ขอขอบคุณทุกท่านครับ
ฟ้องเสร็จลาผู้การสุพินธ์แล้วกลับมาทำงานเลย
หวังว่าจะมีข่าวดีเย็นนี้ครับ
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9540000051715ผู้ครอบครองปืนไรเฟิลฟ้อง มท.1ออกคำสั่งเรียกเก็บอาวุธมิชอบ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 เมษายน 2554 13:42 น.
กลุ่มผู้ครอบครองปืนไรเฟิลทั่วประเทศ ฟ้อง มท.1 ออกคำสั่งไม่ชอบ ขอศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งกระทรวงมหาดไทยเรียกเก็บปืน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (27 เม.ย.) ได้มีกลุ่มผู้ที่ครอบครองปืนไรเฟิล ประมาณ 40 คน นำโดย พ.อ.สุพินท์ สมิตะเกษตริน (ผู้ฟ้อง) เดินทางมาศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ ยืิ่นฟ้องรมว.มหาดไทย (ผู้ถูกฟ้อง) ที่ออกคำสั่งกระทรวงมหาดไทย เลขที่ 200/2554 ลงวันที่18 เม.ย. 2554 ให้ผู้ได้รับบอนุญาตให้มีอาวุธปืนยาวขนาด .223 ขนาด.30-06 ขนาด.308 และขนาด .338 หรือขนาดที่เทียบเท่าและมีชื่อเรียกที่แตกต่างออกไปส่งมอบอาวุธปืนดังกล่าวให้แก่นายทะเบียนท้องที่ที่ออกใบอนุญาตหรือรับแจ้งการย้ายเข้าของใบอนุญาตภายในวันที่ 29 เม.ย. 2554 เพื่อเก็บรักษาไว้และจัดทำประวัติการใช้อาวุธปืนและจะส่งคืนให้ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. 2554 เป็นต้นไป หากผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนี้จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับตามมาตรา 79 แห่ง พ.ร.บ.อาวุธปืน พ.ศ. 2490
โดยในคำฟ้องระบุว่า ในการเรียกเก็บปืนดังกล่าว กระทรวงมหาดไทยได้อ้างเหตุว่ามีความจำเป็นเพื่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยก่อนมีการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไป และต่อมาก็ได้มีการแจกจ่ายเอกสารแบบฟอร์มใบส่งมอบ-รับมอบอาวุธปืน (แบบ ปร.1) ของกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีข้อความระบุว่าการจัดทำประวัติการใช้อาวุธปืนนั้นคือการนำอาวุธปืนมายิงเพื่อเก็บปลอกกระสุนและหัวกระสุนปืน
ซึ่งพวกผู้ฟ้องเห็นว่าการออกคำสั่งดังกล่าวเป็นการออกคำสั่งทางปกครองโดยมิชอบด้วยข้อเท็จจริง และกฎหมาย เป็นกระทบสิทธิต่อบุคคลและมีโทษอาญา อีกทั้งเป็นการรีบด่วนออกคำสั่งโดยไม่ได้ไม่ได้ให้ประชาชนที่ถูกกระทบสิทธิได้มีส่วร่วมในกระบวนการออกคำสั่ง ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 58 อีกทั้งยังเป็นการทำร้ายจิตใจเจ้าของปืนเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากอาวุธปืนดังกล่าวล้วนแต่มีราคาแพงตั้งแต่ 1 แสนบาทขึ้นไปจนถึงนับล้านบาท เจ้าของปืนสมควรที่จะได้มีโอกาสร่วมพิจารณาถึงสถานที่เก็บรักษาเพื่อป้องกันอาวุธปืนมิให้ชำรุดเสียหาย
อย่่างไรก็ตาม ผู้ฟ้องยังเห็นอีกว่า อาวุธปืนยาวตามที่ได้ระบุในคำสั่งไม่อาจใช้ยิงได้อยู่แล้ว เนื่องจากไม่มีกระสุนจำหน่ายในท้องตลาด และผู้ฟ้องคดีก็ไม่เคยยื่นคำขออนุญาตซื้อกระสุนปืนมาก่อน เนื่องจากทราบกันดีว่าไม่มีขายร้านค้าอาวุธปืนภายใน กทม.ร้านใดเคยยื่นขอใบอนุญาตสั่งนำเข้ากระสุนปืนยาวแบบชนวนกลางเข้ามาจำหน่าย ซึ่งเรื่องนี้ผู้ถูกฟ้องคดีก็ย่อมทราบข้อเท็จจริงเป็นอย่างดี
ส่วนที่อ้างว่าเพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อยเท่านั้น แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เคยปรากฏหลักฐานยืนยันได้ชัดเจนว่าที่ผ่านมาได้มีบุคคลหนึ่งบุคคลใดใช้อาวุธปืนยาวที่ได้รับการอนุญาตกระทำการเช่นว่านั้น จนถึงขนาดที่จะเรียกได้ว่าเป็นการก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมือง อีกทั้งไม่เคยปรากฏว่าบุคลลที่ได้รับใบอนุญาตให้มีฯ จะมีพฤติกรรมเป็นมือปืนรับจ้างหรือใช้อาวุธปืนของตนเองไปก่อเหตุดังกล่าวหากจะมีการเลือกตั้ง เพราะส่วนใหญ่มีไว้เพื่อสะสม ประกอบกับปัจจุบันทั่วประเทศมีผู้ที่ได้รับที่ได้รับใบอนุญาตกรณีดังกล่าวมีเพียง 600 กระบอกเศษเท่านั้น จึงไม่มีข้อเท็จจริงใดที่จะแสดงให้เห็นได้ว่าผู้ซึ่งได้รับใบอนุญาตให่มีและใช้อาวุธปืนยาวชนวนกลางจะนำไปยิงนักการเมือง หรือหัวคะแนน อันจะเป็นเหตุก่อความไม่สงบเรียบร้อยตามที่กล่าวอ้าง ดังนั้นจึงเห็นว่าผู้ถูกฟ้องไม่มีอำนาจสั่งให้ผู้ครอบครองส่งมอบอาวุธปืนฯ ตามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ลงวันที่ 18 เม.ย.
นอกจากนี้ คำสั่งดังกล่าวระบุว่า จะส่งอาวุธปืนที่ยึดไว้คืนให้ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. 2554 เป็นต้นไป โดยมิได้กำหนดไว้ว่าจะกระทำการคือให้เสร็จสิ้นทั้งหมดเมื่อใด ซึ่งเท่ากับจะยึดเอาไว้ให้นานกี่ปีก็ได้ จึงเห็นว่าเป็นการใช้อำนาจเกินควรอันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ ของรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 วรรคแรกซึ่งกำหนดให้กระทำเท่าที่จำเป็นเท่านั้น อีกทั้งคำสั่งการนำอาวุธปืนตามคำสั่งไปส่งคืนให้กับนายทะเบียนอาวุธปืนกรุงเทพมหานคร จะเป็นการฝ่าฝืนต่อข้่อกำหนดตามความในมาตรา 18 ของ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ดังนั้น ผู้ฟ้องคดีจึงมีความจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ จึงต้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว แต่ก่อนที่จะมีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่ง ก็ขอให้ศาลมีคำทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองดังกล่าวไว้เป็นการชั่วคราวก่อน
อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกันนี้ก็ยังได้มีกลุ่มผู้ครอบครองปืนอีกจำนวนหนึ่งเดินทางไปไปฟ้องศาลปกครองในจังหวัดที่ตนเองอยู่ หรือได้ขออนุญาตไว้ ไปฟ้อง รมว.มหาดไทย ต่อศาลปกครองให้เพิกถอนคำสั่งด้วยเช่นกัน