ในฐานะที่จบนิเทศศาสตร์ เอกโฆษณา และเคยประกอบอาชีพเป็นครีเอทีฟด้วย จึงขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็นค่ะ
โฆษณา ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ยังไงก็ขายของ เพราะฉะนั้น การทำหนังโฆษณา หรือสื่อต่าง ๆ ที่ท่าน ๆ เห็น ทำไมถึงต้องเกินจริงด้วย
ในปัจจุบันบ้านเรามีสินค้าเป็นพัน ๆ ชิ้น สินค้าที่เป็นประเภทเดียวกัน ก็มีไม่น้อย เพราะฉะนั้น คงไม่มีใครจำได้หมดว่าสินค้าประเภทนี้มีทั้งหมดกี่ยี่ห้อ จึงจำเป็นต้องมีการโฆษณา ซึ่งครีเอทีฟก็จะพยายามทำให้ผู้บริโภคจดจำตราสินค้าให้ได้ ส่วนจะซื้อหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้บริโภค เพราะปัจจัยการเลือกซื้อสินค้ายังต้องประกอบด้วยเงื่อนไขอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น โปรโมชั่นบ้างละ การภักดีต่อตราสินค้าบ้างละ ราคาบ้างละ ภาพพจน์ของสินค้าบ้างละ เป็นต้น ไม่จำเป็นว่าหนังโฆษณาที่ทำออกมาหวือหวาจะทำให้สินค้าขายดีตามไปด้วย (จะใช้เงินเยอะหรือน้อย ใช้ดารามาช่วย ทุกอย่างก็ย่อมขึ้นอยู่กับเจ้าของสินค้าด้วยว่าจะให้เงินมาเท่าไหร่)
ครีเอทีฟ ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะทำโฆษณาออกมาเพื่อหลอกลวงผู้บริโภคแน่นอน
โฆษณาชวนเชื่อ ไม่ใช่ การโกหก เพียงแต่เราไม่พูดความจริงหมดเท่านั้น !!!! (ไม่งั้น ของก็คงจะขายไม่ได้น่ะสิ)
เพราะฉะนั้น ก่อนจะซื้อสินค้าควรทำความเข้าใจและตรวจสอบถึงคุณสมบัติต่าง ๆ ให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ยิ่งสินค้าที่มีราคาสูง ยิ่งต้องใช้วิจารณญาณของตนให้มาก ๆ นะคะ เพื่อจะได้คุ้มค่ากับทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไป
ในฐานะที่จบนิเทศศาสตร์ เอกโฆษณา และเคยประกอบอาชีพเป็นครีเอทีฟด้วย จึงขออนุญาตร่วมแสดงความคิดเห็นค่ะ
โฆษณา ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า ยังไงก็ขายของ เพราะฉะนั้น การทำหนังโฆษณา หรือสื่อต่าง ๆ ที่ท่าน ๆ เห็น ทำไมถึงต้องเกินจริงด้วย
ในปัจจุบันบ้านเรามีสินค้าเป็นพัน ๆ ชิ้น สินค้าที่เป็นประเภทเดียวกัน ก็มีไม่น้อย เพราะฉะนั้น คงไม่มีใครจำได้หมดว่าสินค้าประเภทนี้มีทั้งหมดกี่ยี่ห้อ จึงจำเป็นต้องมีการโฆษณา ซึ่งครีเอทีฟก็จะพยายามทำให้ผู้บริโภคจดจำตราสินค้าให้ได้ ส่วนจะซื้อหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้บริโภค เพราะปัจจัยการเลือกซื้อสินค้ายังต้องประกอบด้วยเงื่อนไขอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น โปรโมชั่นบ้างละ การภักดีต่อตราสินค้าบ้างละ ราคาบ้างละ ภาพพจน์ของสินค้าบ้างละ เป็นต้น ไม่จำเป็นว่าหนังโฆษณาที่ทำออกมาหวือหวาจะทำให้สินค้าขายดีตามไปด้วย (จะใช้เงินเยอะหรือน้อย ใช้ดารามาช่วย ทุกอย่างก็ย่อมขึ้นอยู่กับเจ้าของสินค้าด้วยว่าจะให้เงินมาเท่าไหร่)
ครีเอทีฟ ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะทำโฆษณาออกมาเพื่อหลอกลวงผู้บริโภคแน่นอน
โฆษณาชวนเชื่อ ไม่ใช่ การโกหก เพียงแต่เราไม่พูดความจริงหมดเท่านั้น !!!! (ไม่งั้น ของก็คงจะขายไม่ได้น่ะสิ)เพราะฉะนั้น ก่อนจะซื้อสินค้าควรทำความเข้าใจและตรวจสอบถึงคุณสมบัติต่าง ๆ ให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ยิ่งสินค้าที่มีราคาสูง ยิ่งต้องใช้วิจารณญาณของตนให้มาก ๆ นะคะ เพื่อจะได้คุ้มค่ากับทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไป
ผมว่าบอกความจริงทั้งหมดก็ขายได้ครับ ที่ว่าให้ข้อมูลไม่ครบนี่ไม่ใช่ความหมายที่เท่เลยนะครับ ต่างอะไรกับการบริโภคของอย่างหนึ่ง ได้ผลดีบางอย่าง แต่ไม่บอกว่มีผลกระทบเสียหายอะไรบ้าง?
ผมว่าสิ่งที่วงการโฆษณาเมืองไทยควรทำคือการเปรียบเทียบสินค้าระหว่างยี่ห้ออย่างตรงไปตรงมา มิติ การประหยัดพลังงาน สารอาหาร ฯลฯ
แทนการให้ข้อมูลไม่ครบ (ซึ่งบางคนอย่างคุณก็กลับคิดไปว่าถ้าให้ข้อมูลครบแล้วขายของไม่ได้) หรือทำตลกปัญญาอ่อน อย่างโซฮอลมันผิด คนจำได้แต่รู้เรื่องอะไรจริงๆ เป็นชิ้นเป็นอันบ้าง?
การโฆษณา ขายสินค้า ไม่ได้มีความหมายแค่ความคุ้มของเงินที่แลกของมา การใช้ของต่างๆ มีผลกระทบที่้ต้องรู้ ต้องเลือกผลกระทบในการใช้ด้วย
ผมอยากจะบอกว่า "การใช้ปืนป้องกันตัวในบ้านนั้นต้องให้พร้อมใช้บรรจุกระสุนวางไว้ในที่ต่างๆ ที่หยิบสะดวก เวลาฉุกเฉินจะได้ไม่เสียเวลาไปเปิดตู้หา หยิบกระสุนบรรจุ"
(เอ้อ ถ้าวางเกะกะคนเห็นง่ายย่องมาขโมย หรือเด็กหยิบไปเล่น ทำลั่นยิงตัวเอง ก็เป็นเรื่องของคุณ "ใช้วิจารณญาณของตนให้มาก ๆ" ผมแค่ "ไม่พูดความจริงหมด" เท่านั้น)
ปล. ความเห็นของคนจบรัฐศาสตร์ /สังคมวิทยา ประกอบอาชีพรับราชการบังคับใช้กฎหมาย
ขออนุญาตตอบพี่เป็นประเด็นประเด็นไปนะครับ
1
.ผมว่าบอกความจริงทั้งหมดก็ขายได้ครับ ที่ว่าให้ข้อมูลไม่ครบนี่ไม่ใช่ความหมายที่เท่เลยนะครับ ต่างอะไรกับการบริโภคของอย่างหนึ่ง ได้ผลดีบางอย่าง แต่ไม่บอกว่มีผลกระทบเสียหายอะไรบ้างอย่างที่ผมและคุณmeojustice ได้พูดไว้ สัจจะธรรมของการโฆษณาคือการบอกเล่าความจริง แต่ไม่ใช้ความจริงทั้งหมด คนทำโฆษณาจะต้องหาจุดเด่นของสินค้าว่าคืออะไร แล้วจึงนำจุดเด่นนั้นมาวางเป็นแนวคิดหลัก เพื่อสื่อให้กับผู้ชมจดจำ อาทิสบู่ยี่ห้องหนึ่งจุดเด่นที่แตกต่างออกจากยี่ห้ออื่นคือ มีมอยเจอไรเซอร์ผสม อยู่ 1ใน 4 จึงนำมาสู่แนวคิดหลักในการทำโฆษณาว่า มีมอยเจอไรเซอร์ 1ใน 4 ทำให้ผิวนุ่ม แต่ในขณะเดียวกันสบู่ยี่ห้อนี้มีจุดอ่อนคือเหลวง่าย คำถามคือถ้าผมนำเอาจุดอ่อนมาทำเป็นแนวคิดหลักด้วย(บอกทั้งว่ามีมอยเจอไรเซอร์1/4 แต่เหลวง่าย) มีหวังเละ ครับ ที่แน่ ๆ เจ้าของสินค้าเขาไม่มีทางยอมให้โฆษณาแบบนี้ออกสู่ท้องตลาดแน่นอน โฆษณาจะออกสู่สายตาผู้บริโภคได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าของสินค้าว่า จะซื้องานโฆษณาชิ้นนั้นจากเอเจนซี่หรือไม่
2ผมว่าสิ่งที่วงการโฆษณาเมืองไทยควรทำคือการเปรียบเทียบสินค้าระหว่างยี่ห้ออย่างตรงไปตรงมา มิติ การประหยัดพลังงาน สารอาหาร ฯลฯ อยากทำครับ แต่ทำไม่ได้ ไม่งั้นมีรายการฟ้องรองกันสนุกเลย แต่ในขณะเดียวกันก็มีหนังสือเฉพาะที่เปรียบเทียบข้อมูลสินค้า หรือฉลากซึ่งแสดงถึงปริมาณอัตราส่วนของ โปรตีน แคลลอรี่ ฯลฯ (แค่โฆษณาล้อสิ้นค้ากันนี่ก็เป็นเรื่องแล้วครับในเมืองไทย)
ข้อมูลเพิ่มเติมคือ ในกรณีของสินค้าที่เป็นเครื่องอุปโภค บริโภค จะต้องผ่านคณะกรรมการจากระทรวงหนึ่ง(สธ.ถ้าจำไม่ผิด)พิจารณาว่าเป็นการโฆษณาเกินจริงหรือไม่ แต่ผมไม่ทราบเหมื่อนกันว่าปัจจุบันยังต้องผ่านอยู่หรือไม่
บางครั้งสินค้าคู่แข่งก็จะร้องเรียนโฆษณาที่ดูเกินจริง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าของเขา
ทฤษฎีของการทำโฆษณา คือทำให้เกิดท๊อปออฟไมล(สะกดถูกมั้ยหว่า) แปลไทยคือการคิดถึงสินค้าที่ตนทำโฆษณาเป็นอันดับแรก ง่าย ๆ คือผมถามว่าสบู่ ยี่ห้อใดที่เรานึกถึงนั้นคืออันดับ 1 ซึ่งเป็นสุดยอดปราถน่าของนักโฆษณา
เครื่องดืมชูกำลัง ที่ห้ามดื่มเกินวันละ 2 ขวดโปรดสังเกตุคำเตือนบนฉลากก่อนดื่มทุกครั้ง หรือโฆษณาอื่น ๆ ที่มีกฎหมายบังคับให้ทำ ประเด็นคือหากคณะกรรมการไม่อนุญาตให้ผ่าน ก็ไม่สามารถออกมาให้เราดูได้ บางครั้งคนทำโฆษณาอยากทำอย่างหนึ่ง เจ้าของสินค้าต้องการอีกแบบหนึ่ง ก็ต้องตามใจเจ้าของสินค้า ถ้าโฆษณาไม่ผ่านก็ต้องปรับแก้ตามที่กฎหมายกำหนด
โฆษณาเป็นศิลปะที่มีธุระกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนผสมจึงไม่แน่นอนว่าอะไรเท่าไหร่ สิ่งหนึ่งที่เด็กนิเทศทุก ๆ คนจะถูกสอนคือ "ปากกาในมือคุณ ฆ่าคนก็ได้ ช่วยคนก็ได้ คุณต้องใช้วิจารณญาณในการใช้อย่างมีคุณธรรมและระมัดระวัง" นี่คือหลักของจริยธรรมของสื่อสารมวลชน หากใครซักคนทำเรื่องไม่ดีไม่งามซักครั้ง วงการนี้มันแคบครับ ใครคนนั้นก็จะไม่มีที่ยืนอยู่อีกต่อไป....................................เฮ้อนาน ๆ ถึงได้มีโอกาศเถียงพี่ซักที อิอิ
ปล.โฆษณาของพวกขายตรง กับพวกทีวีขายตรง ชวนเชื่อหนักกว่านี้อีกครับ เจอพวกนี้ที่ไร ผมสนุกทุกที มาชวนเชื่อใครไม่ชวนดันมาชวนเชื่อกับเด็กโฆษณา ไม่อาปากค้างก็เก็บของแทบไม่ทันแทบทุกรายไป แต่ถ้าสินค้าเขาดีจริง ผมก็ซื้อครับ