หากต้องสัมภาษณ์งาน เราควรถามเรื่องอะไรบ้างครับ

[rute - รักในหลวง]

พยายามถามเป็นคำถามปลายเปิดครับ...

ให้ผู้เข้าสอบได้อธิบายถึงตัวเอง...

อาทิ...

"ทำไมท่านจึงเหมาะสมกับงานในตำแหน่งนี้..."

"ถ้าหากทำงานแล้วมีปัญหาหัวหน้างานจะทำอย่างไร..."

"ข้อดีและข้อเสียของที่ทำงานเดิม..."

ฯลฯ

บางทีอาจต้อง Stress ผู้เข้าสอบ เพื่อดูวุฒิภาวะทางอารมณ์ด้วยครับ...

[นายกระจง]

คุยทั่วไปครับ ดูท่าทาง ความคิด การตัดสินใจ คุยกันต่อหน้าดูง่าย ไม่เหมือนทางโลกไซเบอร์ เขาเรียกว่าภาษากายปิดไม่ได้ครับ

รอฟังจากท่านอื่น ๆ ดูครับ อ้อ..ผู้หญิงหรือผู้ชายครับ         

ถ้าคนที่ผ่านการทำงานมาแล้ว
ผมถามเค้าว่า "ทำไมถึงออกจากที่เก่า" ถ้าเหตุผลเจ้านายขี้เหนียว หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ความหมายในทาง เสียหาย หรือเอาเรื่องส่วนตัวของเจ้านายเก่ามาเล่าให้ฟัง ผมจะไม่รับ ครับ  เพราะว่า คนเก่าก็โดน แล้วเราจะเหลือ หรือครับ   

   

จากประสบการณ์ที่เคยโดนสอบมานะครับ
กรณีจบใหม่
จบอะไรมา-ทำไมถึงมาสมัครที่นี้-หัวข้อโปรเจคจบ-ถ้าได้ทำงานจะก่อประโยชน์อะไรให้กับองค์กรณ์
ถ้าจำเป็นที่จะไม่เลือกคุณเข้าทำงานช่วยบอกเหตุผลที่สมควรเลือกคุณ  อะไรประมาณนี้ครับน้าจง
ส่วนถ้าพวกเปลี่ยนงานใหม่
ก็ถามแบบบังฟีนนั้นแหละครับ   

ถ้าเป็นผมจะถามว่า "มีแฟนหรือยังครับ"   

งานนี้รับผู้ชายครับพี่ ผมคงไม่มีโอกาสได้สัมภาษณ์ผู้หญิงหรอกครับ

 

งั้นต้องดูว่ายกของหนักได้มั้ยครับ  ถ้าแบบเอวบางร่างน้อยคงทำงานไม่ไหว    

ถามเกี่ยวกับงานที่เขาจะต้องทำครับ
ถามความสามรถต่างๆ ที่น่าจะเกียวข้องกับงานที่เขาจะได้ทำ หรืองานที่ท่านอยากจะได้จากเขา
การพูดคุยต่อหน้าทำให้เราสามารถตัดสินใจ ว่าเขาจะเหมาะสมกับที่เราต้องการหรือเปล่า
สำหรับผมการสัมภาษณ์รับทำงาน บางครั้งคนที่เก่งทุกอย่างอาจไม่ใช่คนที่เราต้องการเสมอไป

เคยทำหน้าที่สัมภาษณ์งานอยู่เกือบปีครับ   คำถามผมคิดเอง  ไม่เคยเรียน HR.

"ทำไมถึงอยากมาทำงานที่นี่"

"รู้จักที่นี่ได้อย่างไร"

"ทำงานภายใต้ภาวะกดดันได้หรือไม่ ที่นี่งานหนักนะ"

"ตัวคุณมีจุดด้อยอะไร จุดเด่นอะไร"

"ระหว่าง เงิน กับ ความสุข สิ่งไหนสำคัญกับคุณมากกว่ากัน"


คำถามพื้นฐาน สำหรับดูคนครับ
และดูที่การแต่งกาย    สมัครตำแหน่งโฟร์แมน แต่ใส่สูทผูกไทด์ รองเท้าหนังมันแปล๊บ อย่างนี้คงไม่ได้
สมัครตำแหน่งผู้บริหาร แต่ใส่เสื้อลาย กางเกงยีนส์ อย่างดีคงไม่ใช่

สุดท้าย  ดูคนที่คุยแล้ว เรารู้สึกดีด้วยครับ

ใช้คำถามปลายเปิดครับ
ถามเขาดูว่าคุณมาสมัครงานในตำแหน่งนี้ คุณรู้หรือเปล่าว่าต้องทำอะไรบ้าง มีประสบการณ์ในการทำงานในตำแหน่งนี้หรือเปล่าเล่าให้ฟังหน่อย , คิดว่าทำไมเราถึงต้องรับคุณมาทำงานกับเรา รู้หรือเปล่าว่าที่นี่ทำงานกันยังไง ฯลฯ ครับ
โหดไปหรือเปล่าหว่าผม

รับลูกน้องสักคนผมกลัวแต่พวกปากเป็นเอก แล้วก็พวกเด็กเจ้านายครับ ไม่รับก็ไม่ได้ ฮือ 

เจอเหมือนกันครับ พวกเด็กฝาก ล่าสุดเอาซะต้องเชิญกลับบ้านไปก่อน เพราะจะมาสมัครทำงานปิดภาคเรียน ดันใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น รองเท้าแต๊ะมาสมัครงาน 

ถ้าเป็นที่องค์กรของผม เวลาสัมภาษณ์คนเข้ามาทำงาน จะเน้นที่ competency ขององค์กร หรือที่เรียกว่า core competency เช่น องค์กรผมต้องการคนที่จงรักภักดีต่อสถาบัน ผมก็จะสัมภาษณ์เพื่อให้เค้าแสดงออกมาว่าเค้ามีความจงรักภักดีต่อสถาบัน เป็นต้นครับ

นอกจาก core competency เมื่อเข้ามาอยู่ในสายงานต่างๆ ก็จะมี competency ในระดับหน่วยงานที่เรียกว่า functional competency คือ ในตำแหน่งงานนั้นๆ ต้องการ competency (แปลเป็นไทยได้ว่า สมรรถนะ) อะไรบ้าง เช่น งานด้านบัญชี ส่วนใหญ่ functional competency คือ มีความรู้ด้านบัญชี, ละเอียด รอบคอบ, ซื่อสัตย์ ซึ่งเราก็ต้องหาคำถามมาถามเพื่อให้เค้าแสดงออกมาว่า เค้ามีความรู้ดีในเรื่องของบัญชี มีความละเอียดรอบคอบ และมีความซื่อสัตย์ครับ

ของท่านหนองหัวพราน อาจต้องถามตัวเองก่อนว่า จะรับมาทำอะไร งานที่จะให้ทำ ต้องมีความสามารถอะไรบ้าง เช่น ทำงานดึกๆ ได้ เป็นคนสู้งาน ซื่อสัตย์ ฯลฯ และเมื่อท่านทราบความต้องการของท่านแล้ว ก็เอามาตั้งเป็นคำถาม เพื่อให้เค้าตอบครับ

หวังว่าคงเป็นประโยชน์บ้างนะครับ ขอให้โชคดีครับ

ส่งชาติ

ขอบพระคุณทุกคำแนะนำครับ

[นายกระจง]

พยายามถามเป็นคำถามปลายเปิดครับ...

ให้ผู้เข้าสอบได้อธิบายถึงตัวเอง...

อาทิ...

"ทำไมท่านจึงเหมาะสมกับงานในตำแหน่งนี้..."

"ถ้าหากทำงานแล้วมีปัญหาหัวหน้างานจะทำอย่างไร..."

"ข้อดีและข้อเสียของที่ทำงานเดิม..."

ฯลฯ

บางทีอาจต้อง Stress ผู้เข้าสอบ เพื่อดูวุฒิภาวะทางอารมณ์ด้วยครับ...

ขอบพระคุณครับสำหรับคำแนะนำครับ

[Southlander]

นายหนองได้บอกโจทย์เพิ่มเติมมาว่าตำแหน่งที่จะรับจะเข้ามาเป็นผู้ช่วยแต่กลัวว่าจะเข้ากับหัวหน้างานเดิมไม่ได้เพราะวุฒิการศึกษามันเท่ากันแต่ระดับเงินเดือนของหัวหน้า
กับผู้ช่วยมันจะต่างกันมาก

 สำหรับเรื่องนี้ ไม่น่ามีปัญหาใดๆเพราะทุกองค์กรมันก็ต้องเจออยู่แล้วว่าคนเข้ามาก่อนก็ย่อมเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานเงินเดือนก็สูงขึ้นๆตามลำดับคนมาทีหลังก็ต้อง
เริ่มใต่เต้ากันใหม่ในวิถีทางตัวเองทำงานเก่งก็ไปไว ไม่เก่งก็ตามผลงาน มาทีหลังก็ต้องยอมรับนับถือคนเก่าถึงแม้วุฒิการศึกษาเท่ากันแต่ ตำแหน่ง มันไม่เท่ากันอยู่แล้ว
และก็ต้องยอมรับเป็นลูกน้องของคนวุฒิการศึกษาเท่ากันได้ถ้าตัวเองมาทีหลัง เรื่องนี้ถ้าคนมาทีหลังทำใจไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ มันก็ต้องทางใครทางมันกันไป และ ถ้าไปที่อื่น
เจอปัญหาแบบเดียวกันจะทำอย่างไร รับไม่ได้ก็อยู่ไม่ได้ครับ และก็บ่อยไปที่เขาอาจต้องเจอกับผู้บังคับบัญชาที่มีอาวุโสน้อยกว่ามันเป็นเรื่องของสายการบังคับบัญชาครับ

 เรื่องนี้อาจต้องนำมาถามเพื่อดูความคิดว่าเขายอมรับได้หรือไม่เช่น

- สามารถทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชาที่มีวุฒิการศึกษาเท่ากันได้หรือไม่
- สามารถทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชาที่มีอาวุโสน้อยกว่าได้หรือไม่

 แต่ส่วนมากเท่าที่เห็นก็อยู่กันได้ครับ

[อนัตตา]

นายหนองได้บอกโจทย์เพิ่มเติมมาว่าตำแหน่งที่จะรับจะเข้ามาเป็นผู้ช่วยแต่กลัวว่าจะเข้ากับหัวหน้างานเดิมไม่ได้เพราะวุฒิการศึกษามันเท่ากันแต่ระดับเงินเดือนของหัวหน้า
กับผู้ช่วยมันจะต่างกันมาก

 สำหรับเรื่องนี้ ไม่น่ามีปัญหาใดๆเพราะทุกองค์กรมันก็ต้องเจออยู่แล้วว่าคนเข้ามาก่อนก็ย่อมเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานเงินเดือนก็สูงขึ้นๆตามลำดับคนมาทีหลังก็ต้อง
เริ่มใต่เต้ากันใหม่ในวิถีทางตัวเองทำงานเก่งก็ไปไว ไม่เก่งก็ตามผลงาน มาทีหลังก็ต้องยอมรับนับถือคนเก่าถึงแม้วุฒิการศึกษาเท่ากันแต่ ตำแหน่ง มันไม่เท่ากันอยู่แล้ว
และก็ต้องยอมรับเป็นลูกน้องของคนวุฒิการศึกษาเท่ากันได้ถ้าตัวเองมาทีหลัง เรื่องนี้ถ้าคนมาทีหลังทำใจไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ มันก็ต้องทางใครทางมันกันไป และ ถ้าไปที่อื่น
เจอปัญหาแบบเดียวกันจะทำอย่างไร รับไม่ได้ก็อยู่ไม่ได้ครับ และก็บ่อยไปที่เขาอาจต้องเจอกับผู้บังคับบัญชาที่มีอาวุโสน้อยกว่ามันเป็นเรื่องของสายการบังคับบัญชาครับ

 เรื่องนี้อาจต้องนำมาถามเพื่อดูความคิดว่าเขายอมรับได้หรือไม่เช่น

- สามารถทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชาที่มีวุฒิการศึกษาเท่ากันได้หรือไม่
- สามารถทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชาที่มีอาวุโสน้อยกว่าได้หรือไม่

 แต่ส่วนมากเท่าที่เห็นก็อยู่กันได้ครับ

เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ คนมาทีหลังต้องใจกว้างพอควร บางคนเป็นเพื่อนกันแต่ต้องมาเป็นหัวหน้าลูกน้องกัน ถ้าแยกกันไม่ออกก็จบเห่

[นายกระจง]

นายหนองได้บอกโจทย์เพิ่มเติมมาว่าตำแหน่งที่จะรับจะเข้ามาเป็นผู้ช่วยแต่กลัวว่าจะเข้ากับหัวหน้างานเดิมไม่ได้เพราะวุฒิการศึกษามันเท่ากันแต่ระดับเงินเดือนของหัวหน้า
กับผู้ช่วยมันจะต่างกันมาก

 สำหรับเรื่องนี้ ไม่น่ามีปัญหาใดๆเพราะทุกองค์กรมันก็ต้องเจออยู่แล้วว่าคนเข้ามาก่อนก็ย่อมเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานเงินเดือนก็สูงขึ้นๆตามลำดับคนมาทีหลังก็ต้อง
เริ่มใต่เต้ากันใหม่ในวิถีทางตัวเองทำงานเก่งก็ไปไว ไม่เก่งก็ตามผลงาน มาทีหลังก็ต้องยอมรับนับถือคนเก่าถึงแม้วุฒิการศึกษาเท่ากันแต่ ตำแหน่ง มันไม่เท่ากันอยู่แล้ว
และก็ต้องยอมรับเป็นลูกน้องของคนวุฒิการศึกษาเท่ากันได้ถ้าตัวเองมาทีหลัง เรื่องนี้ถ้าคนมาทีหลังทำใจไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ มันก็ต้องทางใครทางมันกันไป และ ถ้าไปที่อื่น
เจอปัญหาแบบเดียวกันจะทำอย่างไร รับไม่ได้ก็อยู่ไม่ได้ครับ และก็บ่อยไปที่เขาอาจต้องเจอกับผู้บังคับบัญชาที่มีอาวุโสน้อยกว่ามันเป็นเรื่องของสายการบังคับบัญชาครับ

 เรื่องนี้อาจต้องนำมาถามเพื่อดูความคิดว่าเขายอมรับได้หรือไม่เช่น

- สามารถทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชาที่มีวุฒิการศึกษาเท่ากันได้หรือไม่
- สามารถทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชาที่มีอาวุโสน้อยกว่าได้หรือไม่

 แต่ส่วนมากเท่าที่เห็นก็อยู่กันได้ครับ

ขอบคุณครับพี่

[นายกระจง]

นายหนองได้บอกโจทย์เพิ่มเติมมาว่าตำแหน่งที่จะรับจะเข้ามาเป็นผู้ช่วยแต่กลัวว่าจะเข้ากับหัวหน้างานเดิมไม่ได้เพราะวุฒิการศึกษามันเท่ากันแต่ระดับเงินเดือนของหัวหน้า
กับผู้ช่วยมันจะต่างกันมาก

 สำหรับเรื่องนี้ ไม่น่ามีปัญหาใดๆเพราะทุกองค์กรมันก็ต้องเจออยู่แล้วว่าคนเข้ามาก่อนก็ย่อมเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานเงินเดือนก็สูงขึ้นๆตามลำดับคนมาทีหลังก็ต้อง
เริ่มใต่เต้ากันใหม่ในวิถีทางตัวเองทำงานเก่งก็ไปไว ไม่เก่งก็ตามผลงาน มาทีหลังก็ต้องยอมรับนับถือคนเก่าถึงแม้วุฒิการศึกษาเท่ากันแต่ ตำแหน่ง มันไม่เท่ากันอยู่แล้ว
และก็ต้องยอมรับเป็นลูกน้องของคนวุฒิการศึกษาเท่ากันได้ถ้าตัวเองมาทีหลัง เรื่องนี้ถ้าคนมาทีหลังทำใจไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ มันก็ต้องทางใครทางมันกันไป และ ถ้าไปที่อื่น
เจอปัญหาแบบเดียวกันจะทำอย่างไร รับไม่ได้ก็อยู่ไม่ได้ครับ และก็บ่อยไปที่เขาอาจต้องเจอกับผู้บังคับบัญชาที่มีอาวุโสน้อยกว่ามันเป็นเรื่องของสายการบังคับบัญชาครับ

 เรื่องนี้อาจต้องนำมาถามเพื่อดูความคิดว่าเขายอมรับได้หรือไม่เช่น

- สามารถทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชาที่มีวุฒิการศึกษาเท่ากันได้หรือไม่
- สามารถทำงานร่วมกับผู้บังคับบัญชาที่มีอาวุโสน้อยกว่าได้หรือไม่

 แต่ส่วนมากเท่าที่เห็นก็อยู่กันได้ครับ

เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ คนมาทีหลังต้องใจกว้างพอควร บางคนเป็นเพื่อนกันแต่ต้องมาเป็นหัวหน้าลูกน้องกัน ถ้าแยกกันไม่ออกก็จบเห่

ครับพี่ บริษัทนี้ค่อนข้างให้โอกาสคนได้พิสูจน์ความสามารถครับ

[PU45™]

                              เคยถูกสัมภาษณ์งานครั้งเดียวที่บริษัทแห่งนึงในกรุงเทพฯ  มีคณะกรรมการรู้สึกจะ 5-6 คนนี่แหละ

                              มีทั้งดูถูกดูแคลน  มีทั้งปลอบโยน ตลกดีเหมือนกันแต่ก็ผ่าน ส่งไปประจำสำนักงานสาขาที่ภูเก็ตบ้านเกิด

                              หลังจากนั้นก็มีแต่ถูกเชิญไปทำงานและตกลงกันเรื่องผลตอบแทน   

[PU45™]

                         ผมไม่ค่อยเน้นเรื่องสัมภาษณ์เท่าไหร่คุยกันทั่วๆไปให้เด็กผ่อนคลาย และเปิดใจ       รับแล้วฝึกกันได้  

                         ให้โอกาสคนได้ทำงาน  เข้ามาแล้วก็มีเวลา 90 วันตามกฏหมายส่วนใหญ่ผ่านครับเว้นแต่เหลือเดนจริงๆ

                         ถือว่าการไม่ผ่านงานให้ใครสักคนเป็นอะไรที่หดหู่ใจมาก  เพราะบางคนเป็นความหวังของพ่อแม่และคนทางบ้าน นั่นหมายถึงความเดือนร้อนมากมาย  

[ฅนบ้านนอก]

           ผมไม่ค่อยเน้นเรื่องสัมภาษณ์เท่าไหร่คุยกันทั่วๆไปให้เด็กผ่อนคลาย และเปิดใจ       รับแล้วฝึกกันได้ 
          เพราะบางคนเป็นความหวังของพ่อแม่และคนทางบ้าน นั่นหมายถึงความเดือนร้อนมากมาย 

                      .........

[coda]

...โดยหลักๆ ในการสัมภาษณ์จะค้นหาประเด็นต่อไปนี้ (แม้บางอย่างจะอยู่ในเอกสารแล้วก็ยังสมควรต้องถามซ้ำ) เพื่อค้นหาผู้สมัครที่ Match กับงานครับ แต่ทั้งหมดคือการคาดคะเนว่าคนไหนเหมาะ ซึ่งอาจจะคาดผิดก็ได้ 

1. ความรู้: เรียนอะไรมา ทำไมเลือกเรียนสาขานี้ ชอบ/ไม่ชอบวิชาอะไร เพราะอะไร ภูมิใจอะไรในสมัยที่เรียน เพราะอะไร ถามประเด็นเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนหรือรู้มาและเกี่ยวกับงานที่สมัคร

2. ทักษะประสบการณ์: ฝึกอบรมอะไรมาบ้าง ทีทำงานเดิม (ถ้ามี) ผลิตอะไร ขั้นตอนคร่าวๆ ในการผลิต ผู้สมัครอยู่ตรงไหนของขั้นตอนนั้น ขั้นตอน/วิธีทำงาน มีอะไรที่ชอบและไม่ชอบในการทำงานนั้นๆ ผลงานสำคัญ คำตอบจะทำให้ทราบอะไรหลายอย่าง รวมทั้งความสามารถในการสื่อสาร

3. ความคิด ทัศนคติ: อันนี้มีผลกับงานมากที่สุด แต่ค้นหาจากการสัมภาษณ์ยากนิดนึง เพราะบางคนอาจจะกลบจน (เกือบ) มิด บางแห่งจะมีแบบทดสอบ แต่ในการสัมภาษณ์มักเป็นการประเมินภาพรวมของผู้สมัคร ทั้งจากคำตอบและภาษาท่าทาง อาจถามว่าเขามีนิสัยบุคลิกอย่างไร จุดแข็งจุดอ่อนของเขาคืออะไร ฯลฯ

..เรื่องบรรยากาศและการตั้งคำถาม หลายท่านตอบไปแล้ว เช่นใช้คำถามปลายเปิด เช่นทำไม อย่างไร การใช้คำถาม "สมมติ..." ในประเด็นสำคัญของงาน ให้ทราบวิธีคิดและทัศนคติ ก็น่าลองนะครับ

...บรรยากาศสบายๆ ในการถามเป็นเรื่องดี แต่ควรมีคำถามที่กดดัน (อย่างสร้างสรรค์) บ้าง (ไม่ใช่เป็นการยั่วโมโหชนิดไร้จรรยาบรรณอะไรอย่างนั้น) คำถามต่อเนื่องเจาะลึกบ้าง เขาตอบไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ต้องไปเซ้าซี้มาก 

...สมควรถามภูมิหลังทางครอบครัว  หลายๆ อย่างจะทำให้เข้าใจเขามากขึ้น

...สัมภาษณ์หลายๆ คน ต้องจดโน๊ตกันลืม และไม่ด่วนตัดสินใจก่อนที่จะสัมภาษณ์ครบทุกคนครับ

[นายกระจง]

                         ผมไม่ค่อยเน้นเรื่องสัมภาษณ์เท่าไหร่คุยกันทั่วๆไปให้เด็กผ่อนคลาย และเปิดใจ       รับแล้วฝึกกันได้ 

                         ให้โอกาสคนได้ทำงาน  เข้ามาแล้วก็มีเวลา 90 วันตามกฏหมายส่วนใหญ่ผ่านครับเว้นแต่เหลือเดนจริงๆ

                         ถือว่าการไม่ผ่านงานให้ใครสักคนเป็นอะไรที่หดหู่ใจมาก  เพราะบางคนเป็นความหวังของพ่อแม่และคนทางบ้าน นั่นหมายถึงความเดือนร้อนมากมาย 

ขอบคุณครับลุงปู

ตั้งแต่ทำงานมาเวลาต้องประเมินประจำปีก็ให้ดีๆทั้งนั้นครับ หากมีคนใหม่เข้ามาทำงานก็สอนเขาเต็มที่ครับ เพราะอยากช่วยเขานะครับ

[นายกระจง]

...โดยหลักๆ ในการสัมภาษณ์จะค้นหาประเด็นต่อไปนี้ (แม้บางอย่างจะอยู่ในเอกสารแล้วก็ยังสมควรต้องถามซ้ำ) เพื่อค้นหาผู้สมัครที่ Match กับงานครับ แต่ทั้งหมดคือการคาดคะเนว่าคนไหนเหมาะ ซึ่งอาจจะคาดผิดก็ได้ 

1. ความรู้: เรียนอะไรมา ทำไมเลือกเรียนสาขานี้ ชอบ/ไม่ชอบวิชาอะไร เพราะอะไร ภูมิใจอะไรในสมัยที่เรียน เพราะอะไร ถามประเด็นเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนหรือรู้มาและเกี่ยวกับงานที่สมัคร

2. ทักษะประสบการณ์: ฝึกอบรมอะไรมาบ้าง ทีทำงานเดิม (ถ้ามี) ผลิตอะไร ขั้นตอนคร่าวๆ ในการผลิต ผู้สมัครอยู่ตรงไหนของขั้นตอนนั้น ขั้นตอน/วิธีทำงาน มีอะไรที่ชอบและไม่ชอบในการทำงานนั้นๆ ผลงานสำคัญ คำตอบจะทำให้ทราบอะไรหลายอย่าง รวมทั้งความสามารถในการสื่อสาร

3. ความคิด ทัศนคติ: อันนี้มีผลกับงานมากที่สุด แต่ค้นหาจากการสัมภาษณ์ยากนิดนึง เพราะบางคนอาจจะกลบจน (เกือบ) มิด บางแห่งจะมีแบบทดสอบ แต่ในการสัมภาษณ์มักเป็นการประเมินภาพรวมของผู้สมัคร ทั้งจากคำตอบและภาษาท่าทาง อาจถามว่าเขามีนิสัยบุคลิกอย่างไร จุดแข็งจุดอ่อนของเขาคืออะไร ฯลฯ

..เรื่องบรรยากาศและการตั้งคำถาม หลายท่านตอบไปแล้ว เช่นใช้คำถามปลายเปิด เช่นทำไม อย่างไร การใช้คำถาม "สมมติ..." ในประเด็นสำคัญของงาน ให้ทราบวิธีคิดและทัศนคติ ก็น่าลองนะครับ

...บรรยากาศสบายๆ ในการถามเป็นเรื่องดี แต่ควรมีคำถามที่กดดัน (อย่างสร้างสรรค์) บ้าง (ไม่ใช่เป็นการยั่วโมโหชนิดไร้จรรยาบรรณอะไรอย่างนั้น) คำถามต่อเนื่องเจาะลึกบ้าง เขาตอบไม่ได้จริงๆ ก็ไม่ต้องไปเซ้าซี้มาก 

...สมควรถามภูมิหลังทางครอบครัว  หลายๆ อย่างจะทำให้เข้าใจเขามากขึ้น

...สัมภาษณ์หลายๆ คน ต้องจดโน๊ตกันลืม และไม่ด่วนตัดสินใจก่อนที่จะสัมภาษณ์ครบทุกคนครับ

ขอบคุณครับพี่

[keng2516 รักในหลวง]

จากการที่ได้คุยกับอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษ สมัยเป็นนักเรียน เวลาจะสมัครงาน บางทีคำถามๆเป็นภาษาอังกฤษ เช่น name  surname  age  sex  carrier(อาชีพ ไม่รู้สะกดถูกหรือเปล่า)  มันฮาตรงที่คำว่า sex เนื่องจากส่วนใหญ่คิดว่ามันแปลว่าความต้องการทางเพศ  บางคนตอบว่า  not much (ไม่เท่าไร)  บางคนตอบว่า  three time a week อดขำก๊ากไม่ได้เลยครับ ใครจะกล้าตอบล่ะครับว่า every day หรือ 2-3 ครั้งใน 1 วัน   ขอย้ำว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง 100% เนื่องจากคนส่วนใหญ่ก็แปลความหมายไปถึงเรื่องบนเตียง ทั้งๆที่มันแปลว่า เพศ ไม่ค่อยมีใครตอบว่า   male  female เพราะเนื่องจากคนที่มาสมัครส่วนใหญ่ก็มาจากนักเรียน กศน แปลบางตัวออกก็บุญแล้วครับ ถ้าเป็นผมตอนนั้นอาจจะตอบว่า very much ก็ได้

[oil]

นอกจากหัวข้อสัมภาษณ์ทั่วไปแล้ว
วัน เดือน ปี เกิด เวลตกฟาก
ผมดูจริงๆ แล้วตั้งข้อสังเกตุว่าดวงชะตาจะพาไปทางไหน  ส่วนใหญ่ถ้าไม่ถูกโฉลกกับเจ้านาย มักอยู่ไม่นานจริงๆ