แม้สังขารจะร่วงโรยจนทำอะไรไม่ไหวแล้ว แต่ “2 ตายาย” นายบุญและนางทิพย์แก้ว ผาทอง ก็ยัง
หยุดพักไม่ได้ ยิ่งในสภาพเศรษฐกิจข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ ทั้งตาและยายก็ยิ่งต้องปากกัดตีน
ถีบ หาเลี้ยงตนเองรวมทั้งลูกและหลานรวม 4 ชีวิต
ปลาตะเพียนสานจากใบลานตัวจ้อยราคาตัวละ 10 บาท ถูกปัก
เรียงรายบนโฟมเก่าๆ วางอยู่บนพื้นถนนในตลาดนัดสวนจตุจักร
ตานั่งอยู่ข้างๆ กับยาย ทั้งคู่ดูเหมือนไม่ได้มานั่งขายของ เพราะ
อาการที่นั่งเฉยๆ ช่างผิดกับวิสัยพ่อค้าแม่ค้าทั่วไปที่มักตะโกน
ร้องเรียกลูกค้าให้มาซื้อของของตน
“เรารู้ว่าของของเราไม่ดี ก็แล้วแต่เขาจะช่วยเท่านั้น เพราะเรา
ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรขาย ใครที่มาซื้อก็นับว่าเป็นบุญคุณแล้ว”
ยายทิพย์แก้ว อายุ 83 ปี เล่าช้าๆ ซึ่งตอนนั้นเองก็มีวัยรุ่น
ผู้หญิงคนหนึ่งมาซื้อปลาตะเพียนไป 1 ตัว
ทั้ง 2 ตายายเป็นคนยโสธรที่เข้ามาหางานทำที่กรุงเทพฯ โดย
ก่อนหน้านี้ ตาทำอาชีพขับรถรับจ้าง ในขณะที่ยายก็ขายของ
เล็กน้อยๆ ทั้งคู่มีลูกด้วยกัน 6 คน ขณะนี้ลูกๆ ย้ายไปมีครอบ
ครัวกันหมดแล้ว เหลือเพียงลูกชายคนเดียวที่ยังอยู่ด้วยกัน
เพราะป่วยเป็นอัมพฤกษ์ช่วยเหลือตัวเองได้นิดหน่อย กับหลาน
อีกหนึ่งคน
“รายได้ที่ได้มาก็พอประทังชีวิตไปวันๆ เรา 3-4 คน” ตาบุญ วัย
87 ปีเล่า ก่อนจะบอกว่า ตนและยายอยู่ด้วยกันอย่างพอเพียง
แม้จะมีลูกแต่ก็ไม่อยากรบกวน เพราะลูกก็ต้องกินต้องใช้ ไหน
จะส่งลูกเรียนหนังสือ ไหนจะใช้ใช้จ่ายประจำวัน ทุกวันนี้เช่า
ห้องอยู่หลังวัดไผ่ตัน สะพานควาย เดือนละ 1,500 บาท
เงินที่ได้จากขายปลาตะเพียนก็เอามาจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ซื้อกับ
ข้าวกับปลามากิน และเจียดเงินเล็กๆ น้อยๆ มาเก็บเอาไว้บ้าง
เพื่อนำไปรักษาตัวให้ลูกชายที่เป็นอัมพฤกษ์ และยายที่มีโรค
รุมเร้าหลายโรค ทั้งตาข้างขวากำลังจะบอด หูที่ไม่ค่อยได้ยิน
แล้ว คออักเสบจนโป่งพองขึ้นมา ปวดหลังที่ทำให้ต้องเดินหลัง
ค่อม และปวดตามเนื้อตาตัวที่เดินไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดพัก
“พยายามประหยัดทุกอย่าง เสื้อผ้านี่ก็มีคนให้มา อาหารการกิน
ก็ซื้อมาทำกินเอง และตอนนี้กำลังเก็บเงินไปรักษายาย ซึ่งจวน
จะครบแล้ว” ตาเล่ายิ้มๆ
ตากับยายจะออกทำงาน โดยจะหอบหิ้วกระสอบเก่าๆ ที่ข้างใน
ใส่ปลาตะเพียนสานและนกสานไว้หลายสิบตัว ตระเวนไปขาย
ปลาตะเพียนตามย่านที่มีคนพลุกพล่าน ไม่ว่าจะเป็นสวนจตุจักร
สนามหลวง สีลม ประตูน้ำ รายได้แต่ละวันประมาณ 300-400 บาท
“ชีวิตไม่ลำบากเท่าไหร่ จะลำบากก็ตอนมีคนมาไล่ที่ เราก็แก่
แล้ว ใครเขาให้ไปทางไหนก็ต้องไป ไม่อยากไปทะเลาะอะไร
กับเขา” ยายบอก แล้วเล่าเหตุการณ์ความโชคร้ายที่เพิ่งผ่าน
พ้นมาไม่กี่วันว่า ถูกแก๊งมิจฉาชีพหลอกเอาเงินไปแล้วเอาไป
ปล่อยไว้ที่สะพานลอยเซ็นทรัล ลาดพร้าว
“วันนั้นอยู่คนเดียว ตากลับบ้านไปเอาข้าวให้ยายกิน ก็มีคนมา
ต้อนยายให้ขึ้นแท็กซี่ พอไปถึงหน้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว รถติดๆ
เขาก็พาลงจากรถ แล้วคนมันเยอะๆ หันมาอีกทีเขาก็หายไป
แล้ว พร้อมกับข้าวของและเงินที่ขายปลาตะเพียนได้” เล่าช้าๆ
ก่อนน้ำเสียงจะขาดไปพักหนึ่ง จึงบอกต่อว่า
“เสียดายเงิน แต่ก็ไม่รู้จะไปเอาคืนจากเขาที่ไหน เรามันแก่
แล้ว” ในน้ำเสียงไม่มีร่องรอยของความเสียใจ เหมือนกับว่า
กำลังทำใจกับชะตาชีวิตที่ต้องมาประสบกับเหตุการณ์แบบนี้
“ความสุขทุกวันนี้คือ ขายของได้มีเงินไปซื้อข้าวกิน ดูแลลูก
ดูแลหลาน ไม่เคยคิดอยากได้อะไร เพราะคิดแล้วเป็นทุกข์ ก็
เลยไม่คิด แค่พออยู่ได้ก็ดีใจแล้ว” ยายทิพย์แก้วทิ้งท้าย
หากใครกำลังคิดว่า ตัวเองแย่แล้ว ลองดูชีวิตของ 2 ตายายคู่นี้
ที่แม้จะลำบากเพียงไหนก็ยังยืนหยัดสู้ด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้
สู้ครับยาย