เว็บบอร์ดสนทนาภาษาปืน
ตุลาคม 05, 2024, 08:18:14 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: เว็บบอร์ด อวป. สามารถเข้าได้ทั้งสองทาง คือ www.gunsandgames.com และ www.gunsandgames.net ครับ
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ ค้นหา ปฏิทิน เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: + + + สร้างกรรม + + +  (อ่าน 1247 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« เมื่อ: เมษายน 23, 2011, 05:26:03 PM »

สร้างกรรม
โดย ท.เลียงพิบูลย์
จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๕


ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ข้าพเจ้าได้โดยสารรถยนต์สองแถวไปยังต่างจังหวัด โชคดีที่นั่งข้างหน้ากับคนขับรถจึงรู้สึกกระเทือนน้อยลง ขณะแล่นอยู่บนถนนที่ไม่สู้จะเรียบร้อย รถวิ่งไปหลายชั่วโมง ก็มาหยุดจอดพักที่ตลาดเล็กๆ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เพื่อให้ผู้โดยสารลงพักยืดแข้งยืดขา รับประทานอาหารกลางวัน พอพักผ่อนสมควรเวลาแล้ว รถก็ออกวิ่งเดินทางต่อไป ข้าพเจ้าถือโอกาสสนทนากับคนขับ และชมแกว่าเป็นคนอารมณ์ดี คนขับรถอยู่ในความไม่ประมาท มีความระมัดระวังดีสมกับที่ผู้โดยสารฝากชีวิตไว้กับคนขับคนเดียว

ข้าพเจ้ารู้สึกพอใจในอัธยาศัยของชายผู้นี้ยิ่งนัก ตลอดเวลาที่ได้สังเกตมาหลายชั่วโมงแล้ว ข้าพเจ้านึกแต่ในใจว่า คนผู้นี้ยังอยู่ในวัยหนุ่ม ต่อไปคงจะต้องรุ่งเรืองมีอนาคตแจ่มใสอย่างแน่นอน เพราะกิริยาท่าทางทุกสิ่งส่อไปในทางที่ดีทั้งสิ้น ฉะนั้น การที่ข้าพเจ้าชมแกนั้นชมด้วยความจริงใจ มิได้เคลือบแฝงแกล้งเยินยอเลย สังเกตดูแกเห็นอกเห็นใจผู้โดยสาร ตลอดจนคนเดินถนน เมื่อเรามาหยุดพักแกก็อุตส่าห์ช่วยพยุงคนชราทั้งๆ ที่มีผู้ช่วยอยู่แล้ว ใช้คำพูดนิ่มนวล แสดงความคารวะผู้อาวุโส มีกิริยาวาจาเรียบร้อยกับผู้โดยสารทั่วไป

ข้าพเจ้าพอใจที่แกไม่ยอมขับรถเร็วเป็นพายุ และไม่ช้าเกินไป ไม่แซงซ้ายแซงขวาตัดหน้าคนอื่น หรือแสดงท่าโลดโผนอวดผู้โดยสารว่าข้านี้เก่ง และนึกภูมิใจเหมือนคนรถบางคนที่ข้าพเจ้าเคยเห็นมาแล้ว ทำให้ผู้โดยสารบ่นกันว่าโดยสารครั้งเดียวเข็ดจนตาย แทนที่จะชมว่าขับเก่งกลับแอบด่า แอบบ่นคนจัญไรมันรีบขับไปหาพ่อหาแม่มันที่ไหน แต่ชายผู้นี้ไม่มีลักษณะเช่นนั้นเลย มีแต่ความสุภาพเรียบร้อย และข้าพเจ้าไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เมื่อมาพบเห็นก็อดนึกรักเอ็ดดูไม่ได้ คิดว่าความดีของคนผู้นี้ ทำให้ข้าพเจ้ารักใคร่เอ็นดูอย่างจริงใจ

รถแล่นออกมาไม่นานนัก ก็มีชายบ้านนอกคนหนึ่ง วิ่งผ่านตัดหน้ารถในระยะใกล้ชิด ข้าพเจ้าเองก็อดตกใจไม่ได้ ใช้เท้ายันรถจนสุดแรง ตกใจเผลอตัวนึกว่าตัวเองขับรถ แต่คนขับได้ห้ามล้อหยุดได้ทันท่วงที ด้วยความไม่ประมาทและคอยระวังตัวอยู่เสมอ ผู้วิ่งตัดหน้าผ่านไปด้วยความปลอดภัย คนขับนั้นแทนที่จะใช้คำหยาบยื่นหน้าตะโกนออกไป เพื่อระบายอารมณ์โกรธอย่างที่ข้าพเจ้าเคยพบเห็นบ่อยๆ แต่ชายผู้ขับนี้กลับยิ้มเศร้าๆ แสดงกิริยาเห็นอกเห็นใจและสงสาร หันกลับมาพูดกับข้าพเจ้าว่า

“ธรรมดาทุกคนกลัวตายทั้งนั้น การที่แกวิ่งตัดหน้ารถก็เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่มีใครหรอกครับที่วิ่งตัดหน้ารถเพื่อล้อเล่นกับความตาย นอกจากประมาทและตื่นตกใจจวนตัวไม่รู้จะวิ่งไปทางไหน คนเช่นนี้ผมสงสารและเห็นอกเห็นใจ เมื่อรอดไปได้แกก็ขวัญเสียอยู่แล้ว ถ้าเราใช้คำหยาบตะโกนว่าแกไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร มันไม่ทำอะไรให้ดีขึ้น เรื่องมันแล้วไปแล้ว จะระบายอารมณ์ใช้คำหยาบๆ ทำให้คนอื่นที่มีจิตใจเป็นธรรมฟังแล้วก็เกิดชังน้ำหน้าเราเปล่าๆ”

ข้าพเจ้าได้ฟังแล้ว ก็นึกว่าบุคคลนี้ แม้จะเป็นคนขับรถโดยสาร แต่มีจิตใจสูงดีกว่าคนมีอำนาจวาสนาหรือบุคคลที่ร่ำรวยมหาศาลแต่มีจิตใจต่ำ และคิดว่าชายผู้นี้คงจะได้รับการอบรมมาแต่ในทางที่ดี ก่อนที่เขาจะมาขับรถนี้คงจะเป็นผู้ดีตกยากหรืออะไรทำนองนั้น จึงพยายามเลียบเคียงถามก่อนหน้าที่จะมาขับรถโดยสาร แกบอกกับข้าพเจ้าว่า

“ชีวิตของผมก่อนที่จะมาขับรถนี้ มันเป็นเรื่องเศร้ามากครับ”

แล้วแกก็หันมาถามข้าพเจ้าว่า

“คุณเชื่อไหมครับว่าคนที่สร้างกรรมชั่วนั้น กรรมต้องตามสนอง”

ข้าพเจ้าบอกว่า ข้าพเจ้าเชื่อมานานแล้ว เรื่องสร้างกรรมดีกรรมชั่ว กรรมนั้นย่อมตามสนอง เป็นแต่ช้าหรือเร็ว ชาตินี้หรือชาติหน้าเท่านั้น

แกบอกผมว่า “ผมรู้สึกว่าคุณนี่ถูกนิสัยกับผม จึงอยากจะเล่าเรื่องชีวิตผมได้ผ่านมา และได้รู้เห็นมากับตนเองให้คุณฟัง คนที่ไม่เชื่อ ผมก็ไม่อยากจะเล่า”

“เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อก่อนผมเป็นลูกน้องติดตามรถบรรทุก ซึ่งมีนาย..... ลูกพี่ของผม เป็นผู้รับจ้างบรรทุกของไปส่งจังหวัดต่อจังหวัด ผมเป็นผู้ช่วยผลัดเปลี่ยนขับ เพราะบางเวลาเราต้องขับทั้งกลางวันกลางคืน ผมขับรถเป็นเพราะลูกพี่คนนี้ ลูกพี่ของผมคนนี้เป็นคนขับรถที่ชำนาญ แต่ชอบโลดโผนขับรถเร็ว ใครๆ จะแย่งขึ้นหน้าเป็นไม่ยอม จะต้องแซงขึ้นหน้าจนได้ การแข่งตัดหน้าเช่นนี้บางเวลาก็มีวิวาทด้วยคำพูด เกือบจะวางมวยกันหลายครั้ง

รถเกือบๆ จะตกถนนก็หลายหน แต่ก็ไม่ตกลงทันที เวลาขับกลางคืนก็ไม่ยอมหรี่ไฟเมื่อสวนทางกัน รถคันที่สวนทางมาต้องหยุดกลางทางเพราะมองไม่เห็น กลัวจะถูกชนหรือตกถนน บางคันก็ตะโกนด่าด้วยอารมณ์โกรธที่ใช้แสงไฟใหญ่เข้าตา บางคันก็เพียงแต่บ่น ก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละครั้ง แต่ลูกพี่ของผมเห็นเป็นสนุกและพอใจ

ต่อมาแกมีนิสัยใหม่ที่กลับมาร้ายกว่าเดิมคือ ถ้ามีรถหลังมาขอทางก็คอยกันแซงขวาไว้ก่อน พอเห็นมีรถข้างหน้าสวนทางมา แกก็กะระยะพอเฉียดอย่างใจคอหายกัน แล้วก็ให้สัญญาณโบกมือให้รถหลังขึ้นหน้า แล้วแกก็ชลอรถให้ห่างๆ จากรถที่ขึ้นหน้ากับรถที่สวนทางมาข้างหน้าปะทะกัน ซึ่งต่างมาปะจันหน้าในระยะใกล้จะเบารถหยุดหรือห้ามล้อก็ไม่ทัน ต่างก็หักพวงมาลัยหลีกกันอย่างตกใจเกือบๆ จะตกถนนไปด้วยกัน

บางครั้งก็ปะทะกัน บังโคลนบู้บี้ด้วยกันทั้งคู่ บางทีก็หมอบไปไม่ได้ด้วยกัน ผมเห็นแกมีความพอใจสนุกสนานในผลการกระทำของแก ผมรู้สึกไม่ชอบและไม่พอใจ และเด็กรุ่นๆ สองคนที่ประจำรถก็เห็นเป็นของสนุกไปด้วย ส่วนมากแกใช้ให้เด็กเป็นคนโบกมือให้สัญญาณขึ้นหน้าเมื่อมีรถบีบแตรขอทาง

ผมได้เตือนแกว่าอย่าทำอย่างนี้ ถ้าเกิดมีคนตายด้วยการกระทำของแก แม้จะเอาผิดไม่ถนัด แต่กรรมที่แกทำนี้จะตามสนองแกสักวันหนึ่ง และขอให้แกเห็นแก่ศีลธรรมมนุษยธรรม ขอให้แกเลิกเล่นพิสดารอย่างทารุณนี้เสียด้วย แกแก้ตัวว่าไม่ได้ทำอะไรเลย เขาขอทางก็หลีกทางให้ เมื่อไปชนรถข้างหน้าหรือสะพานมันก็ไม่ใช่ความผิดของแก

ถ้าใครจะบอกว่าแกผิดเพราะให้สัญญาณโบกมือให้ขึ้นหน้า แกก็จะแก้ว่าไม่ได้ให้สัญญาณ แย่งขึ้นหน้าไปเองหรือตาฝาดไปเอง รถที่เป็นเหยื่อของลูกพี่ผมนั้น ส่วนมากเป็นรถพวงมาลัยขับทางซ้ายเพราะมองไม่เห็นรถสวนมาข้างหน้า เนื่องจากมีรถหน้าบัง ยิ่งถนนเป็นฝุ่นก็ยิ่งไม่มีทางที่จะเห็นรถสวนหรือสะพานแคบๆ ได้เลย แม้ผมจะไม่ใด้ขับรถก็พยายามนั่งข้างหน้าและนั่งชิดซ้ายทางลงให้ชิดที่สุด เมื่อเห็นว่าลูกพี่ของผมสั่งให้เด็กทำสัญญาณโบกมือให้รถตามหลังขึ้นหน้า เพื่อจะให้ปะทะกับรถสวนมาหรือสะพานก็ดี
ผมก็แอบยื่นมือโบกห้ามเป็นสัญญาณไม่ให้ขึ้นหน้าจนกว่าจะพ้นอันตราย แต่จะได้ผลเพียงไรผมไม่แน่ใจนัก แต่คนขับพวงมาลัยซ้ายนั้นคงเห็นถนัด ทำให้ลูกพี่มองผมด้วยสายตาเริ่มจะไม่เป็นมิตร เหมือนจะรู้ว่าผมเริ่มขัดขวางในความสนุกของแก และผมเองก็ทนดูความบ้าของแกไม่ไหว คิดว่าออกไปตายดาบหน้าดีกว่าที่จะทนเห็นการเล่นอย่างทารุณของแก ผมยื่นคำขาดขอให้แกเลิกเล่นเกมกีฬาที่เหี้ยมโหดเสียที

แกก็ยืนคำว่าแกไม่ได้ทำผิดอะไร เราก็มีการเถียงกันบ้าง และผมได้ขู่ว่าหากแกยังแสดงกิริยาบ้าๆ เช่นนี้อีก ถ้าผมรู้จะไปแจ้งความจริงให้เจ้าหน้าที่ทราบ ถึงแม้จะผิดหรือไม่ผิดก็คงรู้กัน เราได้โต้เถียงกันหลายคำ แล้วผมก็จากมา

ผมคิดว่าตั้งแต่วันนั้นแกคงไม่เล่นแบบนั้นอีก แกคงจะกลัวตามที่ผมได้ขู่ไว้ แต่ก็ไม่แน่ใจนักที่แกจะละทิ้งนิสัยชั่วนี้ได้ เพราะผมได้แยกกับแกแล้ว คงไม่มีใครขัดขวางการกระทำของแก จิตใจผมยังเป็นห่วงแกมาก เพราะทุกครั้งที่ผมได้ข่าวว่ามีรถชนกันก็ดี ตกสะพานหรือชนสะพาน หรือตกข้างถนนตกคูก็ดีเหล่านี้ ผมก็อดที่จะคิดสิ่งไม่เป็นมงคล ถึงการกระทำของลูกพี่ทุกครั้งไป แม้แกเองจะไม่รู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยก็ดี

ผมได้จากลูกพี่มาประมาณ ๖ เดือน ผมก็ได้งานขับรถประจำ และระหว่างก่อนหน้าผมก็ได้แต่แทนเท่านั้น เมื่อผมได้ขับรถประจำ แล้ววันหนึ่งผมได้ขับรถไปตามทาง ก็มองเห็นข้างหน้ามีคนมุงดูรถบรรทุกคันหนึ่งหลบสะพาน รถเสียหลักตกไปตะแคงข้างถนน พอผมเห็นก็ตกใจเพราะจำได้ว่า รถคันนั้นลูกพี่ของผมเป็นผู้ขับ

ผมรีบหยุดรถลงข้างถนนแล้วลงไปถามชาวบ้าน ซึ่งมีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ หญิง และชายกำลังยืนพูดถึงเรื่องรถตกถนนกันอยู่ ก็ได้ความว่า รถคันนี้ได้แย่งขึ้นหน้ารถอีกคันหนึ่ง พอขึ้นหน้าได้ก็เห็นสะพานกลัวจะชนสะพาน คนขับจึงตัดสินใจลงข้างถนน จึงพลิกกลิ้งตะแคงอยู่ข้างถนนดังที่ได้เห็นมาแล้ว

ผมได้ถามคนขับว่าเป็นอย่างไรบ้าง ก็ทราบว่าคนขับถูกพวงมาลัยกระแทกหน้าอกสลบไป และรถที่ตามหลังมาก็รีบจัดการส่งคนป่วยไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ผมได้ทราบก็สลดใจและเศร้าใจมาก เพราะถึงอย่างไรแกก็เคยมีบุญคุณกับผมที่จะลืมเสียมิได้ การโต้เถียงก็มิได้ว่าจะโกรธกันเป็นเพราะผมหวังดีแท้ๆ วันนั้นพอผมนำรถกลับเข้าจังหวัดแล้ว ผมก็รีบไปขออนุญาตเจ้าของรถไปเยี่ยมลูกพี่ของผมที่โรงพยาบาลเท่าที่ผมทราบมา

ผมไปถึงโรงพยาบาล ถามถึงชื่อและเหตุต้องมาอยู่โรงพยาบาลจากนางพยาบาล แล้วก็รีบไปที่ห้องตามที่นางพยาบาลบอกทันที เมื่อเข้าไปในห้องก็เห็นคนป่วยนอนเรียงรายเป็นแถวดูลานตาไปหมด บังเอิญผมได้มองไปเห็นพี่ชายของลูกพี่ยืนหน้าเศร้าอยู่ที่มุมห้องข้างเตียงคนไข้ ผมก็ทราบได้ดีว่าแกคงนอนป่วยที่นั่น แต่แล้วผมก็มองเห็นมารดาของแกนั่งอยู่ข้างเตียงน้ำตานอง ผมเข้าไปทำความเคารพพี่ชายและมารดาของลูกพี่ แล้วก็มองเห็นแกพันผ้าเลยหน้าอกขึ้นมาก็ใจหาย ได้ทราบว่าเขาพึ่งออกมาห้องปฐมพยาบาลหรือห้องผ่าตัด แกยังสลบอยู่

ผมเลยถือโอกาสถามถึงสาเหตุ ก็ได้ทราบจากพี่ชายของแกว่า รถที่แกเร่งขึ้นหน้านั้นเป็นรถที่พี่ชายแกเป็นคนขับ และพี่ชายแกก็ประหลาดใจ แกตกใจเหมือนกัน เพราะอยู่ๆ แกก็เร่งขึ้นหน้าทั้งๆ ที่ข้างหน้าเป็นสะพาน พี่ชายได้ตะโกนบอกว่าอย่าพึ่งแซง แกก็ไม่ฟัง พอขึ้นหน้าก็จะชนสะพาน แกเลยตัดสินใจหักลงข้างทาง ผมเองได้ยินก็สลดใจอย่างที่สุด พอดีแกก็ฟื้นจากสลบ ทำหน้านิ่วด้วยความเจ็บปวด เมื่อลืมตามองเห็นผม ก็พยักหน้าให้เข้ามาใกล้ๆ

คนป่วยพูดเสียงแผ่วเบา เพราะความเจ็บปวดทรมาน และขอน้ำทานเป็นคำแรก ผมรีบหยิบกาใส่น้ำที่ตั้งไว้ไปจ่อที่ปาก จิตใจสงสารเป็นที่สุด เมื่อดูดน้ำจากพวยกากระเบื้องพอสมควร แกก็เอ่ยขึ้นว่า “พี่ขอบใจที่แกมาเยี่ยม พี่รู้สึกตัวแล้วว่ากรรมชั่วได้ตามสนองพี่แล้ว พี่คงจะไม่ได้มีโอกาสที่จะเห็นหน้าแกต่อไป พี่รู้สึกตัวดี มันเจ็บปวดเหลือเกินมันเจ็บไปทั้งหน้าอก”

แกพูดพลางน้ำตาก็ไหลรินออกมา ทำให้ผมสงสารอย่างจับใจน้ำตาก็พลอยร่วงลงมาด้วย ได้แต่ปลอบโยนแกให้ทำใจให้เข้มแข็ง เพื่อจะได้ต่อต้านกับความเจ็บปวด แต่แล้วมารดาแกก็เข้ามาขอร้องอย่าให้พูดมากให้นอนนิ่งๆ วันนั้นผมได้จากแกมาด้วยจิตใจที่เศร้ามาก และได้มอบเงินให้กับมารดาแกไว้ร้อยบาท บอกว่าถ้าหากแกต้องการจะกินอะไรก็ช่วยซื้อให้ด้วย ผมเองเวลานั้นก็ใช่ว่าจะมั่งมีอะไร แต่เห็นการเจ็บป่วยต้องทรมานแล้วก็สงสาร นึกว่าผมเองจะอดก็ยินดี เพราะว่าผมก็ตัวคนเดียว คงไม่อดตายแน่

ก่อนกลับก็ไม่ลืมไปเยี่ยมเด็กประจำรถอีกสองคน อีกคนหนึ่งแขนเดาะแต่ยังพูดจาได้ดี ผมจึงได้รู้เรื่องว่า การที่ลูกพี่แซงขึ้นหน้ารถพี่ชายนั้นเพราะแกเห็นว่า คันหน้าให้สัญญาณโบกมือให้ขึ้นหน้าทั้งๆ ที่ไม่มีใครเห็น แต่ลูกพี่ตาฝาดไปเองจึงเกิดเรื่องขึ้น นี่แหละครับคุณ

ทำให้ผมเชื่อแน่เหลือเกินว่า กรรมใดที่สร้างไว้กรรมนั้นย่อมตามสนอง เพราะต่อมาลูกพี่ของผมก็ถึงแก่กรรม เพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว นี่เป็นเรื่องเศร้าเรื่องหนึ่งในชีวิตผม

ข้าพเจ้าฟังเรื่องราวแล้วพลอยเศร้าไปด้วย แล้วข้าพเจ้าถามว่า

“เมื่อไหร่จะคิดแต่งงานมีครอบครัวบ้างล่ะ”

แกยิ้มอย่างอายๆ และพูดว่า “เดี๋ยวนี้ผมมีภรรยาแล้วครับ”

ข้าพเจ้าต้องยิ้มเก้อๆ ไปด้วย เลยถามว่า “แต่งงานมานานแล้วหรือ ภรรยาเป็นชาวจังหวัดไหน หรือคนกรุงเทพฯ”

“ภรรยาผมเป็นลูกสาวเจ้าของรถที่ผมขับนี่แหละครับ”

แกเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เมื่อมาขับรถประจำได้ประมาณปีเศษ เจ้าของรถเห็นแกเป็นคนซื่อ เหล้ายาก็ไม่กิน และพวกคนโดยสารขึ้นลงประจำเขานิยมนั่งรถที่แกขับมากกว่าคนอื่น ด้วยมารยาทที่ดีและขับรถไม่ประมาทเป็นที่ไว้ใจได้ว่า ไม่พาไปตกถนนหรือชนกันแน่ หรือพาไปตายหมู่เหมือนคันอื่น

ฉะนั้น ระยะเพียงปีเดียวทำรายได้มากกว่าคนเก่าตั้งครึ่ง ต่อมาเจ้าของรถคงเห็นความดีอันนี้จึงได้ยกบุตรสาวให้เป็นภรรยา โดยมิได้รังเกียจว่าแกเป็นลูกจ้างขับรถ ข้าพเจ้าชมแกว่าเล่าได้ละเอียดดีมาก แกบอกว่า “ผมได้บันทึกไว้ครับ ผมได้พยายามอ่านทวนความจำอยู่เสมอ เพื่อจะได้คอยเตือนสติให้ผมไม่ระมาท ในสิ่งที่ผมไม่ควรกระทำ”

ข้าพเจ้าฟังแกเล่าอย่างยืดยาว ก็มีความพอใจในความประพฤติของแกที่ล่วงมาแล้ว จึงคิดและพูดว่า “ผู้ใดประกอบกรรมดี ผู้นั้นย่อมจะได้รับกรรมดีสนองเหมือนกันกับความชั่วไม่ช้าก็เร็ว ไม่มีใครสามารถยื้อแย่งเอาความดีไปได้ ขอให้ทำความดียิ่งๆ ขึ้นไปเถิด จะได้เป็นมงคลกับตัวเอง”

ข้าพเจ้าเห็นแกยิ้มอย่างภูมิใจและมีความสุข เมื่อพูดถึงความดีที่มีผู้ชม และพูดว่า

“ครับ ผมจะดำรงความดีจนชีวิตหาไม่”

อันตัวข้าพเจ้านั้นแม้ไม่ใช่ญาติพี่น้องของแกก็จริง แต่เมื่อทราบถึงกรรมดีที่แกได้สร้างมา ก็อดที่จะพลอยปลื้มปิติยินดีไปด้วยความจริงใจไม่ได้

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อ่านได้...อ่านดี   ไหว้ สวัสดีครับ...pasta  หลงรัก
 
 
 

บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
Nat_usp
เวลาเหลือน้อยแล้ว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 708
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3010


กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง


« ตอบ #1 เมื่อ: เมษายน 23, 2011, 05:32:10 PM »

แบบนี้ชอบมากครับ ขอร่วมด้วยครับ^_^

ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เล่ม1
http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=103

ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เล่ม2
http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=104

ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เล่ม3
http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=105

ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เล่ม4
http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=106

ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เล่ม5
http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=107

ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เล่ม6
http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=108

ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว เล่ม7
http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=273


อันนี้พิเศษ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=305
บันทึกการเข้า

รักในหลวงที่สุดที่ในโลก

เพียงดาวเบเกอรี่     http://forum.ayutthaya.go.th/index.php?topic=31931.0
Nat_usp
เวลาเหลือน้อยแล้ว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 708
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3010


กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง


« ตอบ #2 เมื่อ: เมษายน 23, 2011, 05:36:18 PM »

กรรมจากการปรามาสโดยอิงจากหนังสือจากลูกศิษย์ของหลวงพ่อประสิทธิ์  ถาวโร  วัดถ้ำยายปริก ที่เกาะสีชังครับนะครับ ท่านเป็นพระแท้พระดีอีกองค์หนึ่งที่น่าไปกราบรูปเคารพของท่าน แม้ท่านดับขันธ์ไปแล้วก็ตามครับ


รูปของหลวงพ่อประสิทธิ์  ถาวโร

 “กรรม”

ผมสังเกตมานานแล้วว่า หลวงพ่อท่านเป็นพระที่อยู่สงบและสันโดษอย่างยิ่ง ท่านไม่ได้เป็นพระสายไหนๆ ไม่ใช่ทั้งสายวัดป่าและวัดบ้าน ไม่ใช่สายอาจารย์องค์นั้นองค์นี้ทั้งสิ้น แต่หากสังเกตจากสีจีวรของหลวงพ่อและคณะสงฆ์ในวัดแล้ว หลวงพ่อจะดูคล้ายพระทางสายวัดป่าและธรรมยุติ เพราะจีวรท่านสีเหลืองแก่นขนุน แต่โดยทางปกครองแล้ว ท่านขึ้นอยู่กับสายมหานิกาย

เรื่องทางการปกครองสงฆ์นี้ หลวงพ่อท่านไม่ปฏิเสธ ท่านบอกว่า จริงๆ แล้วครั้งพุทธกาลพระท่านเคารพกันที่อาวุโสพรรษา แต่ปัจจุบันมีการปกครองสงฆ์ที่เอาสมณศักดิ์มาบังคับ แต่เราก็ไปหักห้ามไม่ได้ เพราะสมมุติโลกมันเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เราก็ต้องอนุโลมไปตามเขา ทั้งนี้ก็เพื่อคงไว้ซึ่งความสามัคคีของคณะสงฆ์เป็นหลัก มิใช่เพื่ออย่างอื่น

มีกรณีที่เห็นได้ง่ายๆ คือ คราใดที่หลวงพ่อไปประชุมพระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาสของพระมหานิกายใน จังหวัดชลบุรี (ปีละครั้ง) ท่านจะเปลี่ยนจีวรเป็นสีอ่อนลงเล็กน้อย ทั้งนี้ก็เพื่อให้ดูกลมกลืนกับสีของพระมหานิกายทั่วไป ท่านบอกว่า “เราต้องทำตัวให้ไม่แปลกแยกจากเขา เข้าสังคมทำตัวเด่นมันไม่ดี จะอวดเคร่งอวดหย่อนก็ไม่ดีทั้งนั้น” แต่ถึงกระนั้น ช่างกระไรที่หลวงพ่อท่านกลับไม่เป็นที่ชื่นชอบของพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งเท่าใด นัก พระผู้ใหญ่ท่านนั้นเป็นผู้ดูแลปกครองคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ในแถบจังหวัดภาคตะวันออก ทั้งนี้เท่าที่ผมคลุกคลีกับหลวงพ่อและไปไหนมาไหนกับท่านก็หลายครั้ง ก็พอจะสรุปถึงสาเหตุที่พระผู้ใหญ่ท่านนั้น "ไม่ชอบ"หลวงพ่อ เช่น

๑. หลวงพ่อเป็นพระลูกทุ่ง พูดจาตรงไปตรงมา (แต่ไม่โผงผางหยาบคาย) ไม่เคยแสดงอาการพินอบพิเทา หรือประจบประแจงใครๆ แต่ก็ไม่เคยแสดงอาการก้าวร้าว ท่านจะทำตัวปกติกับพระทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่ แต่พระผู้ใหญ่ท่านนั้นนิยมการเคารพอ่อนน้อมตามยศถาบรรดาศักดิ์ ทั้งนี้ ก็มีหลวงพ่อรูปหนึ่งล่ะที่พบพระผู้ใหญ่ท่านนั้นแล้วไม่ยกมือไหว้ (ก็จะให้ไหว้ได้อย่างไรครับ เพราะพระผู้ใหญ่ท่านนั้นมีพรรษาน้อยกว่าหลวงพ่อนับสิบปี)

๒. อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่ง ในเขตปกครองสงฆ์เดียวกับวัดถ้ำยายปริก มักพูดให้ร้ายหลวงพ่อหลายครั้งให้พระผู้ใหญ่ท่านนั้นฟัง ท่านก็เชื่อ เพราะเจ้าอาวาสรูปนั้นเป็นถึงพระครูที่พระผู้ใหญ่ท่านนั้นตั้งมากับมือ ข้อความที่หลวงพ่อถูกใส่ร้ายก็เช่น หลวงพ่อต้องปาราชิกกับแม่ชีในวัด, หลวงพ่อสร้างโบสถ์โดยไม่ได้ขออนุญาต, หลวงพ่อประพฤติผิดพระวินัยเป็นอาจิณ ฯลฯ สารพัดจะหาความใส่ท่าน แต่ก็ไม่เคยหาหลักฐานได้สักที แม้หลวงพ่อจะถูกส่งพระและคนมาตรวจอะไรต่างๆ กี่ครั้งกี่คราก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร เหตุที่ท่านเจ้าอาวาสวัดหลวงกระทำการดังกล่าว อาจเป็นเพราะท่านเห็นว่า วัดถ้ำยายปริกพักหลังมาเจริญขึ้นผิดหูผิดตา ผิดกับวัดนั้นที่เสื่อมโทรมลงไปอย่างเห็นได้ชัด

หมายเหตุ, เมื่อสัก ๑๐ ปีก่อน ท่านเจ้าอาวาสรูปดังกล่าว “ผูกคอตาย” ไปแล้วอย่างน่าปริศนา คือ พระในวัดของท่านก็บอกว่า พักหลังมาเห็นท่านออกอาการวิปลาส แล้วอยู่ๆก็เข้ากุฎิผูกคอตาย เป็นข่าวดังออกทีวีและ นสพ.เกรียวกราวเมื่อหลายปีก่อน ถัดจากนั้นมา ท่านเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันของวัดดังกล่าว ก็ยังคงสืบทอดนิสัยของท่านองค์ก่อน คือมักจะยุชาวบ้านบางคนให้มาด่าว่าหลวงพ่อ แต่ถัดมาไม่นานนัก ท่านเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันดังกล่าว วันหนึ่งก็เผลอทำเทียนหล่นพื้นตอนหลับแล้วไฟเลยไหม้กุฎิวอดวายหมดทั้งหลัง ตัวท่านก็เกือบไม่รอดเหมือนกัน

ด้วยเหตุดังกล่าว ผมสังเกตว่า เวลาที่หลวงพ่อพบเจอกับพระผู้ใหญ่ท่านนั้นคราใด พระท่านนั้นจะพูดจาด้วยน้ำเสียงห้วนๆ บางครั้งตะคอกก็มี แต่ด้วยความที่หลวงพ่อไม่มีความผิดอะไร ท่านก็ทำอะไรหลวงพ่อไม่ได้ ผิดกับพระผู้ใหญ่ระดับจังหวัดอีก ๒ ท่าน ที่ท่านมีความเที่ยงธรรมสูง ท่านรู้จักหลวงพ่อเป็นอย่างดี ท่านให้ความเคารพและเป็นกันเองกับหลวงพ่อ ไม่เคยแสดงอาการวางอำนาจบาตรใหญ่ ทั้งสองท่านนี้ต่างคุ้นเคยกับหลวงพ่อและให้ความเคารพหลวงพ่ออย่างมาก แม้บางคราวที่หลวงพ่อถูกพระท่านอื่นที่ไม่รู้จักหลวงพ่อมาพูดจากระทบกระทั่ง ทั้งสองท่าน ต่างก็รีบพูดเตือนพระรูปนั้นๆ ทันทีว่า “นี่ อย่าไปยุ่งกับท่านประสิทธิ์ ท่านประสิทธิ์ไม่ใช่พระธรรมดาๆนะ ประเดี๋ยวจะหาว่าผมไม่เตือน”

กับฆราวาสบางคนก็เช่นเดียวกัน ที่เคยหาเรื่องหาราวกับหลวงพ่อ (จากเรื่อง “แค่ลมปาก”) ผมเห็นกับตาว่า ชายคนหนึ่งที่เคยมาตะโกนด่าหลวงพ่อ และชักชวนชาวบ้าน (บางคน) ให้มาด่าหลวงพ่อ ปัจจุบันชายคนนั้นต้องนั่งบนรถเข็นสามล้อที่มีลูกน้องคอยเข็นให้ เพราะอยู่ๆ ก็เกิดเป็นอัมพาตครึ่งท่อนขึ้นมา (อาการดังกล่าว เกิดจากการที่วันหนึ่ง หลวงพ่อสั่งให้พระทั้งวัดประชุมกัน สวดบังสุกุลเป็นบังสุกุลตายให้แก่ผู้จองเวรแก่วัดและหลวงพ่อ ถัดจากนั้นไม่นาน ชายผู้นั้นก็เป็นอัมพาตครึ่งท่อน.... ท่านผู้อ่านโปรดอย่าเข้าใจว่า หลวงพ่อให้สวดเพื่อสาบแช่งเลยนะครับ เพราะผมเคยถามแม่ชีท่านหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม่ชีตอบว่า หลวงพ่อเคยปรารภว่า “สวดช่วยมันไป ถ้าไม่สวดสิ จะตายเอาซะ นี่เลยเป็นแค่อัมพาต”)

ผมเคยถามหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ ทำไมดูเหมือนหลวงพ่อมีคนคอยหาเรื่องหาราวอยู่เรื่อย นี้เป็นเพราะกรรมเก่าหรือครับ” ท่านตอบว่า “ใช่ เวรกรรมต่างๆ เราทำมา เราก็ต้องชดใช้ทั้งนั้น นั่นแหละใช้กรรมล่ะ ใช้ให้มันไป หนี้กรรมอะไรต่างๆอย่าไปหนี ถ้าเป็นศิษย์พระพุทธเจ้าแล้วต้องเชื่อกรรม จำไว้ มีกรรมอะไร เราก็ชดใช้ให้มันไป ซึ่งก็ดี เราจะได้เข็ดหลาบ อันที่ จริงการใช้กรรมนี้ก็ไปนิพพานได้นะ เพราะถ้าเราเห็นทุกข์อย่างแจ้งชัดว่ากรรมทำให้เราเป็นอย่างนี้ๆ เราจะไม่อยากมาเกิดอีกเลย เมื่อไม่อยากเกิดอีก ก็กระทำความเพียร มุ่งทำลายความรู้สึกให้หมดสิ้น สักวันเชื่อแน่ว่าต้องถึงที่สุด มันไม่ยากเกินความสามารถไปได้”

ท่านกล่าวต่อว่า “ส่วนเรื่องถูกด่า หลวงพ่อไม่ทุกข์ร้อนอะไรหรอกพงศ์เอ้ย ใครเขาจะมาด่ามาว่าหรือกล่าวหาเราอะไรต่างๆ แค่นี้น่ะเรื่องเล็ก หนักกว่านี้ยังโดนมาแล้ว เคยโดนพระนักเลงเอาไม้หน้าสามตีมาแล้ว ก่อนแกตีเรา แกถามเราว่า "ท่านแน่หรือ" เราตอบไปว่า "ผมไม่แน่" ขนาดยอมแกอย่างนั้น แต่แกก็ยังตีเรา แต่ตอนนั้นเรามีสติระลึกทัน พอไม้ฟาดกระทบตัวเรา ก็เป็นแผลแตกออก แต่ในใจเกิดสติมันว่า “เนื้อหนังมังสังของเน่าเปื่อย” ไม่มีความคิดจะโต้ตอบกลับเลย ยืนนิ่งให้เขาตีให้หนำใจ จีวรนี้โชกไปด้วยเลือด เราก็คิดเสียว่า เออดีเหมือนกัน เอาเลือดเราออก จะได้ล้างธรณีสงฆ์ซะ ต่อมาโยมเขามาเห็นเขาจึงนำส่งโรงพยาบาลไปเย็บเป็นสิบเข็ม ส่วนพระรูปนั้นถูกจับสึก ภายหลังมาขอขมากราบเท้าเราด้วยสำนึกผิดกลัวบาปกรรม เราก็ไม่ว่าอะไร ได้แต่บอกเขาไปว่า “เออ โยม เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร อาตมาไม่ถือโทษหรอก แต่กรรมมันย่อมสนองกรรมเป็นธรรมดานะ”

ผมถามหลวงพ่อว่า “ถ้าอย่างนั้นเขาก็ต้องไปรับกรรมต่อใช่ไหมครับ แม้ว่าหลวงพ่อจะไม่ถือโทษใดๆ” ท่านตอบว่า “อือ ตอนนี้แกตายไปแล้ว ไปอยู่ในอเวจีมหานรกโน่น อีกหลายคนก็กำลังจะตามไป น่าสงสารสัตว์โลก จริงๆ แล้วโทษตัวเขาก็ไม่ได้ ต้องโทษ “ความรู้สึก” ในใจของเขาเอง ที่มันชักนำให้กระทำกรรมชั่วช้า ก็ใช้กรรมกันไป อีกนานเท่าใดก็ไม่รู้”

ผมถามหลวงพ่ออีกว่า “เราจะทำอย่างไรให้ไม่โกรธตอบครับ เวลาถูกกระทบกระทั่งไม่ว่าเรื่องอะไร” (และผมก็คิดในใจว่า เดี๋ยวหลวงพ่อคงบอกว่าให้กำหนดสติให้ทันความคิดสิ อะไรทำนองนั้น)

หลวงพ่อตอบว่า “เออ หมั่นฝึกเอาไว้ ใครจะมาด่ามาว่าเรา หรือติฉินนินทา ให้ยกมือพนมเหนือหัวพูดไปเลยว่า เจ้า ประคู้น ขอให้คุณจงเจริญๆ เถอะ แล้วในใจก็อุทิศให้เขาไปเลย ขอให้เขาเจริญๆ ยิ่งเขาด่าเราหนักเท่าไร ก็ต้องยิ่งอุทิศให้เขาว่า ขอให้เขาเจริญๆ ยิ่งๆ ขึ้นไป พูดบ่อยๆ เนืองๆ เข้าจิตเราจะอ่อนโยนลงเองหรอก ไม่ถือโทษโกรธเคือง มีแต่ให้เขาไป ให้ ๆ ๆ ๆเรื่อยไป”

ท่านเสริมอีกว่า “แล้วถ้าเขาด่าเราว่าเรา เป็นคนเลว ว่าเป็นคนไม่ดี ก็ให้ยอมรับไปเลยว่า จริง! เพราะทุกวันนี้แม้แต่ตัวหลวงพ่อก็ยังไม่ดี ถ้าดีก็ไม่ต้องมาอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันอะไรต่างๆ ให้เมื่อยตุ้ม ก็ร่างกายนี้มีแต่ของสกปรกเน่าเปื่อย เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวไข้ เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว ต้องหาอาหารป้อนให้มันกินทุกวัน เดี๋ยวปวดขี้ ปวดเยี่ยว อย่างฆราวาสก็ก็ต้องทำงานหาเงินมาเลี้ยงปาก เลี้ยงท้อง จะมีหน้าที่การงานดีอะไรแค่ไหน ก็แค่เพื่อหาเงินมาจัดหาปัจจัยสี่เพื่อบำรุงร่างกายนี้ตัวเดียว จะว่ามันดีได้ที่ไหน ฉะนั้นใครด่าเราว่าไม่ดี ให้รับคำกับเขาเลยว่า ครับ ผมมันไม่ดี ค่ะ ฉันมันไม่ดี ตัวฉันนี้มันไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แค่นั้นแหละ”

ย้อนมาเรื่องของกรรมที่เคยมีผู้มากระทบกับหลวงพ่ออีกสักเล็กน้อย ผมเคยถามหลวงพ่อว่า เรื่องฤทธิ์อภิญญาอะไรต่างๆ นั้นมีความเป็นจริงได้แค่ไหน ท่านตอบให้คิดว่า “ก็เป็นจริงเท่าที่ใครคนใดคนหนึ่งจะทำได้ ถ้าอย่างไหนเขายังทำไม่ได้ มันก็ยังไม่จริงตราบนั้น” แต่แล้วท่านก็เสริมว่า “ส่วนเรื่องอำนาจของจิตใจนี้มันมีพลังจริง แต่อยู่ที่ผู้ทำด้วยว่าใช้ไปถูกทางหรือเปล่า” ผมจึงขอร้องให้หลวงพ่ออธิบายให้ฟัง

ท่านกล่าวว่า “คราวหนึ่งสัก ๒๐ ปีมาแล้ว สมัยที่หลวงพ่อยังเดินธุดงค์ คราวนั้นไปพิษณุโลก ไปพักวัดพระพุทธชินราช เจอพระธุดงค์อีกองค์หนึ่ง คล้องลูกประคำเต็มคอ เราเห็นเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเขา (ปกติของหลวงพ่อคือท่านไม่สนใจพระรูปใดๆทั้งสิ้น ด้วยท่านนิยมปฏิบัติมาด้วยตัวเอง มีกายและจิตของตนเป็นครูบาอาจารย์) หลวง พ่อเองมองเห็นเขาเป็นพระเหมือนกัน ก็ว่า เออๆ พระเหมือนกัน ก็แล้วกันแค่นั้น แต่พระรูปนั้นสิ ก็มองๆเราอยู่ พอตอนเย็นแกเดินเข้ามาหาเรา แล้วบอกว่า เขารู้ว่าเรา “ได้สติ” แล้ว เออแน่ะ ตอนนั้นเราก็ยังนึกชมเขาว่า เขาเก่ง รู้ว่าเรา “ได้สติ” แต่เรากลับไม่รู้ว่าเขาได้อะไร (เพราะหลวงพ่อมีปกติไม่ส่งจิตออกนอก ด้วยท่านตอนนั้นใช้สติคุมจิตแน่วแน่ตลอดเวลา)”

“ตกกลางคืน เขาเล่นของ เขาแผ่อะไรบางอย่างมากะจะให้เราแย่ แต่ปกติเราเวลานั้นก็คุมสติเห็นทุกอย่างเป็นรูปนามโดยอารมณ์อัตโนมัติตลอดเวลา ทั้งกลางวันกลางคืน แม้แต่เวลาหลับ สติก็ยังอยู่กับเรา ฉะนั้น “ของ” ที่เขาส่งมาก็กระเด้งกลับเหมือนหนังสติ๊ก จนรุ่งเช้าจึงพบว่า ตะแกเดินแก้ผ้าแก้ผ่อนพูดจาโว้กว้ากไม่เป็นผู้เป็นคน"

และหลวงพ่อสรุปให้ว่า "นั่นแหละจึงเข้าตำราว่า ของอะไรก็ตามถ้าเขาให้เรามา แต่เราไม่รับ แล้วเขาก็ต้องเอาคืนกลับไป ก็ ได้แต่สงสารเขา ปลงว่านี้แหละกรรมของสัตว์โลก เกิดมาก็กระทำกันแต่กรรม แล้วก็ชดใช้กรรมกันไป หมุนเวียนเป็นกงกรรมกงเกวียน ไม่มีที่สิ้นสุดกันจนกว่าจะอโหสิกันไป เอ็งเห็นไหมล่ะว่า สังสารวัฏฏ์นี้น่าเบื่อหน่ายแค่ไหน"

หมายเหตุ เหตุการณ์เช่นนี้ เคยเกิดขึ้นอีกคราวหนึ่งเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง คือ มีพระรูปหนึ่ง แวะเข้ามากราบหลวงพ่อ แต่ไม่ขอพักที่วัด โดยจะไปปักกลดธุดงค์ที่ภูเขาใกล้วัด (ยังอยู่บนเกาะสีชัง) ท่านแนะนำตัวว่า เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ซึ่งหลวงพ่อก็ไม่ได้ว่าอะไร ต้อนรับปฎิสันถารตามควรแล้วพระรูปนั้นก็จากไป

แต่แล้ว...รุ่งเช้า พระรูปนั้นเดินผ่านมาทางหน้าวัด แต่มีสภาพผ้าผ่อนหลุดลุ่ย พูดจาไม่ได้ศัพท์ ใครจะเข้าใกล้ตัวก็ไม่ได้ เพราะจะชกเอา ตำรวจต้องมาเอาตัวท่านไปสงบสติอารมณ์ที่โรงพัก ซึ่งหลวงพ่อก็พึมพำกับแม่ชีว่า “เมื่อคืนเขาส่งจิตมาลองเรา มันดึ๋งกลับไปคืน นี้แหละ พวกส่งจิตออกนอก ลงเอยอย่างนี้ทั้งนั้น กรรมหนอกรรม”  


ที่มา http://www.prommapanyo.com/smf/index.php?topic=657.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 23, 2011, 05:41:16 PM โดย Nattapol - รักในหลวง » บันทึกการเข้า

รักในหลวงที่สุดที่ในโลก

เพียงดาวเบเกอรี่     http://forum.ayutthaya.go.th/index.php?topic=31931.0
Nat_usp
เวลาเหลือน้อยแล้ว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 708
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3010


กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง


« ตอบ #3 เมื่อ: เมษายน 23, 2011, 05:37:36 PM »



ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่คัดลอกมาเฉพาะส่วนซึ่งกล่าวถึงเกี่ยวกับเรื่องกรรม ที่องค์หลวงพ่อประสิทธิ์ท่านเมตตาสอนไว้ด้วยครับ



เมตตา

...............................................

เพื่อนรุ่นพี่ของผมคนหนึ่งในที่ทำงานเดียวกัน อดีตเป็นคนสำมะเลเทเมา แต่ยังดีที่ยังมีความสนใจและเชื่อในเรื่องบาปกรรมในภายหลัง เนื่องจากได้ศึกษาธรรมในสายหลวงปู่มั่น ระยะหลังมาเขาจึงกลายเป็นคนธรรมะธัมโม ชอบสวดมนต์ทุกบทและยาวมาก ชอบทำบุญทำทานครั้งละเป็นแสนบาทก็หลายครั้ง และแน่นอนครับ เขาศรัทธาพระทางวัดป่ามากๆ ต่อมาเมื่อผมชักชวนให้เขาได้ลองไปสนทนาธรรมกับหลวงพ่อ เขาก็ยินดี

วันหนึ่ง เขาและภรรยาก็ชักชวนให้ผมพาไปกราบหลวงพ่อ จึงได้พากันไป เมื่อไปถึงวัด ภาพแรกที่เห็นคือ หลวงพ่อกำลังนั่งดูข่าวทีวีอยู่ในศาลาใหญ่ ผมจึงพาเขาและภรรยาเข้าไปกราบหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อเห็นพวกเรา ท่านก็หันมายิ้มให้หน่อยหนึ่ง แล้วท่านก็หันไปมองจอทีวีต่อ ยังไม่ได้ทักทายอะไร ถัดจากนั้น คล้ายว่าหลวงพ่อจะต้องการทดสอบอะไรบางอย่างแก่เพื่อนรุ่นพี่ของผมคนนี้ คือท่านได้เปลี่ยนช่องทีวี กดหารายการต่างๆ จนเจอรายการมวย แล้วหลวงพ่อก็นั่งมองมวยอยู่พักหนึ่งต่อหน้าพวกเรานั้นเอง ถัดมาท่านจึงหันมาทักทายเพิ่มเติมกับพวกเราว่าพากันมาจากไหน และถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไป แต่ขณะที่หลวงพ่อนั่งมองทีวีรายการมวยต่อหน้าพวกเรานั้น ผมสังเกตได้ว่า สีหน้าของเพื่อนรุ่นพี่ของผมคนนี้เปลี่ยนไปมากอย่างเห็นได้ชัด คือแสดงอาการไม่พอใจอย่างยิ่ง ทำปากแบะเบี้ยวน่ากลัว ครั้นเมื่อหลวงพ่อถามไถ่พวกเราเสร็จ พวกเราก็ขอตัวออกมา รุ่นพี่ของผมจึงพูดขึ้นกับผมว่า “พระอะไรดูมวยด้วย ไม่น่านับถือเลย”

ทว่าในวันรุ่งขึ้นเช้า ในเวลาฉันอาหาร หลังจากพระรับประเคนเสร็จ ให้พรเสร็จก็เริ่มฉัน ทันใดหลวงพ่อก็ให้แม่ชีถือชามข้าวใบหนึ่ง ภายในมีข้าวที่คลุกผสมปนเปกับอาหารคาวหวานที่หลวงพ่อท่านตักออกจากบาตรมา ส่วนหนึ่ง (หรือคือข้าวก้นบาตรนั่นเอง) แม่ชีบอกว่า “หลวงพ่อบอกว่าให้เอามาให้ทาน โดยเฉพาะคุณสองคน (หมายถึงเพื่อนรุ่นพี่ของผมและภรรยา ไม่เกี่ยวกับผมแต่อย่างใด) ” เพื่อนรุ่นพี่ของผมจึงรับมาแบ่งส่วนหนึ่งให้ตนและภรรยา แล้วก็รับประทานอย่างเสียไม่ได้นั่นเอง เพราะไม่ได้ศรัทธาอะไรในองค์หลวงพ่อ (ผมมีข้อสังเกตบางประการว่า ทุกคราที่หลวงพ่อให้เอาข้าวก้นบาตรไปให้ใคร จะต้องมีเหตุการณ์บางอย่างประหลาดๆ เกิดขึ้นกับผู้นั้นหลังจากนั้นเสมอ เช่น อุบัติเหตุ (แต่ไม่หนัก) หรือเหตุการณ์คับขัน อุปสรรคพิศดาร ฯลฯ

ภายหลังมา ได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เพื่อนรุ่นพี่ของผมคนนี้ เปลี่ยนความคิดจากหน้ามือมาหลังมือ (ผมขออนุญาตไม่เล่าอีกเช่นกันครับ เพราะอาจจะเป็นการปรุงแต่งมากเกินไป ด้วยเหตุการณ์นั้นไม่ได้เกิดกับผม แต่เกิดกับเพื่อนคนดังกล่าว และอาจไปเกี่ยวพันกับอภินิหารจนเหลือเชื่อบางประการ) ต้องกลับมาวัดถ้ำยายปริกพร้อมภรรยาอีก พร้อมกับนำดอกไม้ธูปเทียนแพมากราบที่ตักหลวงพ่ออย่างนอบน้อม พลางพูดว่า “กระผมขอกราบขอขมาลาโทษพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และหลวงพ่อ ในความผิดประมาทที่ได้ล่วงเกินหลวงพ่อไป ขอหลวงพ่องดซึ่งโทษล่วงเกินดังกล่าวด้วยครับ ต่อไปผมจะสำรวมระวังไม่ประมาทล่วงเกินหลวงพ่ออีกเลยครับ”

ทั้งนี้ สิ่งที่ผมจะขอสื่อให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณา ไม่ใช่เรื่องอภินิหารใดๆ เกี่ยวกับหลวงพ่อ แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่หลวงพ่อท่านตอบกลับแก่เพื่อนรุ่นพี่ของผม ภายหลังจากเขาได้ขอขมาหลวงพ่อ ท่านตอบกลับโดยมีใจความว่า

“เออ ไม่เป็นไรหรอก เรื่องมันแล้วไปแล้วก็ให้มันแล้วไปเถอะ สิ่งไหนเราทำไปแล้วมันก็ผ่านไปแล้ว จะเรียกกลับคืนมาก็เป็นไปไม่ได้ มีแต่ต้องให้มันผ่านไปเท่านั้นเอง แล้วถัดจากนี้ก็ต้องสำรวมระวัง ครูบาอาจารย์ท่านจะทำอย่างไรก็เรื่องของท่าน หรือใครจะทำอะไรก็เรื่องของเขา ไม่ต้องไปสนใจเขา เขาเราก็เหมือนกัน เกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกัน กิน ถ่าย หลับ ตื่น เหมือนกัน ยืน เดิน นั่ง นอน เหมือนกัน ตายแล้วก็เผาไฟฝังดินเหมือนกัน และกาลเวลามันเอาไปหมดไม่ว่าคนดีหรือชั่ว มันเอาไปไม่เลือกหน้า สุดท้ายต้องดับสูญด้วยกันทั้งหมด จึงว่าเราดูแต่ตัวเราก็พอ ดูให้เห็นกายในกาย เห็นจิตในจิต เห็นความรู้สึกคิดนึกปรุงแต่งของเราที่มันเกิดๆ ดับๆ อยู่ร่ำไปหาสาระแก่นสารไม่มี

ก็โลกนี้มันมีแต่เรื่องสมมุติทั้งนั้น มันจะมีสาระแก่นสารอยู่ที่ใด โลกทุกวันนี้มันติดสมมุติกันเสียงอมแงม ติดศถาบรรดาศักดิ์ ชื่อเสียงเกียรติยศ ตำแหน่งหน้าที่การงาน ติดฤกษ์งามยามดี ติดทรัพย์สมบัติ ติดลูกติดหลานพ่อแม่พี่น้องผัวเมียข้าทาสบริวาร จนแม้กระทั่งพระปฏิบัติก็ยังติดพิธีระเบียบความถือมั่นต่างๆ ยังมีพวกเอ็งพวกข้า วัดป่าวัดบ้าน ธรรมยุติมหานิกาย สายนั้นสายนี้ อะไรต่อมิอะไร หลวงพ่อเห็นแล้วก็ปลงสังเวช นั่นน่ะ เพราะเขาไม่รู้ว่า ในใจของเขาที่หลงความคิดของตัวเอง นั่นแหละคือตัวสมมุติตัวฉกาจ และเพราะสมมุติตัวเดียวนั่นเองที่มันแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปคลุมไว้ทั้งโลก คลุมไว้ทุกรูปทุกนาม โลกมันจึงวุ่นวายกันอย่างที่เห็นนี้แหละ”

ผมเคยถามหลวงพ่อถึงธรรมะดังกล่าวข้างต้นว่า “หลวงพ่อครับ ทำอย่างไรเราจึงจะไม่สนใจคนอื่นได้อย่างจริงจังครับ พวกผมยังมีความรู้สึกเสมอว่า ทำไมเขาทำอย่างนั้น ทำไมเขาประพฤติอย่างนี้ หรือทำไมเขาถึงต้องมาทำให้เราขุ่นข้องหมองใจอะไร ทำไมๆๆๆ (สารพัดจะทำไม) ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องของเราเลย มันเป็นเรื่องของเขาล้วนๆ หน้าที่ของเรามีเพียงตั้งสติควบคุมความรู้สึกของเราให้ดีเป็นพอ ถูกต้องหรือเปล่าครับ”

หลวงพ่อตอบว่า “ถูก นั่นแหละ ดูตัวเอง พึ่งตัวเองอย่างนั้นล่ะถูกแล้ว และจริงๆ แล้ว ธรรมะพื้นฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับเรื่องนี้ก็คือ เราต้องมีเมตตาประจำใจ ลองพิจารณาดูสิ ถ้าเรามีเมตตาต่อทั้งตัวเราและผู้อื่นอย่างจริงจังแล้ว เราจะไปเพ่งโทษต่อว่าตำหนิติเตียนเขาหรือ ก็เขายังมีความรู้สึกคิดนึกปรุงแต่งอยู่ ยังทำผิดทำพลาดได้เสมอไปเหมือนกันกับเรา แล้วเราจะไปโทษเขาได้อย่างไร เพราะเรากับเขามันก็ไอ้เหมือนกันนั่นแหละ เหมือนกันตรงที่ต้อง เกิด แก่ เจ็บ แล้วก็ตายเหมือนกัน”

“อย่างพระชีที่นี่ อยู่กันมาก ก็มีกระทบกระทั่ง หลวงพ่อสอนพวกเขาอยู่บ่อยๆ ว่า อย่าทะเลาะกัน หากขัดแย้งกันเมื่อไร ให้ลองถามกันดูซิว่า มึงต้องตายไหม แล้วถามตัวเองว่า กูต้องตายไหม อ้าว ในเมื่อทั้งสองฝ่ายก็ต้องตายด้วยกันทั้งคู่ แล้วทะเลาะกันไปทำไม มันได้อะไรขึ้นมา คำพูดที่ด่ากันก็เป็นลมเป็นแล้งสูญสลายไปหมดแล้ว แม้แต่ด่ากันอยู่เวลานั้นมันก็ดับไปทุกคราวคำที่พูดจบ เห็นเขาอ้าปากจะด่าหรือชมเราก็แล้วแต่ กำหนดสติสิว่านั่นน่ะ “เกิด” พอเขาพูดจบ กำหนดสติว่ามัน “ดับ” แล้ว นั่น! มีอยู่เท่านั้น เกิดๆ ดับๆ อยู่อย่างนั้น ไม่มีตัวมีตนเลย ต่อให้บันทึกคำพูดลงกระดาษหรือลงเทปบันทึกก็ได้ แต่พอเอาไปเผาไฟมันก็สูญหายไปหมด แล้วจะเอาอะไรกับมั้น (หลวงพ่อลากเสียงสูง)

ท่านกล่าวอีกว่า “อย่างเรื่องของศีล ที่เขาว่าศีล ๕ ศีล ๕ ก็จำแนกแจกแจงกันไป แต่หลวงพ่อว่า หากเรามีเมตตาตัวเดียว ศีลเขาจะวิรัติโดยอัตโนมัติ เพราะอะไรเอ็งลองไปพิจารณาดู" (หลวงพ่อตอบให้คิด)

ผมก็พิจารณาได้ว่า ๑. ถ้าเรามีเมตตาต่อคนต่อสัตว์ มีแต่ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น เราคงจะทำร้ายหรือฆ่าแกงผู้อื่นไม่ลงเป็นแน่ นั่นคือ ศีลข้อ ๑ ก็วิรัติได้
๒. ถ้าเรามีเมตตาต่อผู้อื่น เราคงไม่กล้าลักขโมยหยิบฉวยของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เพราะของของใคร ใครก็รักก็หวง นั่นคือ ศีลข้อ ๒
๓. ถ้าเรามีเมตตาต่อผู้อื่น เราคงไม่กล้าผิดล่วงประเวณีต่อคู่ผัวเมียและลูกตลอดจนผู้ที่อยู่ใต้ปกครอง ของเขา เพราะเราเองก็คงไม่อยากให้ใครมาทำอย่างนั้น คือ ย้อนมาดูตัวเองแล้วก็จะเข้าใจว่า เราไม่อยากถูกกระทำอย่างนั้น เขาก็ไม่อยากเช่นเดียวกัน นี้เป็นศีลข้อ ๓
๔. ถ้าเรามีเมตตาต่อผู้อื่น เราคงไม่กล้าพูดโกหกคำลวง เพราะคำโป้ปดต่างๆ ย่อมไม่มีใครปรารถนา แม้มารู้ทีหลังก็ย่อมมีความเจ็บแค้นว่าถูกลอกลวง เหล่านี้ผู้ที่มีเมตตาประจำใจย่อมไม่ทำ นี้เป็นศีลข้อ ๔
๕. สุดท้ายคือ ถ้าเรามีเมตตาต่อตัวเราเอง เราจะไม่ดื่มสุราเมรัยเลย เพราะรังแต่จะทำให้สุขภาพเสื่อมเสีย รวมไปถึงการทำให้จิตใจขาดสติอันเนื่องมาจากฤทธิ์น้ำเมา นี้เป็นศีลข้อ ๕ ดั่งหลวงพ่อประสิทธิ์เคยกล่าวไว้ว่า "ศีล ข้อ ๕ นี้เปรียบเหมือนเชือกร้อยปลา ขาดเมื่อไร ก็เหมือนเชือกขาด ปลาก็ตกเรี่ยราด คือข้ออื่นก็พลอยจะตามไปด้วย เพราะมันทำให้ขาดสติ คนเราถ้าขาดสติเสียแล้ว ก็เป็นอันว่าเหมือนขาดใจ! คือความคิดยับยั้งช่างใจมันไม่มี จะทำอะไรก็ทำได้ไม่เกรงกลัวบาปกรรม"

สุดท้าย หลวงพ่อกล่าวสอนผมว่าโดยสรุปเรื่องความเมตตาว่า “แม้ แต่เวลาเราก้มกราบพระ จะเป็นพระพุทธรูปหรือพระสงฆ์ก็แล้วแต่ ให้ระลึกถึงพระพุทธคุณไว้ก่อนทุกครั้งไปว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ทรงพระคุณไม่มีประมาณเป็นอเนกอนันต์ แล้วก้มกราบครั้งที่ ๑ ให้ระลึกถึงพระเมตตาคุณ ครั้งที่ ๒ ระลึกถึงพระบริสุทธิคุณ ครั้งที่ ๓ ระลึกถึงพระปัญญาคุณ จากพระพุทธคุณทั้งสามประการ ก็มิได้หมายความว่า เพียงให้เราระลึกถึงเท่านั้น แต่ต้องเอามาเป็นเครื่องเตือนตัวเองด้วยว่า เราจะเดินตามรอยเท้าท่าน คือเมื่อเรามีเมตตาต่อเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายอย่างไม่มีประมาณ และเรากระทำตนให้บริสุทธิ์ ไม่ทำบาปทำชั่วทั้งปวง เมื่อมีสองข้อข้างต้นแล้ว ปัญญาก็จะเกิดตามมาต่อเนื่องโดยไม่ต้องสงสัย นี่แหละจึงอย่าเที่ยวกราบพระประหลกๆ ๓ ทีให้พ้นๆ ไป ใช้ไม่ได้นะแบบนั้น! ให้ระลึกถึงพระพุทธคุณโดยย่อทั้งสามข้อ แล้วเอามาเป็นคติเตือนใจเราว่าเราจะเดินตามรอยเท้าพ่ออยู่เสมอ นี้แหละคือศิษย์ตถาคต"


ที่มา http://www.prommapanyo.com/smf/index.php?topic=657.0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 23, 2011, 05:40:55 PM โดย Nattapol - รักในหลวง » บันทึกการเข้า

รักในหลวงที่สุดที่ในโลก

เพียงดาวเบเกอรี่     http://forum.ayutthaya.go.th/index.php?topic=31931.0
Nat_usp
เวลาเหลือน้อยแล้ว
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 708
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 3010


กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง


« ตอบ #4 เมื่อ: เมษายน 23, 2011, 05:39:20 PM »


ท่าน เสริมอีกว่า “แล้วถ้าเขาด่าเราว่าเรา เป็นคนเลว ว่าเป็นคนไม่ดี ก็ให้ยอมรับไปเลยว่า จริง! เพราะทุกวันนี้แม้แต่ตัวหลวงพ่อก็ยังไม่ดี ถ้าดีก็ไม่ต้องมาอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันอะไรต่างๆ ให้เมื่อยตุ้ม ก็ร่างกายนี้มีแต่ของสกปรกเน่าเปื่อย เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวไข้ เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวหนาว ต้องหาอาหารป้อนให้มันกินทุกวัน เดี๋ยวปวดขี้ ปวดเยี่ยว อย่างฆราวาสก็ก็ต้องทำงานหาเงินมาเลี้ยงปาก เลี้ยงท้อง จะมีหน้าที่การงานดีอะไรแค่ไหน ก็แค่เพื่อหาเงินมาจัดหาปัจจัยสี่เพื่อบำรุงร่างกายนี้ตัวเดียว จะว่ามันดีได้ที่ไหน ฉะนั้นใครด่าเราว่าไม่ดี ให้รับคำกับเขาเลยว่า ครับ ผมมันไม่ดี ค่ะ ฉันมันไม่ดี ตัวฉันนี้มันไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แค่นั้นแหละ”

=============================================
“เออ ไม่เป็นไรหรอก เรื่องมันแล้วไปแล้วก็ให้มันแล้วไปเถอะ สิ่งไหนเราทำไปแล้วมันก็ผ่านไปแล้ว จะเรียกกลับคืนมาก็เป็นไปไม่ได้ มีแต่ต้องให้มันผ่านไปเท่านั้นเอง แล้วถัดจากนี้ก็ต้องสำรวมระวัง ครูบาอาจารย์ท่านจะทำอย่างไรก็เรื่องของท่าน หรือใครจะทำอะไรก็เรื่องของเขา ไม่ต้องไปสนใจเขา เขาเราก็เหมือนกัน เกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกัน กิน ถ่าย หลับ ตื่น เหมือนกัน ยืน เดิน นั่ง นอน เหมือนกัน ตายแล้วก็เผาไฟฝังดินเหมือนกัน และกาลเวลามันเอาไปหมดไม่ว่าคนดีหรือชั่ว มันเอาไปไม่เลือกหน้า สุดท้ายต้องดับสูญด้วยกันทั้งหมด จึงว่าเราดูแต่ตัวเราก็พอ ดูให้เห็นกายในกาย เห็นจิตในจิต เห็นความรู้สึกคิดนึกปรุงแต่งของเราที่มันเกิดๆ ดับๆ อยู่ร่ำไปหาสาระแก่นสารไม่มี

ก็โลกนี้มันมีแต่เรื่องสมมุติทั้งนั้น มันจะมีสาระแก่นสารอยู่ที่ใด โลกทุกวันนี้มันติดสมมุติกันเสียงอมแงม ติดศถาบรรดาศักดิ์ ชื่อเสียงเกียรติยศ ตำแหน่งหน้าที่การงาน ติดฤกษ์งามยามดี ติดทรัพย์สมบัติ ติดลูกติดหลานพ่อแม่พี่น้องผัวเมียข้าทาสบริวาร จนแม้กระทั่งพระปฏิบัติก็ยังติดพิธีระเบียบความถือมั่นต่างๆ ยังมีพวกเอ็งพวกข้า วัดป่าวัดบ้าน ธรรมยุติมหานิกาย สายนั้นสายนี้ อะไรต่อมิอะไร หลวงพ่อเห็นแล้วก็ปลงสังเวช นั่นน่ะ เพราะเขาไม่รู้ว่า ในใจของเขาที่หลงความคิดของตัวเอง นั่นแหละคือตัวสมมุติตัวฉกาจ และเพราะสมมุติตัวเดียวนั่นเองที่มันแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปคลุมไว้ทั้งโลก คลุมไว้ทุกรูปทุกนาม โลกมันจึงวุ่นวายกันอย่างที่เห็นนี้แหละ”


ที่มา http://www.prommapanyo.com/smf/index.php?topic=657.0
บันทึกการเข้า

รักในหลวงที่สุดที่ในโลก

เพียงดาวเบเกอรี่     http://forum.ayutthaya.go.th/index.php?topic=31931.0
pasta
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 8119
ออฟไลน์

กระทู้: 6924


ล้นเกล้าเผ่าไทย


« ตอบ #5 เมื่อ: เมษายน 23, 2011, 05:49:20 PM »

 ไหว้ขอบคุณครับพี่ Nattapol  เยี่ยม
บันทึกการเข้า

พาสตา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B2

โชคดีเป็นของคนกล้า วาสนาเป็นของคนจริง จงชนะความร้าย ด้วยความดี
Earthworm
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 211
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1359


« ตอบ #6 เมื่อ: เมษายน 23, 2011, 08:26:04 PM »



         พระราชาคณะระดับสมเด็จฯ  ก้มกราบพระครูต่างจังหวัดที่พรรษามากว่าก็มีให้เห็นมาแล้วนะครับ  ไหว้
บันทึกการเข้า
อิติปิโสธงชัย รักในหลวง
The best it yet to be......
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 537
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2734



« ตอบ #7 เมื่อ: เมษายน 24, 2011, 12:24:53 AM »

 ไหว้"จงเตือนตน ของตน ไว้ทุกๆวันว่า ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว" พระพุทะวิถีนายก(เพิ่ม ปุญวสโน) ไหว้อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม
บันทึกการเข้า

ผมก็คือส่วนหนึ่งของความไม่เป็นกลาง เพราะผมอยู่ข้างในหลวง
PU45™
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 3692
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 62457



« ตอบ #8 เมื่อ: เมษายน 24, 2011, 01:24:48 PM »

                             ขอบคุณครับ    เยี่ยม

บันทึกการเข้า

                
JJ-รักในหลวง
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 386
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 9425


« ตอบ #9 เมื่อ: เมษายน 24, 2011, 01:28:03 PM »



         พระราชาคณะระดับสมเด็จฯ  ก้มกราบพระครูต่างจังหวัดที่พรรษามากว่าก็มีให้เห็นมาแล้วนะครับ  ไหว้
ใช่ครับ ยศต่างๆ มาสมมุติ ขึ้นภายหลัง
พรรษา เป็นที่ตั้งของความอาวุโส อยู่แล้ว
บันทึกการเข้า
ozero++รักในหลวงมากค่ะ++
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 1287
ออฟไลน์

เพศ: หญิง
กระทู้: 25366


มารยาท...มีให้รักษา


« ตอบ #10 เมื่อ: เมษายน 24, 2011, 04:59:32 PM »

ขอบคุณมากค่ะ เผยแพร่ธรรมได้กุศลผลบุญค่ะ
บันทึกการเข้า

เข้ามากด like กันได้นะคะ http://www.facebook.com/OAroi
และ https://www.facebook.com/SiaAke
Earthworm
ชาว อวป.
Hero Member
****

คะแนน 211
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 1359


« ตอบ #11 เมื่อ: เมษายน 24, 2011, 08:26:41 PM »



         พระราชาคณะระดับสมเด็จฯ  ก้มกราบพระครูต่างจังหวัดที่พรรษามากว่าก็มีให้เห็นมาแล้วนะครับ  ไหว้
ใช่ครับ ยศต่างๆ มาสมมุติ ขึ้นภายหลัง
พรรษา เป็นที่ตั้งของความอาวุโส อยู่แล้ว

        มาเล่าต่อครับ หลังจากท่านเจ้าคุณสมเด็จฯกราบคารวะเสร็จแล้วก็เข้าไปนั่งข้างๆ ท่านพระครูก็คุยกับสมเด็จฯท่านแบบเหมือนกับว่ารู้จักหรือสนิทกันมานานแล้ว มีอยู่ประโยคนึงได้ฟังแล้วก็อดขำไม่ได้ "อยู่วัด.......เจ้าคุณเยอะนะ แล้วท่านได้เป็นเจ้าคุณหรือยังล่ะ" สมเด็จฯท่านไม่ตอบก็ได้แต่อมยิ้ม ถ้าพระครูรู้ว่าจริงๆแล้วได้สนทนาอยู่กับใคร ท่านคงเขินไปอีกนานเลยครับ  Smiley ไหว้
บันทึกการเข้า
wiched
ชาว อวป.
Sr. Member
****

คะแนน 137
ออฟไลน์

กระทู้: 811



« ตอบ #12 เมื่อ: เมษายน 25, 2011, 10:25:55 AM »

ขอบคุณมาก ๆ ครับ
บันทึกการเข้า
มะเอ็ม
Hero Member
*****

คะแนน 348
ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 4749


"ปักษ์ใต้บ้านเรามันเหงาจังไม่มีคนนั่งแลหนังโนราห์"


« ตอบ #13 เมื่อ: เมษายน 25, 2011, 02:09:32 PM »

ขอบคุณครับ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.4 | SMF © 2011, Simple Machines Valid XHTML 1.0! Valid CSS!
หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.109 วินาที กับ 21 คำสั่ง