มติชนสุดสัปดาห์
ฉบับวันที่ วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 28 ฉบับที่ 1470 หน้า 102
วิกฤตเครดิตการ์ด วิบากกรรมลำดับถัดไปของสหรัฐอเมริกา
มอง โดยภาพรวมในเวลานี้ ดูเหมือนภาวะเศรษฐกิจโลกจะหายใจหายคอคล่องขึ้นได้หน่อย เมื่อตลาดทุนทั่วโลกเริ่มตอบสนองในทางบวกต่อมาตรการแก้วิกฤตด้วยการอัดฉีก เม็ดเงินเข้าไปตรงๆ จากรัฐบาลของหลายประเทศ เพื่อแก้ปัญหาธนาคารพาณิชย์ที่กำลังย่ำแย่ อย่างน้อยที่สุด เราก็อาจสามารถเลี่ยงพ้นภาวะล่มสลายของระบบการเงินที่จะกระทบเป็นลูกระนาดไป ทั้งโลกได้สำเร็จ
แต่การนำเงินภาษีราษฎรเข้าไปซื้อหุ้นในธนาคารพาณิชย์ แลกเปลี่ยนกับสิทธิในการบริหารและเงื่อนไขในการปล่อยกู้ของธนาคารเหล่านั้น ของรัฐบาลหลายๆ ประเทศที่มียุโรปเป็นแม่แบบก็ใช่ว่าจะยุติผลกระทบที่เกิดจากวิกฤตที่ผ่านมา ลงได้โดยสิ้นเชิง ตรงกันข้าม นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์หลายคนเตือนตรงกันว่า ภาวะยุ่งยากลำบากทางเศรษฐกิจที่โลกต้องเผชิญนั้นยังหนักหนาสาหัส เมื่อภาคเศรษฐกิจที่แท้จริงเข้าสู่ภาวะถดถอยยาวนานติดตามมา
สำคัญยิ่งกว่านั้น หลายคนชี้ว่า วิกฤตในระบบการเงินของสหรัฐอเมริกายังไม่จบลงเพียงแค่นี้ แต่ระลอกที่สามกำลังก่อตัวขึ้นเตรียมแผลงฤทธิ์เต็มที่ในอีกไม่นานข้างหน้า
สหรัฐอเมริกาเผชิญกับภาวะวิกฤตระลอกแรกจากปัญหาสินเชื่อซับไพรม์ใน ภาคอสังหาริมทรัพย์ วิกฤตที่ว่านี้ก่อให้เกิดระลอกสองติดตามมาคือ วิกฤตในตลาดเงิน ตลาดทุน ระบบสถาบันการเงินอย่างที่เราเห็นกัน โดมิโนตัวต่อไปที่เรากำลังจะได้เห็นภาวะวิกฤตกันก็คือ สินเชื่อบุคคลในรูปของเครดิตการ์ดที่มียอดค้างชำระสูงถึง 950,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งไม่เพียงจะกระทบถึงบริษัทในตลาดหุ้นวลสตรีต
อย่างหนักอีกครั้งเท่านั้น แต่จะยังความเจ็บปวดเหลือหลายให้กับอเมริกันเป็นเรือนล้านอีกด้วย
ที่ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นก็คือ หนี้สิน 9.5 แสนล้านดอลลาร์ที่ว่านี้ ไม่ครอบคลุมอยู่ในแผนกู้วิกฤตมูลค่า 7 แสนลานของรัฐบาลอเมริกันอีกต่างหาก
เกรกอรี่ ลาร์กิ้น นักวิเคราะห์ของ อินโนเวสต์ บริษัทที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การเงินเชื่อว่า เครดิต การ์ด กำลังจะล่มสลายกลายเป็นวิกฤตในลำดับถัดไป ในขณะที่ วิลเลียม แบล็ค รองประธานฝ่ายโครงสร้างการเงินของมูดี้ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส เสริมว่า ในจำนวนหนี้บัตรเครดิตค้างชำระ 9.5 แสนล้านนั้น ส่วนใหญ่ของมันเริ่มกลายเป็น "หนี้เสีย" ไปแล้ว ทั้งๆ ที่สภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเพิ่งจะเข้าสู่ภาวะถดถอย และภาวะหนี้เน่าของบัตรเครดิตจริงๆ นั้น จะทวีปริมาณขึ้นสู่จุดสูงสุดหลังจากที่ผ่านเลยภาวะถดถอยไปแล้ว
นั่นหมายความว่า ถ้าที่เห็นอยู่ในเวลานี้ย่ำแย่แล้ว ทุกอย่างจะเลวร้ายลงไปอีกหลายระดับก่อนที่จะเริ่มต้นผงกหัวฟื้นขึ้นมา
หนี้บัตรเครดิตมีลักษณะเฉพาะตัวหลายอย่าง ลักษณะที่ว่าบางอย่างทำให้ปัญหายิ่งเลวร้ายมากยิ่งขึ้นไปอีก อย่างเช่นในช่วงเวลาของภาวะสินเชื่อตึงตัว ถึงระดับถูกแช่แข็งที่ผ่านมา หลายธนาคารเริ่มเข้มงวดกับลูกค้าของตัวเอง ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกิดการผิดนัดชำระแม้เพียงครั้งเดียว ผลก็คือ ยิ่งทำให้ลูกค้าผู้ถือบัตรยิ่งลำบากในการชำระหนี้มากขึ้นไปอีก
ข้อมูลจากงานวิจัยของอินโนเวสต์ ระบุว่า ธนาคาร หรือสถาบันการเงินที่ออกบัตรเครดิต จะเผชิญกับหนี้เสียจำนวนมากถึง 41,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ และในปี 2009 ปริมาณหนี้เน่าในระบบบัตรเครดิตของสหรัฐอเมริกาจะทวีขึ้นเป็น 96,000 ล้านดอลลาร์
อีกครั้งที่หนี้เสียจำนวนดังกล่าวไม่ได้จบลงที่ธนาคารผู้ออกบัตรแต่เพียง อย่างเดียว เหมือนกับในกรณีของตลาดอสังหาริมทรัพย์ หนีเหล่านี้ถูกนำไปรวมกันแล้วออกเป็นตราสารหนี้ขายให้กับนักลงทุนประเภทกอง ทุนเพื่อความเสี่ยง หรือเฮดจ์ฟันด์ และกองทุนบำเหน็จบำนาญต่างๆ เพื่อกระจายความเสี่ยงออกไป ข้อมูลของอินโนเวสต์ระบุว่า ผู้ออกบัตรเครดิตรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ผ่องถ่ายหนี้เหล่านี้ออกไปมากถึง 70 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด
นั่นไม่เพียงชี้ให้เห็นว่า ปัญหานี้จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเช่นเดียวกับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์เท่า นั้น ยังแสดงให้เห็นด้วยว่า ภาระที่ผู้ออกบัตรต้องแบกรับเมื่อเกิดปัญหานั้นไม่ใช่มีเพียงแค่หนี้เน่า เท่านั้น
ว่ากันตามตัวเลขแล้วมูลค่าของตลาดบัตรเครดิตนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนเสี้ยวของ ตลาดอสังหาริมทรัพย์มูลค่าเกือบๆ 2 ล้านล้านดอลลาร์แน่นอน แต่หนี้เสียในตลาดบัตรเครดิตนั้นจะก่อให้เกิดปัญหาและเจ็บปวดได้มากกว่า เพราะหนี้บัตรเครดิตเป็นหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ต่างกับหนี้อสังหาริมทรัพย์ที่ยังหลงเหลือทรัพย์สินให้รอขายเรียกทุนคืนบาง ส่วนได้ ยิ่งไปกว่านั้น ในขณะที่การปล่อยกู้ในตลาดอสังหาริมทรัพย์มีเพียงแค่ 11 เปอร์เซ็นต์ ที่เป็นการปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้ด้อยคุณภาพอย่างที่เราเรียกกันว่า ซับไพรม์ แต่ในตลาดบัตรเครดิต สัดส่วนหนี้ของลูกหนีกลุ่มซับไพรม์กลับสูงถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณหนี้ทั้งหมด
เจพี มอร์แกน เชส ธนาคารผู้ออกบัตรเครดิตรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาที่เพิงเข้าสไปซื้อ กิจการบางส่วน ซึ่งรวมทั้งส่วนออกบัตรเครดิต ของ วอชิงตัน มิวช่วล (วามู) เปิดเผยออกมาแล้วว่า 45 เปอร์เซ็นต์ของบัตรเครดิตที่วามูออกให้กับลูกค้าไปนั้น เป็นการออกให้กับลูกค้าในกลุ่มซับไพรม์ แบงก์ ออฟ อเมริกา ผู้ออกบัตรเครดิตใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ เปิดเผยเมื่อ 6 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า พอร์ตโฟลิโอบัตรเครดิตทั้งหมดของธนาคารที่มีมูลค่ารวม 1.84 แสนล้านดอลลาร์ นั้น มีหนี้เสียอยู่ประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์ เป็นปริมาณหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
อเมริกันเอ็กซเพรส บริษัทบัตรเครดิตที่พุ่งเป้าไปที่ลูกค้าชั้นดีระดับมีเงินโดยเฉพาะ ยังยอมรับว่าปริมาณหนี้เสียเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เอแม็กซ์ ปรับเพิ่มประมาณการหนี้เสียจากบัตรเครดิตของบริษัทในช่วงไตรมาสล่าสุดที่ ผ่านมา จากเดิมที่เคยประเมินไว้ว่าจะอยู่ที่ 180 ล้านดอลลาร์ ขึ้นเป็น 1.8 พันล้านดอลลาร์ด้วยเหตุนี้
แน่นอน บรรดาโฆษกของธนาคารและบริษัทบัตรเครดิตเหล่านี้ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า ตระหนักดีถึงสภาวการณ์ที่เกิดขึ้นและเตรียมพร้อมรับมือไว้แล้ว พร้อมทังยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าบริษัทของตนมีสถานะแข็งแกร่งพอที่จะฟัน ฝ่าวิกฤตที่กำลังจะเกิดนี้ไปได้
กระนั้น เกรกอรี่ ลาร์กิ้น แห่งอินโนเวสต์ ก็ยังเชื่อว่า ยิ่งมีการขึ้นดอกเบี้ย ลูกค้าบัตรเครดิตยิ่งไม่มีเงินจ่าย ท้ายที่สุดบริษัทผู้ออกบัตรก็จะเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวด เขาเชื่อว่าบรรดาธนาคารผู้ออกบัตรทั้งหลายจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้ง นี้หนักหน่วงสาหัสสากรรจ์แน่นอน
แต่ผลกระทบจากวิกฤตบัตรเครดิตในสหรัฐอเมริกาจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น แต่จะลุกลามอย่างรวดเร็วจากธนาคารไปสู่ภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง เริ่มตั้งแต่การทำลายกำลังซื้อ ลดความอยากซื้อ ทำลายความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ซึ่งในอีกไม่นานก็จะส่งผลกระทบต่อภาคการผลิต ภาคบริการในวงกว้าง
และจะส่งผลสะเทือนอย่างแท้จริงมายังประเทศผู้ส่งสินค้าออกไปยังสหรัฐอเมริกา มากยิ่งกว่าวิกฤตซับไพรม์และวิกฤตระบบสถาบันการเงินที่ผ่านมามากนัก!!
เห้อ...เศรษฐีบัตรพลาสติก