไปขนาดไหน
บันทึกการเข้า
sitta.
Hero Member
*****

คะแนน 488
ออฟไลน์

กระทู้: 7275


« ตอบ #19 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 12:37:30 PM »

ผมลืมบอกถึงการควบคุมการหายใจในระหว่างการเล็งจวบจนถึงจุดกดไก
วิธีฝึกก็คือ ตั้งกล้องที่กำลังขยายสูงสุด เล็งไปที่เป้า แล้วลองกำหนดระบบหรือจังหวะการหายใจดูว่า
ช่วงไหนควรหายใจช้า ๆ ช่วงไหนควรสูดลมให้เต็มปอด และช่วงในควรผ่อนลมอย่างไร
จนกระทั่งช่วงที่ควรจะ"หยุด" การหายใจ ซึ่งมักจะเกิดก่อนการกดไกประมาณ 1/??? วินาที
ไม่ต้องยิงจริงก็ได้ แต่ดูว่ากากะบาดมันแกว่งไกว มากน้อยแตกต่างกันอย่างไร เมื่อใช้จังหวะการหายใจแบบต่าง ๆ
แต่ละคนอาจไม่เหมือนกันทีเดียว  เราต้องหาจังหวะที่เราใช้ได้ผลมากที่สุด

ผมมักตั้งไกให้มี first stage travel หรือระยะที่เราสามารถ "ลากไก" จากจุดเริ่มต้น โดยไม่ลั่นไกให้น้อยที่สุด
แต่จะไม่มีเสียเลยก็ไม่ได้ เพราะจะเผลอไกลั่นได้
หลายคนมาลองยิงปืนของผม นัดแรกมักจะลั่นก่อนตั้งใจเสมอ
แต่เชื่อเถอะครับ ว่าผมรู้ของผมว่ามันจะลั่นเมื่อผมกดไปขนาดไหน

แล้วหัวใจละครับ มันเต้นตึ๊ก ๆ  กากะบาทไหวตาม อาจารย์ควบคุมยังไงครับ
ถ้าต้องยิงตอนที่หัวใจยังเต้นแรงอยู่ครับ
บันทึกการเข้า
ดร.ธนาสิทธิ์
Full Member
***

คะแนน 117
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 313


« ตอบ #20 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 08:21:28 PM »

เศร้าใจตรงที่คนจีนในมณฑลนั้นที่มีรายได้เฉลี่ย 6 ยูเอสดอลลาร์  น่าสงสารมากครับ

เห็นแล้วอยากได้ก็คืออุปกรณ์วัดระดับ แบตเตอรี่ใช้ได้นานไหมครับ


เรื่องที่ว่าแบตฯจะใช้ได้นานหรือไม่นั้น ทางบริษัทไม่ได้แจ้งไว้ในเสป็คเพราะขึ้นอยู่กับว่า เราใช้มากน้อยขนาดไหน
ถ่าน CR2450 สองก้อน ขนาดใหญ่กว่าที่เห็นทั่ว ๆ ผมว่าถ้าใช้วันละราว 5 - 10 นาที น่าจะอยู่ได้สัก 6 เดือน

ถ่านรุ่นนี้ออกจะหายากสักหน่อย ตอนเขียนรีวิว ผมต้องถ่ายรูปและคลิป ถ่านหมดเลยเอา CR2025 ที่บางกว่าและเล็กกว่าแต่ขนาด 3 โวลท์เท่ากัน
มาพอกข้างด้วยแหวนยาง และติดฟองน้ำบนฝาให้มันดันขั้วบวกมาชนตัวแบต ก็ใช้ได้ครับ
บันทึกการเข้า
ดร.ธนาสิทธิ์
Full Member
***

คะแนน 117
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 313


« ตอบ #21 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 08:35:35 PM »

อ้างถึง... แล้วหัวใจละครับ มันเต้นตึ๊ก ๆ  กากะบาทไหวตาม อาจารย์ควบคุมยังไงครับ
ถ้าต้องยิงตอนที่หัวใจยังเต้นแรงอยู่ครับ

ปกติตอนสูดหายใจเข้า ปืนจะกระดกขึ้นสูง และจะลดลงตอนหายใจออก
แต่ทีนี้ถ้าถามถึงว่า หัวใจเต้นแรง กากะบาดไหว ผมก็ว่าคงยังไม่พร้อมยิง
ให้วางปืนลง สูดหายใจยาว ๆ สัก 4-5 ครั้ง แล้วลองใหม่
อนึ่งการยิง FT นั้น ผมจะไม่เอาศอกซ้ายแนบอกจนแน่น แต่ก็ขึ้นอยู่กับระนาบของเป้าด้วย
บางเป้าอยู่สูงเหนือหัว ก็ต้องยื่นมือซ้ายออกไปแล้วกางแขนเพิ่ม

สรุปถ้าหัวใจเต้นแรง คือแรงกว่าปกติจนทำให้กากะบาดไหวละก็ ผมถือว่ายังไม่พร้อม ต้องฝึกฝนเพิ่มเติม

ปกติตอนยิงหัวใจของผมกลับเต้นช้ากว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ระบบการสูดหายใจก็ช้าลงไปด้วย
ผมเคยเล่าแล้วว่า จากเป้าที่ 25 ต้องเดินตามไหล่เขาไปไกลพอสมควร จนกว่าจะถึงเป้า 26 ซึ่งเป็นเป้าปราบเซียน
ดังนั้นพอไปถึงผมจะไม่ยิงทันที เพราะหัวใจจะยังเต้นแรงจากการเดินแบกปืนและอุปกรณ์ที่ผ่านมาหยก ๆ
เราอาจทำเป็นคุยกับคนอื่น หรือทำเป็นจัดเก็บอุปกรณ์ หรือปรับหมวก ผูกเชือกรองเท้า อะไรก็ได้ที่เป็นการฆ่าเวลา
รอจังหวะให้การเต้นหัวใจกลับมาเข้าที่

การเล่นเท็นนิสก็เช่นกันบางทีเราโต้กันไปมา ถ้าเราเกิดการตกใจควบคุมอารมย์ไม่ได้หรือที่ฝรั่งเขาเรียกว่า panic ก็จะตีเสียทั้ง ๆ ที่เป็นลูกง่าย ๆ
เราต้องอย่าหวั่นไหว ต้องมั่นใจและเชื่อใจตัวเราเอง และต้องเชื่อในตัวปืนของเราด้วย
บันทึกการเข้า
sitta.
Hero Member
*****

คะแนน 488
ออฟไลน์

กระทู้: 7275


« ตอบ #22 เมื่อ: มีนาคม 07, 2011, 08:43:53 PM »

ขอบพระคุณอย่างสูงครับ 
บันทึกการเข้า
ผณิศวร เกิดในรัชกาลที่ ๙
Guns & Games Staff
Hero Member
*****

คะแนน 1428
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 6023



« ตอบ #23 เมื่อ: มีนาคม 08, 2011, 11:11:27 AM »

อาจารย์ถ่ายทอดชีวิตนักเรียนไทยในอเมริกาได้ดีจริงๆ  ใครที่ไม่เคยล้างจาน  แบกถาด  ถือว่าได้มาไม่ครบรสครับ
ผมจำได้ว่า ล้างจานที่โรงเรียนอยู่สามเดือนกว่าถึงพอซื้อกล้อง OM2
บันทึกการเข้า

ผมเป็นลูกหลานจีนอพยพ  ทวดแซ่อิ๊ว ตาแซ่เล้า ปู่แซ่อึ๊ง   
เมืองไทยให้โอกาสทุกอย่าง  ไม่มีข้ออ้างเรื่องชนชั้น
ผมได้กราบแทบพระบาทในหลวงเป็นมงคลสูงสุดของชีวิต
ดร.ธนาสิทธิ์
Full Member
***

คะแนน 117
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 313


« ตอบ #24 เมื่อ: มีนาคม 08, 2011, 07:01:25 PM »

อาจารย์ถ่ายทอดชีวิตนักเรียนไทยในอเมริกาได้ดีจริงๆ  ใครที่ไม่เคยล้างจาน  แบกถาด  ถือว่าได้มาไม่ครบรสครับ
ผมจำได้ว่า ล้างจานที่โรงเรียนอยู่สามเดือนกว่าถึงพอซื้อกล้อง OM2


OM2 นับว่าเป็นกล้องที่มีระบบแฟลชนำหน้าชาวบ้านไปหลายก้าวทีเดียว  กล้องตัวแรกของผมที่ชื่นชอบมากคือ Canon A1 เพราะใน view finder เป็น LED สีแดงที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน... เรื่องกล้องถ้าคุยต่อ รับรองงานเลี้ยงนี้ไม่เลิกรา ข้างล่างคือ Pentax ME F ที่ถือว่าเป็นกล้อง Autofocus รุ่นแรก ๆ โดยมีระบบอยู๋ในตัวเลนส์ ผมเอาหนังจรเข้มาหุ้มให้ดูแปลกตานะครับ





ผมล้างจานอยู่ไม่นาน อาศัยคอยสังเกตุว่าคนอื่นเขาทำอะไรกันอย่างไง ก็ขยับขึ้นมาทำสลัด และไม่กี่เดือนก็เป็น Chef และก็มีช่วงหนึ่งที่ทำ 5 หน้าที่ทุก ๆ สัปดาห์ คือ ทำสลัด, เป็น Chef, เป็นบ๋อย, ทำความสะอาดบาร์ และสุดท้ายขับรถไปซื้ออาหารทะเลเข้าร้าน และที่ต้องทำประจำคือ เอานิ้วไปจิ้มตาปลาฉลามเพื่อจะดูว่ามันสดหรือไม่ เพราะต้องซื้อมาทั้งตัวแล้วเอามาหั่นที่ร้าน จะถูกกว่าที่เขาหั่นมาแล้วมาก ทำไปด้วยเรียนไปด้วยนะครับ  กว่าจะมีร้านตัวเอง ทำอยู่กับเขา 14 ปี ไม่เคยมี vacation ไม่เคยขอขึ้นเงินเดือน ไม่เหมือนฝรั่งพอทำครบ 6 เดือน วันรุ่งขึ้นก็ขอเงินเดือนขึ้นทันที....วันหน้าจะเล่าตอนที่ผมนำตำรวจไปจับขโมยที่ร้านให้ฟังกัน...
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 08, 2011, 07:12:46 PM โดย ดร.ธนาสิทธิ์ » บันทึกการเข้า
sitta.
Hero Member
*****

คะแนน 488
ออฟไลน์

กระทู้: 7275


« ตอบ #25 เมื่อ: มีนาคม 08, 2011, 07:26:02 PM »

 เรื่องถ่ายรูป ผมเล่นกล้องมาตั้งแต่อายุ 17 ปีแล้วก็เลิกไปเมื่ออายุได้ 22 ปี  แล้วก็มาเล่นต่อตอนอายุ 25 ปี
เพราะเรียนถ่ายรูปต้องซื้อกล้อง   ถ่ายรูปอีกไม่กี่ปี ก็เลิกเปลืองเงินมากครับ   ผมเพิ่งขายกล้องฟิล์มทั้งหมด
ไปเมื่อปี 2542 เพราะดูกราฟการใช้ฟิล์มลดลงไปทุกปี แต่ดิจิตอลกราฟพุ่งขึ้น 

ผมถ่ายรูปยังไงก็ไม่สวยครับ   มีอาจารย์ท่านหนึ่งอยู่ตึกใกล้ ๆ ถ่ายรูปได้สวยมาก
ลองค้นคำว่า ชายไม้ชายเขา  ใน google ครับ จะเห็นรูปสวย ๆ มากมาย
อาจารย์จะเน้นไปทางห้องพักตามโรงแรง รีสอร์ท  ถ่ายไม่กี่ปี จนทุกวันนี้
โรงแรม รีสอร์ท เชิญตัวไปถ่ายรูปให้ครับ  พักฟรี อาหารฟรี ค่าเดินทางฟรี ได้เงินอีกด้วย
ลองดูครับ ชานไม้ชายเขา  ฝีมือสุดยอดครับ


บันทึกการเข้า
ดร.ธนาสิทธิ์
Full Member
***

คะแนน 117
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 313


« ตอบ #26 เมื่อ: มีนาคม 08, 2011, 07:48:27 PM »

เรื่องถ่ายรูป ผมเล่นกล้องมาตั้งแต่อายุ 17 ปีแล้วก็เลิกไปเมื่ออายุได้ 22 ปี  แล้วก็มาเล่นต่อตอนอายุ 25 ปี
เพราะเรียนถ่ายรูปต้องซื้อกล้อง   ถ่ายรูปอีกไม่กี่ปี ก็เลิกเปลืองเงินมากครับ   ผมเพิ่งขายกล้องฟิล์มทั้งหมด
ไปเมื่อปี 2542 เพราะดูกราฟการใช้ฟิล์มลดลงไปทุกปี แต่ดิจิตอลกราฟพุ่งขึ้น 

ผมถ่ายรูปยังไงก็ไม่สวยครับ   มีอาจารย์ท่านหนึ่งอยู่ตึกใกล้ ๆ ถ่ายรูปได้สวยมาก
ลองค้นคำว่า ชายไม้ชายเขา  ใน google ครับ จะเห็นรูปสวย ๆ มากมาย
อาจารย์จะเน้นไปทางห้องพักตามโรงแรง รีสอร์ท  ถ่ายไม่กี่ปี จนทุกวันนี้
โรงแรม รีสอร์ท เชิญตัวไปถ่ายรูปให้ครับ  พักฟรี อาหารฟรี ค่าเดินทางฟรี ได้เงินอีกด้วย
ลองดูครับ ชานไม้ชายเขา  ฝีมือสุดยอดครับ




ผมเชื่อว่าเรื่องความชอบกล้องและการถ่ายภาพนั้น ผมได้จากพ่อของผมมา พ่อผมเคยถ่ายภาพขาวดำส่งไปประกวดกับ TIME magazine ราวปีค.ศ. 1940 ได้รับรางวัลที่ 3 ของโลก ประเภท LIFE (ภาพย่าของผมกำลังเอื้อมเด็ดดอกไม้) และ PORTRAIT (ภาพอาสาวของผมนุ่งกระโจมอกนั่งบนเก้าอี้)
ผมลองคะเนคร่าว ๆ ผมว่าก่อนยุค digital ผมถ่ายมากว่าสองหมื่นรูป แต่ยังไม่เคยคิดจำนวนของภาพ digital เท่าที่รู้ตอนไปเมืองจีน 5 วัน ผมถ่ายไปเกือบเจ็ดพันรูป  ผมไม่เคยลบภาพทิ้งแม้แต่รูปเดียว ที่จริงภาพที่ดูไม่ดี ไม่สวยนั้น กลับเป็นภาพครูได้ดี ถ้าเราศึกษาว่ามันไม่ดีตรงไหน และจะต้องแก้ไขอย่างไร.....
ล่าสุด ขอให้นึกถึงภาพสายน้ำ ลำธาร ที่เรามักใช้ชัตเตอร์สปีดช้า ๆ เพื่อให้ภาพออกมาพริ้วไหว และเบรอ ๆ นั้น กลับกลายเป็นว่า ปัจจุบัน เกิดการต่อต้านจากช่างภาพกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติที่บอกว่า เราไม่ควรไปทำการเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงของธรรมชาติที่เราสามารถชื่นชอบและดูได้ด้วยตา  พูดง่าย ๆ ก็คือ ภาพแบบนั้นหาใช่เป็นภาพตัวแทนที่แท้จริงของธรรมชาติไม่ ขอให้หยุดเสีย  เกิดการถกเถียงกันมากมาย และก็มีช่างภาพจำนวนมากที่เห็นด้วย....
บันทึกการเข้า
mr.kitja
Newbie
*

คะแนน 0
ออฟไลน์

กระทู้: 2


« ตอบ #27 เมื่อ: มีนาคม 09, 2011, 12:14:42 AM »

นั่งอ่านกระทู้ดีๆ ของอาจารย์มานานพอควร  ทุกเรื่องให้ความรู้ในเชิงลึกอย่างแท้จริง  จึงเกิดคำถามในใจว่า อาจารย์มีวิธีแบ่งเวลาจัดสรรในสิ่งที่ตนชอบกับหน้าที่ที่ต้องทำในแต่ละวันได้อย่างไรครับถึงลงตัวไปทุกอย่างครับ      Smiley 
บันทึกการเข้า
ดร.ธนาสิทธิ์
Full Member
***

คะแนน 117
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 313


« ตอบ #28 เมื่อ: มีนาคม 09, 2011, 08:23:34 AM »

นั่งอ่านกระทู้ดีๆ ของอาจารย์มานานพอควร  ทุกเรื่องให้ความรู้ในเชิงลึกอย่างแท้จริง  จึงเกิดคำถามในใจว่า อาจารย์มีวิธีแบ่งเวลาจัดสรรในสิ่งที่ตนชอบกับหน้าที่ที่ต้องทำในแต่ละวันได้อย่างไรครับถึงลงตัวไปทุกอย่างครับ      Smiley 

คำถามนี้ผมได้ยินมาหลายต่อหลายครั้งแล้วละครับ  จริงอยู่เราทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมง แต่การจัดสรรเวลาที่ดีนั้น อาจทำให้ดูเหมือนว่าเรามีเวลามากกว่านั้น  สมัยผมอยู่เมืองไทย วันหนึ่ง ๆ ผมใช้เวลาอยู่ในรถเสียส่วนมาก ทั้งไม่ได้อะไร (แม้แต่ระยะทางที่จะไป เพราะรถติด) แถมยังสิ้นเปลืองน้ำมัน อารมย์เสีย ปวดหัว ฯลฯ แต่พอได้ไปอยู่ที่อเมริกาเมืองนี้ เรื่องรถติดไม่มีเลยครับ ทั้ง ๆ ที่ผมอยู่มานานก็เป็นเช่นนี้มาตลอด ไม่ว่าจะไปไหน เช่น ธนาคาร, ไปรษณีย์, จ่ายตลาด, เล่นเท็นนิส รับรองไม่เกิน 15 นาทีก็ถึง หรือแม้แต่ว่าจะไปยิงปืนซึ่งอยู่นอกเมืองบนเขา ก็ใช้เวลาเพียง 35-40 นาที  ส่วนนี้ผมก็สอยเวลากลับมาต่างจากตอนอยู่เมืองไทยมากมาย  กลับมาเยี่ยมเมืองไทยทีไร จะไปไหนกันที แห่งเดียวก็หมดวันไปแล้ว...  อนึ่งแม้ว่าเมืองที่ผมอยู่จะไม่มีปัญหาการจราจร แต่ผมก็จะวางแผนเส้นทางการขับรถเสมอ ๆ ทั้งนี้เพราะว่า เมืองนี้มีผังเมืองเหมือนตารางหมากฮอส แถมยังมีเส้นวงแหวนรอบเมือง ทำให้มีทางเลือกมากมาย  ผมขอยกตัวอย่างดีกว่า คือวันหนึ่งผมต้องไปเป็นล่ามที่ศาลแห่งหนึ่งซึ่งผมไม่เคยไป ผมจึงโทรถามทางเขาล่วงหน้า  ขาไปผมก็ขับไปตามที่เขาบอก แต่ก็เหมือนจะรู้ว่าต้องผ่านไฟจราจรมากมาย เลยลองนับดู ปรากฏว่าราว 80 ไฟ ขากลับผมก็เลยเลือกทางใหม่เอง โดยใช้เส้นทางสายนอก ซึ่งแม้ว่าโดยระยะทางแล้วจะไกลกว่า แต่เหลือเพียง 6 ไฟจราจร ใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งของขาไป  ถ้ามีที่ไหนที่ผมไปบ่อย ๆ แต่มีเส้นทางให้เลือก ผมก็จะทดลองไปทั้งหมด แล้วทำการบันทึกระยะทางและเวลาที่ใช้ ครั้งต่อไปจะได้ใช้เส้นทางที่ดีที่สุด

เรื่องต่อมา ผมติดรายการทีวีมากมาย โดยเฉพาะรายการที่ให้ความรู้ในด้านที่ผมไม่รู้ ไม่เคยเห็นมาก่อน อาทิ ทางช่อง Discovery, The national Geographic, The Learning Channel แต่ผมจะไม่ดูรายการสด หรือเสียเวลาไปดูโฆษณา เพราะผมเคยคำนวณดูแล้วว่า รายการสด 1 ชั่วโมง จะเป็นโฆษณาเสีย 15 ถึง 25 นาทีทีเดียว ดังนั้นผมจึงใช้วิธีอัดรายการต่าง ๆ เอาไว้ดูตอนที่ผมว่าง แต่ถ้ารายการนั้น ๆ ผมไม่ต้องดูภาพ เพียงฟังเสียงก็รู้เรื่อง ผมก็จะทำงานอื่นไปด้วย หรือทานข้าวไปพราง ดังนั้น ถ้าผมไม่ดูรายการสด 4 รายการ แต่ดูที่อัดไว้ พอถึงโฆษณาก็เลื่อนผ่านไป ผมก็จะได้เวลาคืนมา 1 ชั่วโมงต่อ 4 รายการ เป็นต้น ผมชอบอ่านหนังสือด้วย โดยเฉพาะ...เอ่อ...ตอนปลดทุกข์นะครับ  แต่ในห้องน้ำก็มีทีวีไว้ และก็เปิดฟังข่าวหรือรายการต่าง ๆ ไปด้วย งานนี้ได้ 3 ประเภทเชียวครับ  งานนี้ผมมีเครื่องอัด ที่ใช้ hard drive 3 เครื่อง ๆ หนึ่ง เอาไว้ใช้รายการของไทยอย่างเดียว  การใช้คอมผมก็เลือกเวลาด้วย โดยเฉพาะถ้าจะต้องต่อเน็ตก็จะเลือกเวลาที่ผู้คนใช้ไม่มาก จะได้ไม่เสียเวลารอโหลด  ผมใช้บริการเน็ตที่ความเร็วค่อนข้างสูง เพราะผมคิดว่า เวลาผมมีค่า ยอมเสียค่าบริการอกีหน่อย ดีกว่ามานั่งรอโหลดให้เสียอารมย์

กิจวัตรประจำวันหลายๆ อย่าง ถ้าเรารู้จักจัดระเบียบให้ดี เราก็จะใช้เวลาในการทำสิ่งนั้น ๆ น้อยกว่าปกติ แถมยังมีประสิทธิภาพดีอีกด้วย  เช่น การจัดของในตู้เย็นให้เป็นระเบียบ  จะไปเอาอะไรก็นึกภาพมองเห็นของต่าง ๆ ก่อนเปิดด้วยซ้ำ เปิดแล้วก็คว้าจับฉวยได้ทันที ไม่ต้องไปขยับเลื่อน เคลื่อนย้ายสิ่งอื่น ๆ ไม่เสียความเย็นโดยการเปิดฝาค้างทิ้งไว้นานเกินไป  ตอนผมย้ายบ้านใหม่ และต้องปรับปรุง ผมก็มานั่งคุย (เพราะยืนคุยจะเมื่อยเพราะอาจจะคุยนาน...) กับสถาปนิกว่าพอเราตื่นขึ้นมา เราต้องทำอะไร ที่ไหนอย่างไรบ้าง  กลับจากทำงาน เราจะต้องทำอะไรบ้าง ถึงเวลาทานข่าว เราต้องทำอะไรที่ไหน ห้องน้ำควรอยู่ส่วนไหน ฯลฯ  แต่ผมได้ขอเอาไว้ 2 เรื่อง คือ ขอให้มีห้องโถงให้ยาวที่สุด สำหรับซ้อมยิงปืนในบ้าน (ได้มาราว 24 เมตรครับ) ส่วนอีกเรื่องคือ ผมขอห้องน้ำขนาดใหญ่และอยู่ใกล้กับห้องนอน 

เวลาไปจ่ายตลาด ควรจะทำรายการสิ่งที่เราต้องการก่อน หลังจากนั้น ปรับปรุงรายการเสียใหม่ โดยคำนึงถึงตำแหน่งของ ๆ ที่เราจะไปซื้อหา ว่าให้มันอยู่ใกล้เคียงกันตามชั้น  หรือตามที่ทางร้านจัดเอาไว้ (เพราะเราเคยไปซื้อประจำ)  ไม่งั้นเราอาจจะต้องเดินวนเวียนไปมาเสียเวลา

ผมจะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถเอง เพราะผมชอบทำ ตอนรอน้ำมันไหลออกมาให้หมด ผมก็จะไปเติมน้ำล้างกระจก เช็คน้ำมันเบรค พอได้เวลาเติม ผมก็จะเรียงกระป๋องที่เปิดฝาไว้หน่อยนึง พร้อมที่จะเติม เติมครบทุกกระป๋อง ก็ไปเก็บเครื่องมือ เป็นการรอให้น้ำมันไหลลงห้องเครื่อง เวลาวัดจะได้ดูไม่น้อยเกินจริง....มาถึงตอนนี้ขอเล่าเรื่องนี้สักหน่อย  ผมซื้อรถคันแรกต่อจากเพื่อนคนไทยด้วยกัน ตอนนำไปตรวจสภาพ ทางอู่เอารถยกขึ้นแล้วถอดล้อออก เขาบอกผมว่าต้องเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่หมด ซึ่งตกราวสองร้อยกว่าดอลล่าร์ ผมก็ถามเขาว่าผมจะไปเปลี่ยนเองได้ไหม เขาบอกว่าได้ แต่ต้องเสียค่ายกตรวจใหม่อีก 20 ดอลล่าร์ ผมขับไปซื้อผ้าเบรค 1 ชุด 18 ดอลล่าร์ แล้วเปลี่ยนเอง ใช้เวลาไปราวครึ่งชั่วโมงแล้วก็กลับไปที่อู่ เขาถามว่ากลับมาทำไม ผมบอกว่าผมเปลี่ยนผ้าเบรคเสร็จแล้ว เขาทำท่าเหมือนเห็นงู 2 ตัว เพราะเขาบอกว่างานนี้ต้อง 2 ชม. จึงจะแล้วเสร็จ  ผมก็บอกว่างั้นเอาไปตรวจดู เขาก็สั่งลูกน้อง เอาขึ้นเครื่องยก สักพักลูกน้องวิ่งตรื๋อมาบอกว่า แผ่นผ้าเบรคทุกล้อใหม่เอี่ยมอ่อง  เจ้าของอู่หันมาทางผมแล้วถามว่า อยากทำงานที่อู่ของเค้ามั้ย เพราะช่างซ่อมรถยี่ปุ่นหายาก...

ทั้งหมดอาจดูเหมือนไม่มีอะไรมากมาย แต่ถ้าเราประหยัดเวลาตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย รวม ๆ กันแล้วเราก็เหมือนจะมีเวลามากกว่าชาวบ้าน  ดังนั้นผมจึงเกลียดการคอยเป็นที่สุด เพราะเป็นการเสียเปล่าเสียส่วนมาก  ถ้าผมจะต้องพบแพทย์ ผมจะนัดล่วงหน้านาน ๆ และขอเป็นคนแรก  ถ้าผมจะเติมน้ำมันรถ ผมจะไม่รอจนใกล้หมด เพราะถ้าผมขับไปถึงปั้ม ถ้ามีรถรอเยอะ ผมจะไม่เสียเวลาต่อคิว แต่ผมจะขับไปเติมที่อื่นที่ผมคิดเอาไว้แล้วล่วงหน้า  การไปทำธุรกรรมในสถานที่ต่าง ๆ เราต้องศึกษาดูว่า เวลาไหนคนน้อยที่สุด  เช่นที่ธนาคาร ไม่ควรไปตอนเที่ยงวัน หรือช่วงเช้า  ส่วนที่ไปรษณีย์ไม่ควรไปวันเสาร์ พักเที่ยง

ปล. เพิ่งนึกออก โทรศัพท์มือถือ บางคนที่ผมโทรหาบ่อย แต่ไม่ได้อยู่ใน Speed dial ที่มีให้แค่ 8 คน ในรายนามเขาจะเรียงตามตัวอักษรเป็นชุด ๆ เช่น เพื่อนที่ชื่อ Fred กลับไปอยู่ตอนท้ายของชุดรายชื่อที่ขึ้นต้นด้วยตัว “F” เพราะชื่อเขาต่อด้วย “r” ผมก็จัดเปลี่ยนเสียใหม่เป็นชื่อ Fared โดยใส่ตัว “a” เพิ่มเข้าไป ที่นี้พอจะโทรหา ก็ไม่ต้องมาคอยกดลง ๆ ไปจนเจอ เพราะชื่อแบบใหม่จะกลับมาอยู่หัวแถวไปแล้ว

ปล.2 ผมเกลียดที่สุดอีกอย่างคือการลืม ดังนั้นผมจะพยายามทำทุกอย่างที่ป้องกันการลืม นอกจากการเขียนโน้ตเตือนแล้ว เจ้าโน้ตที่ว่านี้ ผมจะเอาไปเสียบไว้กับกระเป๋าสตางค์ ไม่ใช่เอาไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานหรือที่อื่นซึ่งก็จะลืมไปดู  ถ้าในวันรุ่งขึ้น ผมต้องนำอะไรติดรถไปด้วย ผมก็จะเอากุญแจรถไปวางไว้กับของสิ่งนั้น  หรือไม่ก็เอาของนั้น ไปวางไว้ข้าง ๆ รองเท้าที่จะใส่ในวันรุ่งขึ้น เป็นต้น  ผมเองมีนาฬิกาปลุก แม้ว่าไม่ค่อยจะได้ตั้งปลุก เพราะมักจะตื่นก่อนเป็นประจำ  แต่ถ้ามีวันไหน ต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษ ก่อนนอนผมก็จะคิดว่าตัวเองเป็นอัศวิน รุ่งเช้าจะเป็นวันที่เราต้องไปฆ่ามังกร เพื่อช่วยเจ้าหญิงที่ถูกจับไว้  ฟังดูเหมือนจะเว่อไปหน่อย แต่การติ๊ต่างเอาเองทำนองนี้ ได้ผลดีนักแล
บันทึกการเข้า
Wanich/Soong
สบาย
Hero Member
*****

คะแนน 799
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3196



« ตอบ #29 เมื่อ: มีนาคม 09, 2011, 09:34:49 AM »

นั่งอ่านกระทู้ดีๆ ของอาจารย์มานานพอควร  ทุกเรื่องให้ความรู้ในเชิงลึกอย่างแท้จริง  จึงเกิดคำถามในใจว่า อาจารย์มีวิธีแบ่งเวลาจัดสรรในสิ่งที่ตนชอบกับหน้าที่ที่ต้องทำในแต่ละวันได้อย่างไรครับถึงลงตัวไปทุกอย่างครับ      Smiley  

คำถามนี้ผมได้ยินมาหลายต่อหลายครั้งแล้วละครับ  จริงอยู่เราทุกคนมีเวลาวันละ 24 ชั่วโมง แต่การจัดสรรเวลาที่ดีนั้น อาจทำให้ดูเหมือนว่าเรามีเวลามากกว่านั้น  สมัยผมอยู่เมืองไทย วันหนึ่ง ๆ ผมใช้เวลาอยู่ในรถเสียส่วนมาก ทั้งไม่ได้อะไร (แม้แต่ระยะทางที่จะไป เพราะรถติด) แถมยังสิ้นเปลืองน้ำมัน อารมย์เสีย ปวดหัว ฯลฯ แต่พอได้ไปอยู่ที่อเมริกาเมืองนี้ เรื่องรถติดไม่มีเลยครับ ทั้ง ๆ ที่ผมอยู่มานานก็เป็นเช่นนี้มาตลอด ไม่ว่าจะไปไหน เช่น ธนาคาร, ไปรษณีย์, จ่ายตลาด, เล่นเท็นนิส รับรองไม่เกิน 15 นาทีก็ถึง หรือแม้แต่ว่าจะไปยิงปืนซึ่งอยู่นอกเมืองบนเขา ก็ใช้เวลาเพียง 35-40 นาที  ส่วนนี้ผมก็สอยเวลากลับมาต่างจากตอนอยู่เมืองไทยมากมาย  กลับมาเยี่ยมเมืองไทยทีไร จะไปไหนกันที แห่งเดียวก็หมดวันไปแล้ว...  อนึ่งแม้ว่าเมืองที่ผมอยู่จะไม่มีปัญหาการจราจร แต่ผมก็จะวางแผนเส้นทางการขับรถเสมอ ๆ ทั้งนี้เพราะว่า เมืองนี้มีผังเมืองเหมือนตารางหมากฮอส แถมยังมีเส้นวงแหวนรอบเมือง ทำให้มีทางเลือกมากมาย  ผมขอยกตัวอย่างดีกว่า คือวันหนึ่งผมต้องไปเป็นล่ามที่ศาลแห่งหนึ่งซึ่งผมไม่เคยไป ผมจึงโทรถามทางเขาล่วงหน้า  ขาไปผมก็ขับไปตามที่เขาบอก แต่ก็เหมือนจะรู้ว่าต้องผ่านไฟจราจรมากมาย เลยลองนับดู ปรากฏว่าราว 80 ไฟ ขากลับผมก็เลยเลือกทางใหม่เอง โดยใช้เส้นทางสายนอก ซึ่งแม้ว่าโดยระยะทางแล้วจะไกลกว่า แต่เหลือเพียง 6 ไฟจราจร ใช้เวลาน้อยกว่าครึ่งของขาไป  ถ้ามีที่ไหนที่ผมไปบ่อย ๆ แต่มีเส้นทางให้เลือก ผมก็จะทดลองไปทั้งหมด แล้วทำการบันทึกระยะทางและเวลาที่ใช้ ครั้งต่อไปจะได้ใช้เส้นทางที่ดีที่สุด

เรื่องต่อมา ผมติดรายการทีวีมากมาย โดยเฉพาะรายการที่ให้ความรู้ในด้านที่ผมไม่รู้ ไม่เคยเห็นมาก่อน อาทิ ทางช่อง Discovery, The national Geographic, The Learning Channel แต่ผมจะไม่ดูรายการสด หรือเสียเวลาไปดูโฆษณา เพราะผมเคยคำนวณดูแล้วว่า รายการสด 1 ชั่วโมง จะเป็นโฆษณาเสีย 15 ถึง 25 นาทีทีเดียว ดังนั้นผมจึงใช้วิธีอัดรายการต่าง ๆ เอาไว้ดูตอนที่ผมว่าง แต่ถ้ารายการนั้น ๆ ผมไม่ต้องดูภาพ เพียงฟังเสียงก็รู้เรื่อง ผมก็จะทำงานอื่นไปด้วย หรือทานข้าวไปพราง ดังนั้น ถ้าผมไม่ดูรายการสด 4 รายการ แต่ดูที่อัดไว้ พอถึงโฆษณาก็เลื่อนผ่านไป ผมก็จะได้เวลาคืนมา 1 ชั่วโมงต่อ 4 รายการ เป็นต้น ผมชอบอ่านหนังสือด้วย โดยเฉพาะ...เอ่อ...ตอนปลดทุกข์นะครับ  แต่ในห้องน้ำก็มีทีวีไว้ และก็เปิดฟังข่าวหรือรายการต่าง ๆ ไปด้วย งานนี้ได้ 3 ประเภทเชียวครับ  งานนี้ผมมีเครื่องอัด ที่ใช้ hard drive 3 เครื่อง ๆ หนึ่ง เอาไว้ใช้รายการของไทยอย่างเดียว  การใช้คอมผมก็เลือกเวลาด้วย โดยเฉพาะถ้าจะต้องต่อเน็ตก็จะเลือกเวลาที่ผู้คนใช้ไม่มาก จะได้ไม่เสียเวลารอโหลด  ผมใช้บริการเน็ตที่ความเร็วค่อนข้างสูง เพราะผมคิดว่า เวลาผมมีค่า ยอมเสียค่าบริการอกีหน่อย ดีกว่ามานั่งรอโหลดให้เสียอารมย์

กิจวัตรประจำวันหลายๆ อย่าง ถ้าเรารู้จักจัดระเบียบให้ดี เราก็จะใช้เวลาในการทำสิ่งนั้น ๆ น้อยกว่าปกติ แถมยังมีประสิทธิภาพดีอีกด้วย  เช่น การจัดของในตู้เย็นให้เป็นระเบียบ  จะไปเอาอะไรก็นึกภาพมองเห็นของต่าง ๆ ก่อนเปิดด้วยซ้ำ เปิดแล้วก็คว้าจับฉวยได้ทันที ไม่ต้องไปขยับเลื่อน เคลื่อนย้ายสิ่งอื่น ๆ ไม่เสียความเย็นโดยการเปิดฝาค้างทิ้งไว้นานเกินไป  ตอนผมย้ายบ้านใหม่ และต้องปรับปรุง ผมก็มานั่งคุย (เพราะยืนคุยจะเมื่อยเพราะอาจจะคุยนาน...) กับสถาปนิกว่าพอเราตื่นขึ้นมา เราต้องทำอะไร ที่ไหนอย่างไรบ้าง  กลับจากทำงาน เราจะต้องทำอะไรบ้าง ถึงเวลาทานข่าว เราต้องทำอะไรที่ไหน ห้องน้ำควรอยู่ส่วนไหน ฯลฯ  แต่ผมได้ขอเอาไว้ 2 เรื่อง คือ ขอให้มีห้องโถงให้ยาวที่สุด สำหรับซ้อมยิงปืนในบ้าน (ได้มาราว 24 เมตรครับ) ส่วนอีกเรื่องคือ ผมขอห้องน้ำขนาดใหญ่และอยู่ใกล้กับห้องนอน  

เวลาไปจ่ายตลาด ควรจะทำรายการสิ่งที่เราต้องการก่อน หลังจากนั้น ปรับปรุงรายการเสียใหม่ โดยคำนึงถึงตำแหน่งของ ๆ ที่เราจะไปซื้อหา ว่าให้มันอยู่ใกล้เคียงกันตามชั้น  หรือตามที่ทางร้านจัดเอาไว้ (เพราะเราเคยไปซื้อประจำ)  ไม่งั้นเราอาจจะต้องเดินวนเวียนไปมาเสียเวลา

ผมจะเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรถเอง เพราะผมชอบทำ ตอนรอน้ำมันไหลออกมาให้หมด ผมก็จะไปเติมน้ำล้างกระจก เช็คน้ำมันเบรค พอได้เวลาเติม ผมก็จะเรียงกระป๋องที่เปิดฝาไว้หน่อยนึง พร้อมที่จะเติม เติมครบทุกกระป๋อง ก็ไปเก็บเครื่องมือ เป็นการรอให้น้ำมันไหลลงห้องเครื่อง เวลาวัดจะได้ดูไม่น้อยเกินจริง....มาถึงตอนนี้ขอเล่าเรื่องนี้สักหน่อย  ผมซื้อรถคันแรกต่อจากเพื่อนคนไทยด้วยกัน ตอนนำไปตรวจสภาพ ทางอู่เอารถยกขึ้นแล้วถอดล้อออก เขาบอกผมว่าต้องเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่หมด ซึ่งตกราวสองร้อยกว่าดอลล่าร์ ผมก็ถามเขาว่าผมจะไปเปลี่ยนเองได้ไหม เขาบอกว่าได้ แต่ต้องเสียค่ายกตรวจใหม่อีก 20 ดอลล่าร์ ผมขับไปซื้อผ้าเบรค 1 ชุด 18 ดอลล่าร์ แล้วเปลี่ยนเอง ใช้เวลาไปราวครึ่งชั่วโมงแล้วก็กลับไปที่อู่ เขาถามว่ากลับมาทำไม ผมบอกว่าผมเปลี่ยนผ้าเบรคเสร็จแล้ว เขาทำท่าเหมือนเห็นงู 2 ตัว เพราะเขาบอกว่างานนี้ต้อง 2 ชม. จึงจะแล้วเสร็จ  ผมก็บอกว่างั้นเอาไปตรวจดู เขาก็สั่งลูกน้อง เอาขึ้นเครื่องยก สักพักลูกน้องวิ่งตรื๋อมาบอกว่า แผ่นผ้าเบรคทุกล้อใหม่เอี่ยมอ่อง  เจ้าของอู่หันมาทางผมแล้วถามว่า อยากทำงานที่อู่ของเค้ามั้ย เพราะช่างซ่อมรถยี่ปุ่นหายาก...

ทั้งหมดอาจดูเหมือนไม่มีอะไรมากมาย แต่ถ้าเราประหยัดเวลาตรงโน้นนิด ตรงนี้หน่อย รวม ๆ กันแล้วเราก็เหมือนจะมีเวลามากกว่าชาวบ้าน  ดังนั้นผมจึงเกลียดการคอยเป็นที่สุด เพราะเป็นการเสียเปล่าเสียส่วนมาก  ถ้าผมจะต้องพบแพทย์ ผมจะนัดล่วงหน้านาน ๆ และขอเป็นคนแรก  ถ้าผมจะเติมน้ำมันรถ ผมจะไม่รอจนใกล้หมด เพราะถ้าผมขับไปถึงปั้ม ถ้ามีรถรอเยอะ ผมจะไม่เสียเวลาต่อคิว แต่ผมจะขับไปเติมที่อื่นที่ผมคิดเอาไว้แล้วล่วงหน้า  การไปทำธุรกรรมในสถานที่ต่าง ๆ เราต้องศึกษาดูว่า เวลาไหนคนน้อยที่สุด  เช่นที่ธนาคาร ไม่ควรไปตอนเที่ยงวัน หรือช่วงเช้า  ส่วนที่ไปรษณีย์ไม่ควรไปวันเสาร์ พักเที่ยง

ปล. เพิ่งนึกออก โทรศัพท์มือถือ บางคนที่ผมโทรหาบ่อย แต่ไม่ได้อยู่ใน Speed dial ที่มีให้แค่ 8 คน ในรายนามเขาจะเรียงตามตัวอักษรเป็นชุด ๆ เช่น เพื่อนที่ชื่อ Fred กลับไปอยู่ตอนท้ายของชุดรายชื่อที่ขึ้นต้นด้วยตัว “F” เพราะชื่อเขาต่อด้วย “r” ผมก็จัดเปลี่ยนเสียใหม่เป็นชื่อ Fared โดยใส่ตัว “a” เพิ่มเข้าไป ที่นี้พอจะโทรหา ก็ไม่ต้องมาคอยกดลง ๆ ไปจนเจอ เพราะชื่อแบบใหม่จะกลับมาอยู่หัวแถวไปแล้ว

ปล.2 ผมเกลียดที่สุดอีกอย่างคือการลืม ดังนั้นผมจะพยายามทำทุกอย่างที่ป้องกันการลืม นอกจากการเขียนโน้ตเตือนแล้ว เจ้าโน้ตที่ว่านี้ ผมจะเอาไปเสียบไว้กับกระเป๋าสตางค์ ไม่ใช่เอาไปวางไว้ที่โต๊ะทำงานหรือที่อื่นซึ่งก็จะลืมไปดู  ถ้าในวันรุ่งขึ้น ผมต้องนำอะไรติดรถไปด้วย ผมก็จะเอากุญแจรถไปวางไว้กับของสิ่งนั้น  หรือไม่ก็เอาของนั้น ไปวางไว้ข้าง ๆ รองเท้าที่จะใส่ในวันรุ่งขึ้น เป็นต้น  ผมเองมีนาฬิกาปลุก แม้ว่าไม่ค่อยจะได้ตั้งปลุก เพราะมักจะตื่นก่อนเป็นประจำ  แต่ถ้ามีวันไหน ต้องตื่นเช้าเป็นพิเศษ ก่อนนอนผมก็จะคิดว่าตัวเองเป็นอัศวิน รุ่งเช้าจะเป็นวันที่เราต้องไปฆ่ามังกร เพื่อช่วยเจ้าหญิงที่ถูกจับไว้  ฟังดูเหมือนจะเว่อไปหน่อย แต่การติ๊ต่างเอาเองทำนองนี้ ได้ผลดีนักแล

อาจารย์ครับ คอลั่มนี้อ่านแล้ว"คุ้ม"ครับ
อ่านแล้ว ทำให้นึกถึงตัวเองว่าที่ผ่านได้จัดการกับการใช้ชีวิตอย่างมีระเบียบ และมีคุณภาพพอแล้วหรึอยัง
และยังทำให้เรารู้ว่าเราจะใช้เวลาชีวิตของตนเองที่เหลืออย่างชาญฉลาด ให้มันคุ้มกว่านี้ได้อีกอย่างไร
จึงขอแอบ +1 ให้อย่างเต็มภาคภูมิ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.112 วินาที กับ 24 คำสั่ง