นางหนูพุก แสงวงศ์
เรื่องนี้เกิดที่บ้านแซง อำเภอเลิงนกทา จังหวัดอุบลราชธานี เริ่มแต่ เด็กชายบัวลอย แสงวงศ์ ตัวเรื่องเกิดประมาณปี พ.ศ. ๒๔๙๘ เมื่อเริ่มรู้เรื่องราวกันในวงแคบๆ แล้ว
ก็บอกเล่ากล่าวขานกันกว้างขวางออกไป มีคณะบุคคลร่วมกันไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามคำเล่าลือคณะหนึ่ง ประกอบด้วยพระคุณท่านเจ้าคุณพระมงคลเมธี เจ้าคณะจังหวัด
อุบลราชธานี พระมหาถวัลย์ จารยสุโภ(วัดทุ่งศรีเมือง จ.อุบลราชธานี) ท่านปลัดอำเภอเลิงนกทา และบุคคลที่ไม่ได้กล่าวชื่ออีก ๕ คน กับภิกษุสามเณร และชาวบ้าน
ผู้อยากรู้อยากเห็น ร่วมเดินทางไปอีกจำนวนมาก ในการพิสูจน์สอบสวนเด็กชายบัวลอยต้นเรื่องแล้วยังขอสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้องอีกหลายราย พอสรุปเนื้อหาสาระได้ดั้งนี้
เด็กที่สืบชาติจากงูเหลือมมาเกิด ชื่อ เด็กชายบัวลอย แสงวงศ์ ขณะคณะบุคคลดังกล่าวไปพิสูจน์เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๑ เขามีอายุ ๑๓ ปีแล้ว เขาเป็นลูกคนที่ ๘
ของ นายดา แสงวงศ์ กับ นางหนูพุก แสงวงศ์ ด.ช.บัวลอยจำอดีตชาติได้ ๒ ชาติ เขาเล่าแก่คณะพิสูจน์ว่า เขาจำได้แม่นยำในชาติก่อนหน้าที่เขาจะเกิดมาเป็นงูเหลือม
เขาเคยเกิดเป็นกวางตัวเมียเคราะห์ร้ายถูกพรานป่ายิงตาย วิญญาณ(โอปปาติกะ)เขาออกจากร่างกวางไปพบเจ้าพ่อแห่งผีตนหนึ่ง ชื่อเจ้าศรีสงครามเจ้าพ่อแห่งผีให้เขาไปเกิด
เป็นงู เฝ้าสมบัติ(พระพุทธรูป)ในถ้ำอ่างน้ำจาง ซึ่งอยู่ในท้องที่อำเภอเลิงนกทา ที่ถ้ำนี้มีงูเหลือมใหญ่เฝ้าสมบัติอยู่หลายตัว ชาวบ้านกลัวงูเหลือมเหล่านี้จึงไม่กล้าเข้าไปในถ้ำ
ตัวเขาเอง(ตอนที่เป็นโอปปาติกะหรือวิญญาณกวาง)จึงได้ไปเกิดเป็นงูเหลือมตัวเมีย เมื่อตัวเขา(ตอนที่เป็นงูเหลือม)เติบโตเป็นงูสาวก็ได้สมสู่กับงูตัวผู้ในถ้ำ จนมีลูกในท้อง
คราวหนึ่งนางงูเหลือมท้องไปหากินที่ห้วยน้ำจาง มีหมา ๒ ตัว มาเห่ากระโชก นางงูเหลือมไม่กลัวคิดจะจับหมากินเสีย แต่ยังไม่ทันมีโอกาสได้จับกิน ก็มีเจ้าของหมา ๒ ตัวนั้น
มาพบงูเหลือมแสดงท่าร้ายจึงเกิดต่อสู้กับงู งูเหลือมเมื่อได้โอกาสก็หนีไปได้ เมื่อไปถึงปากถ้ำอ่างน้ำจางอันเป็นถ้ำที่อยู่เฝ้าพระพุทธรูป ยังไม่ทันเข้าในถ้ำ นึกว่าปลอดภัยจึง
นอนพักผึ่งแดดจนงีบหลับไปรู้สึกตัวอีกทีก็มีเชือกบ่วงรัดคอแน่น นางงูเหลือมเหลือบตาดูก็เห็นชายคนที่ต่อสู้กันที่ห้วยน้ำจาง กับชายอีกคนหนึ่ง ช่วยกันรัดคองูเหลือม(คือตัวเขา)แล้วใช้ท่อนไม้ร่วมกันตีหัวงูจนความรู้สึกดับวูบไปรู้สึกตัวอีกทีก็เป็นโอปปาติกะงู(วิญญาณงู) เห็นชายทั่งสองร่วมกันตัดร่างงูเหลือม(คือร่างเดิมของเขา)เป็นท่อน โอปปาติกะงู ติดตามไปจนกระทั่งเขานำเนื้องูเหลือมไปแกงกินกัน
เขาจำชายคนแรกที่สู้กลับเขาทำร้ายเขาได้ติดตา และโกรธเคืองไม่หาย(พยาบาท) ในบรรดาพวกคนที่เขากินเนื้องูกันอยู่ มีอยู่คนหนึ่งมาร่วมกินด้วย โอปปาติกะงูเห็นชายนั้น
มีลักษณะท่าทางไม่ค่อยดุร้าย เมื่อพวกคนเขากินกันเสร็จแล้วก็พากันแยกย้ายกลับบ้าน โอปปาติกะงูตัดสินใจไปกับชายท่าทางใจดีคนนั้น โดยโดดเกาะไหล่เขาไป จนกระทั่ง
ถึงบ้านของชายคนนั้น พอชายคนนั้นขึ้นบันไดบ้าน เขาจึงออกจากบ่าของชายคนนั้นไปอยู่บนเสารั้วใกล้ๆบันไดบ้าน
ต่อมาเขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งออกจากห้องมาดื่มน้ำ โอปปาติกะงูจึงโดดจากปลายเสารั้วไปหาหญิงนั้นเลยตกลงไปในขันน้ำ ผู้หญิงนั้นดื่มน้ำเข้าไปก็ติดโอปปาติกะลงท้องไปด้วย ต่อมาเขา(โอปปาติกะงู) ก็รู้สึกตัวว่าเขาได้เกิดมาเป็นเด็กชายบัวลอย ชายคนนั้นที่เขา(โอปปาติกะงู)เกาะบ่ามาก็คือ นายดา แสงวงศ์ พ่อของเขาเอง และผู้หญิงที่ดื่มน้ำติดเขา(โอปปาติกะงู) ลงท้องไปด้วยก็คือนางหนูพุก แสงวงศ์ แม่ในชาตินี้ของเขานั้นเอง