เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ตุลาคม 01, 2024, 08:29:02 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เวบบอร์ดอวป.เป็นเพียงสื่อกลางช่วยให้ผู้ซื้อ และผู้ขาย ได้ติดต่อกันเท่านั้นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับประโยชน์หรือความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น
ประกาศหรือแบนเนอร์ในเวบไม่ใช่ตัวบ่งชี้ว่าสินค้านั้นมีคุณภาพหรือไม่
โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจซื้อด้วยตัวเอง
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: 1 2 3 [4] 5
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ที่มาและตำนานต่างๆ  (อ่าน 7562 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Glock Jumper
... ศาสตร์และศิลป์แห่งอาวุธ ...
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 100
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1202


... ข้าพเจ้ารักในหลวงที่สุดในจักรวาล ...


« ตอบ #45 เมื่อ: มีนาคม 14, 2011, 11:27:13 AM »

ชอบเรื่องขนมครกครับ อย่างนี้ วาเลนไทน์หน้า ซื้อขนมครกให้แม่บ้านน่าจะซึ้งแบบไทยๆดีนะครับ ช็อกโกแลตไม่ซื้อละเชย เป็นคนไทยต้องใช้ของไทย

ถูกใจครับ ท่านศักดา ขออนุญาติ +1 ครับ
บันทึกการเข้า

... ศาสตร์และศิลป์แห่งอาวุธ ... จงมีสติ จงมีสมาธิ จงมีความถูกต้องก่อนที่จะครอบครองศาสตร์และศิลป์แห่งอาวุธที่มีอำนาจทำลายล้างเช่นนี้ "จงอย่าคิดว่ามีปืนแล้วเราคือพระเจ้า" จงจำไว้ว่า... มีสติ มีสมาธิ มีความถูกต้อง สำคัญเสมอ! ... จงรักผู้อื่นก่อนแล้วผู้อื่นก็จะรักเรา จงรักษ์ปืน แล้ว ปืนก็จะรักษ์เรา ...
birdwhistle...รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 218
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1293


« ตอบ #46 เมื่อ: มีนาคม 14, 2011, 06:12:47 PM »

กึ๋ยยยยย........น่ากลัวจัง

วันนี้พูดโทรศัพท์มือถือนานเกือบ 40 นาที  ตอนนี้รู้สึกสมองชัดเลือน ๆ ชอบกล

สงสัยจะจำเส้นทางกลับบ้านไม่ได้ซะแล้ว  ยิ้มีเลศนัย ยิ้มีเลศนัย
 
 
บันทึกการเข้า

เมื่อมั่งมี มิตรมากมาย มาหมายมอง  
เมื่อมัวหมอง มิตรมอง เหมือนหมูหมา
ไม่มั่งมี มิตรมากมาย ไม่มีมา
แม้มอดม้วย มิตรหมูหมา ไม่มามอง
RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #47 เมื่อ: มีนาคม 25, 2011, 08:31:39 PM »



สัญลักษณ์ของทางลายขาว-ดำ ที่มีไว้สำหรับให้คนข้ามถนน หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า 'ทางม้าลาย' นั้นแท้จริงแล้วในตอนแรกหาได้เป็นสีขาวกับสีดำอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันไม่

เดิมทีแถบสีสัญลักษณ์ของทางคนข้ามนี้เคยเป็นสีน้ำเงินและสีเหลืองมาก่อน โดยมีการนำมาใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรก (หลังทำการทอดลองใช้แล้ว) ตามท้องถนนของประเทศอังกฤษราว 1,000 จุด เมื่อปี 1949 เพื่อบ่งบอกให้ผู้ใช้รถใช้ถนนทราบว่าบริเวณดังกล่าวเป็นทางที่อนุญาตให้คน สามารถข้ามถนนได้

แต่ก่อนนั้น สัญลักษณ์ของทางข้ามนี้จะอยู่คู่กับ 'เสาโคมไฟสัญญาณบีลิสชา' ซึ่งถือกำเนิดมาก่อนหน้านี้แล้วตั้งแต่ปี 1934 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสัญญาณให้พาหนะที่สัญจรอยู่บนท้องถนนหยุดวิ่ง ชั่วขณะเพื่อให้คนที่อยู่สองข้างทางได้เดินข้ามถนนอย่างปลอดภัย โดยพาหนะต่างๆ จะหยุดก็ต่อเมื่อโคมไฟสัญญาณบีลิสชาซึ่งมีสีส้มส่องสว่างขึ้น

ต่อมา เลสลี ฮอร์น บีลิสชา รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมแดนผู้ดี ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มไอเดียนำโคมไฟสัญญาณดังกล่าวมาติดตั้งก็คิดว่าน่าจะมีการ เพิ่มสัญลักษณ์ที่เป็นแถบสีบนพื้นถนนบริเวณที่มีการติดตั้งโคมไฟสัญญาณเพื่อ ช่วยให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเห็นได้เด่นชัดมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ สัญลักษณ์ของทางข้ามที่มีแถบสีจึงถือกำเนิดขึ้น

จากนั้นก็มีการทดลองใช้สีขาว-แดง และสีขาว-ดำ ทาเป็นสัญลักษณ์ แล้วในปี 1951 สัญลักษณ์ของทางข้ามที่เป็นแถบสีขาว-ดำก็ถูกนำมาใช้คู่กับโคมไฟสัญญาณบีลิ สชาอย่างเป็นทางการครั้งแรก พร้อมกับได้รับการขนานนามว่า 'ทางม้าลาย' เนื่องจากมีลักษณะเหมือนลายของม้าลายนั่นเอง

ต่อมาอังกฤษได้นำไอเดียดังกล่าวไปใช้กับประเทศอาณานิคมของตัวเอง เช่น สิงคโปร์ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น ทางม้าลายจึงกลายเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก และกลายเป็นเครื่องหมายจราจรที่เป็นสากลไปโดยปริยาย


ที่มา...http://news.clipmass.com/story/%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E2%80%98%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E2%80%98---28705
บันทึกการเข้า
แปจีหล่อ
Hero Member
*****

คะแนน 6324
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8251



« ตอบ #48 เมื่อ: มีนาคม 26, 2011, 04:43:48 PM »

ถึงว่าคนไทยไม่ใช้ข้ามเพราะเป็นทางม้าลายนี่เอง Grin
บันทึกการเข้า

สีกากีเป็นสีของดิน ข้าราชการควรต้องติดดิน ออกพื้นที่รับฟังปัญหาของชาวบ้าน ข้าราชการคือ ข้าที่ทำกิจการต่างๆให้กับพระราชา เครื่องแบบข้าราชการสีกากีคือสีแห่งข้ารับใช้แผ่นดิน
JJ-รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 386
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9425


« ตอบ #49 เมื่อ: มีนาคม 26, 2011, 06:25:49 PM »

อ่านเพลิน พร้อมได้ความรู้ดี ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า
RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #50 เมื่อ: มีนาคม 26, 2011, 11:27:54 PM »

อ่านเพลิน พร้อมได้ความรู้ดี ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับจะนำมาเสนอเรื่อยๆครับ ไหว้
บันทึกการเข้า
RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #51 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2011, 12:57:52 PM »

ประวัติ ไม้ ขีด ไฟ



ไม้ขีดไฟแสงประกายในอดีต

แต่เดิมยุคหินนั้นมีมนุษย์ที่เรียกกันว่า มนุษย์ยุคหิน ได้ไฟมาจากฟ้าผ่าแล้วไฟติด ก็ถือไม้ที่ติดไฟ

กลับมาแล้วก็คอยเติมฟืนให้ไฟลุกอยู่ตลอด ต่อมาไม่รู้ใครนะครับที่ฉลาด เอาไม้มาสีกันจนเกิด

ความร้อนและใช้ขลุยไม้นุ่มๆมาเป็นเชื้อไฟทำให้ไฟติด เก่งมากจริงๆนะครับ และต่อๆมาก็พัฒนา

กลายมาเป็นอย่างที่เห็นและใช้กันจนทุกวันนี้






ไม้ขีดไฟในประเทศไทย

ไม้ขีดไฟยุคแรกๆ ที่เข้ามาขายในเมืองไทยเข้ามาประมาณกลางสมัยรัชกาลที่ 4 โดยเป็นไม้ขีด

จากประเทศสวีเดนที่มีบาทหลวงมาเผยแพร่ศาสนานำเข้ามา และต่อมาก็เป็นไม้ขีดไฟของญี่ปุ่นที่

มีการจำหน่ายกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งไม้ขีดไฟเหล่านี้จะมีตราและสลากบนกล่องไม้ขีดไฟมาก

มายโดยนักสะสมไม้ขีดไฟจะเรียกฉลากไม้ขีดไฟนี้ว่า "หน้าไม้ขีดไฟ"

นักสะสมที่รวบรวมสะสมหน้าไม้ขีดไฟนิยมเก็บไว้ในสมุดบัญชีเล่มใหญ่ๆแล้วปิดกาวหรือเจาะ

กระดาษสอดมุมไว้ ไม้ขีดไฟของญี่ปุ่นนั้นจะมีมากกว่าประเทศอื่นโดยจะมีรูปหน้าไม้ขีดหลายรูป

แบบ ได้แก่รูปคน รูปสัตว์ รูปผลไม้ รูปดอกไม้ และจะมีคำว่า "เมด อิน เจแปน" เป็นภาษาอังกฤษ

บอกไว้ข้างใต้หรือส่วนใดส่วนหนึ่งของหน้าไม้ขีดเพื่อบ่งบอกว่าไม้ขีดไฟนั้นมาจากประเทศญี่ปุ่น

และในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้ญี่ปุ่นก็ได้ทำ หน้าไม้ขีดไฟเป็น ภาพวาดของรัชกาลที่ 5 ทรงม้าในหลายๆ

แบบ โดยใต้รูปจะเขียนเป็นภาษาไทย ว่า "พระรบ" ซึ่งที่จริงแล้วน่าจะเป็นคำว่า "พระรูป" มากกว่า

แต่เนื่องจากญี่ปุนคงเผลอลืมใส่ ป ปลา แทน บ ใบไม้ และลืมใส่ สระ อู หรือไม่งั้นก็เพราะชาว

ญี่ปุ่นไม่ค่อยจะรู้ภาษาไทยมากมายเท่าไหร่นัก

นอกจากนี้ยังมีรูปทหารยืนถือธงช้างอยู่ข้างพระองค์และรูปช้างสองเชือกหันหน้าเข้าหาพระจุล

มงกุฎหรือพระเกี้ยว ซึ่งเป็นตราประจำพระองค์ของรัชกาลที่ 5 รูปบนหน้าไม้ขีดไฟหรือที่เรียกกัน

ว่าศิลปะบนกลักไม้ขีดไฟยังมีอีกมาก ซึ่งรูปวาดเหล่านี้ก็อาจจะวาดเพื่อการโฆษณาสินค้า หรือมี

เหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ ต่อมาในรัชกาลที่ 7 คนไทยก็สามารถผลิตไม้ขีดไฟเองได้ทำ

ให้การนำเข้าไม้ขีดต่างประเทศลดลงในที่สุด โรงไม้ขีดในไทยยุคต้นๆได้แก่ บริษัทมิ่นแซจำกัด

ผลิตตรานกแก้ว ตรารถกูบ , บริษัทตังอาจำกัด ผลิตตรามิกกี้เม้าท์ ตราแมวเฟลิกซ์, บริษัทไทยไฟ

ผลิตตรา 24 มิถุนา เป็นรูปพระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นที่ระลึกในการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา

เป็นระบอบประชาธิปไตย

บริษัทเอเชียไม้ขีดไฟจำกัด ผลิตชุด ก.ไก่ ข.ไข่ ซึ่งการผลิตหน้าไม้ขีดนี้ก็เพื่อให้ประชาชนที่ใช้

ไม้ขีดไฟได้รับความรู้อีกทางหนึ่ง บริษัทสยามแมตซ์แฟ็กตอรี่ ภายหลังเปลี่ยนมาเป็นบริษัทไม้

ขีดไฟไทย ผลิตตรา ธงไตรรงค์ ตราพระยานาค ซึ่งมีขายมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้





บันทึกการเข้า
ขุนช้าง-รักในหลวงและสมเด็จพระเทพ
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1183
ออฟไลน์

กระทู้: 12698



เว็บไซต์
« ตอบ #52 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2011, 01:02:04 PM »

อิบังมีสาระ.... ตกใจหน้าซีด ตกใจหน้าซีด ตกใจหน้าซีด ตกใจหน้าซีด ตกใจหน้าซีด มิน่าพายุเข้า
บันทึกการเข้า

คนโง่ มันทำไม่คิด แต่คนชั่ว มันคิดแล้วจึงทำ จึงเรียกว่า คิดชั่ว //by อ.เหลือง

เกิดเป็นคน ทำดีได้ง่ายกว่าเดรัจฉานตั้งเยอะ แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำความดี
RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #53 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2011, 01:16:49 PM »

อิบังมีสาระ.... ตกใจหน้าซีด ตกใจหน้าซีด ตกใจหน้าซีด ตกใจหน้าซีด ตกใจหน้าซีด มิน่าพายุเข้า
หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน หัวเราะร่าน้ำตาริน
บันทึกการเข้า
RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #54 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2011, 01:25:18 PM »

20 Greatest Gadgets Never Die (?)
 
กาลเวลาทำให้หลายอย่างผ่านมา แล้วก็ผ่านไป ไม่พ้นแม้กระทั้งเทคโนโลยีใหม่ทั้งหลายที่ว่าแน่
 
เมื่อเจอที่เจ๋งกว่าก็ต้องกลายเป็นเก่าไปซะอย่างนั้น บางอย่างเก่าแล้วก็ยังพอมีให้เห็น บางอย่างก็
 
เก่าแล้วเก่าเลยเชยไม่ได้หวนกลับ ทว่าบางอย่างจะให้เก่ายังไงก็ดูท่าจะอยู่คู่ผู้คนไปอีกนาน งั้น
 
เพื่อต่อวิวัฒนารการของเทคโนโลยีที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เรามาดูกันหน่อยเถอะว่า ตั้งแต่โลกตื่นเต้นกับ
 
เทคโนโลยีมากขึ้น มนุษย์คิดค้นอะไรที่เคยอินเทรนด์มาแล้วบ้าง
 
เก่าไป ใหม่มายังจำได้ไหมว่า อะไรเคยสร้างกระแสใหม่ๆ และก็ตกรุ่นไปโดยสดุดี



ที่มา  http://news.clipmass.com/story/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B5-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7---31340

บันทึกการเข้า
RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #55 เมื่อ: กันยายน 16, 2011, 09:22:28 PM »

ตํานานวันไหว้พระจันทร์

http://news.clipmass.com/story/%E0%B8%95%E0%B9%8D%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B9%89%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B9%8C---36816
บันทึกการเข้า
RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #56 เมื่อ: กันยายน 16, 2011, 09:26:44 PM »

ตำนานศุกร์13



เมื่อเอ่ยถึงวันศุกร์ 13 นั้นหลาย ๆ คนอาจจะนึกไปถึงวันแห่งอาถรรพ์ เพราะเคยมีภาพยนตร์เรื่องหนึ่งใช้ชื่อว่า ศุกร์ 13 ฝันหวาน แต่เป็นภาพยนตร์สยองขวัญ ในขณะที่อีกหลาย ๆ คนอาจจะยังไม่ทราบความเป็นมาว่า ทำไมวันศุกร์ 13 ถึงเป็นวันที่ไม่ดี



ว่ากันว่าความเชื่อที่ว่าถ้าวันศุกร์เกิดไปตรงกับวันที่ 13 ของเดือนใดก็ตามแล้ว จะกลายเป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้นเป็นความเชื่อของชาวตะวันตก โดยต้นตอแห่งความเชื่อนี้มาจาก อาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซู (The Last Supper) โดยเชื่อกันว่าในอาหารมื้อนั้นมีผู้ร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ 13 คนก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนใน วันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday)

ในขณะที่มีอีกความเชื่อหนึ่งกล่าวว่าวันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 1307 เป็นวันที่พระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ทำการจับกุมตัวบรรดาอัศวินเทมพลาร์ชาวฝรั่งเศสจำนวนหลายร้อยคนไป ก่อนจะนำตัวไปทรมานและสังหาร เพื่อนำทรัพย์สินของพวกเขามาเป็นของฝรั่งเศส

ทั้งนี้นักจิตวิทยาพบว่า ในบางคนจะมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือล้มป่วยในวันศุกร์ที่ 13 ซึ่งมีการให้เหตุผลเอาไว้ว่าเป็นเพราะบางคนรู้สึกวิตกจริตเป็นอย่างมากในวันศุกร์ที่ 13 โดยทางศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันอาบำบัดการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเมินว่าในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงิน 800 - 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน


จนทำให้เกิดโรคกลัววันศุกร์ที่ 13 มีชื่อเรียกว่า Paraskavedekatriaphobia หรือ paraskevidekatriaphobia หรือfriggatriskaidekaphobia ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรค triskaidekaphobia คือ โรคกลัวหมายเลข 13


และที่มาที่ทำให้วันศุกร์ 13 กลายเป็นวันโชคร้ายไปทั่วนั้นน่าจะมาจากภาพยนตร์สยองขวัญอย่าง ศุกร์ 13 ฝันหวาน หรือ "Friday the 13th" ซึ่งเรื่องเกี่ยวกับฆากรต่อเนื่องในสหรัฐอเมริกา ซึ่งตัวเอกของเรื่องมีเอกลักษณ์เด่นคือการสวมหน้ากากฮ็อกกี้ เพื่อปกปิดใบหน้า ก่อนทำการฆาตกรรมเหยื่อ

สำหรับความเชื่อเรื่อง ศุกร์ 13 เป็นวันไม่ดีนั้นส่วนใหญ่จะเชื่อกันในหมู่ชาวตะวันตกเสียเป็นส่วนมาก ซึ่งเรื่องแบบนี้นั้นถือเป็นเรื่องของความเชื่อส่วนบุคคลค่ะ


http://news.clipmass.com/story/%E0%B8%95%E0%B9%8D%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%8C-13---28202
บันทึกการเข้า
RMAY
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #57 เมื่อ: กันยายน 16, 2011, 09:56:04 PM »

 
บันทึกการเข้า
JUNGLE
ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
Hero Member
*****

คะแนน 1204
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 17188


การต่อสู้คือชัยชนะ


« ตอบ #58 เมื่อ: กันยายน 17, 2011, 09:48:28 AM »



มีตำนาน... ตายเพราะนอนในรถ... ตายเพราะแย่งข้าวแมว... หรือตายเพราะอยากมีเมียคนที่สอง.... มั่งมั๊ยครับ... อยากเห็น... ยิ้มีเลศนัย ยิ้มีเลศนัย ยิ้มีเลศนัย

ไหว้

บันทึกการเข้า
อนัตตา
หนักแค่ไหนก็ไม่ทุกข์ สุขเพียงใดก็ไม่พลั้ง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1616
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 8201


เมื่อเจ้ายืนอยู่บนยอดภูผา อย่าลืมว่าเจ้ามาจากที่ใด


« ตอบ #59 เมื่อ: กันยายน 17, 2011, 02:12:45 PM »

อืม..รวมเรื่องแปลกจริง ๆ แปลกยันเจ้าของกระทู้   Grin
บันทึกการเข้า

หน้า: 1 2 3 [4] 5
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.087 วินาที กับ 22 คำสั่ง